ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ่วงพญามาร

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 9 ไม่ได้ตั้งชื่อตอน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 228
      1
      10 พ.ย. 58




     

     

     

     

     

     

    อีกวันต่อมา หน้าที่ของเธอยังคงดำเนินไปตามเดิม เธอไม่ได้รังเกียจหน้าที่ที่ถูกยัดเยียดมานี้ เพราะรู้สึกถูกชะตากับเด็กน้อยคนนี้มาก กระนั้นก็รู้ว่าไม่อาจทำหน้าที่นี้ได้ตลอด เธอเบื่อที่จะปฏิเสธข้อกล่าวหานี้แล้วเมื่อโยฮันปักใจเชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตาทำได้แค่รอเวลาความจริงเปิดเผยเท่านั้นซึ่งก็คงอีกไม่นาน โยฮันบอกเธอว่าวันนี้จะมีหมอจากโรงพยาบาลมาเธอจึงรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ กระทั่งได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาในตอนบ่าย เธอผละออกจากเตียงเด็กโดยที่ไลลานั้นกำลังหลับปุ๋ยอยู่

    เมื่อพจณิชาออกมายังด้านหน้า โยฮันกลับมาพร้อมหญิงสาวรูปร่างเพรียวบาง หน้าตาสะสวย ชายหนุ่มแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกันพอเป็นพิธี

    “นี่แคโรไลเธอเป็นหมอประจำอยู่ที่โรงพยาบาล วันนี้คุณหมอใจดีแวะมาเยี่ยมไลลา นั่นลลิสาแม่ของไลลาครับ”

    พจณิชาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น เพราะหากผลตรวจออกมาเมื่อไหร่ทุกคนคงรู้เอง พจณิชาได้รู้พอคร่าวๆ แล้วว่าคุณหมอแคโรไลเป็นเพื่อนของโยฮัน และจุดประสงค์ที่มาวันนี้ไม่มาเพียงเพื่อเยี่ยมไลลาเท่านั้น แต่จะมาเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของเธอและหนูน้อยด้วย หญิงสาวทั้งดีใจและตื่นเต้นเพราะอีกไม่นานเธอก็คงไม่ต้องทนคนปากเสียแล้ว

    “เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอนั้นไม่นานหรอกค่ะ แต่ผลตรวจอาจต้องรอนานหน่อย” คุณหมอคนสวยบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

    “ไม่เป็นไรค่ะฉันรอได้ แต่ผลตรวจนั้นแม่นยำสักกี่เปอร์เซ็นคะ” พจณิชาถามย้ำเพื่อความชัวร์ เธอไม่อยากให้มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น อยากให้โยฮันได้เห็นว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นคนที่เขาจงเกลียดจงชังนักหนา อยากเห็นหน้าเขาเต็มแก่หากรู้ว่าตนเองคิดผิดมาตลอด

    “การตรวจดีเอ็นเพื่อพิสูจน์สายเลือดนั้น ขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยากค่ะ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องละเอียดรอบคอบมาก แต่คุณไม่ต้องห่วงเปอร์เซ็นความผิดพลาดนั้นมีน้อยค่ะ รับรองได้ว่าผลที่ได้ไม่คลาดเคลื่อนอย่างแน่นอน” แคโรไลบอกย้ำให้พจณิชามั่นใจ โดยที่หญิงสาวนั้นเหลือบมองโยฮันที่ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนเลย ต่างฝ่ายต่างก็คิดไปคนล่ะอย่าง มั่นใจในความคิดของตนนัก

    ที่สวนย่อมหน้าบ้าน พจณิชาอุ้มไลลาเดินเล่นอย่างเพลิดเพลินใจ รับแสงอุ่นๆ ในยามบ่าย โดยที่โยฮันกับคุณหมอสาวสวยนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะ

    “ช่วงนี้คุณเป็นยังไงบ้างแคลร์ ผมงานยุ่งตลอดเราเลยไม่ค่อยได้เจอกัน” ชายหนุ่มชวนคุยไปเรื่อย อากัปกิริยาเปลี่ยนไปเมื่ออยู่กับหมอสาว ดูสุภาพนุ่มนวลขึ้น

