คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : REWRITE_FAKE ep.03
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างปรกติ ...อย่างน้อยก็เป็นเช่นนั้นหากจะมองจากสายตาคนภายนอก...
ไปทำงาน เลิกงานก็ไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาล
พอเริ่มจะเบื่อฟังปาฐกถาของท่านว่าด้วยเรื่องทำไมถึงควรหาแฟนและข้อดีของการมีครอบครัว
ก็ปลีกตัวกลับ ใช้เวลาเย็นย่ำค่ำไปกับการทำอาหารกินกับพี่สาว ผู้ซึ่งอยู่ระหว่างลาพักร้อนจากการทำงานในกองทัพ
จะมีแปลกประหลาดก็เรื่องเดียว
ปี๊บ
“มาอีกแล้วเรอะ...”
รัลสบถเมื่อได้ยินเสียงข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือของคนเป็นน้อง
ขณะที่ทั้งสองกำลังอ่านหนังสือในเวลาบ่ายวันหยุดกันที่โซฟาห้องนั่งเล่นของบ้าน
ซาคุยะยิ้มเครียดขณะหยิบโทรศัพท์ฝาพับสีดำของตัวเองเปิดดู
รัลชะโงกดูหน้าจอก่อนจะอ่านออกเสียง
“คิดถึงจังที่รักของผม
พี่สาวคุณดูดีนะแต่คุณน่ะสวยที่สุดสำหรับผม คุณดูน่ารักมากเวลาอยู่กับพี่สาว –
ผมอยากจะเป็นคนในครอบครัวของคุณบ้าง – นับเวลาใจจดใจจ่อที่จะได้พบคุณ BG” สาวแกร่งทำท่าขนลุก
“น่ากลัวชะมัดเลยเลยเจ้าโรคจิตนี่...ส่งมาอยู่ได้ทุกชั่วโมง...แถมยังทำหยั่งกับว่าเห็นการเคลื่อนไหวของเธอทั้งหมด...”
ซาคุยะนิ่วหน้า
เธอเองก็เป็นกังวลกับเรื่องนี้ไม่น้อย
เพราะข้อความเหล่านี้ถูกส่งมาหาเธอแบบนี้ร่วมสัปดาห์แล้ว
ตอนแรกก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก –
คิดว่าคงจะเป็นชายหนุ่มคลั่งรักที่ส่งข้อความผิดเบอร์
แต่นานเข้าข้อความก็มีเข้ามามากขึ้น มีข้อความระบุเกี่ยวกับตัวเธอมากขึ้น
ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว เธอเคยบล็อกเบอร์เจ้ากรรมนี่แต่ข้อความก็โผล่มาอีกโดยใช้เบอร์ใหม่
พร้อมแฝงนัยข่มขู่
‘ถ้าคุณบล็อกเบอร์ผมอีก
ต่อไปจะไม่ใช่แค่ข้อความอย่างแน่นอน’
ผู้เป็นพี่สาวเลือดร้อนพอได้เห็นข้อความก็แทบจะลุกเป็นไฟ
ร่ำๆจะให้เพื่อนใช้เส้นสายตามจับตัวเจ้าโรคจิตคนนี้เสียให้ได้
หากซาคุยะรั้งเอาไว้ก่อนด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระเกินกว่าจะไปรบกวนแต่ก็แบ่งรับแบ่งสู้กับพี่สาวว่าจะหาทางจัดการ
...อันที่จริง
เธอค่อนข้างจะแน่ใจทีเดียวว่านี่เป็นฝีมือของใคร
เพราะฉะนั้นเลยไม่อยากให้พี่สาวเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้
อาจจะฟังดูมองในแง่ร้ายไปหน่อยแต่ก็ดีกว่าโดนพี่สาวเอาตัวเองไปบูชายัญแนวคิดลูกสาวควรจะหาแฟนได้แล้วของพ่อแหละน่า
ว่าแต่ไม่คิดเลยว่า
ผู้ชายคนนั้นจะบ้าและทำตัวหน้าไม่อายขนาดนี้ ปากว่ามีศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่เคยคิดฝืนใจใคร
แต่ดูการกระทำแต่ละอย่าง...ฉวยโอกาสตอนที่เธอเมา
ส่งข้อความโรคจิตมาก่อกวนแถมยังข่มขู่กันอีก...
วอดก้าครึ่งขวด...วุ่นวายไม่จบไม่สิ้น...
คิดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แล้วเมื่อไรจะจัดการซักทีละ...” รัลเอ่ยถาม
“รอฉันหมดความอดทนจะอ่านข้อความหวานเลี่ยนเอียนจนจะแหวะนี่ก็แล้วกัน...”
“ใจเย็นจริง แม่น้องสาว
กำลังโดนสตอล์กอยู่นะเนี่ย เป็นคนปกติคงประสาทกิน กลัวจนสั่นตั้งแต่ข้อความวันแรก
นี่อยู่ได้มาเป็นสัปดาห์...”
