คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : การเปลี่ยนแปลงครั้งที่ 4 เข้าเรียน(2)
บทที่ 4 เข้าเรียน(2)
‘เพื่อน’ คำๆนี้แสดงถึงสัตว์กินเพื่อนอ่อนแอที่อยู่รวมกันเป็นฝูงแสดงถึงความอ่อนแอ ทำไมคนเราถึงต้องมีเพื่อนละ คำๆนั้นในตอนนี้ผมยังคงไม่รู้ความหมายที่แน่ชัด แต่สำหรับผมในตอนนี้ คำตอบของผมคือ.................มันไม่จำเป็นสำหรับผม
ติ๊ง... ต๋อง... ติ๊ง... ต๋อง...
เสียงออดเลิกเรียนคาบเช้าดังขึ้นเป็นเหมือนเสียงระฆังจากสวรรค์สำหรับเด็กหนุ่มคลาส พริ้นซ์ห้องA เหลือเกิน เนื่องจากรังสีมาคุที่ประธานกับเด็กใหม่ปล่อยออกมานั้นมากจนแทบทำให้ทั้งห้องสลบ
“Hey! พวกyouอย่าทะเลาะกันสิ ดีนักน่าๆ”คริสโตเฟอร์พยายามพูดให้เหตุการณ์สงบลง
“นั้นสิๆ พวกนายอย่าทะเลาะกันสิ เดียวก็ถูกมนุษย์ต่างดาวจับไปหรอก”ดันเต้เองก็พยายามช่วยกล่อมอีกแรง
“นั้นสิครับ/ขอรับ”ทั้งฮอรัสและอเล็กเซ่ก็เป็นไปด้วย ที่เหตุการณ์เป็นแบบนี้เพราะว่า
ย้อนกลับไปเมื่อ 5 นาทีที่แล้ว
“นี้ๆในเมื่อนายรู้จักพวกเราแล้ว ก็บอกชื่อนายมาหน่อยสิ”ดันเต้ถาม มือทั้งของข้างก็กำลังเช็ดแว่นดำน้ำของตัวเอง
“นั้นสิๆให้Iรู้อยู่คนเดียวมันไม่แฟร์เลยนะ”
“แล้วทำไมผมต้องบอกชื่อของผมให้พวกคุณรู้ด้วยละ”เหนื่อยชะมัดเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่ผมเคยพูดเลยนะเนี้ย เฮ้อ
“มารยาท....”คำๆเดียวที่ดังออกมาจากปากของกียุลนั้นมันช่างทิ่มแทงใจของผมสุดๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดแทงใจดำนั้นหรือเป็นเพราะอะไรกันแน่ แต่ผมกับรู้สึกไม่ชอบเลยจริง ว่าแล้วผมก็ส่งสายตาหงุดหงิดออกไปทันที
“........ยามาโมโตะ จุนยะ”ผมพูดพร้อมแผ่จิตสังหารอย่างเต็มที่เพราะตอนนี้ผมโกรธสุดๆ
“แล้วนายทำไมถึงมาเรียนที่นี้”กียุลถาม แต่เขากลับหันหน้ามามองผม ผมก็มองแบบไม่ยอมแพ้
เรื่องเลยกลายเป็นว่ามองกันไปมาแบบไม่มียอมแพ้ทั้งๆที่เพียงแค่คำถามเดียว แต่สำหรับผมคำถามนั้นเหมือนคำพูดดูถูกว่า นายไม่สามารถเรียนที่นี้ได้ยอมแพ้แล้วกลับไปซะ อะไรอย่างนั้นและผมไม่ต้องการให้ใครรู้ทั้งนั้น
“........”กียุลและผมต่างมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“........เฮ้อ”ในที่สุด กียุลก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ไป
“ฉันแค่ถามว่า ‘ทำไมนายถึงมาเข้าเรียนที่นี้’ทำไมไม่ตอบฉันละ”กียุลยังคงคาดคั้นคำตอบจากผมจากผมในตอนนี้
