คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1
บทที่ 1
หนึ่งวันก่อนหน้า...
เสียงเจี้ยวจ้าวของบรรดาสาวๆ ที่กำลังจ้อกันอย่างสนุกสนานดังแข่งกันราวกับฝูงนกกระจอกแตกรัง ภายในรถตู้สีขาวคันเขื่อง ที่กำลังแล่นเข้าไปจอดบริเวณลานจอดรถในเขตอุทยานประวัติศาสตร์ มรดกโลกแห่งสำคัญในจังหวัดอยุธยา เป็นเวลาบ่ายอ่อนๆ เสียงรถราคลาคล่ำที่ขวักไขว่ไปมา เนื่องในวันหยุดยาวจึงมีนักท่องเที่ยวละลานตาที่แห่กันมาเที่ยวชมความสวยงามของโบราณสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศเลยก็ว่าได้
เมื่อรถจอดสนิท พวกสาวๆ ต่างทยอยลงจากรถอย่างเบิกบาน คณะ เอื้องหลวง เป็นคณะนางรำเลื่องชื่อแห่งหนึ่งในเชียงราย โดยมี แสงอรุณ กับ เทียนไชย สองสามีภรรยาเป็นผู้ดูแล ทั้งคู่ลงมาจากรถกระบะสีขาวอีกคันที่ขับตามกันมา คณะนางรำแห่งนี้โด่งดังมากในภาคเหนือ โดยมีตัวเอกของคณะ คือ เพียงออ สาวน้อยวัยยี่สิบสามปี และเป็นญาติห่างๆ ของ แสงอรุณ กับ เทียนไชย ด้วย ทางคณะได้รับการว่าจ้างให้มาทำการแสดงงานบวงสรวงในวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดอยุธยา และเมื่อหลังจากจบงานจึงถือโอกาสเที่ยวกันต่ออีกวัน ซึ่งทำให้พวกสาวๆ ถูกใจเป็นอย่างมาก
“สาวๆ ฟังทางนี้...พี่มีเวลาให้สองชั่วโมงนะ จากนั้นเราจะมาเจอกันตรงนี้ ตกลงไหม” สาวใหญ่วัยสี่สิบเศษตบมือเสียงดังเพื่อให้สาวๆ หันมาสนใจฟัง แสงอรุณ เจ้าของคณะผู้ใจดีเอ่ยเสียงนุ่มด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และดูเป็นกันเอง บรรดาสาวๆ พยักหน้ารับอย่างสดชื่นแจ่มใส ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปอย่างตื่นเต้น
ในบริเวณอุทยานฯมีโบราณสถานอันเก่าแก่ที่ทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมยังพอมีหลงเหลือให้เห็นบ้าง บ่งบอกถึงความเป็นมาว่ากว่าจะมาเป็นสยามประเทศจนถึงทุกวันนี้ เหล่าบรรพบุรุษต้องแลกด้วยหยาดเลือดมามากมายเท่าใด ถึงคงความเป็นเอกราชให้ลูกหลานได้มีแผ่นดินอยู่ เพียงออ สาวน้อยช่างฝันผู้หลงใหลในประวัติศาสตร์อันเก่าแก่เป็นชีวิตจิตใจ เพลิดเพลินกับการชื่นชมมันเป็นอย่างมาก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้มาเที่ยวสถานที่แห่งนี้ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ มากมาย พื้นเพเดิมเธอเป็นคนกรุงเทพฯ ครอบครัวฐานะปานกลาง เธอเป็นคนรูปร่างสมส่วน เอวบางร่างน้อยตามแบบฉบับนางรำทั่วไป ปากนิดจมูกหน่อยที่เข้ากันได้อย่างลงตัว ผิวขาวอมชมพูระเรื่อ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ดวงตากลมโตสุกใสเป็นวงรี
“บัว...ฉันเห็นมีซุ้มขายของแถวๆ โน้นลองไปดูกันไหม” หญิงสาวเอ่ยชวนเพื่อนสนิทด้วยเสียงสดใส
“จะมีอะไร นอกจากพวกของฝาก ของเก่าๆ ไม่เห็นน่าสนใจเลย”
บัวรินหญิงสาวหน้าตาที่ออกไปทางค่อนข้างดุเล็กน้อย รูปร่างผอมบางย่นจมูกอย่างเซ็งๆ หล่อนเป็นน้องสาวเจ้าของคณะ และอีกนัยหนึ่งก็เป็นญาติเธอด้วยทั้งคู่สนิทสนมกันมากพอดูมักไปไหนมาด้วยกันตลอด เพียงอออมยิ้มนิดๆ เพราะรู้ว่าญาติสาวคนนี้นิยมชมชอบที่จะเดินห้างสรรพสินค้าที่มีแอร์เย็นฉ่ำมากว่าที่จะมาเดินตากแดดในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้
“น่า..มาเที่ยวทั้งทีก็ทำหน้าให้ร่าเริงหน่อยสิ!”
