ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมเรื่องสั้น/นิยายเก่าๆ ของ Black back

    ลำดับตอนที่ #11 : พี่ชาย/น้องสาว แต่ไม่ได้มาจากดาวดวงเดียวกัน!? ภาค 1 บทที่ 4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 153
      0
      6 ก.ค. 51


     
     “พี่นนท์คะ เรากลับบ้านได้หรือยัง?”

     นนท์เงยหน้ายุ่งๆ ขึ้นจากกองเอกสารที่พวกประธานสีแต่ละสีส่งรายงานมาให้พิจารณา เขาต้องสรุปและส่งให้ผู้ช่วยผู้อำนวยการพรุ่งนี้แล้ว พวกคณะกรรมการคนอื่นๆ ทั้งหญิงและชายอีกหลายคนในห้อง ต่างมองตรงมา และซุบซิบกันอย่างสงสัย

     เขาทนสายตาแบบนี้จากคนรอบข้างไม่ได้! นนท์พูดตัดบท

    “งานยังไม่เสร็จ เธอออกไปรอข้างนอกก่อน”

     “แต่หนู..”

     “ยี ที่พี่พูดฟังไม่รู้เรื่องหรือไง ถ้าอยากรีบกลับนักก็กลับเองสิ ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะ จะได้กลับบ้านเองไม่เป็น!”

     ดุไปด้วยเสียงหนักๆ นนท์เห็นใบหน้าของน้องสาวแต่ในนาม จวนเจียนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ นัยน์ตากลมโตใสซื่อมองเขาแวบหนึ่ง แล้วหุนหันออกไป

    น่าสงสารอยู่เหมือนกัน แต่อยากยุ่งวุ่นวายเองนี่ งานเราก็เยอะจะตาย แกล้งให้รอเสียให้เข็ด ช่วยไม่ได้นะ อยากมาเป็นน้องฉันทำไม!

     “ประธานๆ เด็กผู้หญิงคนเมื่อกี้นี้ใครกัน?”

     เพื่อนกรรมการชายคนหนึ่ง เลื่อนเก้าอี้เข้ามาถามอย่างสนใจ

     แม้งานแต่งงานของพ่อเขาจะประโคมข่าวเสียใหญ่โต แต่แทบไม่มีใครในโรงเรียนรู้เลย ว่านนท์ได้หนูยีมาเป็นน้องสาวต่างพ่อต่างแม่ เพราะสำนักข่าวให้ความสนใจกับรัฐมนตรีและภรรยาเสียมากกว่า

     “จะรู้ไปทำไม งานตัวเองน่ะ เสร็จหรือยัง?!”

     นนท์กล่าวแช่มช้าแต่แฝงความดุ เพื่อนกรรมการทำคอย่น แล้วเลื่อนเก้าอี้กลับไปที่เดิม

     เวลาทำงาน ประธานคนนี้จะเข้มงวดจริงจังมาก เป็นที่รู้กันของเหล่านักเรียน แต่ก็ยังไม่วายที่พวกปากหอยปากปูในห้องคณะกรรมการนักเรียน จะแอบซุบซิบกันใหญ่ ต่างเดากันไปต่างๆ นาๆ สาวน้อยหน้าตาน่ารักคนเมื่อสักครู่ ต้องเป็นกิ๊กใหม่แน่ๆ แต่ทำไม คราวนี้พ่อเพลย์บอยตัวเอ้ ถึงได้เปลี่ยนรสนิยมมาชอบเด็กใสๆ แทนก็ไม่รู้นะ เพราะปกติเห็นแต่ควงสาวเซ็กซี่หุ่นนางแบบทั้งนั้น!

     กว่านนท์จะมอบหมายงานให้คณะกรรมการนักเรียนเสร็จ เวลาก็ปาเข้าไปหกโมงเย็นแล้ว เขาออกมายืนนอกตึก กวาดตามองไม่เห็นนักเรียนสักคน นอกจากนักการภารโรง พานคิดว่ายีคงกลับบ้านไปก่อนแล้ว เลยเดินออกจากโรงเรียน ขึ้นไปบนสถานีรถไฟลอยฟ้า รอสักพัก ขบวนรถสีน้ำเงินขาวยาว 3 โบกี้ก็แล่นเข้ามาเทียบชานชาลา ประตูเปิดออก ข้างในรถไฟฟ้าค่อนข้างแน่น ส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัท กับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ส่วนนักเรียนนักศึกษามีไม่ค่อยเยอะ

     แต่มีนิสิตชายอยู่คนหนึ่ง ที่ทำให้นนท์เพ่งความสนใจ เขาแต่งตัวเซอร์ๆ ถือม้วนกระดาษออกแบบ นนท์ทราบได้ทันที ว่านิสิตคนนี้ต้องเรียนคณะสถาปัตยกรรมแน่ๆ   

     เด็กหนุ่มแอบลอบมองเขาอย่างชื่นชม หัวใจเขาเรียกร้องอยู่ตลอดเวลา ที่ต้องการเรียนคณะนี้ แต่พอคิดถึงใบหน้าพ่อ นนท์ก็ถอนใจและปลงตก มีเพียงคณะนิติศาสตร์ หรือไม่ก็รัฐศาสตร์เท่านั้นที่พ่ออนุญาต ด้วยเหตุผลง่ายๆ เขาต้องเจริญรอยตามพ่อ เป็นนักการเมืองยิ่งใหญ่เหมือนพ่อเท่านั้น!

