ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~@~Pretty BOY~@~ทำยังไงดีผมไม่อยากเป็นเคะ!!!(YunJae)-Yaoi

    ลำดับตอนที่ #11 : อยากเลี้ยงแพนด้า

    • อัปเดตล่าสุด 21 มิ.ย. 53


    Chapter 10

     
     
                              ผมที่กำลังคุยเพลินๆ  กับบรรดาไอ้เพื่อนสุดแสบของผมอยู่ดีๆ ก็โดนไอ้เพื่อนร่วมบ้านหน้าหมีมันอุ้มขึ้นบ่าเดินดุ่มๆผ่านสายตารุ่นพี่รุ่นน้องที่เดินผ่านไปผ่านมาตามทางเดิน หันมามองที่ผมอย่างสนอกสนใจ ทำไมผมต้องมาตกเป็นเป้าสายตาด้วยเรื่องน่าอายแบบนี้ด้วยเนี่ย....


                   “ปล่อยฉันนะเว้ย... แกมาอุ้มฉันทำไมเนี่ย ไอ้บ้าเอ้ย...ปล่อย” ผมทั้งดิ้นทั้งทุบไอ้หมีป่าเนี่ย แต่มันกับไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด  ‘ตัวมันทำด้วยอะไรว่ะ โธ่เว้ย..ทำยังไงกับมันดีว่ะ’ ผมได้แต่คิดในใจ


                   “หยุดดิ้นซะทีได้ไหม ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทนกับนายนะ” เจ้าหมีขู่ผมเสียงเข้ม นึกว่าผมกลัวหรอ ถ้าเงียบแสดงว่าผมกลัวมันอ่ะดิ เรื่องอะไรนายไม่ชนะฉันหรอกไอ้หมีบ้า


                     “มันก็เรื่องของนายสิ ปล่อยนะโว้ย..ฉันก็มีความอดทนเหมือนกันนะ ปล่อย...” 

                      ผมยังคงย้ำความต้องการของผมและทำร้ายร่างกายไอ้หน้าหมีนั้นต่อไป เนื่องจากเจ้าบ้านี่อุ้มผมขึ้นบ่าเลือดทั่วตัวผมไหลมาตกที่หัวหมดแล้วมั้งตอนนี้ เวียนหัวจะตายอยู่แล้ว ถ้าเจ้าหมีบ้าพลังนี่ยังไม่ปล่อยผมลงไปมีหวังผมได้คายของเก่าที่พึ่งกินไปเมื่อตอนพักเที่ยงหมดตัวเป็นแน่


                      “เด็กดื้อ นายนี่มันดื้อจริงๆนะ ทำผิดแล้วยังไม่รู้สึกผิดอีกอย่างนี้มันต้องเจอ...นี่แนะๆ” เพียะ.. เพียะ ... พูดไม่พูดเปล่าไอ้หมีงี่เง่ามันใช้อุ้งมือของมันตีที่ก้นผม 

                      อ๊ากกกกกก....ชีวิตคิมแจจุงจะต้องเจอเรื่องอับอายไปถึงไหน......


                     “ไอ้หมีบ้า หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ปล่อย...”ผมยิ่งดิ้นกว่าเดิมเข้าไปอีก


                      “อยากดิ้นๆ ไป เพราะนายยิ่งดิ้น ฉันก็ยิ่งตีอยู่อย่างนี้แหละ ไม่อายใครเขาก็เอา เพราะแค่นายส่งเสียงคนเขาก็มองกันใหญ่แล้ว”
     
                       ผมมองตามที่เจ้าหมีพูดกลายเป็นว่าตลอดทางมีแต่คนมองกันแล้วซุบซิบไปกันใหญ่ โอ้ยยยย....ผมอยากแทรกแผ่นดินหนี้ไปซะตอนนี้จริงๆ


                       “แล้วนายจะพาฉันไปไหนเล่า อยู่ๆก็ลากกันมาแบบนี้ ค่อยดูนะฉันจะฟ้องอาจารย์ว่านายมีเจตนาจะทำร้ายฉัน พยานในโรงเรียนมีเป็นสิบ อย่าให้ฉันรอดไปได้แล้วกัน”

                       ผมที่เริ่มตระหนักแล้วว่าการใช้กำลังเท่าที่มีของผมดูจะทำอะไรเจ้าบ้านี่ไม่ได้เลยสักนิด ผมจึงหาทางรอดด้วยวิธีใหม่


                      “ก็เอาสิคิมแจจุง... แต่นายต้องรอดไปจากฉันให้ได้ซะก่อนนะ เรื่องฟ้องอาจารย์ไว้ตอนนั้นค่อยว่ากัน ฉันก็อยากจะรู้ว่านายจะกล้าไหม?”


                ดู...เจ้านี่มันยังกวนผมได้อีก แค่ได้ยินเสียงไม่ต้องบอกก็พอจะเดาหน้าหมอนี่ออกได้เลยทีเดียวว่ามันต้องกวนอวัยวะเบื้องล่างของผมแค่ไหน


                  “หมายความว่าไง นี่ตกลงนายจะพาฉันไปที่ไหนกันแน่” ผมเริ่มไม่ไว้ใจไอ้หมีบ้านี่ขึ้นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่มันอุ้มผมมาก็พูดจาไม่รู้เรื่องตลอดเวลา 


                   “อ่ะ...ถึงสักที” 