“ช่วยไม่ได้นี่...” ซาคุยะยักไหล่
“รีบอร์นบอกว่าถ้าเรื่องไปถึงตำรวจจะเป็นข่าววุ่นวายซะเปล่าๆ
อีกอย่างฉันเป็นคนประสานงานกับเครือที่อิตาลี มันเลยยุ่งยากถ้าจะเปลี่ยนเบอร์ใหม่
เขาบอกให้ทนๆไปก่อน ไว้ผ่านการประชุมผู้ถือหุ้นวันจันทร์นี้ค่อยว่ากัน...”
“ไอ้บ้าจอนนั่นพูดง่าย...ถ้าไอ้โรคจิตนี่ย่องขึ้นห้องนอนเธอ
มันจะมาช่วยเหลืออะไรไหม...”
รัลสบถยาวเหยียด
เรียกขานสรรพนามของบุคคลที่สามอย่างไม่มีความเกรงใจเพราะคนที่ถูกว่าก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นตั้งแต่ประถมยันมหาวิทยาลัยของเจ้าตัวเองนั่นหละ
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
ซาคุยะมองหน้าจอที่เปิดค้างเอาไว้ ปรากฏตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ REBORN ทำเอารัลซึ่งเพิ่งสวดเจริญพรคนโทรเข้าไปหยกๆเบ้ปาก
“ตายยากจริง
พูดถึงก็โทรมาเลย...”
ซาคุยะยิ้มขันพลางส่ายหัวอย่างอ่อนใจกับท่าทีราวกับเด็กๆของพี่สาว
ก่อนจะกดปุ่มสีเขียวและยกมือถือขึ้นแนบหู
ฟังเสียงปลายสายที่พูดมาโดยไม่รอให้เธอเอ่ยทักทาย
“กว่าจะรับได้นะ...”
“คนกำลังใช้เวลากับครอบครัว...” หญิงสาวสวนกลับเสียงเรียบไม่ต่างกัน “มีธุระอะไรล่ะ...”
ซาคุยะเหลือบตามองพี่สาวที่ลุกออกจากห้องไปเพราะไม่อยากอยู่รบกวนการคุยงาน
ขณะหูฟังคำถามจากคนปลายสาย “รัลอยู่กับเธอรึเปล่า...”
“โทรมาเพื่อถามหาพี่สาวฉันเนี่ยนะ
โทรหาเจ้าตัวเองเลยง่ายกว่าไหม”
ซาคุยะลดเสียง
“ถ้ายัยบ้านั่นจะเปิดโทรศัพท์ล่ะก็นะ...อย่าโยกโย้
ตอบมาเร็ว...รัลอยู่กับเธอรึเปล่า มีคนอยากได้คำตอบจะแย่อยู่ละ หูฉันจะบอดเพราะ ‘มัน’ เล่นโทรมาตะโกนถามกรอกหูอยู่นั่นหละ ว่า ‘นายรู้ไหมวะว่ายัยนั่นอยู่ไหน
ฉันอยากเจอยัยนั่นจนจะบ้าตายอยู่แล้วเว้ยเฮ้ย’
ค่าโทรจากอิตาลีก็ไม่ใช่น้อยๆ ดันผ่าโทรมาคร่ำครวญอยู่ได้ทุกวัน”
“ใช่ รัลอยู่ที่นี่
ว่าแต่ตั้งแต่เมื่อไร...” หญิงสาวเงียบไปครู่เพื่อฟังปลายสายเอ่ยบอกวัน “อืดอาดเป็นบ้า...พี่บินมาตั้งแต่คืนที่พ่อล้มเข้าโรงพยาบาลแล้วเหอะ...คืนวันพฤหัสอาทิตย์ที่แล้วน่ะ...”
“มาญี่ปุ่นสิบวันพอดี...ยัยนั่นบอกรึเปล่าว่าลานานแค่ไหน...”
“เกือบเดือน...ถ้าจะโทรมาคุยเรื่องเจ๊
ฉันจะวางแล้วนะ...”
“เดี๋ยว...” อีกฝ่ายเอ่ยเสียงขรึม
ยั้งปลายนิ้วมือที่จะกดปุ่มสีแดงเอาไว้ได้
“รู้ใช่ไหมว่าวันจันทร์มีประชุมน่ะ...”
“รู้น่า...อาเฮียเล่นย้ำฉันตั้งแต่วันศุกร์แล้วใครจะกล้าลืมกัน...”
ซาคุยะแสร้งลากเสียงยาวจงใจจะยวนประสาทอีกฝ่ายเล่น
แต่อีกฝั่งกลับไม่เต้นตามหากพูดตอบเสียงขรึม
“รู้ก็ดี อ้อ
มีเพิ่มเติมหน่อยนะ งานนี้จะมีคนจากมิลฟีโอเล่มาประชุมด้วย”
“หะ...” หญิงสาวอุทานอดไม่ได้จะขมวดคิ้วด้วยความงุนงง “คนจากมิลฟีโอเล่
อิริเอะกับสปาน่า...ทำไมมาเข้าการประชุมของผู้ถือหุ้นซาวาดะ ไม่ใช่แค่ดีลโปรเจ็คชอยส์หรอกเหรอ...” เอ่ยข้อมูลที่ตัวเองพอรู้ออกมาแล้วถามไถ่
เธอไม่รู้รายละเอียดมากนักเพราะไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบของเธอโดยตรง แต่เป็นของคุณจางหัวหน้าฝ่ายพัฒนา
“ไม่ใช่อิริเอะกับสปาน่าหรอก
ตอนนี้อยู่ในช่วงระงับโปรเจ็คชอยส์ เพราะอิริเอะเพิ่งผ่าตัดไส้ติ่ง
ส่วนสปาน่าเดินทางกลับอิตาลีไปดูความก้าวเรื่องการพัฒนาคิงมอสก้า”
“...”
