คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 งานใหม่กับเรื่องเล่า
ไอรักเจ้าชายอสูร
บทนำ
แสงสว่างจากดวงจันทราสาดส่องไปทั่วบริเวณ ช่วยส่งให้ราตรีที่แสนเงียบงันไม่มืดมิดจนเกินไปนัก สายลมนั้นก็โบกพลิ้วจนเรือนพุ่มของต้นกันเกราโอนเอนไปตามลม มันโดดเด่นเป็นสง่าอยู่บริเวณลานหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ซึ่งถูกบดบังจากแมกไม้อันหนาทึบคล้ายกับว่าต้นไม้เหล่านี้ทำหน้าที่เป็นกำแพงขวางกั้นจากโลกภายนอก กลิ่นหอมของไม้ดอกหอมกำจายไปทั่ว
ภายใต้ร่มไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมมีร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มวัยสามสิบห้ายืนทอดถอนใจอยู่ใต้เงาไม้ นัยน์ตาส่องประกายล้อแสงจันทร์นั้นแลดูเศร้านัก ยามเมื่อแสงจันทราส่องต้องใบหน้า จนเผยเค้าโครงรูปหน้าอันเคยหล่อเหลา ทว่ารอยตำหนิที่พาดอยู่บนซีกแก้ม แผลเป็นนูนเด่นตั้งแต่หางคิ้วยาวลงมาจรดริมฝีปาก ร่องรอยความทรงจำอันเลวร้ายยังตราตรึงให้เขาฝังใจไม่เคยลืมเลือน แม้มันผ่านมานานหลายปี แต่มันยังคงเป็นฝันร้ายที่คอยหลอกหลอน ในคืนที่เขาต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักสังเวยให้กับความโง่เขลาของตน และเขาก็ต้องชดใช้ด้วยการอยู่อย่างตายทั้งเป็น กักขังตนเองไว้กับความรู้สึกผิดที่เกาะแน่นอยู่ในจิตใจ ภายในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่หลังนี้ มันคือคุกที่เอาไว้จองจำปีศาจร้าย สถานที่แห่งนี้คืออณาจักรของเขา ที่ซึ่งใครก็มิอาจเข้ามาได้
ราตรีนี้แม้ยาวนานแต่ก็มีวันสิ้นสุด เมื่อแสงแรกของอรุณรุ่งมาเยือน ต่างจากเขาที่จมทุกข์อยู่อย่างเดียวดายต่อไป หรืออาจเพราะเขาต้องการเช่นนั้น ชีวิตที่โดดเดี่ยวแม้เงียบเหงา แต่เขาก็ชินเสียแล้ว ดวงจันทร์คล้อยต่ำมันกำลังจะลาลับไปในไม่ช้า บอกให้รู้ว่าค่ำคืนนี้กำลังจะสิ้นสุดลง ชายหนุ่มหมุนกายกลับเข้าไปยังคฤหาสน์ มันคือที่ของเขา โลกของเขา เขาไม่ต้องการที่จะเห็นวันใหม่ เพราะเวลามันหยุดลงไปนานแล้วสำหรับเขา และมันจะเป็นแบบนั้นต่อไป
ไอรักเจ้าชายอสูรตอนที่ 1
จังหวัดลำปาง....