                  เจ้าหมีอยู่ก็ปล่อยผมลง แต่ด้วยความที่ผมโดนอุ้มห้อยหัวมาตลอดทาง ผนวกกับเพิ่งกินข้าวมาด้วยทำให้ตอนนี้ท้องไส้ผมปั่นป่วนไปหมด และก็เวียนหัวอย่างมากจนยืนแทบไม่อยู่ ทำให้หลังจากเจ้านี้ปล่อยผมลง ผมก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทันทีพร้อมทั้งเอามือปิดปากไว้เพราะเกิดอาการผะอืนผะอมอย่างมาก แต่ผมก็ยังไม่หมดแรงที่จะโวยไอ้เจ้าตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องมามีสภาพแบบนี้ทันที


                   “ไอ้บ้านี่นึกจะปล่อยก็ปล่อยให้มันเบาหน่อยได้ไหมหละ” ผมเงยหน้ามองเจ้าหมีบ้านี่อย่างเคืองสุดๆ


                   “นายบ่นพอหรือยัง” เจ้านี่ยังคงทำเสียงเข้มถามผม

                     “ทำไม?.. ถ้าฉันยังด่านายไม่จบแล้วจะทำไม”ผมพยายามลุกขึ้นแล้วพูดอย่างท้าทาย แม้ตอนแรกผมแทบจะทนอาการคายของเก่ากับการเวียนหัวแทบไม่ไหว แต่การสะสางกับไอ้หมีถึกที่อยู่ตรงหน้าสำคัญกว่า

                   “เปล่า...ฉันจะกล้าทำอะไรนาย แค่นายจะเสียเวลาที่จะออกไปจากที่นี่มากขึ้นเท่านั้น” เจ้าหมีไม่พูดเปล่าแต่เดินตรงไปที่ประตูของด่านฟ้าตึกแล้วลงกลอนอย่างแน่นหนาแล้วยืนพิงประตูดักทางผมไว้ 

                   ใช่สิผมมัวแต่ทะเลาะกับเจ้านี่มาตลอดทางจนไม่ทันสังเกตุว่าเจ้าบ้านี่พาผมขึ้นมาบนด่านฟ้าตั้งแต่เมื่อไร... แล้วทางเข้าออกก็มีทางเดียวที่เจ้าบ้านั้นยืนเฝ้าอยู่ แล้วผมจะหลุดรอดออกจากที่นี่ได้ทางไหนอีกนอกจากมีปีกแล้วบินไป(แต่แจจ๋าก็มีปีกนิจ๊ะ บินได้อยู่แล้วน่า ก็แจเป็นนางฟ้าเนี่ยเนอะ คริ คริ คริ      / ช่วยรู้เวลานิดนึงไรท์เตอร์ ; แจจุง)   


         

                  “เอาไงว่ามา” ยังไงตอนนี้ผมคงต้องยอมๆ เจ้านี่ไปก่อนแล้วกันเพื่อความอยู่รอด


                  “นายทำแบบนั้นทำไม?” ผมนึกว่าพูดดีๆ กับเจ้าหมีนี่แล้วจะรู้เรื่องแต่ผิดถนัด เจ้าบ้านี่ยังพูดไม่รู้เรื่องอยู่ดีตกลงมันต้องการจะสื่ออะไรกับผมเนี่ย

                  “อะไรของนาย” หน้าผมตอนนี้คงมีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มไปหมดเป็นแน่

                  “อย่างมาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง คิมแจจุง” 

                 เจ้าหมีพูดน้ำเสียงที่เริ่มเจือด้วยอารมณ์โมโห ที่ผมดูไม่ตอบรับกับคำถามของเจ้าตัวเท่าไร จะให้ตอบอะไรได้หล่ะในเมื่อมันพูดจาภาษาหมีอะไรของมัน มนุษย์สุดหล่ออย่างคิมแจจุงคนนี้ไม่เข้าใจสักคำ


                   “จะบ้าหรอ ฉันไม่รู้เรื่องที่นายพูดสักคำ ตกลงที่นายลากฉันมาซะไกลเนี่ยต้องการอะไรกันแน่ คราวนี้เอาแบบตรงๆ ชัดๆ เข้าใจง่ายๆ ด้วย ว่ามา” ผมต่อรองยืนกอดอกรอคอยคำตอบจากคนตรงหน้า


                  “ที่ฉันอยากรู้ว่านายไปเตะลูกบอลอัดหน้ายูชอนมันทำไม? มันก็ใช่ที่นายอาจจะโกรธยูชอนที่มันแข่งรถชนะนาย แต่นั้นมันก็เป็นนิสัยของคนแพ้แล้วพาล ฉันไม่คิดว่านายจะเป็นคนใจแคบแบบนี้” 

                  พอได้ฟังคำกล่าวหาของเจ้าหมีบ้าพลังนี้ชัดๆ ทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายผมเดือดขึ้นทันที ตอนนี้ถ้ามันเป็นตัวการ์ตูนหละก็ บนหัวผมคงมีควันพวยพุ่งออกมาจากความร้อนในร่างกายผมที่เกิดจากความโกรธ เพราะคำพูดดูถูกของคนตรงหน้าเป็นแน่ 


                กล้าดียังไงมาดูถูกผมเป็นพวกแพ้แล้วพาลแบบนี้ ทั้งๆ ที่ฝั่งตัวเองแท้ๆ ที่เล่นโกงจนผมเจ็บแบบนี้ยังมีหน้ามากล่าวหาผมอีก มันจะมากไปแล้วชองยุนโฮ ถ้านายออกจากที่นี้ไปครบ 32 อย่ามาเรียกผมว่าคิมแจจุง พ่อจะเล่นให้จำชื่อผมไปอีกนานเลยคอยดู