“ทางมิลฟีโอเล่กำลังพิจารณาเรื่องการร่วมโปรเจ็คใหม่
‘กล้วยไม้ขาว’
เป็นคนขอลงมาดูการประชุมผู้ถือหุ้นของเราด้วยตัวเอง...”
หญิงสาวเลิกคิ้ว
หัวเราะเบาโดยปราศจากความขัน
“ไม่เข้าใจเลยซักนิด...” เธอไม่ค่อยใส่ใจเรื่องบอร์ดบริหารของมิลฟีโอเล่เพราะเธอไม่ได้ทำงานในส่วนที่เกี่ยวกับการพัฒนาและโปรเจ็คร่วมกับบริษัทอื่นนอกเครือ
หากแต่รับผิดชอบในเรื่องการติดต่อประสานกับบริษัทในเครือเดียวกันอย่างวองโกเล่และวาเรีย ยิ่งมาใช้ฉายาวงในแบบนี้ใครจะไปรู้กัน
“เอาเป็นว่า
วันจันทร์ที่จะถึงนี้เก้าโมงตรง ห้ามป่วย ห้ามตาย ห้ามสาย ห้ามขาด
ห้ามกางเกงยีนส์เข้าร่วมประชุมด้วย อย่าลืมแต่งตัวแต่งหน้าให้สวยสมกับเป็นผู้หญิงด้วยล่ะ...”
สั่งเสร็จก็ตัดสายไป
ซาคุยะอดที่จะเบ้ปากกับคำสั่งสุดเผด็จการไม่ได้
“สั่งจริง...” บ่นเล็กๆ ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะเตี้ยแล้วเดินเข้าครัวไปเตรียมอาหารมื้อเย็น
ในหัวคิดถึงชุดที่จะใส่ให้เหมาะสมกับการประชุมแต่ต้องไม่ใช่กระโปรง
แต่งตัวแต่งหน้าให้สวยสมกับเป็นผู้หญิง...เมินซะเถอะ...
Ö
“มาเร็วดีนี่...”
‘รีบอร์น’ ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีดำสวมทับเสื้อเชิ้ตสีส้มและเนกไทสีน้ำเงินเอ่ยทัก
นัยน์ตาสีดำสนิทเหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลบนผนัง แสงบนหน้าปัดแสดงผลเป็นเลข 08:00
“ตัวเองก็มาแต่เช้าเหอะ...” ซาคุยะตอบกลับ
มือรูดซิปถอดเสื้อแจ็คเก็ตหนังที่ใส่กันลมออก
หยิบเนกไทเส้นเล็กสีดำจากกระเป๋าเป้สะพายหลังขึ้นสวม
เมินดวงตาสีดำไร้แววที่จ้องมองมา
พอหยิบเสื้อสูทสีดำพอดีตัวขึ้นมาคลี่สะบัด
อีกฝ่ายก็เอ่ยทัก “ทำไมใส่สูท...”
ว่าพลางมองตั้งแต่หัวจรดเท้า
ซาคุยะมองตาม อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เธอก็ว่าการแต่งการเธอปกติดีเสื้อสูทสีดำตัดพอดีตัวสวมทับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว
เนกไทเส้นเล็กเรียวสีดำผูกปมสวยงามจัดถูกต้องตามหลักการแต่งกาย
กางเกงแสล็คขากระบอกทรงผู้หญิงสีดำ เข็มขัดหนังสีดำมันวับของลีวายส์
รองเท้าบูทหนังหุ้มข้อส้นเตารีดสีดำ ทำไมอีกฝ่ายถึงได้มองเหมือนกับว่าเธอแต่งตัวแปลกประหลาดมากมาย
“ทำไมไม่ใส่กระโปรง...” หญิงสาวกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างเบื่อหน่าย
อย่างงี้นี่เองถึงว่าทำไมถึงสั่งว่าห้ามยีนส์ คิดจะให้แต่งตัวแหววๆนี่เอง
“น่ารำคาญน่า
ห้ามแค่กางเกงยีนส์เองไม่ใช่เหรอ...เข้าใจฉันหน่อยเหอะ”
“ไม่เข้าใจและไม่อยากเข้าใจด้วย...อย่าทำตัวให้เหมือนไอ้รัลมากจะได้ไหม
แค่ใส่ชุดกระโปรง แต่งตัวสวยๆซักวันมันจะตายรึไง
หยุด...อย่าอ้างว่าต้องขับมอเตอร์ไซค์ ไอ้รถสปอร์ตราคาเหยียบล้านน่ะ ซื้อมาประดับโรงรถให้สนิมกินเล่นรึไง
แล้ววันศุกร์ที่แล้วฉันเห็นแกใส่กระโปรงมาทั้งๆที่ขับมอเตอร์ไซค์...”