“ก็มันร้อนนี่” หล่อนว่าเสียงขุ่น ไม่ได้อยากมาเลย แต่ถูกเพียงออลากมาเป็นเพื่อนด้วย ทั้งที่จริงแล้วอยากนอนอยู่ในโรงแรมมากกว่า
“แหม! ทีเดินห้างฯ เดินได้เป็นวันๆ เลยนะ” เพียงออแซวอย่างขำๆ
“แน่ล่ะ! ก็มันเย็นนี่ ใครจะเหมือนเธอ ชอบจริงไอ้เดินอาบเหงื่อแบบนี้”
บัวรินบ่นกระปอดกระปอดไปตลอดทาง เพียงออจึงหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีนัก
ในบริเวณอุทยานฯ โซนด้านหลังมีซุ้มขายของฝากเต็มไปหมด มีทั้งเสื้อผ้า ของใช้ ของตกแต่ง เครื่องประดับ เครื่องลายครามต่างๆ ที่สวยงามเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวหยิบจับติดมือกลับไปพร้อมเสียงพ่อค้าแม่ค้าที่ร้องเรียกลูกค้าดังอยู่เป็นระยะๆ ตามรายทาง โดยเพียงออควงแขนบัวรินเข้าร้านนั้นที ร้านนี้ทีอย่างสนุกสนาน เธอไปหยุดอยู่ที่ร้านขายเครื่องประดับ และสนอกสนใจมันมากเป็นพิเศษ
“สนใจอันไหนกันบ้างจ๊ะ เนี่ยของเก่าๆ ทั้งนั้นนะ เดี๋ยวป้าลดให้เป็นพิเศษเลย”
หญิงวัยห้าสิบเศษ รูปร่างอวบอ้วนส่งยิ้มอย่างมิตรให้กับลูกค้าสาว ดวงตาเล็กหยีหรี่ลง พยายามที่จะสาธยายสรรพคุณสินค้าอย่างกระตือรื้อล้น เพราะวันนี้ทั้งวันยังขายไม่ได้เลยซักชิ้น จนชักเริ่มจะหงุดหงิดกว่าจะเรียกเงินออกมาจากกระเป๋าจากนักท่องเที่ยวได้แต่ละบาทมันช่างยากเย็นเหลือใจ หล่อนมองเพียงออที่ยืนดูสินค้าอย่างใจจดใจจ่อ เห็นสาวน้อยหยิบชิ้นนั้น ชิ้นนี้ขึ้นมาดู
“อันนั้นของเก่าแท้ดั้งเดิมเลยนะ” หญิงร่างอวบรีบบอก มองเพียงออให้ความสนใจกำไลเงินประดับหินสีขุ่น
“เก่าจริงเหรอป้า ฉันเห็นมันยังดูใหม่อยู่เลย” บัวรินแทรกขึ้นมา มือยังถือพัดลายแมวน้อยคิดตี้สีชมพูโบกมันไปมาเพื่อคลายความร้อนด้วยความหงุดหงิด
“จริงสิหนู! ลูกชายป้ามันไปขุดเจอมาเองกับมือเลยนะ” ป้าร่างอวบพูดออกไปอย่างลืมตัว เพราะใจร้อนอยากขายของให้ได้เร็วๆ แต่เพียงออนิ่วหน้า
“ป้าของเก่าแบบนี้ขุดเจอมาทำไมไม่แจ้งกรมศิลป์ละจ๊ะ เอามาขายแบบนี้ผิดกฎหมายรึเปล่า” เพียงออถามขึ้นอย่างนึกสงสัย และเอียงหน้ามองอีกฝ่าย
“โอ๊ย! ไม่หรอกจ้ะ ขุดเจอในที่ของป้าเอง”