เสียงรถสองแถวเบรกดังเอี๊ยดจนฝุ่นตลบอบอวล หญิงสาวไอดังคอกแค่ก ขี้ฝุ่นขี้ผงเขาตาจนแสบไปหมด เธอกอดกระเป๋าเดินทางของตนไว้แน่น ขณะที่มืออีกข้างจับราวเหล็กที่แขวนอยู่บนเพดานรถเพื่อที่ร่างเธอจะไม่เซไปตามแรงโน้มถ่วงจนเอาหน้าไปนาบกระจกแทน
“ถึงแล้วคุณ นี่แหล่ะไร่เพียงดิน”
“ถึงแล้วเหรอ ไหน” แพรวดาวกวาดสายตาไปจนทั่ว เพื่อมองหาไร่ที่ชายคนดังกล่าวว่า หากแต่มองไปไหนก็มีแต่ป่ากับป่า เขาพาเธอมาถูกรึเปล่าเนี่ย
“เนี่ย เดินไปอีกหน่อยสักเจ็ดแปดร้อยเมตรก็ถึงแล้ว”
“โอ้โห ฉันต้องเดินอีกเหรอ” เธอโอดครวญเสียงอ่อย แค่ลำพังเดินตัวเปล่าก็หอบแล้ว นี่เธอยังมีกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ “ไปส่งฉันอีกหน่อยไม่ได้เหรอคุณ”
“ผมก็อยากอยู่หรอกนะ แต่พอดีผมรีบ”
แพรวดาวจำเป็นต้องลากกระเป๋าสุดรักของตนลงมาอย่างอิดออด พอจ่ายค่าโดยสารเสร็จสรรพ เธอก็จ้อฝุ่นตลบอีกรอบจนแทบจะสำลักตายยกมืออุดจมูกแทบไม่ทัน ไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอจะต้องมาอยู่ที่กันดารแบบนี้ อุตส่าห์สมัครงานในบริษัทชื่อดังมาได้ ดีใจไม่ทันไรก็ได้รับข่าวร้ายเมื่อเธอถูกส่งตัวมาที่นี่แทน คราแรกที่ได้ยินว่าตกใจแล้ว พอมาเจอสถานที่จริงเธอช๊อคยิ่งกว่า หากไม่เพราะได้เงินเดือนสูงลิ่วเธอคงไม่ยอมมาเป็นเป็นแน่
แพรวดาว วรวลัญ หญิงสาววัยยี่สิบสี่ลากกระเป๋าไปตามทางเธอพารูปร่างผอมบางผมยาวสวยประบ่าสีดำสนิทเดินฝ่าแดดเปรี้ยงในยามสายตรงไปยังจุดหมายของตน แอบหวังว่าจะมีรถสักคันแล่นผ่านมา มันคงจะเป็นความหวังแบบลมๆ แล้งๆ เพราะไร่ที่อยู่ติดเชิงเขาเช่นนี้จะมีรถที่ไหนผ่านมากัน เธอเดินไปพลางพร้อมกับบ่นอุบ ตอนนั้นทางบริษัทได้โทรศัพท์มาบอกที่ไร่แล้วว่าเธอจะมา นัดกันไว้ดิบดีว่าจะไปรับเธอที่สนามบิน หากแต่พอวันจริงกลับให้เธอนั่งรถเข้ามาเอง เหตุเพราะรถทุกคันในไร่เกิดพร้อมใจกันเสียมันหมดทุกคัน อะไรมันจะโชคร้ายขนาดนั้นหนอ นึกว่าจะได้ทำงานออฟฟิศอยู่อย่างสบาย กลับมาต้องมาทำงานบัญชีในไร่ที่อยู่เสียไกลปืนเที่ยง แถมดูเหมือนคนในไร่จะไม่ค่อยใส่ใจในการมาของเธอเสียด้วย
เจ็ดแปดร้อยเมตรอาจดูไม่ไกลสำหรับคนอื่น แต่เธอที่ต้องหอบหิ้วสัมภาระมาด้วยนี้สิมันช่างลำบากเหลือเกิน ขณะที่สองขาที่เริ่มล้า เธอก็มองเห็นจุดหมายปลายทางเบื้องหน้า ทว่าไปยังไม่ถึงเธอก็ต้องยกมือกุมอกรีบวางของแล้วรื้อกระเป๋าถือของตนควานหาของจำเป็นที่เธอต้องพกติดตัวไม่ให้ขาด มันคือยาพ่นหลอดลม เหตุที่เธอไม่สามารถทำงานหนักได้ ไม่ใช่เพราะเธอเลือกงานแต่เพราะโรคประจำตัวที่มีมาแต่เกิดมันจึงเป็นอุปสรรคสำหรับเธอมาก
