คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที 6
ระหว่างทางเจอกับขุนเดชที่เดินเชิดหน้า ก้าวอาดๆ แบบคนหยิ่งยโส พันอินหน้าเคร่งขึ้นเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมา เขาไม่ค่อยถูกกับขุนเดชผู้นี้สักเท่าไหร่ เมื่อตอนทำการค้าใหม่ๆ ขุนเดชผู้นี้เป็นศัตรูทางการค้าตัวฉกาจ คอยขัดแข้งขัดขาเขาอยู่เนืองๆ สมัยก่อนขุนเดชเคยอาศัยอยู่ในพระนคร ตอนนั้นอยู่ในยุคสงคราม ทำให้ครอบครัวของเขาหนีสงครามเข้าไปอยู่ในพระนคร ต่อมาหลังสงครามสงบลง พี่สาวขุนเดชได้แต่งงานกับเจ้าเมืองฝางฯ เขาจึงมาอาศัยบารมีพี่เขยมาอยู่ที่นี่
“พันอิน...ไม่เจอเสียนาน แม่จันดีสบายดีหรือ” ขุนเดชเอ่ยทักตามมารยาท
“แม่ข้าสบายดี แล้วท่านเล่า ข้าได้ยินว่าการค้าล่ำซำขึ้นมากโขเชียว” พันอินทักตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“หามิได้ ถึงจะดีปานใด ก็หาสู้ท่านได้ไม่ การค้างวดนี้สร้างกำไรให้ท่านมิใช่น้อย ข้าล่ะอิจฉาท่านเสียจริง
“ก็ด้วยความเมตตาจากท่านเจ้าเมืองทั้งสิ้น หาไม่แล้วคงไม่ได้ดีเช่นนี้ดอก” พันอินกล่าวอย่างถ่อมตน แต่ขุนเดชกลับคิดว่าเขากล่าวอวดเยาะเย้ยตน แอนขุ่นเคืองใจอยู่ลึกๆ แต่มันก็ส่อออกมาทางแววตาจนคนมองรับรู้ได้ เพียงแต่พันอินทำไม่รู้ไม่เห็น
ทั้งสองเข้าไปในบริเวณงาน ที่ถูกจัดเตรียมไว้รอท่า บริเวณสวน ตั่งไม้มะค่าเนื้อดีถูกนำมาวางอย่างเป็นระเบียบ พร้อมกับข้าวปลาอาหาร งานนี้ไม่ได้มีแต่พันอินกับขุนเดชเท่านั้น ยังมีพ่อค้าจากต่างเมืองอีกหลายคนที่ได้รับเชิญ ชายร่างท้วมใหญ่ ที่นั่งอยู่กลางงานส่งเสียงหัวดังลั่นอย่างอารมณ์ดี ระหว่างที่นั่งคุยกับพ่อค้าคนหนึ่งอย่างออกรส
“อ้อ..มาแล้วรึพ่อพันอิน มาๆ นั่งก่อน” เจ้าเมืองร่างท้วมเอ่ยทัก พร้อมกับผายมือชวนเชิญอย่างให้เกียรติ ชายหนุ่มจึงนั่งลงที่ตั่งตัวหนึ่งใกล้ๆ ขุนเดชเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม “นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว”
“ต้องมาสิขอรับ ท่านเจ้าเมืองจัดงานเลี้ยงทั้งที” พันอินบอกเสียงทุ้มใหญ่
“ข้าต้องกล่าวชมเสียหน่อย เหล็กกล้าที่เจ้านำมาคุณภาพสูง เหมาะที่จะเอาไปหล่อเป็นปืนใหญ่ดีนักแล นี่หลวงว่าจะสั่งเพิ่มอีก”
“เป็นพระคุณยิ่งขอรับ” พันอินยิ้มรับหน้าบานกับคำชมเชย เจ้าเมืองร่างท้วมส่งเสียงหัวเราะร่าชอบอกชอบใจเป็นการใหญ่ ขณะที่ขุนเดชแอบหมั่นไส้ คิดในใจว่าจะดีแค่ไหนมันก็เหล็กกันแหล่ะว้า มองพี่เขยอย่างเซ็งๆ
“ท่านเจ้าค่ะ ช่างฟ้อนมากันแล้ว จะให้ทำการแสดงเลยไหมเจ้าค่ะ” นางอิ่มที่คลานเข้ามาใกล้ กระซิบเสียงค่อย
“งั้นรึ! เริ่มเลยแล้วกัน แขกเหรื่อมากันครบแล้วนี่ จะรออะไร”
