ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรหมลิขิตรักสองภพ

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 898
      6
      20 ส.ค. 58


    CR.SQW


               พันอินยืนมองหญิงสาววิ่งหนีหายเข้าไปในป่าด้วยความฉงน แปลกใจระคนสงสัยว่าเธอวิ่งหนีเขาทำไมกัน บุญลือกับพวกที่ตามสมทบทีหลัง กระหืดหอบลงมาจากหลังม้า

                “ปลอดภัยดีนะขอรับ” เขาเอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง มองร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยของพันอิน ทั้งของตัวเอง และของศัตรู

                “อืม! ข้าไม่เป็นไร แล้ว..สินค้าเราเล่า”

                “ยังอยู่ดีขอรับ...” ชายคนดังกล่าวตอบ

                “อืม..ดีแล้ว โชคยังดีที่ได้นางคนนั้นมาช่วยไว้ หาไม่แล้วข้าคงกลายเป็นผีเฝ้าป่าเป็นแน่”

                “นาง ใครหรือขอรับ” บุญลือย้อนถามด้วยความสงสัย

                “ข้าก็หารู้ไม่ ว่านางเป็นใคร ดูจากอาภรณ์ที่สวมใส่คงหาใช่ชาวเรา น่าเสียดายนัก ยังมิได้กล่าวคำขอบคุณนางก็หนีไปเสียแล้ว คงจะตกใจกลัว” พันอินบอกเสียงเข้มขรึม หัวคิ้วขมวดจรดกันอย่างครุ่นคิด

                “หากมีบุญวาสนาต่อกัน สักวันคงได้พบกันอีกนะขอรับ”

                “นั่นสินะ! ข้าก็หวังว่าจักได้พบนางอีกสักครา เพราะนางมีบุญคุณที่ช่วยเหลือ...ไปเถอะ!

                พันอินหันกลับไปหาม้าตัวเขื่อง แต่ทว่าสายตาดันเหลือบวัตถุชิ้นหนึ่งส่องแสงแววอยู่บนพื้น มือใหญ่หนาฉวยมันขึ้นมา เป็นสร้อยสีเงินที่ดูแปลกตาเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มกำมันไว้ในมือ ก่อนจะปีนขึ้นหลังม้ากลับไปยังขบวนสินค้า แล้วออกเดินทางต่อไป

     

                 เรือนไทยหลังหนึ่ง เป็นเรือนหมู่แบบคหบดีในสมัยก่อน ตัวเรือนยกสูงขึ้นจากพื้น ในห้องนอน หญิงสาวนอนนิ่งไม่ไหวติงมานานนับชั่วโมง เสียงกระซิบกระซาบดังอยู่เป็นระยะ

                “แม่อิ่ม...นางนอนนิ่งแบบนี้มาเป็นวันๆ แล้วนะ ตายรึเปล่าเนี่ย” เสียงสาวนางหนึ่งเอ่ยถามอย่างกลัวๆ กล้าๆ ลอบชำเลืองสาวต่างถิ่นที่นอนสลบสไลอย่างกังวล

                “เอ็งอย่าพูดอะไรให้ใจเสียสิวะนังจำปี คนยิ่งใจไม่ดีอยู่” ชายคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา รูปสันทัดล่ำเตี้ย วัยสิบแปด ย่นหน้าใส่หญิงสาว เขาเป็นคนขับเกวียนเจ้าปัญหา ที่อยู่ดีๆ ใครไม่รู้มาพุ่งชนจนสลบเหมือคาที่ นั่งหมอบอยู่ข้างๆ อย่างคนรู้สึกผิด

                “ก็เอ็งนั่นแหล่ะขับเกวียนไม่ดูตาม้าตาเรือ หากมันตายก็เพราะเอ็งทีเดียวเชียว” สาวน้อยร่างเล็กวัยไล่เลี่ยกันพูดพลางขมวดคิ้วใส่อย่างกล่าวหา ทำเอาคนฟังถลึงตาอ้าปากเถียงคอเป็นเอ็น