เธอพักอยู่ครู่หนึ่งจนอาการดีขึ้นจึงได้เดินต่อ กระทั่งไปหยุดอยู่หน้าอาคารเบื้องหน้า ป้ายชื่อขนาดใหญ่โดดเด่นสะดุดตาบอกให้รู้ว่าเธอได้มาถึงจุดหมายแล้ว หญิงสาวระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
“ถึงซะที เกือบตายแน่ะ” บ่นพึมพำเสร็จกำลังจะเปิดประตูเข้าไป หากแต่คนข้างในเปิดออกมาเสียก่อน เป็นหญิงสาวรูปร่างผอมบาง ผิวสีน้ำผึ้งและยังมีใบหน้าดุแลดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ดูแล้วอายุอานามไม่น่าจะมากกว่าเธอสักเท่าไหร่คงจะสักยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดกระมัง
“เธอ...ใช่พนักงานบัญชีคนใหม่ใช่ไหม มาถึงเสียทีฉันยังเป็นห่วงอยู่ว่าจะมาถูกรึเปล่า ขอโทษทีนะที่ไม่ได้ไปรับ รถในไร่มันบังเอิญเสียหมดทุกคันป่านนี้ยังซ่อมไม่เสร็จเลย” คำแก้ตัวดูเหมือนไม่กระตือรื้อร้นเท่าใดนัก แถมยังใช้สายตามองสำรวจเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มันดูขัดๆ พิกล
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แพรวมาเองได้ไม่ได้ลำบากอะไรมาก” ใครว่าไม่ลำบากล่ะ กว่าจะมาถึงเล่นเอาโรคหอบแทบกำเริบแอบแย้งคำพูดของตนในใจ แต่เพราะต้องทำงานที่นี่อีกนานแค่ไหนไม่รู้จึงสงบปากสงบคำดีที่สุด
“ฉันปรางทิพย์นะ เป็นผู้จัดการที่นี่ ฉันให้คนเตรียมห้องเอาไว้ให้แล้ว ตามมาสิ” พยักหน้าเรียกก่อนเดินนำเธอไป
แพรวดาวเดินตามหลังปรางทิพย์ฟังอีกฝ่ายบอกถึงขอบเขตของเธอว่าสามารถเธอไปไหนได้บ้างและเธอก็ฟังอย่างตั้งใจ
“ทางโน้นเป็นไร่กาแฟ ที่นี่เขาทำงานกันโดยแบ่งเป็นสายงานจะไม่ก้าวก่ายกัน พวกคนงานพักรวมกันอยู่ทางท้ายไร่ ออฟฟิศอยู่ทางด้านหน้าที่เราผ่านมาเมื่อกี้ อยู่ที่นี่เธอสามารถไปไหนได้หมดยกเว้นบริเวณเชิงเขาทางด้านโน้นห้ามเข้าไปโดยพละการเด็ดขาด” คำสั่งเฉียบขาดนั้นไม่อาจข่มความสงสัยของเธอได้
“ทำไมล่ะคะ มันมีอะไรเหรอ” หากแต่คำถามของเธอถูกสายตาดุเข้มของผู้จัดการไร่สุดเฮี๊ยบขึงมอง
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้ อยู่นี่อย่าอยากรู้อยากเห็นให้มากเข้าใจไหม”
“ค่ะ” แพรวดาวต้องหลบสายตาดุเข้มคู่นั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ มันมีความลับอะไรนักหนานะถึงต้องห้ามเข้า