แต่เพียงออยังมองอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ สายตาขี้สงสัยแบบคนขี้ระแวงทำเอาหญิงคนขายสะดุดไปพักหนึ่ง เพราะจริงๆ แล้วจะว่าไปมันก็ไม่ใช่ที่ของเธอโดยตรง มันเป็นที่ที่หล่อนเช่าเขามาอีกที เมื่อเดือนก่อนลูกชายแกไปขุดเจอกล่องโบราณที่ฝังอยู่ใต้ดินโดยบังเอิญ ในนั้นมีเครื่องประดับโบราณมากมาย ดูแล้วเป็นของเก่าแก่ที่มีอายุนับร้อยๆ ปี ถ้าแจ้งกรมศิลป์หล่อนก็จะไม่ได้อะไร เลยแอบเอามาขายจนเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น มองเพียงอออย่างไม่วางตา หญิงสาววางมันลงที่เดิมโดยไม่คิดจะซื้อ ทำเอาคนขายหน้าเสีย
“อ้าวหนูไม่ชอบเหรอจ๊ะ” หญิงคนขายพูดขึ้น เห็นเธอยืนจ้องอยู่นาน แต่ลงท้ายกลับไม่เอาซะงั้น
“ไม่ค่ะ หนูไม่ชอบกำไล ขอโทษด้วยนะคะ”
หญิงสาวบอกอย่างเกรงใจ ความจริงไม่ใช่ไม่อยากได้แต่เป็นเพราะว่าสายตาลอกแลกของคนขายที่มันไม่น่าไว้ใจ กลัวว่าหล่อนจะแอบเอาของคนอื่นมาขายรึเปล่า ช่วงก่อนได้ยินว่ามีคนขุดพบวัตถุโบราณอยู่บ่อยๆและแอบเอามาขายจนเป็นเรื่องเป็นราว เธอทำท่าจะเดินหนีไปหญิงคนขายเลยรีบพูดขึ้น
“ถ้าไม่ชอบกำไล ยังมีอย่างอื่นอีกนะ...ความจริงป้าก็ไม่อยากขายหรอกเพราะมันเป็นสมบัติเก่าแก่ แต่เห็นว่าหนูสนใจของพวกนี้” หล่อนเอ่ยลองเชิงอย่างคนมีแผน พยายามที่จะขายของให้ได้ มองสาวน้อยทำท่าลังเลขณะที่เพื่อนอีกคนสะกิดยิกๆ เพราะอยากกลับเต็มแก่
“ไปเถอะ! กลับกัน...ร้อนตับจะแตกอยู่แล้ว”
บัวรินเร่งแบบคนอารมณ์เสีย มือปาดเหงื่อที่มันผุดขึ้นมาตามไรผมเมื่อเห็นว่าเพียงออทำท่าสนใจ หญิงคนขายรีบดึงเอาสร้อยเส้นหนึ่งจากกล่องที่วางอยู่ข้างใต้ออกมาให้ดู
แวบแรกเพียงออสนใจมันทันที หยิบมันขึ้นดูด้วยความตื่นเต้น เป็นสร้อยเงินแบบธรรมดาๆ แต่ที่ดึงดูดสายตาของเธอคือจี้รูปไข่สีนวล แกะสลักลวดลายแปลกตา หญิงสาวลูบมันเล่น แล้วรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้
“ก็แค่สร้อยเงินธรรมดาๆ ไม่เห็นน่าสนใจตรงไหน” บัวรินขัดขึ้นมาอีกแล้ว ทำเอาคนขายขมวดคิ้วใส่ รู้ว่าผู้หญิงคนนี้คงไม่ใช่พวกที่ชื่นชอบของพรรค์นี้ คอยเอาแต่ขัดอยู่เรื่อย ลูกอีช่างสอดเอ๊ย! หล่อนหันไปให้ความสนใจเพียงออที่มองมันอย่างไม่วางตา
“ถ้าหนูชอบ ป้าคิดราคาพิเศษให้นะ ไม่แพงหรอก”
แต่บัวรินดึงเพียงออออกมาห่างๆ พร้อมกระซิบกระซาบเสียงค่อยว่า
“อย่าเอาเลย หลอกขายรึเปล่าไม่รู้ ดูหน้าแกสิไม่น่าไว้ใจเลยดีไม่ดีอาจขโมยของคนอื่นเขามาก็ได้”