     แสงอาทิตย์อัสดงหายไปจากปลายฟ้า แล้วแสงเดือนแสงดารา และแสงประดิษฐ์จากมือมนุษย์เข้ามาแทนที่ เมื่อนนท์ถอดรองเท้าไว้ตรงเฉลียงเสร็จแล้ว ก็เห็นคุณแม่คนใหม่ออกมาต้อนรับ

     “สวัสดีจ้ะนนท์ กลับค่ำจังนะ”

     เขาไหว้พอเป็นพิธี พร้อมกับคิดว่า เดี๋ยวนี้ทำตัวเหมือนอยู่บ้านตัวเองเลยนะ อีกหน่อยก็คงได้เป็นคุณหญิงสมใจปรารถนาละ!..

     “น้าเตรียมอาหารไว้แล้วนะ วันนี้น้าลงมือทำเอง อยากให้นนท์ได้ลองชิม”

     ยังดีที่ไม่เรียกตัวเองว่าแม่..

     “แล้วพ่อผมล่ะ?”

     “ยังไม่กลับจ้ะ เห็นว่าติดประชุมที่กระทรวง”

     นนท์พยักหน้า แล้วไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เตรียมจะผละไปห้องของตัวเอง แต่แล้วก็ต้องชะงักเท้า เมื่อเห็นน้าวิชุดาหันซ้ายหันขวา และถามขึ้นว่า

     “แล้วหนูยีอยู่ไหนล่ะนนท์?”

     เขาขมวดคิ้ว ก่อนจะหันกลับมา

     “ยีก็กลับมาก่อนหน้าผมแล้วนี่ครับ คุณน้าไม่เจอเธองั้นหรือ?”

     “เอ.. ไม่นี่ น้าก็อยู่บ้านทั้งวัน ถ้ากลับมาแล้ว น้าก็ต้องเห็นสิ”

     น้ำเสียงของน้าวิชุดาเริ่มเจือความกังวล นนท์เองก็ชักเป็นห่วงขึ้นมา แล้วกล่าวกับแม่เลี้ยงว่า

     “ผมบอกให้เธอกลับไปก่อน เพราะผมติดงานที่โรงเรียน นั่นก็สองชั่วโมงมาแล้ว”

     “นนท์! เธอไม่น่าปล่อยให้น้องกลับมาเองนะ ที่นี่บ้านใหม่ หนูยีจำทางไม่ได้หรอก ขนาดบ้านเดิม กว่าหนูยีจะขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนเองได้ น้าก็ต้องสอนแทบแย่!”

     วิชุดาตำหนิเขา หล่อนกระวนกระวาย แวบหนึ่งทำให้เด็กหนุ่มนึกถึงแม่ขึ้นมา

    บ้าเอ๊ย!!

     “คุณน้ารออยู่ที่บ้านนะครับ เดี๋ยวผมออกไปตามเอง แต่ถ้าหนูยีกลับมาก็โทร.บอกผมด้วย”

     นนท์พูดอย่างเร็ว คว้ารองเท้ามาสวม แล้วรีบออกจากบ้านไปอย่างร้อนรน

     บ้าที่สุด! เมื่อเช้าก็คิดอยู่แล้วว่ายัยเด็กนี่เซ่อ! แต่ไม่นึกว่านอกจากเซ่อแล้วยังดันทุรังอีกต่างหาก!

     เด็กหนุ่มเร่งสาวเท้าไปทางหน้าปากซอย ซึ่งห่างจากบ้านไปประมาณสี่ร้อยเมตร คิดว่าจะลองตามหาตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าไปจนถึงโรงเรียน และถ้ายังหาไม่เจอ ก็คงต้องหาดูตามสถานีอื่นๆ นอกเส้นทาง

     แต่ทว่า เมื่อนนท์กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาถึงปากซอย ภายใต้แสงไฟจากเสาไฟฟ้า ก็เห็นเด็กนักเรียนหญิงโรงเรียนเดียวกับเขา เดินกะปลกกะเปลี้ยตรงมา พอเห็นอย่างนั้น เขาก็โผเข้าไปจับไหล่เด็กสาวไว้ทั้งสองข้าง พร้อมกับตวาดไปว่า

     “หนูยี! หายไปไหนมา ทำไมถึงกลับเอาป่านนี้ รู้มั้ยว่าทุกคนเป็นห่วงเธอจะแย่แล้ว!”

     หนูยีผงะตกกะใจ พอเห็นว่าเป็นนนท์ เธอก็หน้าซีด พูดอย่างอ่อนระโหยโรยแรง

     “นะ หนูเผลอหลับไป รู้ตัวอีกทีก็ไปสุดสายแล้ว หนูจำทางกลับไม่ได้ ก็เลยลองไล่ลงทุกสถานีดู..”

     แม้จะขุ่นเคือง แต่อีกใจก็โล่งอก ที่เธอไม่ได้เป็นอะไร และกลับมาได้อย่างปลอดภัย

     “ถ้ารู้ว่าตัวเองจำทางยังไม่แม่น ทำไมไม่รอกลับพร้อมพี่ ดันทุรังกลับมาเองทำไมกัน?”