หลังจากการเดินทางอย่างสมบุกสมบัน ขึ้นรถหลายทอดจนเวียนหัว เมื่อได้อาบน้ำชำระกายเสร็จแล้วเธอหลับในทันที พักเอาแรงเพื่อที่พรุ่งนี้จะได้เริ่มทำงานได้อย่างสดชื่น หวังว่านะ
เช้าวันแรกค่อนข้างวุ่นวาย ไร่แห่งนี้กว้างเหลือเกินเธอต้องเดินวนอยู่หลายรอบกว่าจะเจอโรงอาหาร คนที่นี่ไม่ค่อยสุงสิงกันเท่าไหร่นัก หรือไม่ก็เพราะเธอเป็นคนใหม่จึงรู้สึกแปลกแยกก็เป็นได้ คิดว่าอีกเดี๋ยวก็คงคุ้น เมื่อทานอาหารเสร็จแพรวดาวกลับมาที่ออฟฟิศเพื่อทำงานของตนต่อ มีเอกสารกองเป็นภูเขาให้เธอต้องสะสาง คนทำบัญชีคนเก่าเล่นเอาเธอปวดหัวอยู่เป็นนาน กว่าจะจัดระเบียบได้เสร็จเล่นเอาเธอหัวฟูเลยทีเดียว ต้องให้เป็นไปตามระบบเดิมให้มากที่สุดเพื่อที่จะได้ประสานงานกับผู้ตรวจสอบ ทั้งเช้าเธอแทบไม่ได้โงหัวขึ้นมาจากกองเอกสารเลย จนเที่ยงวันจึงได้ออกมายืดเส้นยืดสาย เธอยืนรับลมอยู่ที่ระเบียงไม้ ทอดมองอณาเขตของไร่ที่กว้างไกล ขณะนั้นเองเผลอมองไปทางเชิงเขา ไม่เห็นอะไรนอกจากป่าแล้วห้ามเข้าไปทำไมนะ เธอเบนสายตากลับมา เพราะจ้องมองต่อไปก็คงไม่ได้คำตอบ เห็นแม่บ้านกำลังทำความสะอาดบริเวณนี้อยู่ เธอหยุดอยู่ชั่วครู่จากนั้นจึงเดินเข้าไปหา หากแต่ทางนั้นไม่รู้ตัวว่าเธอมายืนอยู่ข้างหลัง กำลังถูพื้นอย่างเมามันกระทั่งด้ามไม้ถูกพื้นเกือบมาโดนหน้าเธอนั่นแหล่ะอีกฝ่ายถึงได้รู้ตัว แพรวดาวหลบเกือบไปทัน แต่ฝ่ายร้องว๊ายด้วยความตกใจ
“ว๊าย! คุณ ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้ว่าคุณยืนอยู่ตรงนี้ โดนรึเปล่าค่ะ” หญิงสาววัยยี่สิบรีบขอโทษขอโพยที่เกือบจะวาดไม่ถูพื้นมาโดนหน้าเธอเป็นการใหญ่ แพรวดาวส่งเสียงหัวเราะเบาๆ กับอาการตื่นตระหนกทั้งที่ยังไม่ทันโดนเธอด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไร ไม่โดนฉันหรอก หลบทันน่ะ” เธอบอกพลางส่งยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร ฝ่ายนั้นเลยยกมือเกาหัวแก้เก้อ
“คุณนี่คนทำบัญชีคนใหม่ใช่ไหมคะ คุณสวยกว่าคนก่อนอีกนะคะ” สาวน้อยว่าด้วยน้ำเสียงปะเหลาะ
“แหมพูดซะฉันตัวลอยเลยนะ ว่าแต่เธอชื่ออะไรจ๊ะ ฉันแพรวดาวนะ เรียกแพรวเฉยๆ ก็ได้” จะอยู่บ้านนี้ทั้งทีก็ไม่อยากหัวเดียวกระเทียบลีบ อย่างน้อยมีเพื่อนไว้คุยเล่นแก้เซ็งก็ยังดี
“ฉันชื่อน้อยค่ะ เป็นแม่บ้านที่นี่ คุณมาทำงานจะอยู่นานรึเปล่าคะ ฉันอยากให้คุณอยู่นานๆ จัง” เธอว่ามือยังกอดไว้ถูพื้นแนบอกอยู่ เพียงแต่คนฟังกลับเอะใจ
“ทำไมถามแบบนี้ล่ะจ๊ะ”