“ไม่หรอกมั้ง! เธอมองโลกในแง่ร้ายไปรึเปล่า”
เพียงออว่าทั้งที่ใจก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ความอยากได้มันมีมากกว่า เพราะเป็นคนชอบอะไรแบบนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และมันเหมือนบางอย่างที่ต้องตาต้องใจเธอเป็นอย่างมาก มันรู้สึกแปลกพิกลยามเมื่อสัมผัสมัน
“งั้นก็ตามใจ”
บัวรินว่าอย่างเนือยๆ เมื่อเห็นว่าเพียงออทำท่าเหมือนว่าอยากได้มันเหลือเกิน หญิงสาวเดินกลับไปหาหญิงคนขายที่ลุ้นในใจจนตัวโก่งว่าเธอจะซื้อมันหรือไม่
“ของป้าจริงรึเปล่าค่ะ” เธอถามออกไปตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อม
“จริ๊ง!” หล่อนตอบเสียงสูงผิดปรกติ พยายามตีสีหน้าให้แนบเนียน “มันเป็นสมบัติเก่าแก่ของป้าตกทอดกันมาหลายรุ่นแล้ว” หล่อนโกหกอย่างเมามัน
“ป้า..ถ้ามันเป็นสมบัติเก่าแก่ของป้าจริง ทำไมไม่เก็บไว้ให้ลูกหลานเอามาขายทำไม”
คนช่างสอดแทรกอีกแล้ว จนคนขายชักเริ่มโมโหพยายามข่มใจไว้ไม่ให้เผลอด่าออกมา เรื่องมากจริงๆ
“ก็ป้ามีแต่ลูกชาย ไอ้สร้อยแบบนี้มันก็เป็นของประดับของผู้หญิง เก็บเอาไว้ตายไปก็ไม่รู้จะส่งต่อให้ใคร แต่ถ้าหนูไม่อยากได้ ป้าเอาไปขายให้คนอื่นก็ได้นะ” หล่อนรวบรัดตัดความอย่างรำคาญใจ ยื่นมือออกไปจะเอามันคืน
“อยากได้ค่ะ อยากได้ ตกลงซื้ออันนี้แล้วกันนะคะ”
หญิงสาวบอกอย่างร้อนรนเพราะกลัวคนขายจะเปลี่ยนใจ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยากได้มันนักหนา แต่ในเมื่อมันมาอยู่ในมือเธอแล้วก็ไม่อยากวางมันเลย ยอมควักเงินจ่ายออกไปอย่างง่ายดาย แทบล่ะสายตาจากมันไม่ได้ราวกับต้องมนต์ หญิงคนขายแอบกระหยิ่มกระหย่องใจ กว่าจะขายได้หมดน้ำลายไปเป็นปี๊บ แต่ก็ดีในที่สุดกำจัดไปได้อีกชิ้น
สองสาวเดินกลับไปยังจุดนัดพบ เพียงออยังถือสร้อยเส้นนั้นด้วยความปลื้มใจ มองมันราวกับของล้ำค่า จนบัวรินแอบส่ายหน้าอย่างนึกหมั่นไส้
“เอา..ยิ้มเข้าไป จะดีใจอะไรนักหนา มันก็แค่สร้อยเงินเส้นหนึ่ง ทำอย่างกับมันเป็นสร้อยคอทองคำ” บัวรินว่าเหน็บปนขำ ที่เห็นเพียงอออมยิ้มจนแก้มแทบปริ ถือมันไม่ยอมวาง
“ก็มันสวย..ฉันชอบ..อุ้ย! มันเปิดได้ด้วย”