    “ก็ดีค่ะ งานที่โรงพยาบาลก็ยุ่งเหมือนกัน หนูไลลาโตขึ้นเยอะเลยนะ คงเพราะได้คุณแม่มาคอยดูแลกระมังดีจังนะคะ”

    “หึ! ดีเหรอ ผมว่าเป็นโชคร้ายของแกมากกว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ ปากแข็งยิ่งกว่าก้อนหินเสียอีก ผมอยากรู้นักหากผลออกมาเมื่อไหร่จะเอาอะไรมาแก้ตัวอีก” เขาว่าและยังส่งสายตาจงเกลียดจงชังไปที่หญิงสาวโดยที่เจ้าตัวไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยเลย

    “คุณก็ให้เวลาเธอหน่อยสิคะ เธออาจต้องการเวลาปรับตัว” หมอสาวพูดแบบอะลุ้มอล่วย พยายามให้เขาเข้าใจฝ่ายนั้นด้วย “เธออาจไม่พร้อมในหลายๆ เรื่องเลยปฏิเสธ”

    “ปรับตัว...สำหรับผู้หญิงคนนี้คงยาก ไม่อย่างนั้นคงไม่ร่ำเรียกที่จะตรวจดีเอ็นเอหรอก”

    “แต่ก็น่าแปลกนะคะ ของแบบนี้มันโกหกไม่ได้อยู่แล้ว ทำไมเธอถึงกล้า แล้วถ้าเธอไม่ใช่ล่ะคะ” แคโรไลตั้งข้อสังเกต เพราะดูลลิสาหรือจริงๆ แล้วพจริชามั่นใจเหลือเกิน ถึงอย่างนั้นโยฮันดึงเอารูปถ่ายจากกระเป๋าเสื้อที่เขาเผลอหยิบติดมือมาด้วย

    “งั้นคุณดูนี่สิใครมันจะมีหน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ ต่อให้พี่น้องท้องเดียวกันก็เถอะ”

    แคโรไลเองก็ไม่สามารถอธิบายได้เช่นกันเมื่อพจณิชายืนยันว่าไม่มีพี่น้องที่ไหน อย่างเดียวที่จะพิสูจน์คือผลตรวจนี่แหล่ะ แต่ไม่ว่ายังไงต้องมีคนใดคนหนึ่งผิดหวังแน่นอน

    โยฮันออกมาส่งแคโรไลที่หน้าบ้านโดยมีพจณิชาตามออกมาด้วย เธอเองก็รู้สึกชอบหมอสาวคนนี้นัก แคโรไลเป็นคนน่ารักพูดเพราะและอัธยาศัยดีจนไม่น่าเชื่อเลยว่าจะคบหมอนี่เป็นเพื่อนได้

    “ขับรถดีๆ นะครับ ดูแลตัวเองด้วย อย่าเอาแค่โหมทำงานหนัก คุณผอมไปแล้วนะเดี๋ยวนี้” โยฮันสั่งลาคุณหมอคนสวยด้วยท่าทีที่ดูเป็นห่วงเป็นใยนักจนพจณิชาแอบหมั่นไส้ เขาไม่เคยแสดงอาการแบบนี้กับเธอเลย

    “ค่า...คุณโยฮัน คุณเองก็อย่าคลุกอยู่กับเหมืองมากไปนัก คุณน่าจะหาใครสักคนได้แล้วนะ” เธอว่าพลางเหล่มองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะขึ้นรถและขับออกไป โยฮันยังยืนมองจนรถยนต์รถแล่นหายไปจนลับตา พจณิชานั้นสังเกตอาการเขาอยู่ไม่ห่างและเห็นบางอย่างอยู่ในแววตาของเขา ถึงได้เริ่มเข้าใจทีล่ะนิด

    “อย่างนี้นี่เอง” จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นจนชายหนุ่มหันมามอง

