คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ภาค 1)นักเวทย์มือใหม่ : 9. ขนมแกล้มเหล้า
ขนมแกล้มเหล้า
“แคกๆๆ” เมื่อทุกคนเดินเข้ามาก็ต้องสำลักฝุ่นที่ทับถมกันอยู่อย่างแน่นหนา
เอลและฟรานซ์มองสำรวจไปรอบๆก็พบแต่ความมืดจากนั้นไฟสองดวงก็ส่องพรึบขึ้นมา เอลและเอวี่นั่นเองที่เป็นคนจุดไฟขึ้นมาด้วยเวทมนต์ของพวกเขา ดวงไฟส่องสว่างอยู่เหนือปลายนิ้วของทั้งสอง
เมื่อมีแสงสว่างทั้งหมดก็เริ่มออกเดินไปข้างหน้า เดินไปได้ซักพักก็เจอซุ้มประตูแปลกๆ ซุ้มประตูนี้เป็นแบบโค้ง ติดม่านที่ดูเก่าๆสีแดงมีลูปัดทองคำห้อยอยู่ตามชายผ้า ผนังรอบๆสลักสีเป็นตัวอักษรแปลกๆ
“ซุ้มประตูนี้เป็นของชนเผ่ากริฟเฟนแห่งดินแดนทางตะวันออกน่ะ” เอวี่มองดูอยู่ครู่เดียวก็หันมาเอ่ยกับทุกคนจากนั้นจึงเดินเข้าไปอย่างไวว่อง
ตอนนี้ภายในหัวของทุกคนก็มีคำถามเดียวกันลอยวนไปวนมาอยู่นั่นก็คือ ทำไมเอวี่ดูแปลกๆไป?
ทุกคนเดินเข้ามาอยู่กลางห้องจากนั้นจึงหันไปสำรวจรอบๆ ก็พบว่าเป็นห้องเก็บของนานาชนิด มีตั้งแต่ช้อนส้อมไปจนถึงแจกันดอกไม้ใบใหญ่
“โห นี่มันห้องอะไรเนี่ย ของเยอะจังเลย” นอเอลอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ นี่ในโรงเรียนมีของอย่างนี้อยู่ด้วยเหรอเนี่ย??
“นี่เป็นห้องเก็บของของแม่ทัพเผ่ากริฟเฟน” เอวี่เป็นคนตอบพร้อมกับเดินดูรอบๆห้อง
“งั้นเหรอ...เอวี่! ฉันทนไม่ไหวละ นี่เธอเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมดูแปลกๆล่ะ?” นอเอลผูกคิ้วเป็นโบว์จากนั้นจึงระเบิดออกมาเพราะทนไม่ไหวกับอาการของเอวี่ที่เริ่มแปลกไปตั้งแต่เจอประตูลับ เพียงแค่นี้มันก็ดูไม่ใช่เอวี่เกินไปจนนอเอลรับไม่ได้!!
อันที่จริงไม่ใช่แค่เอวี่หรอกที่แปลกไป ฟรานซ์สังเกตุได้ว่าเอลดูแปลกไปเหมือนกัน เพียงแต่คนอื่นมองไม่ค่อยออกเท่านั้นเอง
เอลและเอวี่คิดแบบเดียวกันคือ ที่นี่แปลกๆ เหมือนมีพลังพลังปะทุอยู่รอบๆตลอดเวลา และรู้สึกจะเป็นพลังธาตุไฟเสียด้วย
ที่นอเอลและฟรานซ์ไม่รู้สึกถึงมันเพราะว่าทั้งสองมีพลังธาตุไฟน้อยและพลังยังไม่มากพอ นอเอลนั้นเป็นธาตุไม้ ส่วนเอลนั้นเป็นธาตุดิน แล้วที่ทำไมเอลและเอวี่ถึงรู้สึกได้น่ะหรือ? ก็เพราะว่าเอลน่ะ ถึงจะเป็นธาตุลมแต่แม่เป็นธาตุไฟถึงพอรู้สึกได้ในระดับหนึ่ง
ส่วนเอวี่ก็ไม่ต้องพูดถึงเท่าที่เรารู้ๆกันอยู่เอวี่ก็มีพลังสองสายคือน้ำกับไฟ แต่เบื้องลึกเบื้องหลังที่แม้แต่เอวี่ยังรู้ไม่แน่ชัดก็คือ บรรพบุรุษฝ่ายแม่ของเธอเป็นคนของเผ่ากริฟเฟน เผ่าที่ครอบครองธารสายรุ้งและ...ทุ่งอัคคี ทั้งสองอย่างเป็นสถานที่สำคัญของเผ่ากริฟเฟนซึ่งปัจจุบันยังมีอยู่จำนวนมากในระดับหนึ่งแต่ก็มีพื้นที่ลับซึ่งไม่อนุณาตให้คนนอกเข้าโดยเด็ดขาด