              “ห๊า..ว่ายังไงนะ ฉันเนี่ยนะเตะบอลใส่เพื่อนนาย แล้ว..อะไรนะฉันเป็นพวกแพ้แล้วพาล โอ๊ะ...โอ๊ะ..” ผมจับต้นคอทันทีแล้วเงยหน้าบรรเทาอารมณ์โกรธที่มันยิ่งพวยพุ่งมามากกว่าเดิมจนทำให้ความดันในเลือดผมเพิ่มสูงจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว


             “หรือไม่จริง ฉันได้ยินเรื่องที่นายพูดกับเพื่อนนายหมดแล้ว เรื่องแก้แค้น แล้วนายจะแก้แค้นใครได้ถ้าไม่ใช่ยูชอนที่ทำให้นายแข่งแพ้”


                “ย่าห์......ชองยุนโฮ มันจะมากไปแล้วนะ นายคิดว่านายเป็นใครมาพูดจาดูถูกคนอื่นเขาแบบนี้ ฉันเนี่ยนะแพ้แล้วพาล ชะ”
     
                  ผมเอามือเท้าเอวแล้วเบนหน้าไปด้านข้างเพราะไม่อยากมองหน้าตากวนประสาทของคนตรงหน้าจนคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้วตกเป็นผู้ต้องหาอย่างที่หมอนี้ว่าจริงๆ


                  “ทำไมฉันพูดผิดตรงไหน ในเมื่อนายเป็นคนทำ ทำไมถึงไม่ยอมรับออกมา ฉันผิดหวังจริงที่มองนายผิดไป” เจ้าบ้านี้ยังไม่เลิกกวนประสาทผม ซึ่งตอนนี้เจ้านี้เหมือนเอาน้ำมาราดบนกองไฟแห่งความโมโหของผมชัดๆ


                ผมไม่รอช้ากระชากคอเสื้อของเจ้าบ้านี้มาประจันหน้ากับผมทันที

                “ฉัน..ไม่..ได้..ทำ.. ได้ยินชัดไหม” ผมพูดเน้นทีคำเพื่อคนตรงหน้าจะฟังภาษาคนไม่เข้าใจ

                 “ฉัน..ไม่..เชื่อ..”คิมแจจุงอยากจะบ้าเมื่อไอ้หมีนี่มันพูดทีละคำย้อนผมกลับมา ตกลงมันจะทวงความยุติธรรมเพื่อเพื่อนของมันหรือจงใจจะยั่วโมโหให้ผมอกแตกตายกันแน่ ผมเปลี่ยนจากกุมเสื้อเจ้าบ้านี้มาเป็นผลักอกของหมอนี้ออกห่างตัว แล้วชี้หน้าขึ้นถามทันที


                “งั้นนายมีหลักฐานอะไรว่าฉันเป็นคนทำแล้วมีพยานรู้เห็นไหมหละ นอกจากที่นายได้ยินที่ฉันคุยกับเพื่อนๆ” ผมเริ่มทวงหาหลักฐานหรือพยานแวดล้อมที่บ่งชี้ว่าผมเป็นคนทำอยู่ๆ มากล่าวหากันลอยๆ แบบนี้อย่างหวังว่าผมจะยอม


                “หลักฐาน ทำไมฉันจะไม่มี ส่วนพยานก็เพื่อนๆนายไง ที่รู้เห็นเป็นใจกับนายในฐานนะผู้สมรู้ร่วมคิด แต่ฉันว่าหนึ่งในเพื่อนของนายน่าจะเป็นคนมีเหตุผลพอที่จะไม่ฝักใฝ่ในด้านไม่ดี แล้วกลับใจมาเป็นพยานแทนได้”

                “เชอะ..นายเอาอะไรมาคิดว่าเพื่อนฉันจะยอมมาช่วยนายถ้าฉันทำจริง”

                “ฉันว่าคิบอมเพื่อนนายไม่น่าจะเป็นคนไร้ความคิดเห็นเรื่องผิดเป็นถูกแน่นอน” ไอ้หมีสมองน้อยเอ้ย..เอาอะไรมาคิดว่าคิบอมจะช่วยแกถ้าฉันทำจริง 

                ไอ้บอมมันเคยสนใครไอ้เรื่องพดุงความยุติธรรมอะไรเถือกนั้นซะที่ไหนหล่ะ ถ้าสนมันคงไม่มานั่งอยู่กลุ่มฉันหรอก มันไม่สนใครนอกจากหวานใจทงเฮของมันหรอกคิดอะไรตื้นๆผมได้แต่กอดอกส่ายหน้ากับความคิดจากสมองน้อยของหมอนั้น พร้อมทั้งแสยะยิ้มอย่างเป็นต่อ

                “แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันก็มีพยานรู้เห็นว่าฉันอยู่ไหน ตอนนั้นนายจะว่าไงจะยอมจบเรื่องงี้เง่านี้ไหมหละ”


         “แน่นอน..และถ้าฉันพิสูจน์ได้ว่านายทำจริงหละนายจะทำยังไง”


         “ฉันยอมเป็นเบ้นายเลยชองยุนโฮ แต่ถ้าฉันพิสูจน์ได้แทนว่าไม่ได้เป็นคนทำนายจะทำยังไงหละ” 

         “ฉันก็ยอมเป็นเบ้นายเหมือนกันคิมแจจุง แต่ฉันไม่ยกเลิกข้อตกลงอาหารมื้อดึกของฉันนะ มันคนละเรื่องกัน” ผมกำลังจะแย้งข้อเสนอเพิ่มพอดีแต่เหมือนหมอนี้จะรู้ทันรีบบอกปัดความตั้งใจของผมทันที