    “อะไร ช่วยกรุณาพูดให้คนอื่นเข้าใจด้วยได้ไหม” เขาเปลี่ยนมากลับมาสู่อาการเดิมที่มักเป็นเสมอเมื่ออยู่ใกล้เธอ

    “คุณชอบคุณหมอคนสวยนั่นหรือ ฉันเห็นแววตาคุณเวลามองเธอ”

    “เพ้อเจ้อ! เอาเวลาพูดเรื่องไร้สาระไปทำอย่างดีกว่าน่า” โยฮันบอกปัดเลี่ยงที่จะไม่ตอบตรงๆ ก่อนเดินหนี

    “ยอมรับเถอะน่า คุณชอบเธอ ใช่ไหม ทีกับฉันปากเก่ง ที่อย่างนี้ไม่ยอมรับความจริง พวกขี้ขลาด” พจณิชายังยั่วยุต่อไป

    “นี่...ฟังให้ดีนะ ฉันกับแคโรไลเราเป็นเพื่อนกันมานาน และที่สำคัญ...เธอแต่งงานแล้ว” ประโยคสุดท้ายเหมือนเสียงเขาจะเบามาก

    “โอ้...แอบชอบเมียชาวบ้านเขาด้วย ระวังนะจะปีนต้นงิ้วไม่รู้ตัว”

    “นี่..หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ ไม่รู้อะไรก็เงียบไปเลย” โยฮันขู่เสียงกร้าวพลางชี้หน้า

    “ให้ฉันเดานะ เพราะเอาแต่ชักช้า กลัวโน่นกลัวไม่กล้าบอกเธอ สุดท้ายเธอก็เลยไปแต่งงานกับคนอื่นใช่ไหม” เรื่องเดาส่งเดชนี่เธอถนัดนักแล เพราะอยู่กับจินตนาการจนเคยชิน

    “อย่ามาสู่รู้” โยฮันหลีกเลี่ยงสายตาจับผิดของเธอ ไม่อยากให้รู้ว่าเธอเดาถูก สิ่งนี้เขาเก็บซ่อนมันเอาไว้มานานแล้วไม่ต้องการที่จะขุดมันขึ้นมาอีก เขาเดินหนีเธอก็ยิ่งเดินตามแถมยิ่งพูดให้แสลงหูนัก

    “ก็เพราะคุณเป็นแบบนี้ไงถึงไม่ทันคนอื่น เรื่องอื่นน่ะเก่ง แต่เรื่องนี้กลับซื่อบื้อ คงไม่เคยจีบใครล่ะสิ เคยจูบกับผู้หญิงรึเปล่าไม่รู้” พจณิชาพูดอย่างสนุกปาก ยิ่งเห็นหน้าเขายิ่งสะใจ โดนจี้จุดเข้าจังๆ บ้างแล้ว สมน้ำหน้า ทว่าอยู่ๆ โยฮันก็หยุดเดินจนเธอเบรกเกือบไม่ทัน พจณิชาไม่ทันได้อ้าปากถามว่าเขาหยุดทำไมมือใหญ่ก็ตะปบใบหน้าเล็กเอาไว้บีบเข้าหากันจากนั้นก็ทำสิ่งที่เธอช็อกไปหลายวินาที เขาประกบปากแบบไม่ทันตั้งตัวจุมพิตแบบฉาบฉวยโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าทำเอาหญิงสาวแข็งไปทั้งร่าง

    “ตอนนี้เคยแล้ว” เขาลงทุนจูบเธอเพียงเพราะถูกปรามาสว่าเขาไม่เคยจูบกับผู้หญิง แต่พจณิชาสิตาค้างไปเลย เหมือนอวัยวะทุกส่วนในร่างกายไม่ทำงาน กว่าเธอจะเรียกสติได้เขาก็ไปแล้ว เธอยกมีแรงพอยกนิ้วแตะริมฝีปากตนมันยังกรุ่นเพราะรอยจูบอยู่

