ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรหมลิขิตรักสองภพ

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 58




    CR.SQW


    ประตูเมืองฝางสวรรคบุรี ขบวนขนส่งสินค้าที่เร่งฝีเท้าจนแทบจะไม่ได้พักกันเลย แม้จะล่าช้าไปบ้างเพราะถูกซุ่มโจมตีจากโจรป่า แต่กระนั้นพันอินก็ยังอุตส่าห์ ดั้นด้นนำสินค้ามาส่งตรงเวลาที่กำหนดได้ทัน เพราะถือคำมั่นในสัจจะวาจาเป็นอย่างยิ่ง การตรงต่อเวลาเป็นเรื่องที่เขาให้ความสำคัญ เขาเลือกที่จะได้ทางบกมากกว่าทางน้ำตามความเคยชิน

              อีกด้านหนึ่งชายร่างใหญ่ หน้าขรึมเคร่ง เฝ้ามองขบวนสินค้าผ่านประตูเมืองไป สองมือไขว่หลัง ขุนเดชเศรษฐีผู้มีอิทธิพลที่สุดในเมืองฝางฯ วัยสามสิบเจ็ด เป็นพ่อค้าวานิชค้าเหล็กกล้าเช่นเดียวกับพันอิน หากแต่ว่าสินค้าของเขานั้นไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ไม่ได้รับความสนใจจากหลวงเท่าใดนัก จึงมีความขุ่นใจในตัวพันอินคู่แข่งคนนี้อยู่พอตัว

              “ขบวนสินค้าของพันอินมาถึงจนได้นะขอรับ” สินทาสรับใช้คนสนิทเอ่ยเสียงเบา รูปร่างผอมเก้งก้าง ดวงตาลอกแลก มีนิสัยเป็นขี้ประจบสอพลอ

              “กูล่ะชังน้ำหน้ามันยิ่งนัก ดูทีรึท่าทางยโสโอหังของมัน ก็แค่พ่อค้าต่างถิ่น ท่านเจ้าเมืองนี่ก็กระไร แทนที่จะส่งเสริมพวกเดียวกันเอง กลับไปยกยอคนต่างเมือง” ขุนเดชบ่นอุบด้วยความหงุดหงิดใจ เพราะถ้าจะว่ากันตามศักดิ์เจ้าเมืองฝางฯคนนี้ก็เป็นพี่เขยของตน หากจะช่วยก็คงช่วยได้อยู่หรอก แต่เพราะเจ้าเมืองคนนี้เป็นคนเถรตรงยิ่งกว่าอะไรดี หากเป็นเรื่องงานไม่เคยนับพี่นับน้องกับผู้ใด สร้างความไม่พอใจให้เขาไม่น้อย ได้แต่เจ็บใจอยู่ลึกๆ

     

              วันต่อมา เพียงออตื่นแต่เช้าอย่างงัวเงีย พร้อมกับความผิดหวัง มันไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือความจริงที่แสนร้ายกาจ เธอยังอยู่สถานที่ที่ต่างจากโลกของเธอโดยสิ้นเชิง แม้จะต้องพยายามปรับตัวและทำใจให้ชิน แต่มันก็ยังตะขิดตะขวงใจอยู่ ไม่รู้ว่าต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกลับไป เธอมานี่ได้ยังไงยังไม่รู้เลย

              ในยามสายหญิงสาวออกไปรวมกับคนอื่นที่ใต้ถุนบ้าน มีการฝึกซ้อมก่อนจะมีงานเลี้ยงต้อนรับพ่อค้าในเย็นวันพรุ่ง คณะอิงฟ้าแห่งนี้ยังมีนักดนตรีชายอักหลายคน ทำให้เพียงออคิดถึงคณะเอื้องหลวงขึ้นมาจับใจ แม้จะอยู่ต่างที่ แต่บรรยากาศเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ทำให้เธอรู้สึกสบายใจอยู่บ้าง นางอิ่มนั่งมองหญิงสาวร่ายรำให้ดูด้วยความสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง

              “กระบวนท่าที่เจ้าใช้ร่ายรำ มันช่างดูแปลกตาเสียนี่กระไร เจ้าหัดมาจากที่ใดรือ” นางอิ่มเอ่ยถามอย่างสนใจใคร่รู้

