ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรหมลิขิตรักสองภพ

    ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่ 13

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 709
      11
      20 ส.ค. 58



    CR.SQW

     

    บนเรือน พันอินนั่งลงที่หอกลางโดยมีเพียงออนั่งลงตาม ขณะที่ศรีนวลกำลังคุมบ่าวไพร่จัดเตรียมสำรับอาหารมาให้เมียงมอง

    “คราหลังแม่มิต้องเข้าครัวเองดอก ให้พวกบ่าวไพร่มันทำนะดีแล้ว” พันอินบอกเสียงนุ่มทุ้ม

    “ก็ฉันเบื่อนี่ค่ะ อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร เดี๋ยวก็เป็นง่อยตายหรอก” เพียงออว่า ทำเอาพันอินขำออกมาเสียยกใหญ่ ระหว่างที่ศรีนวลจัดเรียงสำรับตรงหน้า

    “หากเจ้าเบื่อ เดี๋ยวยามบ่าย พี่จะไปเที่ยวชมในตลาดดีรึไม่”

    “ดีค่ะดี” เพียงออยิ้มรับอย่างแจ่มใส หากได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างยังดีกว่าอยู่บ้านเป็นไหนๆ พันอินมองหญิงสาวที่ดุดีอกดีใจด้วยความเอ็นดู ศรีนวลแอบชำเลืองมอง ดูท่าพันอินจะหลงนางคนนี้เอามากๆ แอบน้อยใจอยู่ลึกๆ ตั้งแต่เล็กจนโตมา เขาไม่เคยให้ความสนใจเธอเท่านี้เลย

    และในยามบ่าย พันอินพาเพียงออมาเที่ยวชมตลาดตามที่สัญญาไว้ โดยมีบูญลือกับก้านติดตามมาเช่นเคย ผู้คนคึกคักหนาตา ยามไร้ศึกสงครามสงบร่มเย็น ยุคนี้เริ่มมีคนต่างชาติเข้ามารับราชการ เธอพบเห็นพวกทหารอาสาบ้างประปราย ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกฮอลันดา โปรตุเกสพวก แขกมัว เธอจำได้ว่าที่สยามมีปืนไฟใช้ครั้งแรกก็เพราะพวกโปรตุเกสนี่แหล่ะนำเข้ามาในสมัยสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชเจ้า แต่มาตอนหลังเริ่มเปลี่ยนมาใช้ปืนนกสับ แต่ปืนจำพวกนี้มีแต่พวกขุนน้ำขุนนางใช้กัน เพราะราคามันแพง

    “คุณพันอินทำการค้าแบบนี้ เจอพวกต่างชาติบ่อยไหม”

    “ก็มีบ้างเป็นบางครา ยามมีสินค้ามาจากต่างเมือง ช่วงนี้มีพวกญี่ปุ่นเข้ามาเยอะ ระยะหลังปืนใหญ่ของสยามเราขึ้นชื่อลือชา แม้แต่ต่างชาติก็ยังมีหนังสือมาชื่นชม ซึ่งเป็นข้อดีของสยามประเทศเรา”

    “งั้นเหรอ ฉันก็เคยอ่านเจอเหมือนกันนะ ยุคพระเอกาทศรถกำลังรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด น่าเสียดายนะแค่ไม่กี่ปี...”เธอทิ้งค้างเอาไว้ เพราะรู้ตัวพูดมากไป สำหรับเธอมันเป็นเรื่องอดีตนมนานกาเลมาแล้ว แต่สำหรับพวกพันอินมันยังไม่เกิดขึ้น พันอินทำหน้าสงสัย แต่เพียงออไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

    ทั้งหมดเดินผ่านย่านชุมชน มาจนถึงท่าเรือแถวๆ ป้อมเพชร มีเรือสำเภาจีนจอดเทียบท่าอยู่หลายลำ พร้อมกับสินค้าที่ถูกทยอยขนลงมา ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเครื่องเรือน แจกันลวดลายแบบโบราณ เพียงออมัวแต่มองมันอย่างสนใจใคร่รู้ ไม่ระวังเลยชนชายคนหนึ่งเข้า เป็นชายชาวตะวันตก รูปร่างสูงใหญ่ ผมสีฟางข้าวยาวประบ่ารวบผมไว้ครึ่งศีรษะ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ดูจากการแต่งตัว กับภาษาที่เขาพูดเป็นภาษาอังกฤษ แต่อาจจะฟังเข้าใจยากหน่อย เพราะภาษาแบบโบราณ แต่ก็พอจะรู้เรื่อง