     พอถูกต่อว่า สาวน้อยกะพริบตาถี่ๆ พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

     “กะ ก็พี่บอกว่า ถ้ารีบก็ให้กลับเอง นะ ยีรีบกลับไปทำอาหารเย็นกับแม่ ก็เลย..”

     นนท์ถึงกับกุมขมับตัวเอง มองเด็กสาวตัวเล็ก ที่ยืนบิดมือไปมา

     ตกลงนี่เราผิดเองอย่างนั้นเรอะ? ไม่ใช่น่า.. ยัยเด็กนี่มันซื่อบื้อเองต่างหาก!

     “ต่อไปนี้ ไม่ว่าจะไปโรงเรียนหรือจะกลับบ้าน เธอต้องกลับกับพี่ทุกครั้ง ห้ามเถลไถลไปไหนคนเดียวเด็ดขาด เข้าใจมั้ย!?”

     “ขะ เข้าใจค่ะ..”

     หนูยีรับคำเสียงพร่า ริมฝีปากสั่นระริก แล้วก้มหน้านิ่ง มือข้างหนึ่งปาดน้ำตา

     “เอ้าๆ ร้องเข้าไป โดนดุนิดหน่อยก็ร้อง บ่อน้ำตาตื้นจริง”

     นนท์บ่น อ่อนอกอ่อนใจเป็นที่สุด มีน้องสาวแบบนี้ ส่วนหนูยีพอถูกต่อว่า ก็ยิ่งสะอึกสะอื้นหนักเข้าไปอีก

     แม่เด็กขี้แยเอ๊ย!.. จะต้องให้ฉันปลอบหรือไง?

     “พอๆ เลิกร้องได้แล้ว เอานี่เช็ดน้ำตาซะ แล้วกลับบ้านกับพี่เดี๋ยวนี้!”

     เด็กหนุ่มยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เช็ดน้ำตา สาวน้อยกลั้นเสียงสะอื้น แต่ไหล่ยังไหวต่ออีกเล็กน้อย แล้วนัยน์ตากลมโตที่มีแต่น้ำตาคลอก็มองจ้องมาแป๋วแหว หัวใจของนนท์ไหววูบไปแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบฉวยมือเล็กๆ พาจูงกลับบ้านอย่างหงุดหงิด หนูยีเดินตามร่างสูงไปต้อยๆ

     


     ปึง!

     “เจ้านนท์ วันนี้แกปล่อยให้น้องกลับบ้านคนเดียวใช่ไหม แล้วถ้าเกิดน้องเป็นอะไรขึ้นมา แกจะรับผิดชอบไหวมั้ย!!”

     เสียงตบโต๊ะพร้อมกับเสียงตวาดตามมา คุณนิพนธ์โมโหลูกชายตัวดีเป็นที่สุด นนท์ยืนสงบนิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ในห้องใหญ่ห้องหนึ่งของบ้าน ด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน ซึ่งทำให้พ่อของเขายิ่งโกรธหนักมากขึ้นไปอีก   

     “ฉันอุตส่าห์สั่งไว้แล้ว แกยังกล้าทำอย่างนี้อีก ดีแต่เอากิจกรรมที่โรงเรียนมาอ้าง ถ้างานมันเยอะนัก แกก็ลาออกจากประธานนักเรียนเสียเลยสิ!”

     “พ่อ!”

     “เงียบ! กับแค่รับผิดชอบน้องคนเดียว แกยังทำไม่ได้ แล้วไอ้เรื่องที่แกทำตัวเป็นเพลย์บอย ผลาญเงินฉันไปปรนเปรอพวกสาวๆ อีกล่ะ อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะ ดีแต่หาเรื่องให้ฉันเสียหน้า แกยังเห็นพ่อคนนี้อยู่ในสายตาบ้างมั้ย!”

     นิพนธ์จ้องหน้าลูกชายถมึงทึง นนท์หลบสายตา

     “แล้วไหนจะคุณวิชุดากับหนูยีอีก ฉันรู้นะว่าแกไม่ชอบพวกเธอ แต่แกก็ควรยอมรับ เธอเป็นแม่เลี้ยงของแกแล้ว และหนูยีก็เป็นน้องสาว นนท์ แกจะรู้จักหัดทำดีกับ”

     “พ่อครับ” เด็กหนุ่มพูดโพล่ง “เรื่องลาออกผมคงทำไม่ได้หรอกครับ แต่เรื่องน้อง เอ่อ ผมรับปากว่าต่อไปจะดูแลอย่างดี จะไม่ให้เกิดเรื่องอย่างนี้อีก และจะทำดีกับคุณน้าวิชุดามากขึ้น พ่อพอใจหรือยัง?”

     พ่อของเขากอดอก พยักหน้าเล็กน้อย

     “ดี แกรับปากแล้วนะ ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น โดยเฉพาะแกเป็นลูกชายรัฐมนตรีด้วยแล้ว ยิ่งตระบัดสัตย์ไม่ได้”

     “ครับ..”