งานเลี้ยงเริ่มต้นอย่างครื้นเครง เสียงเครื่องดนตรีบรรเลงมีทั้งกลอง เสียงซอ สะล้อ ปี่จุ่ม เครื่องดนตรีแบบล้านนา พร้อมกับช่างฟ้อนที่ออกมาร่ายรำด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อยสวยงาม ในบรรยากาศที่มีแสงสลัวจากคบเพลิงที่ปักอยู่รายรอบบริเวณงาน กลีบดอกไม้ถูกโปรยไปทั่วงาน พร้อมกับรอยยิ้มพราวเสน่ห์ของนางรำคนงาม ทุกท่วงท่าสะกดสายตาคนในงานให้หลงเคลิ้ม
“คณะอิงฟ้านี้ เป็นคณะนางรำที่มีชื่อในเชียงใหม่ ข้าจัดมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ” เจ้าเมืองร่างท้วมเอ่ยบอกชายหนุ่มพยักหน้ารับหน่อยๆ แต่สายตายังจับจ้องอยู่ที่ช่างฟ้อนคนงามแทบจะไม่ได้ใส่ใจบทสนทนาเลยแม้เพียงนิด “ข้าได้ยินว่าแม่อิ่มรับช่างฟ้อนคนใหม่มา ใช่นางคนนี้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ นางคนนี้แหล่ะเจ้าค่ะ มาแทนคนเก่าที่เพิ่งออกไปมีผัว” นางอิ่มว่าชะม้อยชะม้ายใส่จริตจะก้านอย่างเต็มที่
“ตาแหลมนะแม่อิ่ม ท่วงท่าที่ใช้ร่ายรำข้ามิเคยเห็น แปลกตาแต่น่าดูชม ตามธรรมดานางรำทั่วไปใบหน้าจะดูเฉยชา แต่นางรำคนนี้กลับมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม สร้างความเพลิดเพลินจำเริญใจให้กับผู้ชม เห็นทีว่าข้าคงต้องตบรางวัลเพิ่มเสียแล้วกระมัง” เจ้าเมืองว่าอย่างครึ้มใจ ทำเอานางอิ่มหน้าบานเป็นกระด้ง พันอินนั้นแทบไม่ได้ฟังการสนทนาเลย เพราะเอาจ้องช่างฟ้อนอย่างไม่วางตา ในขณะที่ขุนเดชที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็มีอาการเช่นเดียวกัน สายตาคู่คมของขุนเดชที่จ้องแบบไม่กระพริบ ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นสาวงาม เพียงแต่นางรำคนนี้มีอะไรที่สะดุดตาเขาเป็นอย่างมาก ความอยากได้ฉายวาบขึ้นมาในบัดดล
การแสดงยังมีอย่างต่อเนื่องไปจนเกือบครึ่งค่อนคืน เนื่องด้วยเวลาซ้อมที่มีจำกัด ทำให้เพียงออไม่สามรถรำร่วมกับคนอื่นได้ การแสดงของเธอจึงเป็นแบบเดี่ยว กว่ามันจะจบลงได้ทำเอาช่างฟ้อน รวมถึงนักดนตรี อ่อนแรงไปตามๆ กัน แต่พอเห็นรางวัลที่ได้ทำเอาหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
บนหอกลางเรือนรับรองที่ท้ายจวน เมื่อการแสดงจบลงทั้งหมดจึงพากันกลับมา นางอิ่มลงนั่งลงบนฟูกรองนั่ง จากนั้นพวกสาว ๆก็นั่งลงตาม
“โอย..เมื่อยแขนไปหมดแล้ว” ยี่โถบ่นอุบ นั่งพับเพียบ ใช้มือทุบแขนเพื่อคลายความเมื่อยล้า หลังจากที่กลับมาพักผ่อนเมื่องานเลิก ขณะที่คนอื่นๆ นั่งล้อมวงกันอย่างเหนื่อยอ่อน
“แหม! มีงานก็บ่น ไม่มีงานก็บ่น พวกเอ็งจะเอายังไงกันเนี่ยฮึ” นางอิ่มมองค้อนนิดๆ แต่กระนั้นก็ยังอมยิ้ม “งานนี้เจ้าได้ความดีความมากกว่าเพื่อนนะเพียงออ ท่านเจ้าเมืองชมเจ้าไม่ขาดปากเลย ซ้ำยังตบรางวัลเพิ่มอีกมากโข”
“ไม่หรอกค่ะ ก็ได้พวกเรานี่แหล่ะค่ะ ร่วมมือกัน มันถึงออกมาดีไงค่ะ” หญิงสาวบอกอย่างถ่อมตัว ใบหน้าสวยเปื้อนยิ้มอยู่ไม่หุบกับคำชมที่เปรียบเสมือนรางวัล