เพียงออมองมันด้วยความประหลาดใจ เธอเผลอไปกดตรงหัวจี้ มันส่งเสียงดังคลิกเบาๆ ตรงฝามันก็ง้างออกนิดๆ ข้างในเป็นกลไกอะไรซักอย่าง มองเผินๆ คล้ายนาฬิกาพก หากแต่ว่ามันไม่มีเข็มยาวเข็มสั้นเพื่อบอกเวลา เพียงออมองอย่างสนใจใคร่รู้ ขณะที่บัวรินนั้นแทบไม่ชายตามองมันเลย
“ดีใจไปเหอะ ระวังจะซวยไม่รู้ตัว ถ้าเกิดป้าคนนั้นขโมยเขามาล่ะก็ เธอได้ของแถมของข้อหารับของโจรแน่ ปรกติเธอนะเกลือเรียกพี่ แต่วันนี้เพื่อสร้อยสับปะรังเคเส้นหนึ่ง ยอมจ่ายเงินตั้งหลายพัน ไม่เสียดายรึไง”
“หว๋าย..สร้อยสับปะรังเคที่ไหน มันสวยออก...ก็ฉันชอบของฉันนี่ เหมือนที่เธอชอบสะสมเสื้อผ้าจนมันจะทับถมเธอตายอยู่แล้ว”
“เออ..เอาเหอะ! ก็แล้วแต่เธอแล้วกัน ชอบจริงกับของโบราณ จะมีสามีเป็นคนโบราณด้วยรึเปล่าเนี่ย” บัวรินแกล้งแหย่ทีเล่นทีจริง ทำเอาเพียงออขำออกมาอย่างอารมณ์ดี
ตกเย็น หลังจากที่ตะเวนเที่ยวจนหนำใจ ทั้งหมดกลับมายังโรงแรมที่พักด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกสนุกกับการได้มาเที่ยวพักผ่อนบ้าง ยิ่งพักหลังแสงอรุณรับงานต่างจังหวัดบ่อยขึ้นทำให้พวกเธอได้เที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ไปในตัวด้วยซึ่งมันก็ดีไปอีกแบบ หลังจากที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พวกเธอได้ไปสมทบกับคนอื่นที่ห้องพักของแสงอรุณที่อยู่ถัดไป
โรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมที่อยู่ในตัวเมือง ซึ่งแบ่งห้องพักออกเป็นหลังๆ แม้ไม่ใช่โรงแรมระดับห้าดาว แต่ก็สะดวกสบายและบรรยากาศดี ตกแต่งแบบเรียบง่าย ในห้องพัก เป็นห้องขนาดกว้าง โทนสีครีมเย็นตา โดยที่บรรดาสาวๆ นั่งรายล้อมกันอยู่รอบเตียงคณะเอื้องหลวง มีนางรำอยู่ราวๆ สิบสองคน ซึ่งส่วนใหญ่ก็สาวสวยทั้งนั้น แต่ก็มีนักดนตรีชายอยู่หลายคน ถือว่าเป็นคณะที่ใหญ่พอดู การแสดงก็จะเป็นศิลปะพื้นบ้านซึ่งแต่ล่ะคนได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เมื่อเข้ามาถึงเพียงออกับบัวรินเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่อยู่ติดริมหน้าต่าง
“เอาล่ะ! มากันครบรึยัง” แสงอรุณกล่าวขึ้น กวาดสายตาตรวจดูว่าไม่มีใครขาดไป จึงเอ่ยเป็นงานเป็นการว่า “ได้เที่ยวกันจนอิ่มพอแล้วนะ ฉันมีข่าวดีมาบอก ฉันกับพี่เทียนได้รับงานไว้ที่อุตรดิตถ์”