              “หนูเรียนมาจากโรงเรียนนาฏศิลป์ค่ะ หนูรำได้หลายอย่างนะค่ะ ฟ้อนสาวไหม ฟ้อนเล็บ ฟ้อนจ้อง ฟ้อนแง่น หนูรำได้หมดแหล่ะค่ะ” หญิงสาวบอกเสียงสดใส ซึ่งเธอไม่ได้กล่าวโอ้อวดเกินจริงเลย เพราะตอนอยู่คณะเอื้อหลวงเธอก็เป็นตัวเอกของคณะ

              “ข้าหาเคยได้ยินกระบวนท่าที่เจ้าว่าไม่” นางอิ่มว่าพลางนิ่วหน้า เพียงออยิ้มกริ่ม แน่ล่ะหล่อนจะไปเคยได้ยินได้ยังไงกัน ในเมื่อมันเพิ่งจะถูกคิดค้นมาในไม่กี่ปีให้หลังนี้เอง เป็นท่วงท่าร่ายรำแบบใหม่ สมัยนี้คงยังไม่มี

              “แล้วท่าที่เจ้าใช่เมื่อครู่มันเรียกว่าอะไร”

              “ฟ้อนขันโตกค่ะ ไว้ใช้รับแขกบ้านแขกเมือง”

              “เหมาะเลย! ข้าจะให้เจ้าเป็นตัวเอกในงานเลี้ยงวันพรุ่ง” นางอิ่มบอกอย่างอารมณ์ดี

              “แต่แม่อิ่มจ๊ะ ไหนแม่อิ่มว่าจะให้ฉันเป็นตัวเอกแทนพี่พิณทองอย่างไรเล่า” จันทร์แรมท้วงขึ้นมาทันทีด้วยความไม่พอใจ

              “ของเอ็งน่ะมันของเก่าแล้ว งานนี้เป็นงานสำคัญ เอาน่าไว้งานหน้าข้าจะให้เอ็งนำ”

              “จริงจะแม่ ท่วงท่าของแม่เพียงออแม้จะแปลกตา แต่ก็งดงามอ่อนช้อย หากท่านเจ้าเมืองเห็นคงจะพอใจมิใช่น้อย ดีไม่ดีอาจตบรางวัลให้เราเพิ่มอีกก็เป็นได้” ด้วงหนุ่มน้อยหน้ามน ที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ คอยบีบนวดอย่างเอาเอาใจพูดประจบ ทำเอานางอิ่มยิ้มหน้าบานกันเลยที่เดียว

              จันทร์ทำหน้างอง้ำขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่กล้าขัดอะไร ถึงในใจจะไม่พอใจอยู่ลึกๆ ความอิจฉาก่อตัวขึ้นมา ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นเพียงออหล่อนก็ไม่ชอบหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นี่ยังมาแย่งตำแหน่งตัวเอกของคณะไปอีก นั่งกระฟัดแบบเงียบๆ


     

                           

                                              บทที่ 3

     

              ย่านตลาด แหล่งชุมชน เสียงอึกกระทึกครึมโครม มันคลาคล่ำไปด้วยผู้คนหลากชนชั้น ต่างเชื้อชาติ หลากวัฒนธรรม เป็นย่านที่เต็มไปด้วยสีสัน เสียงตีฆ้องร้องป่าวเรียกร้องให้ผู้คนสนใจ มีการแสดงปาหี่ในบริเวณตลาด เด็กเล็กๆ  วิ่งซนกันวุ่น รอบๆ บริเวณจัดงาน ไว้ผมจุก นุ่งโจงกระเบนแบบเด็กสมัยก่อน เพียงออเดินจูงมือกับจำปีซึ่งตอนนี้กลายเป็นเพื่อนซี้ต่างวัยของเธอไปแล้ว พร้อมกับด้วงที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยอีกคน เพลินกับการชมทัศนียภาพเบื้องหน้าที่ถ้าเป็นยุคปัจจุบันเธอจะไม่มีวันได้เห็น การใช้ชีวิตของผู้คนที่นี่กับยุคของเธอมันช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว มองดูชาวบ้านที่พากันเอาสินค้ามาแลกเปลี่ยนซื้อขายกันอย่างเพลินใจ มีทั้งผลหมาก รากไม้ อาหารแห้งสารพัด รวมถึงเครื่องนุ่งห่มที่ถักทออย่างประณีตวิจิตรตระการตา คิดว่าหากเอาไปเล่าให้ใครฟังคงไม่มีใครเชื่อว่าเธอจะได้ย้อนเวลากลับมาเมื่อสี่ร้อยปีก่อนเป็นแน่ และยิ่งมีคนต่างชาติที่เดินขวักไขว่อยู่ในชุดแต่งกายประจำชาติ เป็นภาพแปลกตาที่คงหาไม่ได้ในยุคของเธอ