“ก็คนก่อนๆ อยู่กันไม่นานก็ออกหมด ตำแหน่งนี้เปลี่ยนบ่อยจนฉันเหนื่อยใจแทนคนหาน่ะสิคะ”
“ทำไมล่ะ มีอะไรที่ฉันควรรู้รึเปล่า” แพรวดาวออกอาการสงสัยยิ่งนัก ไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเท่าไหร่ ทำไมถึงไม่มีใครทำตำแหน่งนี้ได้นาน อีกฝ่ายคงจะรู้ตัวว่าตนพูดมากไปแล้วจึงหัวเราะกลบเกลื่อนแกล้งแถไปดื้อๆ
“เปล่าหรอกค่ะไม่มี อาจเพราะเห็นว่าที่นี่มันไม่สะดวกสบายมั้งก็เลยไม่มีใครอยู่ได้”
“งั้นเหรอ” แพรวดาวเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อนัก แต่อีกฝ่ายรูดซิบปากไม่ยอมพูดต่อเธอจึงแกล้งชวนคุยไปเรื่องอื่น “ที่นี่กว้างมากเลยนะจ๊ะน้อย ทำเลก็ดี วิวก็สวย ฉันว่าว่างๆ จะไปเดินสำรวจสักหน่อย” แพรวว่าพลางกวาดสายตาไปเรื่อย
“ก็ดีนะคะ ที่นี่มีที่สวยๆ เยอะเลย ยิ่งตอนเช้าๆ มีทะเลหมอกด้วยนะคะรับรองคุณชอบแน่ๆ เลย แต่คุณจะเดินเล่นที่ไหนก็ได้ แต่อย่าไปทางเชิงเขานะคะ เพราะคุณปรางเธอสั่งห้าม” สาวน้อยเกรงว่าเธอจะไม่รู้จึงรีบบอกก่อน
“มันมีอะไรเหรอ ทำไมถึงห้าม เมื่อวานคุณปรางก็บอกฉัน ก็ไม่เห็นมันจะน่ากลัวตรงไหนเลย” เธอแย้งอย่างงุนงง เพราะเท่าที่ดูแล้วป่ามันก็ไม่ดูรกทึบเท่าใดและมันยังอยู่ในเขตไร่ด้วย ไม่น่าจะอันตรายอะไรเลย น้อยนั้นมีอาการอึกอักอย่างชัดเจน คล้ายคนคิดหนักว่าจะพูดดีหรือไม่ แพรวดาวจึงทำสีหน้าจริงจังพร้อมพูดขึ้นว่า “น้อย ไหนๆ ฉันก็จะทำงานอยู่ที่นี่แล้ว มีอะไรก็บอกฉันตรงๆ สิ ฉันจะได้รู้”
“ที่จริง ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ที่ตรงนั้นเป็นบ้านของเจ้าของคนเก่าน่ะค่ะ อันที่จริงก็เป็นญาติของเจ้าของคนปัจจุบันนี่แหล่ะ”
“ญาติคุณกานดาน่ะเหรอ” เธอนิ่วหน้าเล็กน้อย เพราะเธอรู้เพียงแต่ว่าไร่แห่งนี้เป็นของกานดาซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทส่งออกผลิตภัณฑ์เมล็ดกาแฟสำเร็จรูปที่กรุงเทพฯ
“ใช่ค่ะ น้อยได้ยินเขาพูดมาอีกนะคะว่าเมื่อก่อนนี้คุณกานดาเธอไม่ได้เป็นคนดูแลที่นี่หรอก เจ้าของตัวจริงน่ะ คือคุณตรัยคุณ แต่หลายปีก่อนเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้บ้าน แล้วก็เอ่อ...คุณตรัยคุณเธอเสียชีวิตพร้อมกับภรรยา คุณกานดาซึ่งเป็นญาติคนเดียวจึงได้มาดูแลที่นี่แทน”