“แล้วเฮียก็บ่นกระโปรงตัวนั้นว่าแหวกสูงไป
ไม่เรียบร้อยป่ะ...แล้วงานประชุมผู้ถือหุ้นต้องเรียบร้อยมะ...สูทนี่ก็เหมาะดีจะตาย...” ซาคุยะโต้ “เฮียจะให้ฉันสวยไปอวดใครล่ะ...โหย
ระดับนี้แล้วไม่มีใครสนหรอก เชื่อเหอะ”
รีบอร์นส่ายหัวเบาๆด้วยความอ่อนอกอ่อนใจต่อน้องสาวเพื่อนที่เห็นมันมาตั้งแต่เด็กๆ
พยายามจะเสี้ยมจะสอนให้มีนิสัยต่างไปจากคนพี่(ที่ห่ามเกินเยียวยาไปแล้ว)
แต่เหมือนพันธุกรรมบ้านนี้จะแรงเกินคาด
...ทั้งพี่ทั้งน้องไม่เคยจะรู้ตัวหรอกว่ามีสเน่ห์ดึงดูดสายตาเพศตรงข้าม...ลงว่าทำตัวให้สวย
อ่อนหวาน น่าทะนุถนอมซักหน่อย ขี้คร้านผู้ชายเป็นฝูงจะมาคลานแทบเท้า...
นี่อะไร...คนหนึ่งทำตัวห้าวซะจนจะเทียบได้กับผู้ชายอกสามศอกละ
อีกคนก็ทำตัวแกร่งซะจนไม่คิดจะง้อผู้ชาย...
“เถียงกับแกแล้วปวดหัวว่ะ...ตามใจแกเหอะ...” รีบอร์นยอมยกธงขาว
จนป่านนี้แล้วเขาคงจะเปลี่ยนนิสัยอะไรของแม่เจ้าประคุณไม่ได้อีกแล้วล่ะ
“อีกตั้งชั่วโมง
ขอฉันไปงีบที่โต๊ะก่อนได้ไหม เมื่อคืนไม่ได้นอน...”
ซาคุยะเอ่ยขึ้นเป็นเชิงขออนุญาตหลังจากกลัดกระดุมสูทตัวนอกเสร็จ
“มัวทำอะไร...” รีบอร์นถามกลับ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ซาคุยะมองท่าทีนั้นก่อนจะยกไหล่ขึ้นเบาๆแล้วตอบ “เล่นไล่จับกับเจ๊ เค้นเรื่องพันเอก...”
“แล้วว่าไง...”
“ไม่ค่อยจะอยากรู้เลยเนอะ...”
หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะจิกกัดปฏิกิริยาอยากรู้อยากเห็นเต็มพิกัดของอีกฝ่าย
ถึงสีหน้าจะไม่ค่อยเปลี่ยนนักแต่เธอก็มองออกหรอกน่าว่าอีกฝ่ายอยากจะรู้เรื่องนี้สุดๆ
...เอาจริงๆแล้วรีบอร์นก็ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนรอบๆตัวเสมอนั่นแหละ...แล้วก็รู้ดีด้วยนะ...แต่ก็นั่นแหละถ้าไม่รู้ดีคงไม่ได้เป็นที่ปรึกษาของซาวาดะกรุ๊ปจนทุกวันนี้...
“จะเล่าดีๆหรือให้เอาปืนจ่อ...”
“ก็ได้ๆ” ซาคุยะเอ่ยเสียงหวาด
เป็นที่รู้กันดีว่าไม่มีใครอยากเสี่ยงกับปืนในมือรีบอร์น
“เห็นว่ามีเรื่องกันก่อนมานิดหน่อย...แต่ฉันว่าไม่นิดหรอกติดแต่ว่าพยายามง้างปากยังไงก็ไม่ยอมหลุดอะไรออกมาซักนิด
เลยไม่รู้ว่าไอ้เรื่องที่มีน่ะมันอะไร แล้วก็พอดีว่าพ่อล้มเลยยื่นลากะทันหันแล้วบินมาเลย...”
“ปากแข็งเหมือนเคย...” รีบอร์นเปรยออกมาเบาๆด้วยก็รู้นิสัยอีกฝ่ายดี
“เนอะ...ถ้ารับรักก็ไม่ต้องลำบากแล้ว...” ซาคุยะรำพึง รีบอร์นหันขวับ
“โดนคุณมิจจิกดดันเรื่องแฟนอีกแล้วสิ...” รีบอร์นเอ่ย
ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาก็พอจะรู้สถานการณ์ของหุ้นส่วนครอบครัวนี้มากพอดู
อันที่จริง
พ่อของรัลกับซาคุยะก็ชอบเปรยๆเรื่องให้ลูกสาวสองคนรีบๆแต่งงานแต่งการไปซักทีหรืออย่างน้อยหาแฟนเข้าบ้านให้ได้ก็ยังดี
เพราะกลัวลูกสาวจะขึ้นคานแต่งกับงานไปซะก่อน
“พอล้มป่วยยิ่งเพ้อหนัก...”