“........เรื่องของผม พวกคุณไม่จำเป็นต้องรู้”ผมตอบก่อนจะเดินหยิบกระเป๋าออกไปจากห้องเรียนโดยไม่หันหน้ามามองพวกนั้นเลย
“เป็นอะไรของเขานะ”ดันเต้ถามโดยมองไปยังแผ่นหลังของจุนยะ
“นั้นสิครับ/ขอรับ”พวกที่เหลือพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ในขณะที่ใครหลายๆคนทานข้าวกลางวันและคุยกับเพื่อนอย่างมีความสุข ก็มีบางคนที่ต้องนั่งอยู่อย่างโดดเดียว โลกมันมักจะเป็นอย่างนี้ละ สร้างมาให้มีขาวดำเพื่อความสมดุลของโลก แต่ว่านะ....สำหรับผมผมว่ามันไม่เป็นความจริงโลกนี้นะ......มันมีแต่สีดำ
หลังจากที่ผมเดินหนีเจ้าพวกนั้นมา ผมก็เดินมายังโรงอาหารทันทีที่ย่างก้าวเข้ามาที่นี้ ผมก็รีบมุ่งหน้าไปทางเคาน์เตอร์สั่งอาหารทันที
“ขนมปังเมล่อนกับนมจืด”ผมสั่งสิ่งที่ผมต้องการโดยไม่แม้จะมองใคร
“ไงเจ้าหนู เอ้านี้ของที่สั่ง...ว่าแต่กินแค่นั้นจะพอหรอ”ลุงกริมถามผมโดยที่มือก็สับหมูไปด้วย อีกข้างก็กำลังทอดกุ้งอยู่ ถึงมันจะเทพแต่ผมก็ไม่สนใจ
“ขอบคุณครับ”ผมพูดก่อนจะหยิบขนมปังกับนมและเดินจากไป
ผมรีบมุ่งหน้าไปยังดาดฟ้าทันทีโดยไม่สนใจสิ่งใด ดาดฟ้าโรงเรียนมันเพียงสถานที่เดียวที่นอกจากห้องของผมที่สามารถมาได้โดยไม่มีใครมายุ่ง ผมปิดประตูดาดฟ้าอย่างรวดเร็วก่อนที่จะพาร่างของตนเองไปยังด้านบนดานฟ้าพร้อมนอนลง โดยทิ้งขนมปังเละนมไว้ข้างตัว
เสื้อฮู้ดสีดำถูกถอดและกองไว้ข้างๆ ท้องฟ้าสีครามในฤดูร้อนนี้ช่างสดใสเสียจริง มีเมฆนิดเดียวเองแล้วก็นกนางนวล อ่า...ช่างแสนสุขใจอะไรขนาดนี้ ไม่มีผู้คนแสนจะน่ารังเกียจมาให้กวนใจ ไม่มีเสียงน่ารำคาญมาดังข้างหู ช่างแสนจะสงบสุข
‘สบายใจจัง.....’ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ใบหน้าที่นิ่งเฉยของผมมันกลับไม่เปลี่ยนไปเลย ความรู้สึกของผมมันตายด้านรวมถึงหัวใจที่ถูกโซ่สีดำที่เรียกว่าความมืดมันมัดอยู่หลายชั้นโดยมีตัวล๊อกขนาดใหญ่คล้องอยู่จนผมคิดว่ามันคงจะหยุดเต้นไปแล้ว ร่างกายของผมก็เช่นกัน มันหนาวเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งขั้วโลกเหนือและใต้ผสมกันเสียอีก
‘มันจะมีไหมนะ สถานที่ที่ทำให้ผมมีอิสระ’ความคิดของผมถึงจะคิดแบบนี้แต่ก็รู้ว่ามันไม่มีหรอกสถานที่แบบนั้น แต่ตัวผมนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘ไม่จะมีแน่หรอ’
เฮ้อ!!!
ผมถอนหายใจก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้งแต่ว่า...