“แต่ฉันว่าพี่รำสวยออกนะ อย่าลืมสอนให้ฉันบ้างล่ะ” จำปีว่าเสียงใส สีหน้านั้นกระตือรื้อร้นแบบคนอยากเรียนเต็มแก่ เพียงออหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดีมากมาย จันทร์แรมแอบเบ้ปากใส่ด้วยความอิจฉา
“เชอะ! ท่ารำก็งั้น ๆ ไม่เห็นมันจะงามตรงไหน ก็ของแปลกใหม่ เดียวไม่นานคนก็เบื่อ”
“เอ็งพูดแบบนี้ อิจฉาล่ะสิ! นังจันทร์แรม” จำปีขัดขึ้น จันทร์แรมอ้าปากจะเถียง
“เอาเถอะๆ พวกเอ็งก็พักผ่อนกันได้แล้ว เหนื่อยกันมาเยอะ” นางอิ่มตัดบทก่อนจะมีการโต้เถียงกันขึ้นเสียก่อน ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีคนขึ้นเรือนมาจากนั้นจึงได้เห็นขุนเดชก้าวอาดๆ มาพร้อมกับคนสนิท นางอิ่มกับบรรดาสาวลุกต้อนรับกันอย่างลนลานกับผู้เยือนที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้า เขานั่งลงแทนที่นางอิ่มและปรายตามองเพียงออที่นั่งอยู่ห่างๆ ขณะที่คนอื่นพากันก้มหน้าอย่างหวาดๆ ด้วยชื่อเสียงลือนามไปในทางที่ไม่ใครจะดีนัก จึงไม่มีใครกล้าที่จะสบตา
“ฟ้าฝนเป็นใจหรืออย่างไรเจ้าค่ะ ถึงได้ดลใจขุนเดชมาเยือนถึงเรือนของข้าได้เช่นนี้”
“มิใช่ฟ้าฝนอันใดหรอกแม่อิ่ม ข้าเห็นว่าคืนนี้คณะอิงฟ้าแสดงได้ถูกใจข้ายิ่งนัก เลยอยากตบรางวัลให้เท่านั้นเอง ข้าได้ยินชื่อเสียงคณะอิงฟ้ามาช้านาน ว่าการแสดงของคณะนี้งดงามอ่อนช้อย วันนี้ได้ประจักษ์แก่สายตา สมดั่งคำล่ำลือยิ่ง แลช่างฟ้อนแต่ล่ะคนงามปานนางฟ้า” ปากว่าแต่สายตาคู่คมจับจ้องอยู่ที่เพียงออเป็นพิเศษ มันมีประกายวาววับ ริมฝีปากหยักลึกนั้นเหยียดยิ้มพราย มองสำรวจใบหน้านวลผ่องของสาวงามด้วยความพึงพอใจ เขาดึงเอาถุงผ้าที่ผูกอยู่ที่เอวออกมา ยื่นให้เพียงออ
“คืนนี้ชะแม่ร่ายรำได้อ่อนช้อย ถูกใจข้าเป็นอย่างยิ่ง ข้าจึงปรารถนาจะตบรางวัลแก่แม่”
เพียงออลังเลอยู่ชั่วขณะ ทั้งที่ใจจริงไม่ได้อยากได้เลย แต่ไม่อยากเสียมารยาท เลยค่อยๆ คลานเข้าไปใกล้ ยื่นมืออกไปจะรับ แต่ขุนกลับจับมือเธอ ดวงตาคู่งามพองขึ้นทันที หญิงสาวดึงกลับมาด้วยไม่พอใจนิดๆ รู้สึกไม่ดีกับสายตาเขาเลย
“ถ้าไม่รังเกียจ...คืนนี้ฟ้าโปร่ง เหมาะแก่การชมดาวดีนักแล ข้าอยากเชิญแม่นางอยู่เป็นเพื่อนชมดาวกับข้าได้รึไม่” เขาว่าเสียงทุ้มนุ่ม แต่ทว่าแววตาฉายโชนอย่างแรงกล้า มันมีความนัยร้ายกาจแฝงอยู่
แค่ประโยคนี้เธอก็รู้แล้วว่าเขาคิดอะไร ที่ว่าชวนไปดูดาว ดูดาวในห้องนอนล่ะสิไม่ว่า เธอหันไปมองนางอิ่มที่นั่งทำหน้าไม่สบายใจ นางรู้ทันทีว่าเขาหวังอะไร ใครๆ ก็รู้ว่าขุนเดชผู้นี้เจ้าชู้มากเมีย แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ในสมองของเพียงออเริ่มทำงานทันที คิดหาทางเอาตัวรอด เธอรู้ว่าชายคนนี้คงมีอิทธิพลมากพอดู หากปฏิเสธไปตรงๆ คงไม่ดีแน่
“เอ่อ..เอาไว้วันหลัง...”