                “ข้าเปล่านะโว้ย! ก็นางคนนี้มันวิ่งชนเกวียนเอง ข้ามิได้มีเจตนา เอ็งอย่าพูดพล่อยๆ สิ!” ชายหนุ่มว่า สาวน้อยทำท่าจะเถียงอย่างมันปาก

                “พอๆ พวกเอ็งจะเถียงกันให้มันได้อะไร” นางอิ่มหญิงวัยกลางคนปรามเสียงดุเข้มอย่างรำคาญใจ ตวัดสายตามอง ทั้งคู่จำต้องเงียบเสียงลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ยังมิวายแอบค้อนใส่กัน “พวกเอ็งก็เหมือนกัน อย่ามามุง เดี๋ยวนางก็ขาดอากาศหายใจกันพอดี” หล่อนโบกไม้โบกมือไล่พวกสาวๆ ที่นั่งออกันอยู่รอบๆ ที่นอนด้วยความอยากรู้อยากเห็น หนึ่งในนั้นสะกิดนางอิ่มยกใหญ่ด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าสาวต่างถิ่นเริ่มขยับตัว

                “แม่อิ่มๆ ดูสิ! นางฟื้นแล้ว”

                “นังหนูๆ เป็นอย่างไรบ้าง” นางอิ่มส่งเสียงเรียก พลางเขย่าตัวเธอเบาๆ

                เพียงออปรือเปลือกตาขึ้นมา มันพร่ามัวไปชั่วขณะ ปวดร้าวศีรษะราวกับมันจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แผลเดิมยังไม่หาย โดนซ้ำรอยอีกจนตอนนี้เธอมึนหัวไปหมด มองไปรอบๆ ด้วยความตกใจลุกพรวดขึ้นนั่งเร็วไปหน่อยทำเอาหน้ามืด แต่พยามเรียกสติกลับมา เห็นกลุ่มคนนั่งมองเธอตาปริบๆ ด้วยความสนใจใคร่รู้ บางคนป้องปากกระซิบทำราวกับว่าเธอเป็นตัวประหลาด

                “เอ่อ..ที่นี่..ที่ไหนค่ะ?” คำถามแรกที่ออกมาจากปากหลังจากได้สติ มองหญิงร่างผอมที่นั่งอยู่ปลายฟูก นางส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรมาให้

                “เรือนรับรองของท่านเจ้าเมืองฝางสวรรคบุรี ท่านเมตตาให้เรามาพักชั่วคราว...เอ็งเป็นใครมาจากที่ใดกัน เหตุไฉนจึงไปอยู่กลางป่ากลางดงแต่เพียงลำพัง” น้ำเสียงอ่อนนุ่ม ชวนให้อุ่นใจ แต่ทว่ามันทำเธองงสุดขีด ไอ้เมืองฝางสวรรคบุรีนี่มันส่วนไหนของประเทศไทยหว่า เธอมองคนนั้นที คนนี้ทีอย่างใคร่ครวญ ราวกับตัวเองอยู่อีกยุคหนึ่ง คำพูดคำจาแม้จะฟังเข้าใจแต่มันก็แปร่งๆ ยังไงพิกล

                “หลงทางใช่หรือไม่? ข้าเห็นการแต่งกายของเจ้าคงจะมิใช่ชาวสวรรคบุรีหรอกกระมัง บ้านเจ้าอยู่ที่ใด”

    หนุ่มน้อยหน้ามนที่เดาเอาว่าน่าจะอายุอานามน้อยกว่าเธอถามแทรกขึ้นอย่างสนใจใคร่รู้

                “ฉันเป็นคนกรุงเทพฯ” เพียงออตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง สายตายังจับจ้องอยู่ที่กลุ่มคนที่รายล้อมเธออยู่

                “กรุงเทพฯ แล้วมันคือที่ใดรือ?”

                สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มชิงถามขึ้นด้วยความสงสัยเหลือประมาณ เพียงออยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ นี่มันหลังเขารึยังไงกันนะถึงไม่รู้จักกรุงเทพมหานครเมืองหลวงของประเทศไทย

                “ เอ่อ..กรุงเทพฯก็เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางของประเทศไทยนี่แหล่ะ อยู่ใกล้กับ...ใกล้กับ..อยุธยา “ หญิงสาวอธิบายให้ฟังอย่างมึนๆ

                “อยุธยา...เจ้าคงหมายถึงอโยธยาศรีรามเทพนครใช่หรือไม่” นางอิ่มย้อนถาม

                “คงงั้น..มั้งค่ะ”

                ยิ่งอยู่เธอยิ่งรู้สึกแปลก นี่เธออยู่ที่ไหนกันเนี่ย” ความสงสัยตีวนมั่วไปหมด พยายามจับต้นชนปลายหาเหตุผล เกิดคำถามมากมายผุดขึ้นในหัว แต่ไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรดี

                “ข้าก็เป็นชาวอโยธยา แต่หาเคยได้ยินว่ามีบ้านใด เมืองใดชื่อกรุงเทพฯไม่”

                หญิงสาวนางหนึ่งที่นั่งฟังอยู่นานพูดแทรกด้วยน้ำเสียงแข็งๆ มันขัดกับใบหน้าสวยหวานเป็นอย่างมาก สายตาคู่เฉี่ยวหรี่ลงมองอย่างเคลือบแคลงระแวงสงสัยราวกับไม่ไว้ใจ

                “เอาเถอะๆ จะอยู่ที่ไหนก็ช่าง ข้าว่าเจ้าไปอาบน้ำผลัดผ้าเสียก่อนเถิด เนื้อตัวเปรอะเปื้อนมอมแมมไปหมด...ยี่โถเอ็งไปหาข้าวหาปลาให้นาง...คิดว่าเจ้าคงจะหิว” นางอิ่มบอกอย่างใจดี หญิงสาวสาวหน้าตาจิ้มลิ้มพยักหน้ารับ ก่อนลุกออกไป ท่าทางที่ดูเอื้อเฟื้อมันทำให้เพียงออรู้สึกอุ่นใจเหลือจะกล่าว แม้จะยังสับสนอยู่บ้าง

     

                จำปีพาเพียงออไปอาบน้ำที่หลังบ้าน ที่นี่ไม่มีห้องน้ำ อาบก็ต้องอาบกลางแจ้ง จะทำธุระก็ต้องวิ่งเข้าป่า อนาถาแบบสุดๆ แปลกแม้กระทั่งคน สาวน้อยจำปีเอาแต่มองเธอ จับจ้องทุกอิริยาบถจนเธออึดอัด หลังจากได้อาบน้ำทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันตาเห็น จำปีนำชุดใหม่มาให้เปลี่ยน เพราะเป็นนางรำมาหลายปีการนุ่งผ้าถุงห่มสไบจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ แต่เรื่องที่กังวลใจเป็นเรื่องสถานที่ต่างหาก จนถึงตอนนี้เธอยังงงอยู่ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เธออยู่ผิดยุคหรืออย่างไร แต่มันจะเป็นไปได้หรือ คงได้แต่เออออห่อหมกตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

                หญิงสาวดึงเอากระเป๋าสะพายที่วางอยู่ใกล้ๆ โชคดีที่ด้วงเก็บมาให้ด้วย เธอควานหาอยู่พักหนึ่งถึงได้รู้ว่าสร้อยคอสีเงินมันหายไปเสียแล้ว ชะรอยว่ามันคงจะร่วงหายตอนอยู่ในป่าเป็นแน่ นึกเสียดายเพิ่งจะได้มาแท้ๆ ดึงเอาโทรศัพท์มือถือออกมา มันก็ยังคงไม่มีสัญญาณเช่นเดิม หน้าม่อยลงด้วยความผิดหวัง พลันคิดว่าตัวเองคงจะอยู่ในหมู่บ้านชนบทที่ไหนซักที่ แต่กระนั้นมันก็ยังแปลกอยู่ดี เพราะการแต่งกายกับสำเนียงภาษาที่ใช้มันไม่เหมือนหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล หากแต่มันคล้ายกับเป็นภาษาเก่าแบบโบราณอะไรเทือกนั้น แอบคิดเล่นๆ ว่า หรือเธอจะย้อนเวลากลับมายังอดีต ความคิดนี้ทำเอาเธอเผลอขำออกมาเบาๆ เรานี่ท่าจะเพี้ยน มันจะเป็นไปได้ยังไง