     “งั้นไปอ่านหนังสือหนังหาได้แล้ว ปีหน้าแกต้องเอ็นฯคณะที่ฉันเลือกไว้ให้ได้ เพื่ออนาคตของแกเอง”

    เขาขบกรามแน่น

    อนาคตที่เขาไม่ได้เลือก!

    อนาคตที่ไม่อยากใฝ่หา! 

    นนท์คิดอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะถอยออกไปจากห้อง

     หน้าห้อง เด็กหนุ่มเห็นวิชุดากับลูกสาวยืนรออยู่ หล่อนจับไหล่หนูยีไว้ สีหน้าเป็นกังวล

     นี่ก็อีก แม่ที่เขาไม่อยากได้!

     “พี่คะ”

     ยีทำท่าอยากจะกล่าวอะไรกับเขา แต่หยุดปากไว้

    และก็น้องสาวที่ดีแต่วุ่นวาย!

     นนท์มองหนูยี ด้วยแววตาที่วาวโรจน์ เจ้าตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาถูกพ่อต่อว่าอย่างรุนแรง ถ้าไม่มียัยนี่สักคนแล้ว ความรักของพ่อก็คงไม่ถูกแบ่งสันปันส่วนไปหรอก!

     


     เสียงเปียโนของบีโธเฟ่น ขับกล่อมบรรเลง ด้วยเสียงที่ออกมาตามปลายนิ้วที่พรมลงไปบนคีย์ทั้งขาวและดำ สอดประสานถักทอเป็นท่วงทำนองอันไพเราะ ราวกับผืนผ้าไหมนุ่มที่สะบัดพลิ้วปลิวไปในอากาศ แล้วค่อยๆ หล่นลงสัมผัสสายธาร และไหลเอื่อยระเรื่อยล่องลัดเลาะลงสู่ทะเลกว้างไร้ขอบเขต นนท์หลับตาจินตนาการถึงนักดนตรีเอกของโลก ที่กำลังบรรเลงบทเพลงอันงดงามบนแกรนด์เปียโน ในฮอลล์ใหญ่ที่มีแต่เขาเป็นผู้ฟัง โลกที่มีเพียงแต่เขากับบีโธเฟ่น..

     เสียงเคาะประตูทำลายจินตภาพ เด็กหนุ่มดันตัวขึ้นจากเตียง หยิบรีโมตกดปุ่มหยุดเล่นเพลงจากแผ่นซีดี

     “พี่นนท์คะ ยีเองค่ะ ขอเข้าไปหน่อยได้ไหมคะ?”

     เขาขมวดคิ้ว แล้วค่อยคลายออก แล้วบอกอนุญาตให้เธอเข้ามา

     พอประตูเปิดออก ก็เผยให้เห็นสาวน้อยหน้าหวานในชุดปาจามาบาง ผมปล่อยสยายฟูฟ่องหยิกนิดๆ เดินตัวลีบเข้ามา แล้วมายืนกุมมือตัวเองไว้ข้างหน้า พลางทำไหล่ห่อ สีหน้าหวาดๆ

     “มีอะไร ดึกป่านนี้ทำไมยังไม่เข้านอน?”

     นนท์ถามเสียงดุๆ หนูยีหลับตาลง หายใจเข้าลึกๆ พอลืมตาแล้วก็พูดว่า

    “คือยีมาขอโทษพี่ค่ะ เรื่องเมื่อเย็นนี้”

     “ขอโทษ?.. คุณน้าบอกให้เธอมาหรือเปล่า?”

    เด็กสาวสั่นหน้า แล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย

     “ยีมาเองค่ะ คุณแม่ไม่ได้บอกให้มา หนูเสียใจที่ทำให้พี่นนท์ต้องลำบาก หนูไม่ได้ตั้งใจ”

     แล้วน้องสาวของเขาก็เงยหน้า

     “พี่นนท์ยกโทษให้หนูยีนะคะ หนูยีสัญญา ต่อไปนี้ หนูจะอยู่รอพี่นนท์ ไม่ว่าพี่นนท์จะกลับเย็นแค่ไหน และก็จะไม่ไปไหนกับเพื่อนๆ หลังเลิกเรียนด้วย อยู่ที่โรงเรียน หนูยีก็จะไม่กวนพี่ จะอยู่เงียบๆ แล้วก็ไม่ให้ใครรู้ว่าเราเป็นพี่น้องกัน แต่ขออย่างเดียว พี่อย่าโกรธหนูยีเลยน้า ยกโทษให้หนูเถอะค่ะ”

     นนท์ถึงกับอึ้งไป นี่เธอจริงจังถึงขนาดนี้เลยหรือ? สำหรับหนูยีที่ปกติเป็นเด็กสาวแสนจะขี้ขลาด และออกจะขี้แยแล้ว เขาเข้าใจดี การที่เธอมาขอโทษด้วยตัวเองแบบนี้ คงต้องใช้ความกล้าหาญเป็นอย่างมากเลย

    ที่จริง หลังจากได้ฟังเพลงอยู่คนเดียวเงียบๆ แล้วก็เกิดสำนึกขึ้นมาได้ เมื่อเย็นเขาเองก็มีส่วนผิดเช่นกัน ถ้าหากได้พูดกับหนูยีดีๆ บอกให้เธอคอย แทนที่จะกล่าวอย่างผลักไสไล่ส่ง เรื่องมันก็คงไม่เป็นอย่างนี้

     ใบหน้าขาวนวลเนียนจิ้มลิ้มจวนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ยืนบีบมือไปมา ไม่กล้าสบตาด้วย นนท์ถอนหายใจก่อนจะขยับลุกขึ้น

    ถ้าเขายังโกรธขึงเธออยู่ มันก็ออกจะเกินไปแล้ว!