“งั้นเหรอ ฉันนึกว่าคุณกานดาเธอเป็นเจ้าของที่นี่เสียอีก” ข่าวนี้ทำให้เธอประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เพราะคิดว่ากานดาเป็นเจ้าของเพียงคนเดียวเสียอีก กานดาเป็นแม่ม่ายมีลูกติดสองคน เป็นชายและหญิงเธอเองก็ไม่เคยเห็นหน้าซึ่ง แต่ก็รู้มาว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ เป็นแค่ลูกบุญธรรมเท่านั้น “น่าสงสารจังเลยเนาะ ไม่น่ามาเสียชีวิตแบบนี้เลย” นึกถึงเรื่องน่าเศร้าแล้วเผลอมองไปทางเชิงเขา
“ใช่ค่ะ น่าเศร้ามา แถมตอนนั้นภรรยาของคุณตรัยคุณตั้งท้องด้วยนะคะ” น้อยพยักหน้าเห็นด้วย
“แย่จังเลย” แพรวดาวฟังแล้วเศร้าใจแทน ขนาดว่าเธอไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ก็ยังอดที่จะหดหู่ไม่ได้ “ตอนนี้บ้านหลังนั้นก็กลายเป็นบ้านร้างไปเลยน่ะสิ”
“ก็ไม่เชิงนะคะ หลังจากเกิดเหตุคุณกานดาให้คนไปซ่อมบ้านหลังนั้นใหม่ให้กลับมาดีเหมือนเดิมเพียงแต่ไม่มีคนอยู่ ส่วนมากถ้าคุณกานดามาจะไปพักที่บ้านอีกหลังที่อยู่ใกล้ๆ น่ะค่ะ แต่น้อยเห็นคุณปรางเธอก็ขึ้นไปทำความสะอาดอยู่ทุกวันไม่เคยขาด แต่แค่เธอคนเดียวนะคะ คนอื่นไม่กล้าเข้า เพราะเขาลือกันว่า บ้านหลังนั้นมีผี”
“อะไรนะ ผีเหรอ” แพรวดาวเกือบหัวเราะออกมา แต่พอนึกได้ว่าไม่ควรจึงกลั้นเอาไว้ ในความเชื่อของเธอผีไม่มีในโลก ไม่ใช่ไม่กลัว เพียงแต่ไม่เคยเห็น
“ใช่ค่ะ ผีดุด้วยนะคะ คนงานหลายคนยังเคยโดนมาแล้วเลย เนี่ยคนทำบัญชีคนก่อนบังเอิญเดินหลงเข้าไปถูกหลอกจนจับไข้หัวโกร๋นลาออกแทบไม่ทันเลยค่ะ เขาลือกันว่าเป็นวิญญาณของคุณตรัยคุณที่ไม่ไปไหน บางคืนได้ยินเสียงโหยหวนเหมือนคนร้องไห้ พูดแล้วขนลุกเลยค่ะ เธอคงมีห่วงเลยไม่ยอมไปไหน” น้อยว่าพร้อมกับตัวสั่นนิดๆ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้
“จริงเหรอ” แม้ไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้ แต่ก็สนอกสนใจเหลือเกิน ใช่ผีจริงๆ รึเปล่านะ
“จริงค่ะ” น้อยยืนยันเสียงสูงราวกับไปประสบพบมากับตัวก็ไม่ปาน ทั้งที่เฉียดเข้าใกล้เธอยังไม่เคยเลย เธอเหลียวซ้ายแลขวาคันปากอยากเล่าต่อ “เขายังพูดกันอีกนะคะว่า จริงๆ แล้วที่ไฟไหม้บ้านน่ะ ไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุหรอก แต่เป็นคุณตรัยคุณเองที่จุดไฟเผาบ้านตัวเองตายยังพอว่า แต่เมียท้องอ่อนๆ นี่ต้องตายไปด้วยนี่สิคะ เขาว่ากันว่าคุณตรัยเธอป่วย แบบว่า...เป็น...โรคจิตไม่ปรกติ วันดีคืนดีก็ลุกขึ้นมาคลุ้มคลั่งอลาวาด อันนี้น้อยก็ฟังเขามานะคะ ส่วนเหตุการณ์จริงๆ นั้นน้อยก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะมาไม่ทัน” น้อยหัวเราะแหะๆ ก่อนพูดต่อว่า “คนเก่าๆ ที่รู้เรื่องก็ลาออกหมดแล้ว จะเหลือแค่คนเดียวก็คือคุณปรางนั่นแหล่ะ แต่เธอไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”