    “ตาบ้า...คนขี้ขโมย!” เธอด่าช้าไปเพราะเจ้าตัวไม่อยู่ฟังแล้ว โกรธก็โกรธ แต่อีกใจก็รู้สึกแปลกพิกล สิ่งที่รู้สึกตอนนี้มันไม่ใช่ความรังเกียจ ไม่จริง ไม่ใช่! เธอไม่ได้ชอบมัน

                                                                บ่วงพญามาร

     

    กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยเอื่อยอยู่บนโต๊ะอาหารที่แสนเงียบงัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปรกติอยู่แล้วเพราะมักไม่ค่อยมีการพูดคุยกันมากนัก หญิงสาวหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาคลี่อ่าน ไม่ได้มีข่าวอะไรน่าสนใจนักเธอนั่งดื่มกาแฟอย่างเอื่อยเฉื่อยกระทั่งสมาชิกในบ้านลงมาจนครบ

    “ทำไมวันนี้ตื่นเช้าจัง จะไปไหนหรือ” หญิงวัยสี่สิบห้าเอ่ยถามบุตรสาวก่อนพาร่างผอมบางของตนนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวข้างๆ

    “ไม่ได้ไปไหนหรอกค่ะ ก็แค่อยากตื่นเช้าเท่านั้นเอง วันนี้คุณพ่อจะเข้าบริษัทรึเปล่าคะ” หญิงสาวหันไปหาผู้เป็นพ่อที่เพิ่งจะเดินตามภรรยาเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยกระนั้นก็ยังแฝงไปด้วยอบอุ่นเสมอ

    “ไปสิ เช้านี้พ่อมีประชุม เห็นว่าเหมืองที่เยอรมันมีปัญหา พ่ออาจจะต้องไปดูงานด้วยตัวเอง”

    “ต้องไปดูเองเลยหรือคะ”

    “มันจำเป็น เพราะเหมืองนี้อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัทเรา พ่อถึงต้องดูแลควบคุมเป็นพิเศษ” นายพิสุทธิ์ผู้เป็นเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างอธิบาย เขาและครอบครัวย้ายถิ่นฐานมาจากเมืองไทยปักหลักที่นี่หลายสิบปีแล้ว นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่นี่เขาครอบครัวไม่เคยกลับเมืองไทยอีกเลย ทิ้งอดีตทุกอย่างไว้ที่นั้นเขาไม่เคยลืมว่าตนเป็นคนไทย หากแต่มีความทรงจำบางอย่างที่ทำให้เขาและภรรยาไม่อยากจดจำจึงตกลงกันว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่นี่

    “พ่อกับแม่ไปคราวนี้อาจต้องไปหลายวัน ลูกจะไปกับเราด้วยหรือเปล่า” นางลลินถามพลางมองบุตรสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยเสมอ

    “ไม่ดีกว่าค่ะ”

    “แน่ใจนะว่าอยู่คนเดียวได้” นางยังดูเหมือนจะไม่ค่อยวางใจ ด้วยเพราะเป็นลูกสาวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวนางจึงทั้งรักและหวงราวกับดวงใจ แม้แต่ตอนที่ลลิสาไปทำงานอยู่ที่นิวเจอรซี่นางยังค้านแทบเป็นแทบตายอยากจะตามไปเสียด้วยซ้ำ แต่ติดเพราะสุขภาพไม่เอื้ออำนวยบวกกับป่วยกระเซาะกระแซะ ช่วงแรกๆ ลิสากลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยๆ ไม่เคยขาด กระทั่งมีช่วงหนึ่งที่หายไปมีเพียงแค่ติดต่อกันทางโทรศัพท์ ผ่านไปหลายเดือนจู่ๆ ลลิสาก็กลับมากระนั้นเธอกลับพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงดูเซื่องซึมลงไปมากคล้ายกับคนมีเรื่องในใจ นางไม่รู้เลยช่วงที่ไม่ได้พบกันหลายเดือนเกิดอะไรขึ้น และเมื่อถามก็เหมือนจะได้รับคำตอบที่ไม่ค่อยตรงกับคำถามเท่าไหร่ แม้จะอยากรู้ แต่เมื่อลูกดูเหมือนจะไม่อยากพูดถึงนางจึงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจตามเดิม และคิดว่าสักวันหากเธอพร้อมก็คงจะเล่าให้ตนฟังเอง