                “นั่นอะไรหรือ” เสียงใสๆ ของสาวน้อยผู้อยากรู้อยากเห็นไปหมดทุกเรื่องถามขึ้น ดวงตาวาววับแบบคนขี้สงสัย

                “โทรศัพท์มือถือ”

                “โทรศัพท์มือถือ” สาวน้อยเอียงหน้านิดๆ ทำหน้าฉงนมองมันราวกับของแปลกประหลาดเหลือทน ชะโงกหน้ามาดูที่หน้าจอ ก่อนจะยกมือทาบอก “คุณพระช่วย เหตุไฉนมันจึงขยับได้ นี่เจ้ามีเวทย์มนต์รือ” สาวน้อยอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นหน้าจอมันเคลื่อนไหวได้

                “เปล่า! นี่มัน...เป็นเครื่องมือสื่อสาร เอาไว้ติดต่อเวลาที่เราอยู่ไกลกัน จะได้ส่งข่าวหากันได้ไง” เธอว่า แต่จำปีกลับมีสีหน้าไม่เข้าใจเหมือนเดิม เพียงออไม่รู่ว่าจะพูดยังไง ถึงอธิบายไปคิดว่าหล่อนก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี อุปกรณ์ไฮเธคแบบนี้เป็นอะไรที่ซับซ้อนยากเกินกว่าจะสาธยายให้กันฟังได้ง่ายๆ โดยเฉพาะคนโบราณคร่ำครึแบบนี้ ขนาดกรุงเทพฯยังไม่รู้จัก อยากรู้จังว่าที่นี่มันอยู่ส่วนไหนของประเทศมันถึงได้กันดาร สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี จะติดต่อให้ใครมาช่วยก็ไม่ได้

                “แปลกจริงหนอ ตั้งแต่ออกจากท้องพ่อท้องแม่มา ข้ามิเคยเห็นอะไรแปลกเท่านี้มาก่อนเลย เจ้าเองก็แปลก อาภรณ์ที่สวมใส่ก็แปลก ข้าพบปะผู้คนมาก็มาก แต่แบบเจ้านี้เพิ่งเคยเห็น” หล่อนพูดพลางชำเลืองมองชุดที่ถูกพับเก็บไว้เรียบร้อยอยู่ข้างๆ ดวงตากลมใสมีประกายมองเพียงอออย่างสนใจใคร่รู้ หญิงสาวเพียงแค่อมยิ้มอย่างนึกขำ หล่อนว่าเธอแปลก แต่กลับคิดว่าหล่อนแปลกยิ่งกว่า

                หลังจากที่นั่งคุยกันอยู่พักใหญ่ เพียงออได้รู้ว่าจำปีอายุน้อยกว่าเธอหลายปี เป็นเด็กสาวช่างซักซะเหลือเกิน แต่เธอก็ไม่ได้รำคาญแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับชอบใจในความใสซื่อของเธอซะมากกว่า

     

                หอกลางข้าวปลาอาหารถูกจัดเตรียมให้เสร็จสรรพ เพราะหิวจนหน้ามืดตาลาย ราวกับไส้จะขาดเธอจัดการมันภายในไม่กี่นาทีจนเหลือแต่ชามเปล่า บรรดาสาวๆ นั่งมองวิธีการกินของเธออย่างงวยงง มันอาจจะแปลกสำหรับพวกหล่อน เพราะแทนที่เธอจะใช้มือเหมือนคนอื่นๆ กลับใช้ช้อนที่มีไว้สำหรับตักน้ำแกงแทน

                “ขอบคุณมากค่ะ สำหรับความช่วยเหลือ หากไม่ได้คุณหนูคงตายอยู่กลางป่าแล้ว”

                หญิงสาวเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ พนมมือไหว้อย่างนอบน้อม แม้จะไม่รู้จักมักจี่ แต่กระนั้นก็ยังยอมช่วยเหลือคนแปลกหน้า ถึงคนที่นี่จะแปลกตา แต่น้ำจิตน้ำใจกลับมีมากกว่าคนเมืองเสียอีก

                “มิต้องขอบอกขอบใจข้าดอก คนเราตกทุกข์ได้ยาก จะนิ่งดูดายก็กระไรอยู่ ซ้ำร้ายเจ้าเจ็บก็เพราะคนของข้า” นางอิ่มว่าปรายตามองหนุ่มหน้ามนคล้ายจะตำหนิอยู่ในที เขายิ้มเจื่อนๆ มาให้ “ข้าชื่ออิ่ม เป็นเจ้าของคณะนางรำอิงฟ้า นั่นจำปีลูกสาวข้าเจ้าคงรู้จักแล้ว นั่นไอ้ด้วง จันทร์แรม ลำเจียก ยี่โถ คำแก้ว สร้อย พวกนี้เป็นนางรำในคณะของข้า” นางอิ่มแนะนำยิ้มๆ

                “หนูชื่อเพียงออค่ะ!บังเอิญจังเลยหนูก็เป็นนางรำค่ะ” หญิงสาวบอกด้วยใบหน้าที่แช่มชื่น จู่ๆ ก็นึกถึงคณะเอื้องหลวงขึ้นมา ไม่รู้ว่าป่านนี้จะออกตามหาเธอจนหัวหมุนกันอยู่กระมังเธอเอ่ยถามต่อว่า “เอ่อ..ไม่ทราบว่าที่นี่พอจะมีรถเข้าเมืองบ้างไหมค่ะ ที่นี่อยู่ห่างจากตัวเมืองมากไหม”

                “รถ” นางอิ่มทวนคำอย่างมึนงง มองคนอื่นไปมาที่ต่างก็พากันนิ่วหน้า “นี่เจ้าพูดถึงเรื่องอันใด ข้าหาเข้าใจไม่ รถที่เจ้าว่ามันมีหน้าตาเป็นเช่นใดรือ”

                “เจ้าคงหมายถึงเกวียนใช่หรือไม่” ด้วงขัดขึ้น

                “ มัน..มันก็คล้ายๆ กันนั่นแหล่ะค่ะ เพียงแต่.. “ เพียงอออึกอักไม่รู้จะพูดยังไงแปลกใจซ้ำแล้วซ้ำอีก คนที่นี่ไม่รู้จักแม้กระทั่งรถยนต์ “เรื่องนั้นช่างมันเถอะค่ะ แล้วหนูจะเข้าเมืองได้ยังไงค่ะ” เธอเปลี่ยนเรื่องเพราะพูดไปรังแต่จะทำให้สับสนเสียเปล่าๆ

                “ก็ที่นี่ไงตัวเมืองฝางสวรรคบุรี เป็นเมืองท่าที่สำคัญของหัวเมืองฝ่ายเหนือ นี่เจ้ามิรู้จักดอกรือ ไปมุดหัวอยู่ที่ใดมา” จันทร์แรมหญิงสาวหน้าตาสะสวย แต่หน้าไม่รับแขกบอกเสียงห้วน ย่นจมูกใส่เธอที่ดูแล้วขัดใจคนมองเป็นอย่างยิ่ง หล่อนนั่งพับเพียบอยู่ข้างนางอิ่ม

                “ขอโทษนะคะ แต่ว่าเมืองฝางสวรรคบุรีนี่มันจังหวัดไหนเหรอ” เพียงออยังถามต่อไปแบบมึนๆ เธอเคยดูแผนที่ประเทศไทยมาพอสมควร แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีอำเภอที่ชื่อฝางสวรรคบุรีเลย เอะ! หรือเธอจะตกหล่น