                    ยุคนี้เป็นยุคที่เฟื่องฟูเรื่องเศรษฐกิจ การค้าขายกับชาวต่างชาติ รวมถึงบทบาทในทางการเมืองที่เริ่มมีเข้ามาในรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ แม้เธอจะไม่ใช่นักประวัติศาสตร์แต่ก็เคยอ่านผ่านตามาบ้าง ด้วยความครึ้มอกครึ้มใจเธอดึงเอาโทรศัพท์ออกมาจากเอว ตั้งใจจะถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานเผื่อว่าได้กลับไป คนจะได้รู้เธอได้มาสัมผัสกับสถานที่แห่งนี้จริงๆ แต่ทว่ามันเป็นสิ่งที่พลาดมหันต์ แค่เธอกดชัดเตอร์ แสงแฟลชวาบขึ้นมา ทำเอาคนที่อยู่รอบๆ ข้างแตกกระเจิงด้วยตกใจ ต่างมองเธอราวกับตัวประหลาดต่างถิ่น มองแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่อยู่ในมือเธอด้วยความหวาดกลัว พากันถอยกรูออกไปห่างๆ ราวกับกลัวว่ามันจะระเบิด หรือพ่นพิษร้ายกาจใส่

                    “เฮ้ยอะไรวะนั่น”

                    เสียงแม่ค้าคนหนึ่งโพล่งออกมาด้วยความแปลกใจระคนสงสัย จำปีกับด้วงรีบดึงเธอออกมาจากตรงนั้น ก่อนที่จะโดนรุม เพราะมีบางคนกระซิบกระซาบที่พอจะจับใจความว่า แม่มด มนต์ดำ หรือคุณไสยอะไรนี่แหล่ะ เธอเองก็ลืมคิดไปว่าคนยุคนี้คงจะไม่รู้จักไอ้เครื่องไม้เครื่องมือแบบนี้กันหรอก ดีไม่ดีอาจคิดว่าเธอเป็นแม่มดหมอผีก็เป็นได้ อดขำไม่ได้ คนสมัยก่อนเห็นอะไรผิดธรรมชาติก็มักคิดว่ามันเกิดจากเวทย์มนต์ทั้งนั้น

                    อีกมุมของตลาด เมื่อพักผ่อนจนมีแรงหลังจากการที่หน้าดำคร่ำเคร่งกับสินค้ามานานนับเดือน พันอินกันบุญลือคนสนิท พร้อมชายฉกรรจ์ราวสามคน ออกมาเที่ยวชมตลาด

                    “เมืองฝางฯนี้แลดูคึกคักกว่าหนก่อนมากโข” พันอินเอ่ยขึ้นมาลอยๆ กวาดสายตาคมเข้มมองผู้คนที่เดินสวนกันไปมาให้ควัก

                    “ขอรับ แลยามนี้มีพวกฝรั่งมังค่าจากต่างถิ่นแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย ทำให้การค้าขายในเมืองนี้คล่องตัวขึ้น” บุญลือบอกพลางยิ้มนิดๆ

                    “แต่กระผมไม่ค่อยชอบไอ้ฝรั่งหัวแดงนี่เท่าไหร่เลยขอรับ ร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ แต่งกายก็แปลกประหลาดเหลือแสน แถมกระผมยังเห็นพวกมันกัดปากกันด้วยนะขอรับ” อ้ายก้านทาสรับใช้อีกคนกล่าวพลางป้องปากพูดเสียงค่อย ทำเอาพันอินกับสินหัวเราะร่วนอย่างนึกขัน