เมื่อเอวี่ได้ยินนอเอลพูดดังนั้น ก็มีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ยอมตอบออกมาว่า
“ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกถึงพลังธาตุไฟแปลกๆน่ะ ส่วนที่ฉันหันมาตอบๆเดินๆแบบนี้ก็เพราะว่า ที่นี่น่ะเป็นที่ของเผ่ากริฟเฟนใช่มั้ย แล้วฉันน่ะก็มีสายเลือดของเผ่านี้อยู่น่ะเลยอ่านภาษากริฟเฟนออก” ประโยคหลังเอวี่หันมากระซิบกับนอเอลเพระารู้ว่านอเอลสงสัยเรื่องท่าทางที่ว่าตอบๆเดินๆของเธอ และเธอก็คิดว่าตอนนี้คงต้องบอกนอเอลเรื่องสายเลือดของเธอแล้วล่ะ ไม่งั้นนอเอลคงสงสัยไปอีกนาน
เมื่อนอเอลได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าตกใจ แต่พอดูออกว่าเอวี่ไม่อยากให้ใครรู้จึงเก็บอาการให้มิดชิดแล้วทำตัวเนียนๆต่อไปพลางคิดว่า ชีวิตต่อไปของเธอคงไม่ธรรมดาแล้วล่ะ กริฟเฟนเชียวนะ กริฟเฟนนน!!
เมื่อทั้งหมดเดินรอบๆได้สักพักแล้วไม่เห็นอะไรผิดปกติจึงชวนกันเดินออกไปสำรวจดูข้างนอกว่ามีทางลับอื่นอีกไหมแต่พอกำลังจะเดินออกจากประตู เอวี่ซึ่งเดินริมซ้ายสุดติดกับของประตูชะงักไปทันทีที่รู้สึกได้ถึงกระแสพลังมหาศาล จริงสิ ตอนเดินเข้ามานอเอลเดินริมนี้นี่นา
“เอวี่? เป็นอะไรเหรอ?” เมื่อเห็นเอวี่หยุดเดินนอเอลจึงหันมาถาม
“ทุกคน ตรงนี้มีทางลับ ฉันจับไอเวทได้ รีบมาดูตรงนี้เร็ว” หลังจากที่นอเอลเอ่ยปากถาม เอวี่ก็นิ่งไปนิดนึงแล้วรีบหันมาบอกทุกคน เพราะไอเวทนั้นจะมีอยู่แค่แป๊ปเดียว สักพักก็จะจางหายจึงต้องรีบตามมันไป
ทุกคนรู้เรื่องไอเวทอยู่บ้าง ที่ว่ามันจะมีอยู่แค่พักเดียว จึงรีบมารวมกันตรงร่องประตูฝั่งเอวี่
เอลบอกให้ทุกคนถอยไปก่อน เขาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าเพราะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ ตรงแถบร่องประตูมีอักขระโบราณที่แตกต่างจากตัวอื่น...มันไม่ใช่ภาษากริฟเฟน มันเป็นภาษาของชนเผ่าอรีลีน เผ่าทางตอนใต้ของเซวานเนญ่าผู้สาบสูญ ทำไมเอลรู้น่ะเหรอ? ก็เพราะตอนเด็กๆเขาสนใจเรื่องภาษาศาสตร์ของเผ่าโบราณ และภาษาอรีลีนก็เป็นหนึ่งในถาษาที่เขาเชี่ยวชาญมากที่สุด
“นี่เป็นภาษาของเผ่าอรีลีน มันบอกว่า...ทายาทแห่งเผ่าภูตสีรุ้งจะเป็นผู้ถอนคำสาปและเป็นกุญแจแห่งประตูในตำนาน...” เอลอ่านให้ทุกคนฟัง ซึ่งแต่ละคนยืนฟังเงียบๆเพราะไม่ใช่เวลาจะมาถามว่าเขารู้ได้ยังไง
เมื่อเขาอ่านจบจึงหันมาหาเอวี่ เพราะต่อจากข้อความนี้เป็นคาถากริฟเฟนเนี่ยน* ซึ่งเขาอ่านแบบคาถาไม่ออกและคาดว่าเอวี่คงจะรู้...ก็ควรจะน่ะนะ
เอวี่เลยรีบก้มลงมาดูแล้วบอกให้ทุกคนเงียบ จากนั้นจึงหลับตาลง แล้วพอเธอเปิดตาขึ้นใหม่ ดวงตาสีม่วงแสนสวยก็กลายเป็นสีเงินเรืองรอง!