                “แม่นี่ยังไง ไม่รู้จักกรทั่งเมืองฝางสวรรคบุรี” จันทร์แรมว่า เพียงออชักหงุดหงิดเล็กน้อย ก็ถ้าไม่บอกแล้วเธอจะรู้ไหม ก็คนมันไม่รู้จริงๆ นี่

                “เมืองฝางสวรรคบุรี เป็นดินแดนล้านนาตะวันออก เป็นเมืองที่เจริญที่สุดแห่งหนึ่ง หลังยุคสงครามหมดไป พอผลัดรัชสมัย สมเด็จพระเอากาทศรถขึ้นครองราชย์ บ้านเมืองเป็นปรกติสุข เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น” นางอิ่มว่า ยกมือจรดศีรษะ “ยุคนี้การค้าจึงเฟื่องฟู ก็อย่างที่ข้าบอก เมืองนี้เป็นเมืองท่าขนถ่ายสินค้าสำคัญ ทั้งทางบก แลทางน้ำ”

                ในบรรดาประโยคที่หล่อนกล่าวมา มีเป็นเพียงประโยคเดียวเท่านั้นที่เข้าไปในหัวเธอ สมเด็จพระเอกาทศรถงั้นเหรอ อะไรกันนี่ นี่เธอหูฝาดไปรึเปล่า อยู่ดีๆ เธอมาโผล่อยู่นี่ได้ยังไง คนพวกนี้เล่นตลกอะไรกัน สมองมันตื้อไปหมด

                “พ่อค้าวานิชส่วนใหญ่จึงมาใช้เมืองนี้เพื่อถ่ายเทสินค้า ตัวข้าเองก็ได้ผลพลอยได้ ช่วงนี้จะมีพ่อค้าจากต่างเมืองมา ท่านเจ้าเมืองได้ว่าจ้างคณะอิงฟ้าของเรามาเพื่อต้อนรับพ่อค้าเหล่านั้น...เมื่อครู่เจ้าว่า เจ้าเป็นนางรำใช่ไหม เหมาะเลย เพราะพิณทองนางรำประจำคณะของเราเพิ่งจะออกไปมีผัว ถ้าอย่างไรเจ้ามาอยู่คณะเราดีรึไม่ ข้าเห็นรูปร่างหน้าตาเจ้าก็หมดจดงดงาม อยู่กับข้าได้ดีกันทุกคน”

                เพียงออแทบไม่ได้ฟังที่หล่อน ยังนิ่งอึ้งอย่างมึนงง มันสับสนอย่างหนักจนพูดอะไรไม่ออก จำปีสะกิดเรียกอยู่หลายครั้งเธอถึงได้สติ

                “พี่เพียงออ...”

                “หือ”

                “ได้ยินที่แม่ข้าถามรึไม่ ข้าว่าท่านมาอยู่เราท่าจะดีไม่น้อย เป็นสาวเป็นนางร่อนเร่แต่เพียงลำพัง สู้มาอยู่กับเราไม่ดีกว่าหรือ”

                “เอ่อ..เอ่อ..ค่ะ”

                เพียงออตอบรับแบบมึนๆ ณ เวลานี้นอกจากเลยตามเลยคงไม่มีทางเลือกมากนัก แม้ใจจะยังไม่เข้าใจเรื่องราว นี่มันเรื่องจริงรึเปล่านะ มันยากที่จะทำใจให้เชื่อได้ว่าเธอมาอยู่ยุคโบราณขนาดนี้ได้ หากเป็นอย่างที่นางอิ่มว่า ก็เท่ากับว่าเธอย้อนกลับมาตั้งสี่ร้อยกว่าปีเชียวนะเนี่ย มันเป็นไปได้อย่างนั้นหรือ คนเราสามารถย้อนเวลาได้จริงๆ หรือ เธอไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้เลย แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ บางทีนี่เป็นแค่ความฝัน บางทีมันอาจไม่ใช่เรื่องจริง บางทีถ้าเธอหลับไปพรุ่งนี้ตื่นมาอาจจะกลับมาเป็นปรกติเหมือนเดิมก็เป็นได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×