    “ขอโทษครับ” ชายคนนั้นรีบบอกทั้งที่มันไม่จำเป็นเลย เพราะเธอเองต่างหากที่เป็นคนชนเขา

    “ขอโทษทำไมกันค่ะ ฉันสิต้องขอโทษ เพราะฉันเป็นคนชนคุณ” เธอตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว ทำเอาพันอิน บุญลือและก้านประหลาดใจเป็นอันมาก เพราะเธอไม่ได้บอกพันอินว่าเธอพูดภาษาอังกฤษได้แม้มันออกจะไปทางแนวยุคใหม่

    “เจ้าพูดภาษาข้าได้ด้วย น่าประหลาดใจดีแท้” ชายคนดังกล่าวว่า มองเธออย่างกระตือรื้อล้น เพราะหายากที่จะเห็นหญิงอโยธาพูดภาษาต่างชาติได้ อย่าว่าแต่พูดคุยเลย ขนาดเขาเฉียดเข้าใกล้ พวกเจ้าหล่อนยังทำหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ราวกับเขาเป็นตัวประหลาด

    “คือ..ก็พอได้นิดๆ หน่อยๆ น่ะค่ะ” เธอบอกยิ้มๆ มองดูในอ้อมแขนเขา มีของพะรุงพะรังเต็มไปหมด เหมือนการสนทนาครั้งนี้อาจจะยืดยาว ถ้าไม่ใช่เพราะพันอินจ้องชายคนนั้นตาขวาง ทำเอาชายคนดังกล่าวสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นเขาต้องขอตัวไปเพราะทนสายตาพิฆาตของพันอินไม่ไหว เพียงออมองตามหลังอย่างสนอกสนใจ มันทำให้พันอินไม่พอใจเป็นอย่างมาก

    “แม่เพียงออสนทนาภาษาวิลาศรู้เรื่องด้วยหรือ” สินเอ่ยถามยังสงสัยระคนทึ่ง

     ค่ะ! ฉันเคยเรียนมาพักหนึ่ง”

    “อุเหม่! ช่างเป็นหญิงเก่งดีแท้ ข้านะแค่ฟังก็ปวดหัวแล้ว อย่าว่าแต่เข้าใจเลย แค่เข้าใกล้ก็ยังยาก แต่จะว่าไป อ้ายคนเมื่อครู่มันก็เป็นคนแปลก วันๆ เห็นมัวแต่วุ่นวายอยู่กับเครื่องไม้เครื่องมือประหลาดๆ ของมัน คล้ายคนสติไม่สมประดี” ก้านว่า

    “เธอรู้จักเขาด้วยเหรอก้าน”

    “ ขอรับ ชาวบ้านแถวนี้ก็รู้จักมันทั้งนั้นแหล่ะขอรับ เหมือนพวกนักคิดค้นอะไรเทือกนั้น แต่ของที่มันคิดขึ้นมาพิสดารเกินทน ใครๆ ก็หาว่ามันบ้าขอรับ” ก้านว่าพลางกลั้วหัวเราะ แต่เพียงออกลับรู้สึกสนใจขึ้นมาตงิดๆ

     “เธอรู้ไหม? ว่าเขาพักอยู่ที่ไหน”

    “เจ้าจะอยากรู้ไปใย อ้ายก้านก็บอกอยู่ว่ามันสติไม่สมประดี นี่ก็เย็นแล้วเรากลับเรือนกันเถิด” พันอินบอกด้วยน้ำเสียงห้วนหุ้น คล้ายคนอารมณ์เสีย แต่ด้วยเรื่องอะไรไม่อาจรู้ได้ เพราะเขาเดินลิ่วๆ ไปโดยไม่รอ ใจจริงเพียงอออยากอยู่ต่ออีกซักหน่อย แต่พ่อคุณกลับทำหน้าตาบูดบึ้งอยู่ตลอดเวลาซะอย่างงั้น จำต้องพากันกลับมาแต่เพียงออแอบคิดในใจว่า เห็นทีพรุ่งนี้คงต้องเข้าไปคุยกับนายคนนั้นซักหน่อยแล้ว คิดได้ดังนี้มันก็ทำให้เธอมีความหวังขึ้นมา ไม่รู้เหมือนกันว่า คุยแล้วจะได้อะไร แต่ฟังจากก้านเล่า ก็ออกทำนองนักวิทยาศาสตร์รึเปล่านะ? บางทีนี่อาจทางออกทางเดียวของเธอ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยได้แค่ไหน แต่ก็ต้องลองดูซักตั้ง ดีกว่าอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไร

    เวลาเย็นย่ำ เพียงออนั่งอยู่หน้ากระจก ใช้หวีเสนียดสางผม ขณะที่ดวงตานั้นเลื่อนลอยเหมือนคนครุ่นคิดบางอย่างในใจ นึกใคร่ครวญหาคำอธิบาย หาเหตุผลว่าทำไมเธอถึงมาอยู่นี่ได้ แต่มันก็เหมือนเดิมคือ เธอหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ พลันคิดสงสัยว่าคนเราอยู่ดีๆ จะมาอยู่ผิดที่ผิดเวลาแบบนี้ได้ยังไง มันต้องมีบางอย่างนำเธอมา แต่ไอ้บางอย่างที่ว่า มันคืออะไรนะ พลันเหลือบไปมองสร้อยที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง จะว่าไปแล้ว พอเธอได้มันมาไม่เท่าไหร่ เธอก็โผล่มาที่นี่เฉยเลย หรือจะเป็นเพราะมัน ลมหายใจถูกพรูเบาๆ อย่างอับจนปัญญา พลันได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก พร้อมกับร่างสูงของชายหนุ่มแทรกเข้ามา เธอหันไปยิ้มให้เขาเล็กน้อย แล้วหันกลับมานั่งหวีผมต่อ พันอินเดินมานั่งลงข้างๆ ก่อนจะฉวยเอาหวีในมือเธอ แล้วหวีผมให้อย่างเบามือ

    “คิดอะไรอยู่หรือ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถาม ทอดสายตามองสาวอย่างอ่อนโยน น้ำหนักมือที่ลงไปบนเส้นผมนุ่มนวลจนเจ้าตัวอมยิ้มนิดๆ เพียงออส่ายหน้าเบาๆ

    “ก็...คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ” หญิงสาวเหลือบไปมองพันอิน ท่อนบนเปลือยเปล่า แม้จะเห็นบ่อยจนชิน แต่มันก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี ผู้ชายสมัยนี้ไม่ค่อยนิยมใส่เสื้อนอน แผงอกกำยำ มีรอยแผลเป็นให้เห็นอยู่ แม้มันจะหายดีแล้วก็ตาม เพียงออเอามือลูบมันอย่างลืมตัว ถึงเนื้อตัวจะมีแต่รอยแผล แต่กลับไม่ได้ทำให้ดูดีน้อยลงเลย ยามมองหน้าพันอินทีไร ใจสั่นทุกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาคมคายตามแบบฉบับชายไทย ดวงตาคมเข้มดุดัน แต่ชวนมองเป็นอย่างยิ่ง เพียงออเมินหน้าทางอื่น นึกสับสนในใจกับความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้ ชายหนุ่มมีรอยยิ้มของความพอใจอยู่นิดๆมือหนาของเขานั้นรวบผมเธอก่อนจะฉวยมันขึ้นไปดอมดม

    “ผมแม่หอมฟุ้งจรุงใจเสียจริง”

    นิ้วแกร่งไร่เรียงไปตามเส้นผมนุ่มลื่นดุจเส้นไหมอย่างหลงใหล มันทิ้งตัวลงยาวจรดเอว ส่งกลิ่นหอมยวนใจ กลิ่นน้ำมันกอกผสมกลิ่นกุหลาบ มองใบหน้าสาวภายใต้แสงเทียน ขับเน้นให้ดูนวลเนียนน่าสัมผัส ปัดผมที่เคลียออกไป เผยให้เห็นผิวขาวผ่อง เพียงออนั่งนิ่ง ไม่รู้ทำไมเวลาเขาสัมผัสจับต้องกายเธอทีไร ไม่เคยนึกรังเกียจ มันมีความขัดแย้งอยู่ภายในใจ เพราะจะว่าตามตรงเธอกับเขาไม่ได้เป็นสามีภรรยากับจริงๆ มันจึงไม่เหมาะไม่ควรเป็นอย่างยิ่งที่เขาจะจับต้องสัมผัสกายเธอแบบนี้