“โหย! พี่รุณ นี่เราต้องเดินทางกันอีกเหรอ” บัวรินร้องครางขึ้นมาทันที พร้อมอีกหลายเสียงที่ทำหน้าเซ็งๆ เพราะอยู่กันแบบครอบครัว ทำให้การแสดงออกจึงเป็นแบบคนกันเอง ทุกคนสามรถออกความคิดเห็น หรือคัดค้านอะไรได้อย่างเต็มที่
“อะไรกันแค่นี้ก็เบื่อแล้วเหรอก็เพราะมีงานไงเราถึงได้มีเงินใช้ ตอนมีก็รีบๆ โกยเอาไว้ อย่าบ่นมากเลยน่า วันไหนไม่มีงานแล้วจะรู้สึก” แสงอรุณขมวดคิ้วให้น้องสาวนิดอย่างเอ็นดู มองใบหน้างอง้ำของบัวริน แต่ก็เข้าใจเพราะช่วงหลังอยู่กันไม่ติดที่จริงๆ เดินสายไปงานนั้นงานนี้บ่อยๆ จนลูกทีมชักจะเอือมกันเสียแล้ว แต่ทำไงได้ น้ำขึ้นให้รีบตัก เพราะอาชีพนี้มันไม่แน่นอน
“ว้า..ออว่าจะไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่กรุงเทพฯซะหน่อย อดเลย” เพียงออพูดเสียงอ่อย แต่ก็ยังอมยิ้ม ถึงจะเสียดายแค่ไหนแต่งานก็คืองาน เพราะกำลังขาขึ้น และรู้ว่าไม่นานมันคงจะซาลงซักวัน แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังสนุกกับมันอยู่ คิดในใจว่าเอาไว้ค่อยกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ทีหลังก็ได้ คิดว่ายังมีเวลาอีกเหลือเฟือ
“เอาไว้คราวหน้าแล้วกันเนาะ ตอนนี้ทำงานกันก่อน...เอาล่ะ! ตามนี้นะ แยกย้ายกันไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้เรายังต้องเดินทางกันอีกไกล” แสงอรุณตัดบทสนทนาอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นทุกคนต่างก็ทยอยกลับห้องของตัวเองไป
สองสาวกลับมาที่ห้องพัก บัวรินกระโดดลงที่นอนด้วยความเหนื่อยล้าจนเตียงเขย่าโคลง เพียงออล้มตัวลงนอนตามหลัง มองบัวรินที่หลับแทบจะในทันที หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบสร้อยเงินที่เพิ่งได้มาดูแล้วดูอีกอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ทำไมดูทีไรไม่เคยเบื่อ เธอเคยเห็นล็อกเกตแบบนี้มามาก แต่กลับถูกใจอันนี้เป็นพิเศษ เหมือนมีบางอย่างที่ทำให้เธอไม่สามรถละสายตาจากมันได้ เธอไม่ใช่พวกนักโบราณคดีจึงไม่สามารถรู้ได้ว่ามันมีอายุเท่าไหร่ ดูๆ ไปแล้วมันก็ไม่ต่างจากนาฬิกาพกดีๆ นี่เอง แต่เป็นนาฬิกาที่ไม่มีเข็ม ไม่ตัวเลขบอกเวลา มีเพียงกลไกที่ไม่รู้ว่ามันทำงานยังไง แต่ใครสน มันก็แค่เครื่องประดับเท่านั้นเอง หญิงสาวบรรจงสวมมัน จากนั้นเอนศีรษะพิงหมอน แล้วก็ค่อยๆ ล่อยละล่องสู้ห้วงนิทราอย่างช้าๆ