ซาคุยะถอดถอนใจเมื่อเอ่ยถึงความวิตกกังวลจนเกินไปของพ่อตัวเอง
“ก็หาซักคนสิ...” รีบอร์นแนะ
หากซาคุยะกลับทำท่าขนลุกขนพองพลางสะบัดหัวพรืด
“เรื่อง...ยุ่งยากจะตายไป...”
“ยุ่ง...หรือว่ากลัว...” รีบอร์นดักคอ มองเห็นหญิงสาวสะดุ้งคล้ายคำพูดเขาแทงใจ “กลัวอะไร...”
“คนแย่ๆ” ซาคุยะตอบเสียงอุบอิบ
ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ไปได้รึยัง...”
“จะไปไหน...แกต้องอยู่รับแขกเป็นเพื่อนฉัน...”
“หะ!!” ซาคุยะอุทานเสียงหลง “ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายปฏิคมบริษัทเรอะ...”
“เหอะน่า...”
“อีกตั้งชั่วโมงไม่ใช่เรอะ
ขอฉันไปนอนก่อนไม่ได้รึไง ฉันง่วงงงงงงงงงงงงงงงงง...”
ซาคุยะโอดครวญ
หากอีกฝ่ายกลับเพียงปรายตามองก่อนจะปล่อยไม้ตายออกมา
“แค่นี้ทนไม่ได้ก็ไปตายซะ...”
แกร๊ก! เสียงสับนกเปลี่ยนกระสุนปืนลูกโม่ของรีบอร์นช่างเป็นตัวขู่ที่ทำงานได้ดีเสมอ
สำหรับคนทั้งบริษัท...หรือแม้แต่ตัวเธอเอง
และในที่สุดเธอก็ต้องกล้ำกลืนน้ำตาและอดทนอดกลั้นต่ออาการง่วงนอนมายืนปั้นหน้ายิ้มรับแขก อยู่หน้าประตูห้องประชุมข้างรีบอร์น
แต่ทว่าผมสีน้ำเงินเข้มถึงรวบขึ้นเกล้าโดยใช้กิ๊บสีขาวอันใหญ่ติดไว้หลวมๆ
ปล่อยปอยผมด้านหน้าหล่นเคลียข้างแก้ม
ที่ต้องติดนี่ก็เพราะคำสั่งรีบอร์นที่ว่า...ปล่อยผมยาวกระเซอะกระเซิงแล้วมันดูไม่เรียบร้อย...
Ö
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นระหว่างช่วงการต้อนรับผู้ถือหุ้นที่เริ่มทยอยมาถึงทำให้หญิงสาวต้องผละจากการพูดคุยทักทายอย่างออกรส
มาล้วงโทรศัพท์ที่ยังส่งเสียงอยู่ไม่เลิกราจากกระเป๋าเสื้อสูทหญิงสาวดูหน้าจอก่อนจะพบกับชื่อ
...Lal Sister...
หญิงสาวโชว์หน้าจอมือถือให้รีบอร์นที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันนักดูเพื่อเป็นเชิงของอนุญาตก่อนจะเดินหลบฉากออกไปไม่ไกลนักแล้วนิ้วเรียวก็กดรับสาย
หากไม่ทันจะเอ่ยทักทายปลายสายก็ส่งเสียงสบถลอดไรฟันมาตามสาย
“เพราะเธอเลยนะ
ซาคุยะ...”
“โว้ว
ใจเย็นค่ะ...มาถึงก็บอกว่าเป็นเพราะฉันนี่ ฉันงงนะพี่...
“เมื่อวานเธอบอกใครล่ะว่าฉันจะกลับมาอยู่ญี่ปุ่นซักพัก...”
ซาคุยะร้องอ๋ออยู่ในใจ
พอเดาออกแล้วว่าทำไมคนเป็นพี่ถึงได้โทรมาทำเสียงเหวี่ยงใส่
หากยังแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ กรอกเสียงตอบกลับไป
“ก็รีบอร์นโทรมาถามไง...เมื่อวานฉันมีเบอร์โทรเข้ามาสายเดียวแค่นั้นแหละ...”
เธอพูดความจริงและอีกฝ่ายก็รู้
พอได้ยินเช่นนั้น รัลก็สบถเจริญพรทั้งเธอทั้งคนที่เธอกล่าวอ้าง “มีอะไรเหรอ...”
“โคโรเนโร่...”
น้ำเสียงของรัลที่เรียกชื่อคนๆนี้มันปนเปอยู่ระหว่างโกรธแล้วก็เขิน
ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้ตัวบ้างรึเปล่า
“หมอนั่นโผล่มาที่นี่...”
ไวจริง...