    สายตาคู่คมจับจ้องอยู่ที่สาวงามตรงหน้า ทั้งที่พยายามห้ามใจไม่ให้ทำอะไรเกินเลยแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้ มือไม้มันไปเองโดยไม่รู้ตัว มันเกาะอยู่บนไหล่เนียนพร้อมกับแรงปรารถนาที่ก่อตัวขึ้นเรื่อยอยู่ภายในใจ จรดริมฝีปากหนาลงไปแตะผิวเนื้อไหล่ ไล่ไปตามลำคอระหงก่อนจะหยุดกลางคัน เมื่อเธอใช้มือนุ่มดันอกเขาไว้

    “แม่รังเกียจพี่หรือ” น้ำเสียงทุ้มห้าว สายตาเว้าวอนของชายหนุ่มมันทำให้เธอหลุบตาต่ำลงอย่างสับสน

    “เปล่า..ฉัน” เพียงอออึกอัก ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี มันไม่ใช่ความรังเกียจแต่เพราะเธอกลัวใจตัวเองต่างหาก พันอินนิ่งไปชั่วครู่ ขบคิดถึงสิ่งที่เก็บไว้อยู่ในใจ มันจุกแน่นอยู่ในอกเหลือคณานับ หากไม่พูดมันออกไปเกรงว่ามันจะทำเขาอึดอัดใจตายเสียก่อน แม้รู้ว่าพูดออกไป เธออาจไม่ตอบรับแต่ก็ไม่อยากเก็บมันไว้อีกต่อไป

    “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าพี่นี้พึงใจชะแม่มาแต่แรกพบ เจ้าไม่เหมือนหญิงใดที่พี่ประสบพบเจอมา ยามแม่ฉายยิ้มช่างงามล้ำเหลือจะกล่าว หากแม้นเจ้านี้มีใจให้พี่สักเพียงกึ่งหนึ่งได้หรือไม่”

    ชายหนุ่มนิ่งฟังอย่างรอคอย มองใบหน้านวล ดวงตาคู่งามมันมีแววสับสน ใจหนึ่งมันก็อดหวังนิดๆ ไม่ได้ เขากุมมือเธอไว้แน่น จ้องนิ่งเข้าไปในดวงตาคู่หวานสีน้ำตาลเข้มว่ามันมีเขาอยู่ในนั้นหรือไม่ แต่คำตอบที่ได้มันไม่ใช่ที่เขาหวังเลยซักนิด

    “ฉัน...ขอบคุณนะค่ะสำหรับรู้สึกดีๆ ที่มีให้ แต่ฉันคงรับมันไว้ไม่ได้ ฉันไม่ใช่คนของที่นี่ จะช้าหรือเร็วฉันก็ต้องไปอยู่ดี ฉันไม่อยากมีความผูกพันใดๆ ไม่ว่ากับใครทั้งนั้น คุณเป็นคนดีนะ พันอินเพียงแต่ว่าอยู่ผิดยุคผิดเวลา ฉันไม่อาจที่จะตอบสนองความรู้สึกของคุณได้ ฉันเสียใจจริงๆ”

    เพียงออมองเขาอย่างเศร้าๆ เธอรับรู้ได้ถึงความผิดหวังเสียใจ ที่ส่อมาออกมาจากแววตาคู่คมอย่างปวดร้าว มันหม่นหมองลง เธอก็ไม่ได้อยากทำร้ายความรู้สึกเขา แต่ก็ไม่อยากให้ความลมๆ แล้งๆ กับใคร ใช่ว่าเธอจะรังเกียจรังงอนอะไรเขา แต่เพราะเธอยังมีคนที่เฝ้ารอเธออยู่ในโลกอนาคต ที่นั่นต่างหากที่เป็นโลกของเธอ ไม่ใช่ที่นี่ เธอไม่ใช่คนของที่นี่

    พันอินยิ้มอย่างเศร้าๆ มาให้ ไม่ได้มีสีหน้าโกรธเกลียดแต่อย่างใด เพราะเข้าใจดีว่าเรื่องแบบนี้มันบังคับใจกันไม่ได้ เขาทำได้เพียงทำใจยอมรับกับความผิดหวัง ยอมปล่อยมือเธอไป แม้จะเจ็บอยู่ในใจลึกๆ แต่เมื่อเจ้าตัวไม่ตอบรับเขาจะทำอะไรได้ ชายหนุ่มขยับร่างสูงใหญ่ลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกไปจากห้องทิ้งให้เพียงออมองตามอย่างคนรู้สึกผิด

    “ถ้าคุณเกิดในยุคเดียวกับฉันก็คงจะดีนะ” เพียงออพึมพำอย่างเศร้าใจ



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×