                    “เขาไม่ได้กัดปากกันดอกไอ้ก้าน” พันอินพูดพลางกลั้วหัวเราะให้กับสีหน้าที่ดูเซ่อซ่าของทาสหนุ่ม เพราะทำการค้าขายมานาน ทำให้พันอินได้คลุกคลีตีโมงกับชาวต่างชาติพอสมควร เขาชอบที่จะได้เรียนรู้รับเอาสิ่งใหม่ๆ จึงไม่ใช่คนหัวโบราณเท่าไหร่นัก เป็นการแสดงออกถึงความรักอย่างหนึ่ง ขนบธรรมเนียมแลวัฒนธรรมของเรามันต่างกัน ชาวสยามเราถือเนื้อถือตัว ชายหญิงจะไม่ใกล้ชิดกันเกินงาม แต่สำหรับพวกฝรั่งมังค่าการถูกเนื้อต้องตัวกันเป็นเรื่องธรรมดา เอ็งเห็นพวกนั้นไหม พันอินชี้ไปที่ชายชาวต่างชาติสองคนที่ยืนคุยกันอยู่มุมหนึ่ง อ้ายมองตามมือนายหนุ่ม เห็นทั้งคู่จับมือกันเขย่าแบบเอาเป็นตาย นั่นเป็นการทักทายกันแบบฉันท์มิตร

                    “แต่กระผมก็ยังเห็นว่ามันแปลกอยู่ดีขอรับ”

    ก้านว่า พันอินส่ายหน้าหัวเราะออกมาซะยกใหญ่ ทาสที่เอาแต่ทำงานหนักอย่างก้านที่วันๆ เอาแต่จับดาบ หรือไม่ก็จอบพลั่ว จะหวังให้มาเข้าใจอะไรแบบนี้มันก็ยากอยู่ ตัวหนังสือซักตัวยังอ่านไม่ออก ชายหนุ่มเลิกที่จะโน้มน้าวให้เขาเข้าใจ เพราะสายตาดันเหลือบไปเห็นหญิงสาวนางหนึ่งเข้าเสียก่อน

                    แวบแรกเขาจำเธอได้ในทันที แม้เธอจะดูเปลี่ยนไปจากครั้งก่อนที่เจอกันราวกับคนล่ะคน แต่เขาจำเธอได้ไม่มีวันลืม เรือนผมยาวสยายพลิ้วไหว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกลมโตสุกใสราวกับลูกแก้วแวววาว ดวงหน้านวลผ่องคล้ายจันทร์ส่องสว่างในคืนวันเพ็ญ เธอห่มสไบสีชมพูอมส้ม นุ่งผ้าถุงสีน้ำตาลแก่เหลือบทอง แม้กิริยาท่าทางออกจะดูกระโดกกระเดกไปบ้าง แต่มันไม่ได้ทำให้ความงามลดน้อยถอยลงเลย ชายหนุ่มยังจ้องราวกับเคลิบเคลิ้มอยู่หลายนาที จนบุญลือเรียกขึ้นเขาจึงรู้ตัว

                    “ ท่านพันอิน เป็นอะไรหรือขอรับ? เหม่อเชียว บุญลือว่า แต่พอมองตามสายตาของผู้เป็นนายถึงกับอมยิ้ม สายตาคู่คมที่ไม่เคยแม้แต่ชำเลืองมองนางใด แต่กลับถูกนางผู้นั้นตรึงจนไม่อาจล่ะสายตาได้ เขาไม่ทันได้พูดอะไรต่อ พันอินเดินดุ่มๆ ตรงไปหาด้วยสีหน้ามาดมั่น

                    เพียงออกำลังยืนมองเบี้ยในมือที่นางอิ่มให้มาด้วยความฉงน พลางนึกสงสัยว่าเขาใช้กันยังไงหว่า มันเป็นอะไรที่คล้ายๆ เปลือกหอย หรือปะการังอะไรนี่แหล่ะ ระหว่างที่จำปีเลือกซื้อเครื่องประดับ ขณะที่ด้วงให้ความสนอกสนใจมีดดาบที่วางขายอยู่ใกล้ๆ ทันใดนั้นพอเธอเหลือบไปเห็นชายหนุ่มที่ตรงปรี่เข้ามาหา หญิงสาวสะดุ้งโหยงราวกับเห็นผี แน่นอนว่าเธอจำชายคนนี้ได้ดี เธอไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร แต่ที่แน่ใจได้ก็คือเขาเป็นฆาตกร ภาพที่เขาฆ่าคนตายยังติดตาเธออยู่ เพียงออถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความตกใจกลัว

                    “แม่...”