ซาคุยะอดจะคิดในใจไม่ได้
...เธอเพิ่งจะบอกรีบอร์นไปตอนบ่ายเมื่อวานว่าพี่สาวอยู่ที่ญี่ปุ่น พอมาเช้าวันนี้ ‘พ่อพันเอก’
นั่นก็พาตัวเองมาเคาะประตูหน้าบ้านเลย จะเรียกว่าอะไรดี ‘ใจกล้าบ้าบิ่น’ หรือ ‘คลั่งรัก’
“ฉันก็ไม่รู้ว่ารีบอร์นติดต่อกับเขานี่นะเลยบอกไป...” อันนี้โกหกกันหน้าซื่อตาใสเลยทีเดียว
จะไม่รู้ได้ยังไง
โคโรเนโร่กับรีบอร์นแล้วก็รัลเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องมหาวิทยาลัยเดียวกัน
ชมรมก็อยู่ชมรมเดียวกัน
“เจ้ก็อย่าเพิ่งไปอาละวาดฟาดงวงฟาดงาล่ะ...”
“สภาพตอนนี้แกจะให้ฉันสงบอารมณ์ได้อีกเรอะ
ซาคุยะ ฉันไม่ได้ใจเย็นพอจะอดทนหรอกนะยิ่งตอนก่อนจะมาน่ะ...”
“เกิดอะไรขึ้น...” ซาคุยะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกดต่ำ
...เธอรู้สึกว่ามันแปลกๆตั้งแต่ที่ได้ฟังจาก
รีบอร์นว่ารัลปิดเครื่องและโคโรเนโร่โทรถามหาพี่สาวเธอทุกวันแล้ว ระหว่างสองคนนี้ต้องเกิดอะไรซักอย่างขึ้นแน่ๆ...เธอต้องการจะรู้ความจริง...
ปลายสายอึกอัก
ส่งผลให้หญิงสาวต้องถอนใจ
พี่สาวเธอปากหนักเสมอในสิ่งที่ไม่อยากจะพูดและนั่นคือสิ่งที่น่ากลัว...เพราะการที่ไม่พูดออกมามันทำให้ไม่สามารถล่วงรู้และอาจจะกลายเป็นไม่สามารถช่วยอะไรได้...
แต่อุปนิสัยของเธอก็ไม่ได้ต่างกับพี่สาวนักหรอก...
“เจ้คิดให้ดีๆ
ยังไงพี่เค้าก็เพื่อนเจ้...รักษามิตรภาพไว้จะดีกว่าแล้วก็ยังเรื่องของพ่ออีก...บางที
เรื่องนี้อาจจะทำให้พ่อรามือจากเราบ้าง
เจ้มีทางเลือกอยู่ในมือแล้วที่เหลือก็แล้วแต่เจ้”
ซาคุยะเอ่ยเสียงเรียบเป็นเชิงให้คำแนะนำ
ก่อนจะกดตัดสายหนี
ทันได้ฟังเสียงสบถยาวเหยียดของพี่สาวที่มีเสียงทุ้มของใครอีกคนแทรกมาในสายอยู่แวบหนึ่ง
...ไปเคลียร์กันสองคนเถอะ...
ซาคุยะคิดในใจก่อนจะกดปิดเครื่องยัดโทรศัพท์มือถือสีดำลงกระเป๋าเสื้อสูทดังเดิมก่อนจะหันหลังเดินกลับมายังห้องประชุม
หญิงสาวลดความเร็วฝีเท้าลงในขณะที่ห่างจากประตูห้องประชุมไม่กี่เมตร
คิ้วเรียวพลางขมวดด้วยความสงสัยเมื่อเธอพบรีบอร์นกำลังคุยอย่างออกรสกับใครบางคน เธอเห็นไม่ค่อยชัดนักว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใครด้วยร่างสูงสมส่วนของรีบอร์น
บดบังเสียมิดอีกทั้งมุมที่เธอยืนก็เป็นมุมที่ตรงกับแผ่นหลังของชายหนุ่มผมดำอย่างพอดิบพอดี
แต่ที่เท่าที่เธอสังเกตเห็นก็คือร่างสูงโปร่งที่เต็มไปด้วยสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า
ปลายผมสีขาวที่ชี้โด่เด่ราวกับไม่ได้ถูกใส่ใจกับสูทสีขาวสะอาดตัดกับเสื้อเชิ้ตสีดำที่ใส่ไว้ข้างใน...สิ่งที่เห็นทำให้ใจของเธอกระหวัดนึกถึงใครอีกคน...
หญิงสาวกัดปากฉับเพื่อสะกดความรู้สึกไม่ให้นึกถึงเพลย์บอยตัวฉกาจที่เธอได้พานพบเมื่อสัปดาห์ก่อนซึ่งอาจจะเป็นคนเดียวกับเจ้าของข้อความโรคจิตที่ส่งมารบกวนเธอทุกวี่ทุกวัน
“เฮ้! มัวยืนทื่อทำไมอยู่ล่ะ...มาช่วยกันรับแขกหน่อย”
เสียงตะโกนดังลั่นของรีบอร์นฉุดหญิงสาวออกจากความคิด
นัยน์ตาสีน้ำเงินเบิกกว้างอย่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นคู่สนทนาจากการเบี่ยงตัวของรีบอร์น
ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่!