“ อย่าปฏิเสธข้าเลย ข้าเพียงอยากสนทนาด้วยเท่านั้น หาได้มีเจตนาร้าย “ ขุนเดชบอกเสียงเข้ม น้ำเสียงที่มันฟังดูแปร่งๆยังไงชอบกล คล้ายกับออกคำสั่งอยู่ในที แววตาขึงขังเหมือนจะบอกเป็นนัยๆ ว่า หากเธอไม่ยอมไปได้มีเรื่องแน่
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอ..ไปเปลี่ยนผ้าก่อนได้ไหมค่ะ” เธอพยายามถ่วงเวลาต่อไป ขุนเดชพยักหน้านิดรอยยิ้มเย็นฉาบอยู่ริมฝีปากมันทำเอาเธอเสียวสันหลังวาบ เพียงออรีบลุกกลับเข้าห้องไปโดยมีจำปีตามหลังมาติดๆ
ภายในห้องนอน เพียงออเดินพล่านไปมาด้วยความร้อนรน ใจครุ่นคิดกังวลว่าจะทำอย่างไรดี แต่หัวเด็ดตีนขาดเธอจะไม่มีวันยอมไปกับขุนเดช หากไปมั่นใจได้ว่าเธอไม่รอดแน่ หน้าหื่นออกจะปานนั้น ไม่รู้จักมักจี่อยู่ดีๆ มาชวนดูดาว ดูไม่ออกก็โง่แล้ว ทั้งสีหน้าท่าทางแสดงออกจะขนาดนั้น ไอ้เรื่องดูดาวเป็นข้ออ้างซะมากกว่า
“พี่ท่านไม่อยากไปหรือ” จำปีถามขึ้นทั้งๆ รู้อยู่แล้ว มองเพียงออเดินไปเดินมาอย่างกลัดกลุ้ม
“แล้วคิดว่าพี่อยากไปไหมล่ะ” หญิงย้อนถามอย่างเซ็งๆ ทันใดนั้น เสียงประตูก็แง้มเปิดเบาๆ พร้อมกับนางอิ่มและยี่โถแทรกร่างเข้ามา
“อ้าว..นี่เจ้ายังไม่ผลัดผ้าอีกรึ ขุนเดชรออยู่นะ” นางว่า เดินเข้ามาหา เหยียดยิ้มบางๆ “ตอนแรกข้านึกว่าเจ้าจะอยู่กับเรานานๆ เสียอีกวาสนาเจ้าแล้ว เพียงออเอ๋ย” นางพูดราวกับว่าเธอจะไปขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าเสียอย่างนั้น แต่เธอกลับคิดว่านรกชัดๆ
“แม่อิ่ม...ฉันไม่อยากไป แม่อิ่มช่วยฉันที” เพียงออมองด้วยสายตาอ้อนวอน ร้องขอความเห็นใจจากอีกฝ่าย ถ้าให้เธอไปเป็นเมียขุนเดช เธอยอมตายดีกว่า นางอิ่มขมวดคิ้วนิดๆ ด้วยความแปลกใจ
“เอ็งนี่ก็แปลกเนาะ ขุนเดชออกจะร่ำรวยล้นฟ้า มากบารมี ไปเป็นเมียขุนเดชได้สบายไปทั้งชาติ ไม่ดีรึไง” ยี่โถพูดอย่างแปลกใจ
“ไม่ดี ฉันไม่อยากเป็นเมียขุนเดชอะไรนั่น...แม่อิ่ม..แม่อิ่มช่วยฉันหน่อยนะ เพราะถึงตายยังไงฉันก็ไม่ไปหรอก”
เพียงออยืนยันแบบหัวชนฝา อยู่ดีๆ จะให้ไปเป็นเมียคนแปลกหน้า จ้างให้เธอก็ไม่เอาหรอก นางอิ่มมีท่าทีอึกอักหนักใจอย่างสุดแสน เพราะรู้กิตติศัพท์ขุนเดชผู้นี้ว่าร้ายกาจขนาดไหน หากอย่างได้อะไรต้องได้ การปฏิเสธเขาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็เห็นใจเพียงออ