                    เขาพูดได้แค่นั้น เพียงออไม่อยู่รอฟังรีบคว้าแขนจำปี แล้วรีบเดินหนีมาอย่างเร่งรีบ พันอินมองตามด้วยความงุนงงเป็นที่สุด ขณะที่ด้วงโงหัวขึ้นมาเห็นสองสาวเดินลิ่วๆ ไป จึงรีบวิ่งตาม

                    “เดี๋ยวสิพี่เพียงออ จะรีบไปไหน” จำปีถามอย่างสงสัย เธอยังเลือกซื้อของไม่เสร็จเลย ขณะที่เพียงออยังสาวเท้าก้าวไวๆ ซอกแซกผ่านผู้คนที่หนาตา ท่าทางดูร้อนรนจนจำปีนิ่วหน้า

                    “ก็ผู้ชายคนนั้นน่ะสิ เขาเป็นฆาตกร เขาฆ่าคนตายเธอบอกเสียงหอบ คอยเหลียวหลังเป็นระยะ

                    “แล้วมันแปลกตรงไหนหรือ” ด้วงที่ตามมาติดๆ ถามราวกับเป็นเรื่องธรรมดาที่เห็นจนชิน

                    “นี่พวกเธอเข้าใจที่ฉันพูดรึเปล่าเนี่ย เขาฆ่าคนตายนะ” เพียงออพูดย้ำคิดว่าทั้งสองคงได้ยินเธอไม่ชัด แต่ทั้งคู่ไม่ได้มีท่าทีตกใจหรือกลัวอะไรเลย กลับมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ สำหรับทั้งสองการพบเห็นคนฆ่ากันตายมันไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตอะไร แต่สำหรับเพียงออมันไม่ใช่ เพราะมัวแต่เหลียวหลังทำให้เธอไปชนเข้ากับใครคนหนึ่งอย่างแรงโดยไม่ตั้งใจ

                    “เฮ้ยอะไรวะ?” ชายคนที่โดนชนสบถออกมาอย่างหัวเสีย  ก่อนเปลี่ยนเป็นเหยียดยิ้มเมื่อเห็นคนชน เพียงออตกใจมากรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

                    “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” เธอรีบพูดอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะเห็นหน้าคนที่เธอชนถนัด เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่บึกบึน ผิวสีเข้ม  แวบหนึ่งเธอเผลอทำหน้าหวาดกลัวขึ้นมา ท่าทางที่ดูหน้ากลัว แม้ปากจะยิ้มแต่ทว่าไรหนวดดกเฟิ้มส่งผลให้เขาไม่น่าไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง

                    “หามิได้เอ็งเป็นคนต่างถิ่นกระนั้นรือ ข้ามิเคยเห็นเอ็งมาก่อนเลย” น้ำเสียงที่มันอ่อนลงกว่าเมื่อกี้กิริยาที่เปลี่ยนไปแต่มันอย่างนั้นก็ยังน่ากลัวอยู่ดีสำหรับเธอ สายตาที่มองมันดูพออกพอใจเป็นอย่างยิ่ง เพียงออค่อยๆ ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างระแวดระวังทำท่าจะหันหลังกลับ ชายคนนั้นเอื้อมมือหยาบหนามาคว้าข้อมือเธอไว้อย่างถือวิสาสะ เพียงออใจหายวาบ นี่เธอหนีเสือปะจรเข้ารึไงกันเนี่ย ทำไมคนที่นี่หน้ากลัวกันจัง

                     “เดี๋ยวก่อนสิจะเร่งไปไหนล่ะแม่”

                    เพียงออพยายามแกะมือเขาออกแต่มันติดหนึบ ได้กลิ่นตัวเหมือนหืนชวนคลื่นไส้จากชายคนดังกล่าว จำปีกับด้วงที่ยืนดูเหตุการณ์รีบเข้ามาช่วย


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×