         “ได้เลย..ตกลงตามนี้ ทำหนังสือสัญญาเลยไหมหละ” ผมมองหากระดาษปากกาทันที จะเล่นกับไอ้หมีเจ้าเล่ห์ต้องตามกันให้ทันหน่อยไม่งั้นผมโดนเอาเปรียบแน่นอน


         “นายกลัวฉันเบี้ยวขนาดนั้นเลยหรือไง”


         “แน่นอนเพราะงานนี้ฉันชนะใสๆ แล้วนายต้องขอโทษต่อหน้าทุกคนด้วยที่กล่าวหาฉันแบบนี้ ชองยุนโฮ” ผมบอกเจ้านั้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจสุดๆ


         “ได้เลยฉันสัญญา งั้นเกี่ยวก้อยสัญญาประทับตรากันเลย” ดูข้อเสนอมันเด็กเป็นบ้า ผมยื่นนิ้วก้อยขึ้นเกี่ยวนิ้วเจ้านั้นพร้อมกับเอานิ้วโป้งชนกันเป็นการประทับตราสัญญานี่เสร็จสมบูรณ์ (เด็กแต่แกก็ทำตามเขาอ่ะนะแจจุง)

         “ผิดสัญญาเป็นหมาเห่ารอบโรงเรียนเลยเอ๊า..”ผมย้ำข้อตกลงขู่เจ้าหน้าหมีอีกครั้งเพื่อความชัวร์


         “แน่นอน พิสูจน์กันเมื่อไรว่ามาเลย” ผมกับเจ้านี้ยังคงเกี่ยวก้อยประทับตรากันไม่ปล่อยพร้อมทั้งส่งสายตาฟาดฟันกันอย่างไม่ลดละ ค่อยดูนะผมจะทำให้เจ้านี้ร้องไม่ออกเลยตอนได้รู้ความจริง


         .....

         .......

         ...............


         ผมหลับไปนนานเท่าไรไม่รู้ รู้แต่ว่าเมื่อกี้ผมฝันร้ายถึงร้ายที่สุด ที่โดนรุ่นพี่ท็อปลูกชายมาเฟียที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลี อืม...เออ..ทำผมแบบนั้น ผมแทบหายใจไม่ออกเมื่อนึกถึงฝันร้ายนั้นอีกครั้ง 


         ผมได้แต่นอนมองเพดานห้องนอนผมด้วยความเหนื่อยล้า ยังไม่อยากลุกขึ้นเลยจริงๆเลย คิดได้ดังนั้นผมเลยหลับตาลงอีกครั้งเตรียมเข้าสู่ห้วงนิทราต่ออีกหน่อยโดยที่ไม่ลืมอธิษฐานก่อนนอนว่าขอให้ฝันดี อย่าได้ฝันร้ายเหมือนเมื่อกี้อีกเลย พร้อมทั้งถอนหายใจแล้วหลับต่อทันที


         “นายนี่มันขี้เซาชะมัด ฉันรอนายมา 2 ชั่วโมงแล้วยังมีหน้ามาหลับต่อ”

           เสียงทุ้มของใครบางดังขึ้นในห้องนอนที่ผมคิดได้ว่ามันควรจะมีแค่ผม ผมลืมตาขึ้นทันทีแล้วหันไปมองที่ต้นเสียงนั้นจึงพบกับคำตอบที่ทำเอาผมหยุดหายใจอีกครั้ง


         “รุ่นพี่ท็อป” ผมสปริงตัวจากเตียงลุกขึ้นนั่งในทันทีที่พบคำตอบ

         “ใช่ฉันเอง นายนอนพอหรือยัง”

         “เออ..คือ..ผม..” ผมได้แต่อ้ำอึ้งสมองลูกน้อยๆ ของผมเหมือนหยุดสั่งการชั่วขณะ เพราะมันไม่สามารถประมวลผลและตอบคำถามใดได้เลยในตอนนี้

         “ถ้านอนพอแล้วก็ควรตอบคำถามได้แล้วว่า ตกลงนายกับเพื่อนของนายทำอะไรปาร์คยูชอนจนเจ้าบ้ายุนโฮที่มันอุ้มเพื่อนฉันหายไปต่อหน้าต่อตา พวกนายมีความสัมพันธ์กันอย่างไง” 


         คนที่นั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือการ์ตูนของผมอย่างถือวิสาสะอยู่ที่โต๊ะหนังสือ อยู่ๆ ก็ว่าหนังสือที่อ่านอยู่ลุกขึ้นเอามือล่วงกระเป๋าแล้วเดินมาซักความผมถึงบนเตียง โดยรุ่นพี่ท็อปนั่งข้างเตียงผมแล้วยืนหน้าเข้ามาถามผมใกล้เข้าเลยๆ ภาพที่ผมคิดว่ามันเป็นฝันร้ายเมื่อไม่นานกลับมาฉายซ้ำข้างในหัวผมอย่างชัดเจนทันที


         ทำให้ผมรีบกำผ้าห่มขึ้นมากำบังร่างกายตัวเอง พร้อมกระเถิบหนีคนตรงหน้าเกือบสุดเตียงนอน จนผมเกือบตกเตียงไปดีที่รุ่นพี่จับผมไว้ทันก่อนที่ก้นของผมจะไปกระแทกกับพื้นห้อง

         “จะหนีฉันไปไหนอีก” คนๆนั้นยังเอ่ยซ้ด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