     


     เช้าวันใหม่ หนูยีสดชื่นร่าเริง ปล่อยให้พี่นนท์จับมือจูงขึ้นรถไฟฟ้า สาวน้อยแหงนมองใบหน้าด้านข้างแสนจะดูดีของเขาแล้ว แม้จะไม่มีรอยยิ้มประดับแต้ม แต่มันก็ไม่บึ้งตึงเหมือนเมื่อวาน

     พี่เค้ายกโทษให้หนูยีแล้ว คิดถูกจริงๆ ที่ทำใจกล้าไปขอโทษพี่เค้าก่อน ^_____^

     หนูยีอมยิ้มอย่างมีความสุข เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน พี่นนท์ลุกขึ้น แล้วขยับมายืนตรงหน้า มือหนึ่งเลื่อนมาบีบไหล่เธอเบาๆ ยีสะดุ้งเล็กน้อย พี่นนท์พูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างอ่อนโยน จนเกือบเหมือนเมื่อวันที่พบกันเป็นครั้งแรก

     “ไม่ใช่ความผิดของหนูยีหรอก พี่เองต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องขอโทษ พี่เป็นพี่ แต่กลับดูแลน้องไม่ดี แถมยังพูดจาไม่ดีกับน้องไป”

     นัยน์ตาหนูยีเริ่มแสบเคือง เธอกะพริบตาทำนบกั้นไว้

     “เอาเถอะ ตอนอยู่ที่โรงเรียน น้องก็ทำตัวตามปกติเหมือนเดิมน่ะดีแล้ว ขอแค่ตอนเย็นให้อยู่รอกลับพร้อมพี่ก็พอ แล้วพี่เองก็จะพยายามเคลียร์งานให้เสร็จไวๆ พี่สัญญานะ”

     แล้วนนท์ก็ยื่นนิ้วก้อยมาให้หนูยีเกี่ยว สองนิ้วรัดรึง สาวน้อยแย้มยิ้มยินดี ทั้งๆ ที่น้ำตายังคลอเบ้า

     ความสัมพันธ์คืบหน้ากว่าเดิม ชักมีหวังแล้วแฮะ อย่างน้อย พี่นนท์ก็เริ่มเรียกหนูยีว่าน้องแล้วละ ^ ^

     “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นั่นแหละ คิดอะไรอยู่น่ะ จะถึงโรงเรียนแล้วนะ”

     พี่นนท์ก้มหน้ามา หนูยีหน้าแดงเรื่อขึ้นมา

     “ก็นิดหน่อยค่ะพี่ เอ่อ วันนี้พี่นนท์อยู่เย็นอีกหรือเปล่าคะ?”

     สีหน้าพี่นนท์ชะงักนิดหนึ่ง แล้วค่อยสั่นศีรษะ

     “ไม่นะ พี่เร่งงานจนเสร็จไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้กลับเร็วได้”

     แล้วเด็กหนุ่มก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ นัยน์ตาคู่คมสวยหันมาสบ

     “จริงสิ เพราะหนูยีไม่มีโทรศัพท์มือถือติดตัวสักเครื่องเลย เมื่อวานหนูยีเลยต้องลำบาก ทำให้เราติดต่อกันไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้พี่จะพาน้องไปหาซื้อมือถือดีๆ ให้ก็แล้วกัน”

     ดวงตากลมโตเป็นประกายวิบวับอย่างดีใจ จนอยากจะโผเข้ากอดให้สมรัก เสียดายแต่เธอกับพี่ยังไม่สนิทกันถึงขั้นนั้น ไม่อย่างนั้นคงทำไปแล้ว สาวน้อยรีบกล่าวขอบคุณพี่นนท์ใหญ่ และคอยเฝ้ารอให้ถึงเวลาเลิกเรียนไวไว

     มีพี่ชายก็ดีอย่างนี้นี่เองเนาะ ^____^

     


     “จริงเรอะเจ้ายี ที่พี่นนท์จะพาเธอไปเดตด้วยเย็นนี้?!”

     เดชกระเถิบเข้ามาสอบถาม หลังจากหนูยีเล่าเรื่องราวการผจญภัยเล็กๆ เมื่อวาน และจบลงที่พี่นนท์จะพาเธอไปซื้อโทรศัพท์ให้ ขณะนี้พวกเขากำลังเรียนวิชาเกษตรกันอยู่ที่แปลงดอกไม้ขนาดใหญ่ ในโดมพลาสติกใส

     “ไม่ใช่เดต แค่แวะซื้อของเฉยๆ”

     หนูยีแก้ พลางเอาต้นอ่อนของกุหลาบใส่ลงในหลุม

     “แต่ก็ต้องไปซื้อที่ห้างไม่ใช่เหรอ ถ้างั้นเธอก็ถือโอกาสนี้ ชวนพี่เค้าเที่ยวต่อเลยสิ”