“มานอนถอนหายใจอะไรตรงนี้ละ นายนะ”ผมรีบเด้งตัวผมหาต้นต่อของเสียงและมองมาด้วยสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
“มาทำอะไรที่นี้”ผมถามออกไปด้วยสีหน้าสงสัย
“ก็แค่สงสัยว่าทำไมประตูดาดฟ้าถึงปิด เลยลงไปขอกุญแจดาดฟ้ามาเปิด ตอนแรกก็คิดว่าแค่แกล้งๆกันพอมาดูกลับไม่มีใครก็เลยจะกลับแต่ได้ยินเสียงถอนหายใจของใครแถวนี้ซะก่อนเลยรู้ตัวการ”อธิบายซะยาว จะพูดตรงๆก็ได้ว่าแอบตามมาแต่เข้ามาไม่ได้เลยลงไปขอกุญแจ ไม่ต้องเก๊กเยอะ!!!
“ขี้เก๊ก...”
“มืดมน”ผมกับกียุลมองหน้ากันก่อนจะเกิดกระแสไฟฟ้าที่ช๊อดกันออกมาจากสายตาของทั้งสอง
“ไอ้แว่นสี่ตา!”ผมสวน
“ไอ้คนไร้มนุษย์สัมพันธ์”กียุลตอบกลับ
“ไอ้คนเผด็จการ!”
“ไอ้คนเก็บกด”
บลาๆๆๆๆๆ
ทั้งผมและกียุลยังคงทะเลาะกันแบบไม่มีใครยอมใคร การต่อสู้(?)ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีทีท่าจะหยุด จนกระทั้ง
“Hey!พวกyouหยุดทะเลาะกันได้แล้ว....ว่าแต่youเป็นใคร?”คริสและพวกที่เข้ามาห้ามนั้นมองมาทางผมก่อนจะถาม
“นั้นสิขอรับ คนผู้นี้คือใครหรือขอรับคุณกียุล”ฮอรัสถามกียุลที่ทำหน้านิ่งๆก่อนจะตอบพวกคริส
“.....ยามาโมโตะ จุนยะ ไง”
“หา!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”พวกคริสร้องอุทานอย่างไม่น่าเชื่อว่าคนที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นยามาโมโตะคนนั้น คนที่ใส่ฮู้ดดำทำตัวลึกลับแถมยังไม่น่าเข้าใกล้แล้วยังปล่อยไอประหลาดที่ไม่น่าเข้าใกล้ แต่ตอนนี้คนที่อยู่ตรงหน้ากลับตรงกันข้ามทั้งบุคลิก รูปร่างและท่าทางที่ดูสง่างาม นับว่าเป็นคนที่ดูเหมือนเจ้าชายอย่างไม่น่าเชื่อ
“yo…youคือยามาโมโตะ จุนยะจริงๆหรอ”คริสถามเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“......ผมไปละ”ผมไม่อยากให้ใครมามองผมไปมากกว่านี้ไงละ คิดแล้วเชียวคนพวกนั้นไม่น่าเข้าใกล้เลยสักนิด มันทำให้ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ดังใจคิด ผมเดินหนีพวกเขาอีกแล้วสินะ
“คิดจะหนีอีกแล้วสินะ นายนะ”คำพูดนั้นทำให้ผมหยุดอยู่หน้าประตูดาดฟ้า
“ผมไม่ได้หนี”ผมหยิบเอาเสื้อฮู้ดมาสวมและถือถุงใส่อาหารกลางวันเอาไว้ในมือ
“ไม่ว่าจะมองยังไง นายก็ยังหนี”
“ผมไม่ได้หนี”ผมกดเสียงให้ต่ำลงและพยายามข่มอารมณ์ตัวเองไว้
“ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่านายหนีอะไรแต่ถ้านะ”
“คนอย่างนายมันจะไปเข้าใจอะไรละ!!!!!”ผมตะโดนสวนไป
“อย่ามาทำเหมือนรู้จักผมดีไปหน่อยเลย”ผมพูดก่อนจะเดินจากไป
ผมเดินเข้ามาในห้องเรียนโดยไม่มองหน้าใครเลยสักคน จนกระทั้งพวกนั้นเดินเข้ามาในห้อง ไม่รู้สึกผิดอะไรหรอกนะเพราะมันไม่ใช่ความผิดของผม