วันต่อมา เพียงออตื่นมาแต่เช้าตรู่ ลุกขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอหยิบเสื้อยืดกางเกงยีนส์ตัวโปรดมาใส่ สวมทับด้วยแจ็คเก็ตตัวเก่ง มองไปที่บัวรินหล่อนยังหลับอุตุ หญิงสาวส่ายหน้ายิ้มๆ เธอเขย่าตัวหล่อนอยู่หลายนาที กว่าจะแม่เจ้าประคุณจะยอมตื่น
“ตื่นได้แล้วคุณหญิงบัว ตะวันสายโด่งแล้วนะ”
“โอย! ขออีกห้านาทีไม่ได้เหรอฉันยังง่วงอยู่เลย เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ” หล่อนว่าเสียงอู้อี้ ใบหน้ายังซุกอยู่ในหมอนใบใหญ่
“เธอเนี่ยนะนอนไม่ค่อยหลับ ฉันเห็นหลับเป็นตายก่อนฉันอีก ไป! ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวพี่รุณก็บ่นหรอก”
บัวรินจำต้องลุกไปอาบอย่างเสียไม่ได้ หน้ามู่ทู่แบบคนไม่เต็มใจ เพียงออหัวเราะตามหลัง
ปรากฏว่ากว่าพวกเธอจะออกมาก็สายมากแล้ว เพราะบัวรินมัวแต่ยืนส่องกระจกอยู่นั่นแหล่ะ พอออกมาเจอแสงอรุณที่หน้าบูดบึ้งรออยู่ที่ห้องทานอาหารอย่างหัวเสียมาก และพากันทานอาหารอย่างเร่งรีบเพราะระยะทางจากอยุธยาไปถึงอุตรดิตถ์อีกหลายชั่วโมง แสงอรุณอยากไปให้ถึงก่อนค่ำ แต่กระนั้นกว่าจะได้ออกทางก็เกือบเที่ยงแล้ว มันล่าช้ากว่ากำหนดมาก หลังจากที่ขึ้นกันจนครบ รถตู้คันเขื่องก็เคลื่อนที่ออกไปอย่างช้าๆ
แต่ทว่ารถตู้คันนี้กลับไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นเสียก่อน ผู้โดยสารในรถบาดเจ็บไปตามๆ กัน แต่ก็ไม่ถึงชีวิต มีเพียงหนึ่งที่หายสาบสูญไปจากการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ หน่วยกู้ภัยออกค้นหาเธอแต่ไม่พบ ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นตายร้ายดีอย่างไร แสงอรุณกับเทียนไชย และบัวรินที่เฝ้าคอยการค้นหาอย่างใจจดใจจ่อ การค้นหายังคงดำเนินต่อไปอย่างสิ้นหวัง
“โธ่เอ๊ย! เพียงออ...แล้วฉันจะบอกพ่อกับแม่เธอยังไง” แสงอรุณพึมพำอย่างเศร้าใจในความโชคร้ายของสาวน้อยซบหน้ากับอกสามีร้องไห้ด้วยความสงสารเพียงออจับใจ เธอยังคงหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงผู้อยู่เบื้องหลังที่เฝ้ารอยคอยการกลับมาของเธอด้วยความหดหู่ใจ
ความคิดเห็น