     จอยบอก ขณะปักเสียมลงกับดิน และปาดเหงื่อ

    หนูยีหน้าแดง

    “ไม่เอาอะ แค่ได้ไปกับพี่เค้าสองต่อสอง ถึงจะแป๊บเดียว ยีก็พอใจแล้วละ”

    “ไม่ได้ๆ”

    เบลทักท้วง เด็กสาวตัวสูงวางกระป๋องน้ำฝักบัวลง น้ำกระฉอกออกมาเล็กน้อย

    “อุตส่าห์ได้ไปไหนมาไหนกับพี่นนท์ทั้งที หนูยีจะมัวแต่เขินอายอยู่ไม่ได้ ลุยใส่เข้าไปเลย ระวังเหอะ เดี๋ยวไม่ยัยโยโกะ หรือไม่ก็ยัยครีมมี่จะคว้าเอาไปซะก่อน”

    “เบลพูดถูกนะ” เดชพยักหน้า “พี่ชายยีออกจะป๊อบปูล่าซะขนาดนั้น ยีน่ะได้เปรียบอยู่แล้วที่เป็นน้อง เธอต้องคอยกันพี่เธอ ให้พ้นจากยัยพวกนั้น เข้าใจมะ?”

    ก็เข้าใจอะนะ แต่หนูยีไม่กล้าพอนี่.. T.T

    “แต่.. แต่ตอนนี้เราเป็นพี่น้องกันแล้วนะ ยีจะไปจีบพี่เค้าได้ไง?”

    เพื่อนๆ มองหนูยี เบลพูดอย่างให้กำลังใจ

    “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ หนูยีกับพี่นนท์ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดซักหน่อย คนละพ่อคนละแม่แท้ๆ อย่าให้ความเป็น ‘พี่น้อง’ มาเป็นตัวคอยขวางกั้นความรักไปเสียสิ ความรักของหนูยีที่มี พวกเราก็รู้ๆ กันดี มันทั้งบริสุทธิ์จริงใจ คนดีๆ อย่างหนูยี เหมาะที่จะเป็นแฟนกับพี่นนท์ที่สุดแล้ว”

     

     เลิกเรียนคาบสุดท้าย หนูยีก็สะพายกระเป๋าเป้ ตรงดิ่งไปหาพี่นนท์ โดยมีเพื่อนๆ แก๊งน้ำแข็งใสร่วมเดินไปส่งด้วย ขณะใกล้จะถึงหน้าห้องเรียนเด็กม.6 พวกเขาก็ได้ยินเสียงแสบแก้วหูของผู้หญิงดังออกมา

     “ก็ไหนว่าเย็นนี้พี่นนท์ว่าง ไม่มีงานโรงเรียนไง แล้วทำไมถึงไปกับครีมไม่ได้ล่ะ?!”

     แก๊งน้ำแข็งใสมองหน้ากัน แล้วก็ได้ยินเสียงพี่นนท์

     “คือวันนี้พี่ติดธุระสำคัญจริงๆ นะ พี่ต้องขอโทษน้องครีมด้วย พี่เองก็เสียใจมากๆ เลยที่ไม่ได้พาน้องครีมเที่ยว เฮ้อ.. อุตส่าห์มีเวลาว่างทั้งที แทนที่จะได้ไปเที่ยวกับคนสวยน่ารักๆ อย่างน้องครีม แต่ดันมีธุระด่วนเข้ามาเสียก่อน จนใจที่ไม่ไปก็ไม่ได้..”

     “จริงเหรอคะ พี่เสียดายที่ไม่ได้ไปกับครีมเหรอคะ แหม!”

     เสียงสาวสวยม.5 อ่อนลง และเสียงที่กระตือรือร้นของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้น

    “ใช่สิจ๊ะ ถ้าอย่างนั้น ไว้วันเสาร์นี้พี่ขอแก้ตัว จะพาน้องครีมไปเดตทั้งวัน ไม่ว่าครีมอยากไปไหน อยากได้อะไร พี่นนท์จะตามใจน้องครีมทุกอย่างเลย ดังนั้น วันนี้อย่าโกรธพี่เลย นะจ๊ะๆ”

     เสียงที่ทั้งหวานและอ้อนสุดๆ อย่างที่พี่นนท์ไม่เคยพูดแบบนี้กับยีเลยสักครั้ง ทำให้สาวน้อยเศร้าไปถนัดใจ   

     แล้วแก๊งน้ำแข็งใสก็เห็นครีม สาวหน้าใส (แต่ไร้สติ) เดินออกมา เมื่อได้เห็นใกล้ๆ หนูยีก็หนักใจ

     เธอสวยจริงๆ ให้ตายสิ! สมแล้วที่ได้เล่นมิวสิควีดีโอ ครีมดูน่ารักใสๆ บอบบาง อย่างที่ผู้ชายทุกคนอยากปกป้อง ซึ่งต่างกับโยโกะ ที่ออกไปทางเซ็กซี่แบบนางแบบเสียมากกว่า..