“เอาละนักเรียน มาเริ่มเรียนกันเถอะนะ”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงแค่เสียงอาจารย์อธิบายในคาบเรียนเท่านั้น คาบบ่ายนี้เป็นวิชาประวัติศาสตร์นานาชาติ เกี่ยวกับเรื่องทวีปยุโรปกัน ถึงอาจารย์จะอธิบายวิชานี้เท่าไหร่ แต่ถ้าน้ำเสียงที่เท่ากันอย่างนี้มันก็ชวนหลับได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย และเพราะเสียงนั้นทำให้คนเกือบทั้งห้องสิ้นใจหลับไปแล้ว ซึ่งคริสโตเฟอร์ ดันเต้และอเล็กเซ่ก็เป็นหนึ่งในนั้น
“นักเรียนตรงนี้ออกสอบนะ จดเอาไว้ดีๆละ”อาจารย์ยังคงสอนต่อไปโดยสายตาจับจ้องไปบนกระดานอย่างเดียว
อาจารย์คนนี้ชื่อแดรี่ สมาทร์เป็นศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ที่จบประวัติศาสตร์โดยตรงและเป็นหนึ่งในทีมศึกษาทางประวัติศาสตร์ชั้นแนวหน้า จึงรู้สึกแปลกใจที่ศาสตราจารย์มาสอนที่นี้
ผมพยายามรวบรวมข้อมูลต่างๆและจดมันลงในสมุดพร้อมกับจดโน้ตย่อยเอาไว้เวลาสอบ พร้อมกับอ่านหนังสือไปด้วย
เวลาผ่านไปจวนจะหมดคาบเรียน ศาสตราจารย์แดรี่หันหน้ากลับมามองดูลูกศิษย์ก่อนจะสั่งงานชุดใหญ่เป็นบทลงโทษ
“นักเรียนเดียวครูจะให้ทำรายงานแบบกลุ่มนะ”
“โห่....รายงานอะไรหรอครับศาสตราจารย์”
“ก็ให้หาประวัติความเป็นมาของประเทศในทวีปยุโรปนะสิ”
“เป็นรายงานกลุ่มละกี่คนครับ”
“อืม....นั้นสินะ....อืม 6 คนละกัน”
“เฮ้ๆ มาๆอยู่กลุ่มเดียวกันสิ”มีหลายคนเริ่มมีกลุ่มละ
“เอาละถ้าใครมีกลุ่มครบแล้วให้ออกมารับหัวข้อรายงานซะนะ”และแล้วก็มีหลายกลุ่มออกไปรับหัวข้อรายงานกลุ่มและเริ่มปรึกษากันแล้ว
“Hey!จุนยะ มาอยู่กลุ่มเดียวกันสิ”เป็นคริสที่ยังคงยิ้มและเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับคำเชิญชวนให้เข้ากลุ่ม
“.....ขอบใจ”กลุ่มของพวกเราอันประกอบด้วย กียุล คริส ดันเต้ ฮอรัส อเล็กเซ่และผมถึงจะรู้สึกไม่ดีเพราะกียุล แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธที่จะเข้ากลุ่ม
“กลุ่มเธอมาเป็นกลุ่มสุดท้ายเอารายงานเรื่อง ‘ประวัติศาสตร์อังกฤษ’”
“ขอบคุณครับ ศาสตราจารย์”ผมพูดก่อนจะกลับไปนั่งที่
“OK วันนี้เลิกได้”
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ผมก็เดินไปยังห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลโดยทันทีเพราะผมต้องการให้รายงานเสร็จอย่างเร็วที่สุด
ในห้องสมุดนี้มีแต่หนังสือดีๆน่าอ่านทั้งนั้นเลย ผมรีบเดินไปยังมุมหนังสือประวัติศาสตร์นานาชาติก่อนจะหาประวัติศาสตร์อังกฤษทันที ก่อนจะรวบรวมพวกมันมาเป็นกองจำนวนไม่ต่ำกว่ายี่สิบกว่าเล่ม
หลังจากนั้นผม......
ความคิดเห็น