         “ผม...เออ..ผม..” ผมยังคงเป็นโรคอ้ำอึ้งไม่หาย เพราะไม่รู้จะตอบยังไงคนตรงหน้าดี ตาคมคู่นั้นยังคงมองมาที่ผมอย่างไม่วางตา สถานการณ์อึดอัดเริ่มเข้าครอบงำผมอีกครั้ง ผมควรทำยังไงดี คำถามนี้ยังคงวนซ้ำอยู่ในหัวเหมือนเครื่องเล่นเทป


         “ว่ายังไง จะตอบได้หรือยัง” เขายังเค้นผมไม่ปล่อย ผมได้แต่สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างต้องการความกล้า
          
         ตั้งแต่คนตัวเล็กรุ่นน้องที่ผมก็ไม่ได้รู้จักซักเท่าไร เข้ามาฉุดข้อมือผมให้เดินตามจากโรงอาหารมาจนถึงหลังตึกเรียนแล้วก็เอาแต่พูดเรื่องสารภาพผิดกับไอ้ปาร์คยูชอนกับยุนโฮไอ้หน้าหมีที่อุ้มเพื่อนผมหายไปต่อหน้าต่อตา

          แล้วก็เรื่องลูกบอลอะไรที่ผมก็ยังไม่เข้าใจที่เด็กคนนี้พูดอยู่ดี แต่ที่แน่ๆ มีคำว่าเข้าใจผิดและมีชื่อเพื่อนผมคิมแจจุง กับการรับเคราะห์แทนอยู่ในประโยคต่างๆ ที่เจ้าเด็แพนด้านี้พูดอยู่


         สมองอันชาญฉลาดของผมเริ่มประมวลผลทันที ว่ามันต้องเกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องเดียวกันอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย ผมจึงเริ่มค้นความจริงทันทีที่เด็กแพนด้านี่รู้ตัวว่าดึงคนเดินตามมาผิดคน แต่เมื่อผมเริ่มขู่ไอ้เด็กนี่ก็กลัวจนลนลาน สงสัยความเกียรติศัพท์ของพ่อผมจะขจรขจายไปกว้างขวางน่าดู 


         ดูจากที่บรรดาอาจารย์ในโรงเรียน รุ่นพี่ รุ่นน้องทั้งหลายต่างก็เกรงใจผมไม่ว่าผมจะทำอะไรผิดถูก หยิบจับอะไรก็ไม่เคยมีคนว่าแต่อย่างใด คนที่เข้ามาหาก็หวังแต่ผมประโยชน์ ไอ้ที่กลัวก็กลัวจนขี้ขึ้นสมองทำอะไรไม่ถูกเหมือนเจ้าเด็กแพนด้านี่ 


         จะมีก็แต่บรรดาเจ้าเพื่อนตัวแสบของผมเท่านั้นที่ไม่เป็นแบบนั้น เจ้าพวกนี้แต่ละคนต่างก็มีมุมและปมของแต่ละคนทำให้พวกเราเข้าใจกันเพราะเป็นคนในแบบเดียวกัน เหงาเหมือนกันขาดเหมือนกันจึงมารวมอยู่ด้วยกันได้


         แต่จาการที่ผมเริ่มขู่เจ้าเด็กนี่มันทำให้ผมสนุกอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน ยิ่งเมื่อเห็นท่าทางลนลานของเจ้านี้ตอนเห็นผมยิ่งน่าแกล้งเข้าไปใหญ่ ปกติผมจะไม่ค่อยยุ่งหรือสนใจใครอยู่แล้วนอกจากสาวๆในสังกัดผมเท่านั้น

          แต่ก็แปลกที่ผมกลับสนใจเจ้าเด็กนี่ ยิ่งใกล้ยิ่งอยากสัมผัส แต่พอสัมผัสเข้าจริงกับเกือบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่จนผมเองยังอดแปลกใจ 


         แต่เหมือนผมจะแกล้งเจ้านี้มากไป ก็เล่นสลบตอนที่ผมจูบอยู่เป็นขนาดนี้ชักสนใจแล้วสิ ปกติผมจะเจอแต่บรรดาสาวๆ รู้งานรอบจัด ไม่ค่อยเจอสไตน์ใสๆ แบบนี้หรอก (ท็อปจ๋าน้องเป็นผู้ชายอ่ะอย่าลืม/ไรท์เตอร์)


         แล้วเจ้านี่เป็นผู้ชายแท้ๆ กับดึงดูดผมได้ขนาดนี้คงปล่อยไม่ได้แล้วหละ เป็นผู้ชายหรืออะไรจุดนี้ผมคงไม่สนแล้วหละ ถ้าต้องการชเวซึงฮยอนคนนี้ก็ต้องเอามาให้ได้ ทีไอ้คิบอมมันยังกิ๊กกับทงเฮได้ทำไมผมจะมีบ้างไม่ได้ (ดูมันคิด -_-* อิหนูฉันจะรอดไหมเนี่ย)


         หลังจากที่ผมสั่งบรรดาการ์ดของพ่อผมที่ส่งมาเฝ้าผมอยู่ลับๆตามที่ต่างๆในโรงเรียน ให้ไปเอากระเป๋าของเด็กคนนี้พร้อมทั้งไปทำเรื่องลาครึ่งวันของทั้งผมและเด็กคนนี้ แล้วจึงค้นกระเป๋าสตางค์เพื่อดูบัตรว่าเป็นใครมาจากไหนโดยให้มือขวาของพ่อผมหาข้อมูลให้ จึงรู้ว่าเจ้าเด็กแพนด้านี่ชื่อซึงฮยอนเหมือนผมแต่นามสกุลอี 