     ครีมเดินเฉียดมาเห็นพวกหนูยี ซึ่งกำลังยิ้มให้ เพราะเพิ่งได้มีโอกาสเห็นดาราใกล้ๆ แต่เธอกลับทำหน้าเชิดหยิ่งๆ ไม่ยอมเหลือบแลแม้แต่หางตา เดินสะบัดก้นไป เล่นเอาพวกแก๊งน้ำแข็งใสอ้าปากหวอ และฉุนกันไปตามๆ กัน

     ยัยนี่มันสวยใสแต่เปลือกแท้ๆ!

     “อ้าวมาตั้งแต่เมื่อไหร่หนูยี แล้วนี่พวกเพื่อนๆ น้องก็จะไปด้วยเหรอ?”

     เสียงจากทางข้างหลัง พอหันไปก็เห็นพี่ชายยืนมองอยู่ ด้วยใบหน้าเคร่งขรึมตามปกติ

     หล่อจัง.. เอ๊ยไม่ใช่! >.<

     “สวัสดีค่ะพี่นนท์ พวกเราแค่พาหนูยีมาส่งให้พี่ค่ะ เสร็จแล้วพวกเราก็จะกลับกันแล้วละ”

     “เบล จอย เดช พวกเธอก็ไปด้วยกันสิ ไปหลายๆ คนสนุกดีออก แล้วพี่จะได้เลี้ยงไอศกรีมด้วย”

     “อย่าเลยครับพี่นนท์ พวกเราจะรีบกลับบ้านกัน พี่ไปกับยีสองคนเถอะ”

     “นี่เพื่อนๆ..” หนูยีทำหน้าอ้อนวอน แต่เบลดึงเธอออกมากระซิบบอก

     “เอาน่ะๆ พวกฉันไม่อยู่เป็นกขค.ของเธอหรอกนะ เที่ยวให้สนุกก็แล้วกัน”

     แล้วพวกแก๊งน้ำแข็งใสก็รีบบอกลาโบกมือบ๊ายบาย แล้วปล่อยให้พี่กับน้องยืนอีหลักอีเหลื่อกันสองคน

     “เอาละ พวกเราก็ไปกันบ้าง พี่จะพาไปห้างแถวๆ นี้ ขึ้นรถไฟฟ้าไปสองสถานีก็ถึง”

     เขาบอกเสร็จสรรพก็ก้าวยาวๆ เดินนำไป หนูยีเร่งฝีเท้าเพื่อจะตามให้ทัน จนหนูยีเริ่มเหนื่อยแล้วนั่นแหละ

     โอ๊ยเหนื่อย พี่เดินเร็วจัง +.+!

     “รอหนูด้วยค่ะ ยีตามไม่ทัน”

     นนท์ชะลอ มาเดินข้างๆ

     “โทษที พี่ขายาว ลืมไป”

     หนูยีอึกอัก

    “พี่โกรธหนูหรือเปล่าคะ ที่วันนี้ไม่ได้ไปกับพี่ครีม?”

     นนท์ทำหน้าประหลาดใจ

     “รู้ด้วยหรือที่ครีมมาชวน.. ไม่ร้อก ไม่ได้โกรธ อีกอย่าง พี่รับปากพ่อไว้แล้ว ว่าจะดูแลไปรับไปส่งน้องทุกวัน พี่ไม่อยากขัดคำสั่ง”

     พี่ทำดีกับยี ก็เพราะพ่อสั่งเท่านั้นหรือนี่..

    คิดๆ แล้วทำให้สาวน้อยลังเลใจ ก่อนจะพูดว่า

     “ไว้ถ้ายีจำทางกลับบ้านเองได้แล้ว หนูกลับคนเดียวก็ได้ พี่นนท์จะได้ไปไหนมาไหนกับเพื่อนๆ ได้”

     ใจจริงก็ไม่อยากพูดแบบนี้ อยากกลับบ้านกับพี่นนท์ทุกวัน แต่ก็ไม่อยากให้พี่เห็นว่าเธอเป็นภาระ

     ยีลอบมองอย่างหวาดหวั่น พี่นนท์ทำหน้านิ่งๆ แล้วค่อยบอกกับเธอว่า

     “ถ้าเป็นอย่านั้นได้ก็ดี แต่ช่วงนี้หนูยีต้องกลับกับพี่ไปก่อน จนกว่าพี่จะมั่นใจแล้วค่อยปล่อยให้กลับเอง”

     เสียใจหน่อยๆ แต่อย่างน้อยก็ได้ติดอยู่กับพี่สักพักแหละ ^.^

     


     “ตกลงเอาเครื่องนี้นะ พี่ก็ว่ามันเล็กกะทัดรัดเหมาะกับมือเล็กๆ ของน้องดี”

     พี่นนท์แนะนำ หลังจากเลือกโทรศัพท์มือถือหลายรุ่นหลายขนาด ที่เรียงรายกันเป็นตับอยู่ในตู้กระจกหน้าร้านใหญ่แห่งหนึ่ง ภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ที่พวกไฮโซมาเดินช็อปปิ้งกันบ่อยๆ

     “ก็สวยดีค่ะ แต่เอ่อ..มันไม่แพงไปหน่อยเหรอคะ?”