“เวรกรรมจริงๆ เจ้าจะให้ข้าทำฉันใด ขุนเดชรึก็มีอิทธิพลอยู่มากโข คนทั่วเมืองต่างเกรงบารมีขุนเดชผู้นี้ เฮ้อ! เอาอย่างนี้แล้วกัน หากเจ้าไม่ยินยอม เจ้าก็หนีไปเสีย ข้าช่วยได้เท่านี้แหล่ะ” นางอิ่มว่าหน้าเครียด
“แต่แม่อิ่ม ทำเช่นนี้จะดีหรือ หากขุนเดชเอาเรื่องขึ้นมาเรามิพากันซวยหมดรึ” ยี่โถแย้งขึ้นมาอย่างหวั่นๆด้วยความรักตัวกลัวตาย
“แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร ก็คนเขาไม่เต็มใจ จะบังคับขู่เข็ญก็กระไรอยู่ เอานี่ไป รีบๆ เก็บของแล้วก็ปีนออกไปทางหน้าต่างเสีย ก่อนที่ขุนเดชจะรู้” นางอิ่มยื่นถุงให้อัฐ
“แต่ว่า...แม่อิ่ม ถ้าฉันหนีไปแบบนี้ แม่อิ่มจะเดือดร้อนรึเปล่าคะ” เพียงออมีสีหน้าลังเลไม่แน่ใจ ใจจริงมันก็ไม่อยากอยู่ แต่ถ้าหนีไปแล้วกลัวว่าขุนเดชจะเอาเรื่องคณะอิงฟ้า
“เจ้าห่วงตัวเองเสียก่อนเถิด ไม่ต้องห่วงเราหรอก ข้ากับท่านเจ้าเมืองรู้จักมักคุ้นกันมานาน หากขุนเดชจะเอาเรื่องจริง ยังพอได้ไปพึ่งใบบุญท่านเจ้าเมืองได้อยู่ รีบเก็บของแล้วไปเสีย” นางอิ่มว่า
แต่ขณะนั้นบริเวณหน้าห้องจันทร์แรมแอบฟังด้วยความอิจฉาจนตาร้อนผ่าว หล่อนเกลียดแสนเกลียดเพียงออ ตั้งแต่เธอเข้ามา หล่อนก็แทบหมดความหมาย นางอิ่มเอาใจสารพัด ขนาดว่าเศรษฐีอย่างขุนเดชยังให้ความสนใจ แอบยิ้มกริ่มในใจ คิดจะหนีเหรอ? แค่นเสียงหัวเราะดังหึแบบคนมุ่งร้าย รีบเดินไปหาขุนเดชที่ยืนอยู่ที่รั้วระเบียงมือไพล่หลังอย่างอารมณ์ดี หวังจะเอาหน้า
เพียงออรีบเก็บของใช้ที่จำเป็นยัดใส่กระเป๋าสะพายอย่างรีบร้อน เธอเปลี่ยนมานุ่งผ้าธรรมดา หามามองนางอิ่ม ก่อนจะยกมือมือไหว้ขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณนะจ๊ะแม่อิ่ม บุญคุณนี้ฉันจะไม่ลืมเลย”
“เออ..รีบไปเถอะ”
“จำปี..พี่ไปล่ะนะ”
“โชคดีนะพี่”
เพียงออตั้งท่าจะปีนออกทางหน้าต่าง แต่ทว่าพอมองลงไปข้างทำเอาใจหวิวสั่น ก็มันอยู่สูงเอามากๆ สูดหายใจเข้าลึกๆ เอาวะ ตายเป็นตาย แต่ทว่าเธอนั่งอยู่บนขอบหน้าต่างยังไม่ทันกระโดด ประตูก็เปิดผลัวะออกมาจากแรงถีบ เธอทันเห็นหน้าขุนเดชอยู่แวบหนึ่ง ก่อนที่ร่างจะร่วงลงพื้นดังตุบ! ก้นกระแทกพื้นร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด แต่พอเงยหน้าขึ้นมอง เห็นขุนเดชชะโงกหน้าออกมาทางหน้าต่างด้วยสีหน้าท่าทางแบบคนโกรธจัด เธอรีบยันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก แม้จะเจ็บร้าวบั้นท้ายมากเพียงใด แต่ขืนอยู่เธอได้กลายเป็นเมียขุนเดชคนนี้แน่ พยายามพาตัวเองออกมาจากตรงนั้นอย่างเร็วรี่หนีแบบไม่คิดชีวิต ยังไงก็ขอไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายตามหลัง แต่เรื่องอะไรเธอจะหยุดฟัง
ด้านขุนเดช มองตามหลังหญิงสาวที่วิ่งหนีหายไปในความมืดด้วยความเจ็บใจ มือกำดาบไว้แน่น มีแต่คนอยากเป็นเมียเขาทั้งนั้น แต่นางคนนี้กลับหนีเขา
“เฮ้ย! พวกมึง ไปตามกลับมาให้ได้” เขาสั่งลูกน้องเสียงดังลั่น ชายสองคนที่ตามเข้ามาพยักหน้ารับ ก่อนจะพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ขุนเดชขบกรามแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนออกมาอย่างน่ากลัว ดวงตาฉายวาววาบ ใจมันโมโหแบบสุดๆ คิดจะหนีรึ อย่างฝันเฟื่องเลย จากนั้นหันมาเอาเรื่องกับนางอิ่มที่ยืนหลับมุมอย่างหวาดหวั่น จำปีกับยี่โถยืนหลบหลังด้วยความกลัวสุดขีด
“มึง! กล้ามากที่ช่วยนางหนี ไว้กูได้ตัวนางเมื่อไหร่ กูจะมาชำระความกับพวกมึง” ขุนเดชชี้หน้าด่ากราด ทำเอาทั้งสามสยองกันเป็นแถบๆ ก่อนจะหุนหันออกไป ทั้งสามตัวแข็งทื่ออยู่ชั่วขณะ นางอิ่มตวัดสายตามองจันทร์แรมที่เกาะประตู เหยียดยิ้มด้วยความพอใจ ก่อนที่มันจะจางหายไปเมื่อนางอิ่มส่งสายตาพิฆาตมาให้
“ มึงใช่ไหมอีจันทร์แรม ที่คาบข่าวไปบอกขุนเดช ไม่งั้นอยู่ดีๆ ขุนเดชจะรู้ได้ยังไงว่าเพียงออกำลังจะหนี “ นางอิ่มว่าเสียงเข้มด้วยความโมโห เพราะรู้ๆ อยู่ว่าจันทร์แรมไม่พอใจในตัวเพียงออ “สะใจมึงแล้วสิ”
“ถึงฉันไม่บอก ขุนเดชก็รู้อยู่ดี” จันทร์แรมเชิดหน้าขึ้นเถียง
“มึงนี่มันเหลือทนจริงๆ นะ” นางอิ่มพูดโพล่งออกมาอย่างเหลืออด ตั้งใจจะถ่วงเวลาให้เพียงออหนีไปได้ไกลๆ เสียหน่อย แอบเป็นห่วงอยู่ในใจ ขอให้เอ็งให้รอดเถอะเพียงออ ก่อนจะหันไปสั่งจำปีกับยี่โถหน้าเคร่ง
“ พวกเอ็งไปบอกพวกนักดนตรีให้เก็บข้าวเก็บของ “
“อ้าวเก็บของทำไมล่ะแม่อิ่ม” จันทร์แรมถามขึ้นด้วยความฉงน
“รึมึงจะให้กูอยู่รอขุนเดชกลับมาชำระความ หากมึงอยากอยู่มึงก็อยู่ไปคนเดียวเถอะ” นางอิ่มว่าใส่เสียงดังด้วยความโมโห ส่ายหน้าอย่างระอาก่อนเดินออกไป ปล่อยจันทร์แรมยืนหน้าเสียอยู่คนเดียว
ความคิดเห็น