         พ่อกับแม่เปิดร้านขายอุปกรณ์กีฬาค่อนข้างใหญ่อยู่เหมือนกันในย่านธุรกิจของเมือง มีน้องสาวหนึ่งคนอยู่ชั้นป.5 ชื่ออีซึงกิ เป็นพี่ชายคนโตเสียด้วยท่าทางนายจะดื้อน่าดู


         แต่ดูเหมือนช่วงนี้ธุรกิจทางบ้านเจ้านี้ไปได้ไม่ค่อยดีเท่าไร แถมยังติดหนี้ธนาคารจำนวนมากเสียด้วย อย่างนี้ก้เข้าทางนะซิ และพอถึงบ้านเจ้าตัวเล็กนี้คนในบ้านก็ดูจะตกอกตกใจกันใหญ่ที่คุณหนูของบ้านถูกผมอุ้มมาแบบนี้ แต่ผมก้ไม่อยากอธิบายอะไรมากมาย


         “แทยังนายดูแลข้างล่างด้วย แดซองนายโทรบอกพ่อแม่เจ้านี้ด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วงแพนด้าน้อยอยู่กับฉันไม่เป็นอะไรหรอก”

         “ครับ/ครับ” บอดี้การ์ดมือดีของผมทั้งสองที่ยังพ่วงตำแหน่งเลขาส่วนตัวของผมด้วยรับคำสั่งและรีบไปดำเนินการทันที ผมจึงอุ้มเจ้าเด็กนี่ขึ้นมานอนบนห้องตามที่แม่บ้านที่นี่บอกทางได้อย่างสะดวก และนั่งเฝ้าจนกระทั่งเจ้าเด็กนี่ตื่นนั้นแหละ


         “ว่ายังไง จะเล่าเรื่องทั้งหมดได้หรือยัง ฉันไม่มีเวลามากพอมานั่งดูนายหายใจเข้าออกแบบนี้นะ” ผมเร่งเมื่อเห็นคนตรงหน้ายังคงตัวสั่นเพราะกลัวผมและไม่ยอมพูดอะไรอีกแล้ว


         “รุ่นพี่รับปากก่อนได้ไหมฮะว่าจะฟังจนจบโดยไม่ขัดผม หรือโกรธผมก่อนผมเล่าจบ” เจ้าเด็กนี่เริ่มต่อรอง ดูเหมือนจะเชื่องๆแต่ตอนนี้สงสัยต้องคิดใหม่เสียแล้วมั้ง


         “อืม..เล่าได้หรือยัง” เจ้าเด็กแพนด้า เริ่มเล่าตั้งแต่เจอกับเพื่อนที่ชื่อจุนซู และตอนที่เพื่อนเจ้านี่ท้าให้เตะบอลอัดใส่เจ้ายูชอนผู้เคราะห์ร้าย จนถึงเรื่องที่โรงอาหารเมื่อตอนกลางวัน 


         “เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหละฮะ ผมเลยเข้าใจผิดดึงพี่ออกมาโดนที่นึกว่าเป็นจุนซูเพื่อนผม ยังผมก็ต้องขอโทษรุ่นพี่ด้วยที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวาย” แพนด้าน้อยก้มให้ผมเป็นการขอโทษ


         “แสดงว่าแจจุงเพื่อนฉันก็เป็นเหยื่อจากการเล่นสนุกของพวกนายอย่างนั้นหรือไง” 


         ผมแค่อยากแกล้งคนตรงหน้าแค่นั้นเอง เรื่องแจจุงหรอใช่ว่าผมไม่ห่วงไอ้แสบมันนะแต่ก็เหอะ มันลื่นเป็นปลาไหลขนาดนั้นมีหรอจะเอาตัวรอดไม่ได้ และถ้ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับมันจริงมีหรอว่าผมจะไม่ให้คนตามไปดูมัน 

         เพราะตอนนี้กองฮวานลูกน้องผมโทรมาบอกแล้วว่าเจ้าแสบมันปลอดภัยดี เพราะฉะนั้นเรื่องนั้นเป็นอันหมดไป เหลือแต่เจ้าเด็กนี้เท่านั้นที่ผมจะจัดการยังไงดี


         “พวกผมไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นสักหน่อย มันเป็นการเข้าใจผิดต่างหาก ผมก็บอกพี่ไปแล้วว่าผมกับเพื่อนกำลังจะบอกความจริงพอดีมีเรื่องขึ้นมาก่อน” อยู่ๆ เจ้าแพนด้าขี้กลัวก็แปลงร่างเป็นแพนด้าขี้โมโหวีนผมขึ้นมาซะงั้น ทำเอาผมปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน


         “นี่ๆ นายกล้าเถียงฉันหรอ” ผมลุกขึ้นชี้เจ้าเด็กนี่ที่ถือดีมาขึ้นเสียงใส่ผม ได้ผมเจ้าแพนด้าเกิดสำนึกได้ว่าผมเป็นใครเลยรีบเปลี่ยนท่าทีกลับไปหงอเหมือนเดิมทันทีอย่างกับกดสวิตซ์ปิดเปิดได้


         “ผมขอโทษครับ ผมแค่อยากให้รุ่นพี่เข้าใจพวกผมบ้างเท่านั้นเอง ไม่มีเจตนาอื่นจริงๆ” ดูท่าทางที่เจ้านี่ทำเข้าสิ ก้มหน้าก้มตาทำเสียงงุ้งงิ้งในลำคอซะน่ารักเชียว มันน่าจับมาบิดแก้มนัก ชักอยากเลี้ยงหมีแพนด้าขึ้นมาแล้วสิ จับมาเลี้ยงซะดีไหมเนี่ย


         “ถ้าอยากให้ฉันหายโกรธ มาเป็นแม่บ้านให้ฉันสิ แล้วฉันจะช่วยเอาบอลเพื่อนนายมาคืนด้วย”


         “ห๊า...จริงๆนะครับ ผมตกลงครับ” 


         แล้วผมก็ได้แพนด้ามาเลี้ยงแล้วสมใจ ฮ่ะๆๆๆๆ


         ......