     หนูยีเม้มปาก แม้เป็นรุ่นที่ถูกใจอยากได้ก็จริง แต่ราคาที่เฉียดสองหมื่น เธอก็ว่ามันเกินเหตุไปหน่อย

     “เครื่องยี่ห้อนี้สวยทีเดียว รุ่นใหม่ล่าสุด ออฟชั่นก็เยอะ ทั้งถ่ายรูปได้ ฟังเพลงก็ได้ คุณภาพสมราคาแล้ว ไม่แพงไปหรอก”

     “แต่ยีเกรงใจพี่จัง หนูเอาถูกๆ ก็ได้ แค่โทรเข้าโทรออกอย่างเดียว อย่างอื่นหนูใช้ไม่เป็นหรอกค่ะ”

     นนท์ขมวดคิ้ว พิศดูโทรศัพท์มือถือสีขาวบางเฉียบ แล้วยื่นให้พนักงานขายพร้อมกับบัตรเครดิต พลางพูดกับยี

     “ได้ยังไง หนูยีเป็นถึงลูกสาวรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เป็นน้องสาวพี่ จะให้ใช้รุ่นถูกๆ ไม่ได้”

    สาวน้อยกลืนน้ำลาย รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวยังไงพิกล กับฐานะของเธอในตอนนี้

    เมื่อพนักงานจัดการเปิดเบอร์ให้เรียบร้อยแล้ว พี่นนท์ก็เม็มเบอร์ไว้เครื่องของเขา แล้วพาหนูยีไปนั่งที่ร้านคาเฟ่สุดหรูแห่งหนึ่ง ซึ่งกลิ่นกาแฟคั่วบดใหม่ๆ หอมฉุยกำจายไปทั่วร้าน นนท์สั่งคาปูชิโน่ฟองขาวนุ่มละมุนลิ้นมาดื่มกับแซนวิชทูน่า ส่วนหนูยีที่ไม่ค่อยชอบกาแฟก็สั่งน้ำพั้นธ์ผลไม้ เค้กช็อกโกแลตฟัจด์ บลูเบอร์รี่ชีสพาย และสตรอเบอร์รี่ครีมเค้กมาแทน

     หนูยีทานอย่างเอร็ดอร่อย ใบหน้าเปื้อนสุข ที่ได้ทานแต่ของโปรดอย่างเต็มพุง ริมฝีปากเลอะคราบช็อกโกแลต จนพี่ชายซึ่งจิบคาปูชิโน่ร้อนๆ ควั่นกรุ่นๆ อดอมยิ้มขบขันไม่ได้ พลางยื่นทิชชูไปให้ สาวน้อยหน้าใสถักเปียสองข้างก็หัวเราะแหะๆ ยิ้มเขินๆ แล้วรับไปเช็ดปาก

     “อร่อยมั้ย? ถ้าชอบ ไว้พี่จะพามากินอีก”

     นัยน์ตากลมโตใสแจ๋วจ้องมา ริมฝีปากบางสวยได้รูปพูดเจื้อยแจ้วว่า

     “จริงๆ นะคะ!? ดีใจจัง หนูยีชอบเค้กร้านนี้มากเลย อร่อยสุดๆ ไปเลยค่ะ”

     นนท์หัวเราะหึๆ

     “ก็แน่ละ เค้กที่นี่ชิ้นนึงตั้งร้อยกว่าบาทนี่นา”

     ร้อยกว่า?! O.O ชิ้นนิดเดียว! เอื๊อก.. จะเป็นลม!!

     “นี่ๆ ไม่ต้องทำอ้าปากหวออย่างนั้นหรอก กินไปเหอะ ไม่อิ่มก็สั่งเพิ่มได้ จริงสิ นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ได้เลี้ยงขนมน้องเลยนะ เฮ้อ.. การที่มีน้องสาว ก็คงมีรู้สึกอย่างนี้นี่เองมั้ง”

     “แต่พี่นนท์ก็พาสาวๆ ไปเลี้ยงบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอคะ?”

     หลังจากรู้ราคา หนูยีก็ละเลียดครีมเค้กบนช้อนอย่างช้าๆ ค่อยๆ ซึมซับความอร่อย แล้วค่อยเอ่ยปากถาม

     นนท์ถอนหายใจ วางแก้วกาแฟสีขาวลงบนจานรอง มองหน้าน้องสาวให้เต็มตา

     “มันก็ใช่นะ แต่ความรู้สึกมันผิดกันนะพี่ว่า เอ่อ..จะว่าไงดีหว่า คือเวลาที่อยู่กับพวกหล่อน พี่ไม่ค่อยได้วางตัวตามสบายอย่างนี้ พี่แค่รู้สึกสนุกที่ได้เทกแคร์สาวๆ สวยๆ เพื่อให้พวกนั้นหันมาเอาอกเอาใจพี่ แต่กับหนูยี พี่กลับรู้สึกอีกอย่าง อืม.. พูดยากนะ เอาเป็นว่าแค่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสของน้อง พี่ก็พลอยมีความสุขไปด้วย”

     นัยน์ตาคู่คมสวยมองมาอย่างอ่อนโยน ณ ช่วงเวลาขณะนั้น เป็นครั้งแรกที่หนูยีสัมผัสได้ถึงตัวตนที่จริงแท้ของพี่ชาย คนที่เคยเอาแต่ตั้งกำแพงแห่งความเครียดขึ้งกับเธอตลอด และเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เด็กหนุ่มตรงหน้าเริ่มเปิดใจให้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×