หญิงสาวอยากจะตะโกนให้ก้องเพื่อระบายความตึงเครียดภายในหากแต่ไม่สามารถจะทำได้อย่างใจคิด
ดังนั้น
ดวงหน้าสวยจึงได้ตีหน้าเคร่งขรึมเรียบเฉยเพื่อปิดบังความรู้สึกทั้งมวลถึงแม้จะมีความรู้สึกมากมายหลายหลากอัดแน่นอยู่ภายในใจจนแทบจะระเบิดออกมา
“ซาคุยะนี่ ‘กล้วยไม้ขาว – เบียคุรัน แจสโซ’ ประธานบริหารบริษัทมิลฟีโอเล่ ผู้สังเกตการณ์
การประชุมวันนี้...เบียคุรัน นี่ ซาคุยะ มิจจิ
หนึ่งในผู้ถือหุ้นและผู้บริหารของเรา...”
ทันทีที่เดินไปถึง
รีบอร์นก็เอ่ยแนะนำตัวเขากับเธอทันที ซาคุยะอยากจะกรีดร้องว่า ฉันไม่สนหรอก
ฉันไม่อยากรู้จักอีตานี่เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ด้วยมารยาท
เธอจึงพยายามตีสีหน้าให้เป็นปกติ ไม่ถึงกับยิ้มแย้ม(เพราะจุดนี้
ให้ตายก็ยิ้มไม่ออก) แต่ก็ไม่บึ้งตึงจนสังเกตเห็นได้ชัด
ขณะเอื้อมมือไปเช็คแฮนด์แล้วดึงกลับอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นรอยยิ้มประหลาดๆของอีกฝ่าย
“อันที่จริงก็ไม่ต้องมาแนะนำแบบพิธีรีตองแบบนี้ก็ได้นะครับ
ผมกับซาคุยะก็รู้จักกันอยู่แล้ว...”
เบียคุรันเอียงคอหันมาทางเธอก่อนจะเอ่ยเป็นเชิงถาม “ใช่ไหม...”
เบียคุรันยิ้มออกมาบางเบา
เมื่อเห็นหญิงสาวที่แสร้งตีหน้าเรียบถลึงตาใส่เขา ก่อนจะกลับไปทำทีเรียบเฉยอย่างรวดเร็ว
เมื่อถูกจ้องมองโดยรีบอร์นที่หันไปส่งสายตาเป็นเชิงถามว่า จริงหรือ
เขาเห็นหญิงสาวทำหน้ากระอักกระอ่วนใจแวบหนึ่งก่อนจะหันไปตอบคนสูงวัยกว่าว่า
“บังเอิญเจอกันที่ Guardian
เมื่อศุกร์สัปดาห์นู้น...”
หญิงสาวจงใจใช้น้ำเสียงแสดงความห่างเหินอย่างชัดเจน ซึ่งรีบอร์นก็เพียงแต่พยักหน้ารับเท่านั้นไม่ได้ซักถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อะไรต่ออีก
ซาคุยะขยับตัวอย่างอึดอัดใจ
เมื่อดูเหมือนแขกจะไม่ยอมขยับตัวไปไหนซักที กลับเอาแต่ยืนจ้องมองมาทางเธออยู่นั่น
รีบอร์นที่ตอนแรกไม่ได้สนอกสนใจก็เริ่มจะเมียงมองมาบ้าง หญิงสาวขยับพลิกข้อมือดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือเรือนเล็ก
“ถึงเวลาแล้วนี่ เราเข้าไปในห้องประชุมได้รึยัง...” ซาคุยะเอ่ยถามผู้อาวุโสกว่า
เมื่อหน้าปัดนาฬิกาข้อมือบอกเวลาเก้านาฬิกาตรง
“ไอ้ห่วยยังไม่มา...”
ซาคุยะเบ้ปากกับคำตอบของรีบอร์น
ในขณะที่เบียคุรันอมยิ้มขบขันกับสรรพนามที่ที่ปรึกษาอาวุโสอย่างรีบอร์นใช้เรียกลูกศิษย์ตัวเองหรืออีกนัยหนึ่งก็คือประธานซาวาดะกรุ๊ปคนปัจจุบัน
“นินทาอะไรผมกันล่ะครับ...” เสียงของผู้ถูกนินทาดังขึ้นก่อนจะปรากฏตัวในชุดสูทสีน้ำตาลอ่อนเข้ากับกับสีผมน้ำตาลประกายทองที่ไม่เป็นรูปเป็นทรง
“ไอ้ห่วยสึนะ...สายตลอดศก
แกเป็นประธานบริษัทก็ช่วยมีความรับผิดชอบหน่อยสิเว้ย”
รีบอร์นไม่รอให้ประธานไม่เอาไหนได้เอ่ยอะไรเริ่มสวดเทศน์ในทันที
ส่วนซาคุยะทำเพียงเขม้นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่แสดงความไม่พอใจเท่านั้น หาก ‘ซาวาดะ สึนะโยชิ’ ก็ดูจะไม่สะทกสะท้านต่อคำบ่นว่าและสายตามาดร้ายนัก
“ขอโทษครับ...” ชายหนุ่มผมน้ำตาลเอ่ยยิ้ม
ไม่มีท่าทีจะสำนึกแต่อย่างใด ก่อนจะหันไปทางชายหนุ่มผมขาว
“อ้าว สวัสดีครับ คุณเบียคุรัน
มานานรึยังครับ”
“ซักพักแล้วล่ะ...”