แพรวดาวตกใจเป็นอันมากกับสิ่งที่ได้ยิน มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นที่นี่มากมายจนเธอนึกไม่ถึงเลยจริงๆ แต่กระนั้นเธอก็ไม่ได้เชื่อน้อยเสียทีเดียว เพราะน้อยเองก็ฟังคนอื่นมาอีกทีเหมือนกัน เรื่องจริงเป็นเช่นไรนั้นคงไม่มีใครรู้นอกจากปรางทิพย์ ทั้งอาจพูดคุยกันยาวกว่านี้หากไม่เพราะเสียงแหลมดังแทรกขึ้นมา
“พวกเธอทำอะไรกันอยู่น่ะ ว่างมากรึไง ถูพื้นเสร็จแล้วหรือถึงมาสุมหัวพูดเรื่องเจ้านายน่ะ” ปรางทิพย์ดุน้อยเสียงเข้มเอาเรื่องจนอีกฝ่ายหงอไปตามระเบียบ
“ขอโทษค่ะคุณปราง น้อยจะรีบทำเดี๋ยวนี้แหล่ะค่ะ” ว่าจบเธอก็รีบแจ้นไปทำหน้าที่ของตนต่อ เหลือแต่แพรวดาวที่ยืนยิ้มแห้งๆ สายตาเอาเรื่องนั้นหันเหมาที่เธอแทน
“เธอทำของเธอเสร็จแล้วรึยัง”
“เอ่อยังค่ะ แพรวแค่ออกมายืดเส้นยืดสาย แพรวไปทำงานต่อก่อนนะคะ” หญิงสาวปลีกตัวออกมาอีกคน เรื่องวิญญาณหลอนที่น้อยเล่ามา ยังไม่น่ากลัวเท่าผู้จัดการคนนี้เลย มาดเข้มเสียจนเธอเสียวสันหลังวาบทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ สำหรับเธอคนน่ากลัวกว่าผีเป็นไหนๆ
แพรวดาวหอบเอางานกลับมาทำที่ห้องด้วย เนื่องจากคนทำบัญชีคนก่อนทำไว้เละมาก เธอต้องมานั่งแยกรายการที่ล่ะอย่างจนปวดหัว ขนาดว่าทำทั้งวันยังได้แค่ครึ่งเดียวเอง และคิดว่าวันนี้คงไม่เสร็จเป็นแน่
“ฮ้าว! โอ๊ยปวดคอ พรุ่งนี้ค่อยทำต่อดีกว่า” เธออ้าปากหาวไปสามหาวสี่หาวใช้กำปั้นทุบที่ไหล่เบาๆ เพื่อคล้ายกล้ามเนื้อ แต่ก็ยังมาหายที่สุดก็ต้องยอมแพ้ให้กับเอกสารพวกนี้ เธอเก็บมันไปไว้ตรงมุมโต๊ะก่อนเดินไปที่หน้าต่างเพื่อจะปิดม่าน พลันสายตามองออกไปข้างแล้วขมวดคิ้ว กระพริบตาอยู่หลายทีแต่ก็ยังเห็นแสงส่องลอดพุ่มไม้ออกมา “เฮ้ย! ไหนว่าไม่มีคนอยู่ไง ทำไมไฟเปิด คุณปรางก็พักที่นี่นี่” เธอนึกไปถึงวิญญาณหลอนที่น้อยเล่าให้ฟัง ไม่นะ ผีน่าจะอยู่แบบมืดๆ ไม่น่าเปิดไฟ เธอพยายามตัดใจทำไม่สน ปิดม่านเสร็จ ปิดไฟที่หัวเตียงแล้วล้มตัวลงนอน ทว่ากลับหลับไม่ลงเพราะความสงสัยเหลือประมาณ ในที่สุดเธอก็แพ้ให้กับความอยากรู้ ลุกขึ้นพร้อมไปควานหากระบอกไฟฉายไม่ลืมหยิบเอายาพ่นไปด้วยกันเพื่อฉุกเฉินแล้วให้ความอยากรู้นำทางเธอไปแทน
ความคิดเห็น