ทุกคนมัวแต่ตกใจกับการเปลี่ยนแปลงของเอวี่ เมื่อได้สติอีกทีก็เป็นตอนที่เอวี่เริ่มท่องคาถาโบราณนั้นในภาษาที่ไม่มีใครฟังออก พอท่องจบก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้น แสงนั้นจ้าจนทุกคนต้องรีบปิดตาจากนั้นทั้งหมดก็หายวับไปจากที่ตรงนั้น!!
เมื่อทุกคนลืมตาขึ้น ก็พบว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในห้องเดิมแล้ว พวกเขากำลังนั่งอยู่บนใบบัวยักษ์ท่ามกลางแม่น้ำสีรุ้ง!
ตอนนี้ทุกคนปลอดภัยดีไร้รอยขีดข่วนใดๆ มีเพียงเอวี่ที่สลบไป นอเอลจึงรีบพูดว่าอาจเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงนั่นเพื่อไม่ให้ทุกคนเป็นห่วง เธอเชื่อว่า เพื่อนเธอไม่ธรรมดาแน่ๆ ดังนั้นคงไม่เป็นไรหรอก แต่ถึงคิดอย่างนั้นนอเอลก็อดเป็นห่วงเอวี่ไม่ได้ ดังนั้นภาพที่ทุกคนเห็นคือ...นอเอลกำลังปลอบทุกคนแต่ตัวเองกลับตัวสั่นหงั่กๆแล้วจับมือเอวี่เอาไว้แน่น
เมื่อฟรานซ์เห็นดังนั้นก็อดขำน้อยๆไม่ได้ เธอคนนี้ช่างแปลกเสียจริงๆ...แต่ก็น่ารักดี
“นี่ ฉันว่าเราออกเดินสำรวจเถอะ เดี๋ยวฉันจะอุ้มเอวี่ไปเอง เราเดินไปตามทางหินนี่ก็แล้วกัน" เอลพูดขึ้นพร้อมกับอุ้มเอวี่ขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขนแล้วพยักเพยิดไปทางก้อนหินที่เรียงกันเป็นทางตัดแม่น้ำ โชคดีที่ใบบัวยักษ์นี่อยู่บนหินพอดี
เมื่อทั้งหมดอยู่บนบกก็เริ่มมองสำรวจไปรอบๆ ผืนหญ้าสีเขียวขจีกว้างไกลสุดสายตา ข้างหน้าพวกเขาคือ...ปราสาทน้ำอันใหญ่โตมโหฬาร!! โอ้พระเจ้าจอร์จ! ตอนนี้อะไรก็ไม่เยี่ยมยอดเท่าไอ้ปราสาทนี่แล้วล่ะ!!
พวกเขาตาค้างมองปราสาทนี่อยู่สักพัก ตอนแรกที่ไม่เห็นก็เพราะเนินบังสินะ ตอนนี้พอเดินพ้นเนินมาจึงเห็น เมื่อทั้งหมดหายอึ้งจึงพากันเดินไปทางปราสาท เพราะถ้าไม่ไปก็ไม่รู้จะไปไหน ถึงตอนนี้พวกเขาก็เริ่มสงสัยแล้วสิว่าที่ทำมาทั้งหมดนี่เพื่ออะไร??
พอทั้งหมดเดินเข้ามาในตัวปราสาท...อืม...อย่างไม่ค่อยจะลังเลน่ะนะก็พบทางเดินทอดยาวเข้าไปจนสุดทาง ปลายทางมีบัลลังก์แก้วประดับคริสตัลอยู่ พอทั้งหมดเดินเข้าไปใกล้ขึ้นก็พบว่ามีหญิงสาวผู้งดงามราวกับภูตนั่งอยู่ เธอคนนี้สวมชุดพลิ้วไหวสีขาว ข้างในเป็นเกาะอกสีน้ำเงินเข้ากับผมและตาสีน้ำทะเลลึกลับ เมื่อทุกคนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ หญิงสาวจึงแย้มยิ้มออกมาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันไพเราะว่า
“ในที่สุด พวกเธอก็มา...ฉันและเซวานเนญ่ารอพวกเธอมานานแสนนานได้เวลาที่พวกเธอจะได้รับภารกิจของพวกเธอซะที ที่ผ่านมามันก็แค่ขนมแกล้มเหล้าเองตอนนี้สิ อาหารมื้อหลัก”
เอ๋??? ภารกิจ? ภารกิจอะไรกัน พวกเขาต้องรับรู้อะไรกัน?
ความคิดเห็น