     

    พจณิชานั่งมองอาหารเช้าโดยไม่ยอมแตะต้องมันเลย ไม่ใช่ไม่หิวเพียงตอนนี้อาการตื่นเต้นทำให้เธอทานอะไรไม่ลงเนื่องด้วยวันนี้เธอมีนัดฟังผลตรวจหลังจากรอคอยมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ เธอมองนาฬิกาซ้ำแล้วซ้ำอีกตั้งรู้กี่รอบถึงได้เห็นร่างสูงใหญ่ของโยฮันเดินลงพร้อมกับอาการที่ดูไม่ค่อยกระตือรื้อร้นมากนัก

    “กว่าจะจรลีลงมาได้นะคุณชาย ช้าเสียจริง”

    “จะรีบทำไม ยังเช้าอยู่เลย” อีกฝ่ายเลื่อนเก้าอี้ลงนั่ง

    “เช้านี้เราต้องไปฟังผลตรวจนี่ ลืมแล้วหรือ”

    “ไม่ลืมหรอก จะไปช้าไปเร็วผลมันก็ออกมาเป็นเหมือนเดิมนั่นแหล่ะ” เขาว่า โดยขณะนั้นซินเธียตามเข้ามาอีกคน

    “ที่เหมืองเป็นไงบ้างโยฮัน เห็นว่ามีปัญหางั้นหรือ”

    “ครับ เพราะอุบัติเหตุคราวก่อน ผมเลยต้องปิดปรับปรุงชั่วคราว ตอนนี้ไม่กล้าเปิดทำการกลัวมันถล่ม กันไว้ก่อน อาทิตย์หน้าบริษัทรับเหมาจะมาดูให้”

    “อืม ดีแล้ว ช่วงนี้เราก็คงว่างงั้นสิได้อยู่กับหลานทั้งวัน ว่างๆ ไปเที่ยวพักผ่อนกันดีไหม แค่คนในครอบครัวเรา นานแล้วนะที่ไลลาไม่ได้ออกไปไหน แกคงดีใจที่ลุงได้หยุด”

    “ผมก็กำลังคิดอยู่ครับ นานๆ ได้หยุดที จะว่าไปแล้วเราก็ไม่ได้ไปไหนนานแล้วนะ ไลลาชอบทะเลสาบ คราวที่แล้วผมพาล่องเรือชอบอกชอบใจใหญ่” โยฮันส่งเสียงหัวเราะร่าอย่างครื้นเครงเมื่อพูดถึงหลานสาวสุดที่รักเขามักดูมีความสุขเสมอ

    พจณิชานั่งฟังอย่างเงียบๆ เธอเริ่มปรับตัวรับสภาพได้แล้วกับความเฉยชาที่มีต่อเธอของคนบ้านนี้ บ่อยครั้งที่เธอมักรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตน หลายคราที่เธอเหมือนจะกลืนหายไปกับอากาศเสียเฉยๆ เมื่อเวลาที่สองป้าหลานพูดคุยกัน

    “แต่วันนี้ผมคงไม่ว่าง ยังไงฝากป้าดูไลลาให้สักวันนะครับ”

    “ทำไมต้องฝากด้วยเล่า ป้าก็ดูไลลามาตั้งแต่...แม่เขาทิ้งไป จะดูอีกสักวันไม่เป็นไรหรอกน่า”

    พจณิชาสะดุ้งนิดเมื่อถูกเหน็บมา เหมือนฝ่ายนั้นจะจงใจพูดแขวะโยฮันเองก็ทำเฉย เธอจึงต้องกัดฟันทน พยายามตนเองในใจว่า ไม่เป็นไร เพราะหลังจากนี้ไปมันก็จะจบแล้ว ทนอีกนิดเดียวเท่านั้น

     

     

     







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×