         ..........

         .................


         “ตกลงนายจะพาฉันไปไหนอีก” 


         เจ้าแมวน้อยของผมเริ่มมีฤทธิ์ขึ้นมาอีกแล้วหลังจากที่ผมกับเจ้านี้ทำสัญญากัน ก็กลับมาเข้าห้องเรียนตามปกติแต่ดีที่วันนี้เปิดเรียนวันแรกเนื้อหาวิชาเลยไม่มีอะไรมากนักส่วนใหญ่จะเป็นการสั่งงานแล้วก็คาบว่างเสียมากกว่า ผมเลยถือโอกาสสะสางเรื่องเมื่อตอนกลางวันกับเจ้าลูกแมวต่อทันที 


         โดยหนีบไอ้ยูชอนมาด้วยเพื่อเพิ่มประจักษ์พยานว่าผมไม่ได้พาลูกแมวน้อยไปทำมิดีมิร้าย แต่ก็ไม่ลืมเพื่อนของเจ้าลูกแมวอีก 2 คน ที่เดินคุมเชิงอยู่ข้างหลัง 


         พอมาถึงล็อคเกอร์ของผมกับยูชอน ผมเลยส่งสัญญาณให้ยูชอนไปเปิดล็อคเกอร์นำหลักฐานออกมา เจ้าแมวน้อยจะได้เลิกอวดดีเสียทีว่าชนะผม แต่หลังจากที่ยูชอนเปิดล็อคเกอร์ก็หันมามองผมแล้วส่ายหน้าทันที ผมมองอย่างงงกับท่าทางของยูชอนเลยเดินเข้าไปดู จึงได้พบคำตอบว่าเจ้าลูกบอลที่เป็นหลักฐานสำคัญได้หายไปแล้ว


         เจ้าลูกแมวรีบเดินตามาดูทันทีหลังจากที่เห็นผมกับยูชอน  มุดเข้าไปกระซิบกระซาบในล็อคเกอร์เพื่อหาเจ้าหลักฐานสำคัญ


         “ว่าไง ไหนหละหลักฐานของนาย มั่วแต่ยืนกระซิบกระซาบอะไรกันอยู่ได้เสียเวลา”


         “เรื่องของฉันน่า” ผมตอบกลับหลังจากค้นหาเจ้าลูกบอลเจ้าปัญหาเนี่ยเท่าไรก็ไม่เจอสักที

         “อ้าวพูดแมวๆ นายเป็นคนลากฉันมาเพื่อดูหลักฐานแต่มาบอกให้ฉันไม่ต้องยุ่งเนี่ยนะเอาไงกันแน่” เอาแล้วไงลูกแมวผมกลายร่างเป็นพญาแมวอีกแล้วไง แล้วไอ้ลูกบอลต้องมาหายอะไรตอนนี้.... แล้วผมจะมัดเจ้าลูกแมวเนี่ยยังไงหละทีนี้


         แต่ผมก็ยังปั้นหน้านิ่งจ้องเจ้าลูกแมวกลับอย่างไม่กลัวผลลัพท์ที่ตามมาแต่อย่างใด เอาว่ะ.. เป็นไงเป็นกันก็ผมไม่อยากแพ้ลูกแมวนี่น่า..


         “หลักฐานที่ฉันกับยูชอนเก็บไว้อยู่ดีๆ ก็หายไป นายสารภาพมาดีกว่าว่าเป็นคนเอาคืนไป”


         “ชริ...นายจะบ้าไปแล้วหรอ ตั้งแต่ลงมาจากด่านฟ้านายเห็นฉันออกไปไหนหรือยังหล่ะ” เจ้าลูกแมวทำเสียงไม่พอใจเบนหน้าไปด้านข้างแล้วหันมาพูดพร้อมถลึงตาใส่ผม


         “ไม่เอาไปเองแต่ให้เพื่อนมาเอาก็ได้นิ ใช่แล้วเพื่อนนายที่หน้าตาเหมือนนักเลงไปไหนซะแล้วหละ ทำไมไม่มาด้วย นั้นไงหมอนั้นต้องเป็นคนเอาหลักฐานไปแน่” ผมเริ่มตั้งข้อสันนิฐานใหม่


         “ยังจะมามั่ว นายยอมรับมาดีกว่าว่าไม่มีหลักฐานจริง กล่าวหากันลอยๆแบบนี้เข้าข่ายหมิ่นประมาทนะ ไปเจอกันในศาลเลยไหมหล่ะ ฉันจะได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายให้หมดตัวเลยทีเดียวคอยดูสิ” 


         พูดเสร็จก็หันไปแทคมือกับเพื่อนข้างหลังแล้วหัวเราะเยาะผมอย่างน่าหมั่นไส้ ดูเอากับเจ้านี้ ดูคำพูดคำจาอยากจะจับมาดีก้นอีกทีนัก เหน็บแนมได้ทุกคำสินะ พลาดไม่ได้เลยนะแมวน้อย ผมได้แต่ขบกร้ามระงับอารมณ์โกรธกับท่าทีของคนช่างยั่วตรงหน้า


         “ช่างมันเหอะไอ้ยุนเรื่องแค่นี้ ฉันไม่ถือโทษแล้วว่ะ ขอกันกินยังมากกว่านี้” เป็นยูชอนที่ตบไหล่ผมพูดออกมาหลังจากที่มองสถานการณ์ที่หน้าอึดอัดระหว่างผมและลูกแมวจอมยั่ว(โมโห)


         “ได้ไงว่ะแกเจ็บตัวแถมโทรศัพท์ยังหายอีก มีแต่เบอร์คนสำคัญไม่ใช่หรอ” ผมพูดกับยูชอนที่ส่ายหน้าห้ามไม่ผมมีเรื่องอยู่ข้างหลัง


         “ไอ้โทรศัพท์ที่ว่าเครื่องนี่หรือเปล่า” 

         ไอ้หน้าหวานเพื่อนของเจ้าลูกแมวพูดขึ้นพร้อมหยิบโทรศัพท์เครื่องที่ว่าออกจากกระเป๋ากางเกง โดยให้มือหยิบเฉพาะตรงสายที่ห้อยโทรศัพท์ ทำให้ตัวเครื่องหมุนลงมาห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ ซึ่งผมคว้าจากมือเจ้านั้นมาพลิกดูตัวเครื่องกับยูชอน แล้วก็แน่ใจกันทันทีว่าเป็นเครื่องเดียวกับเจ้าเครื่องที่หายไป ไม่ผิดแน่


         “เห็นไหมหละพวกนายเป็นคนทำจริงๆด้วย ไม่งั้นจะมีโทรศัพท์ที่ยูชอนมันทำหล่นที่เกิดเหตุได้ยังไง” ผมยังคงยืนยันข้อสันนิฐานเดิม


         “ใครบอกนายฉันเจอมันตอนเข้าห้องน้ำต่างหาก” เจ้าหน้าหวานตอบผม

         “นายเจอมันตอนไหนอ่ะฮยอนจุง ไม่เห็นบอกฉันเลย”เจ้าแมวน้อยหันไปถามเพื่อน
    เสียงอ้อน ดูทำเข้า...เลือกปฏิบัติชัดๆ ทีกับเจ้าบ้านั้นทำท่าน่ารักทำเสียงเล็กเสียงน้อย ทีกับผมขู่ฟ่อๆ พูดจายังกับจะกินเลือดกินเนื้อ


         “จะให้เชื่อได้ไงในเมื่อพวกนายอาจจะเก็บไว้แล้วแกล้งบอกว่าเจอในห้องน้ำก็ได้” ผมยังไม่ละความพยายาม ต้องไล่ให้จนมุมให้ได้


         “ยังจะโง่อีก..” ดูเจ้าลูกแมวมันพูด

         “ถ้าพวกฉันทำจริงเอาไปจริงจะมาคืนนายทำซากอะไร ทำลายหลักฐานทิ้งไม่ดีว่าหรอ สมองน้อยชะมัด” ปากอย่างนี้มันน่า...ไหมเนี่ยดูพูดเข้า


         “นายอาจจะเก็บไว้เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์เหมือนตอนนี้ก็ได้”

         “ยังจะไม่หยุดอีก.. ยังจะกล้านะคนเรา เอายังไงว่ามาเลยดีกว่า ไม่ทงไม่ทนมันแม่งแล้ว” 

         ลูกแมวน้อยถลกแขนเสื้อเตรียมปลี่เข้ามาหาผมทันทีดีที่ไอ้หน้าหวานมันกันเอาไว้ ไม่งั้นผมได้เจอเจ้าลูกแมวฟ้อนเล็บใส่เป็นแน่ แต่ผมยอมซะทีไหนแรงมาผมก็แรงตอบเตรียมตั้งรับเจ้าลูกแมวเหมือนกัน จนยูชอนก็ต้องกันผมออกมา

         “เรื่องมันแล้วไปแล้วให้มันผ่านไปเหอะ ฉันยังไม่อยากโดนไล่ออกตั้งแต่วันแรก” 


         ยูชอนหันมาพยักหน้ากับผมเพื่อขอความเห็น ซึ่งก็จริงอย่างที่ยูชอนพูดเพราะตอนนี้บรรดาเพื่อนในโรงเริ่มมามุ่งดุเหตุการณ์กันใหญ่แล้วมีความเสี่ยงที่จะไปถึงหูอาจารย์ แล้วเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้เพราะที่นี่ยังมีกฏห้ามนักเรียนทะเลาะวิวาทเพราะโทษร้ายแรงถึงโดนทันบนจนมีสิทธิถูกไล่ออกได้ทุกเมื่อ


         “ก็ได้ถ้านายไม่ถือสา ฉันคงทำอะไรไม่ได้” ผมได้แต่ยักไหล่จำนนต่อสถานการณ์


         “ง่ายไปเปล่าว่ะ ตั้งแง่กับฉันตั้งนาน โวยวายเป็นบ้าเป็นหลัง บทจะเลิกก็เลิกง่ายๆ เนี้ยนะ” เอาแล้วไงเจ้าลูกแมวเริ่มขู่ฟ่ออีกแล้ว


         “แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง?”


         “เป็นเบ้ฉันตามสัญญา ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป” ยัยลูกแมวพูดทวงสัญญากับผม


         “เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ฉันบอกว่าเลิกเอาเรื่องพวกนาย แต่ก็ไม่ได้ยอมรับว่าพวกนายไม่ได้ทำ ในเมื่อยังพิสูจน์ไม่ได้สัญญาย่อมยังไม่เป็นผล”


         “แล้วค่อยดูแล้วกันว่างานนี้นายหรือฉันใครกันแน่ต้องไปเป็นเบ้ใคร”

           
         ****************************************************
          
          
           TBC.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×