ตอบโดยไม่ละสายตาจากใบหน้าของหญิงสาวคนเดียวในวงสนทนา สึนะโยชิไหวไหล่เบาๆก่อนจะหันมาคุยกับคนที่ถูกจ้องแทน
“ไงซาคุยะ...คืนวันศุกร์นู้นดีไหม...”
ซาคุยะเลิกคิ้ว เป็นเชิงบอกว่า ‘ฉันไม่เข้าใจอะไรที่นายจะสื่อ’ ชายหนุ่มจึงขยายความ
“เห็นไปขึ้นฟลอร์ที่ Guardian
เครียดจัดรึไง...แต่เต้นสวยดีนะ...”
“ยุ่งน่ะ...” หญิงสาวแยกเขี้ยวใส่
“แต่ผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วเพิ่งจะมาถามเรื่องที่ Guardian ช้าไปไหม...เอ๊ะ ว่าแต่ศุกร์นั้นนายอยู่ที่คลับด้วยเรอะ”
สึนะโยชิหัวเราะก่อนตอบ “สัปดาห์ที่ผ่านมาผมบินไปอิตาลีไหมครับ
แหม...เพิ่งจะได้เจอก็เลยได้คุยเนี่ย...เรื่องที่คลับ
วันนั้นผมพาเพื่อนที่เพิ่งมาจากต่างประเทศไปเลี้ยงน่ะ นั่งอยู่ชั้นลอย เธอคงไม่เห็นผมแต่ผมเห็นเธอชัดแจ๋วเลย” ว่าพลางเหลือบมอง ‘เพื่อน’
ที่ว่าที่ยืนล้วงกระเป๋าทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“วะ...” ซาคุยะสบถก่อนจะยกมือขึ้นชี้หน้า “ถ้างั้นก็แสดงว่าเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นยันจบ”
สึนะโยชิผงกหัวด้วยใบหน้ายิ้มๆ
ในขณะที่ซาคุยะทำหน้าคล้ายโลกจะแตก ยกมือเรียวขึ้นกุมศีรษะ รีบอร์นที่เหมือนถูกกันไปจากบทสนทนาพักใหญ่เอ่ยถาม
“มีเรื่องอะไรกัน...”
“ยัยนี่...” สึนะเป็นคนตอบคำถามนั้น “เมื่อวันศุกร์นั้นน่าจะไปเยี่ยมพ่อแล้วคงเลยไปนั่งดื่มที่คลับของเรียวเฮย์
แล้วเดอะแก๊งค์ของแม่คุณก็เฮี้ยน พากันไปยึดฟลอร์เปิดการแสดง เต้นไปได้เพลงนึงก็วงแตก...เรียวเฮย์ลงไปเก็บน้องสาวกับแฟนตัวเอง
โกคุเดระที่ไปกับผมก็ลงไปลากฮารุ เหลือแม่นี่โดนทิ้งเคว้งอยู่กลางฟลอร์คนเดียว...”
“รู้ดีนะ...” ซาคุยะกันฟันกรอดๆ “แล้วก็ไม่ลงมาช่วยกันนะ
ทั้งๆที่เห็นฉันถูกทิ้งคว้างไว้ที่ฟลอร์คนเดียวแท้ๆ ฉะ...”
ซาคุยะกัดปากฉับเมื่อกำลังจะเผลอหลุดเรื่องที่ไม่สมควรจะให้ใครรู้ออกไป
สึนะโยชิปรายตามอง
ทำเอาหญิงสาวรู้สึกร้อนๆหนาวๆ ดวงตาสีน้ำตาลมองเธอ
เลื่อนไปมองอีกคนแล้วพูดออกมา
“พอดีว่ามีธุระด่วนต้องจัดการน่ะ...ขอโทษทีนะ แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีนี่
ไม่งั้นเธอคงมายืนว่าผมฉอดๆอยู่นี่หรอก”
...เรียบร้อยกับผีน่ะสิ...
ซาคุยะค้านในใจแต่ไม่ได้เอ่ยออกไป ...ถูกผู้ชายแปลกหน้าลากไปกก มีข้อความโรคจิตตามตื้อ
ต่อมาก็พบว่าผู้ชายคนนั้นเป็นว่าที่หุ้นส่วน...
รีบอร์นหัวเราะเสียงเย็น
“ได้รู้กันซักทีว่าทำไมยัยนี่ถึงโดนข้อความโรคจิตก่อนกวนตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา...” สึนะทำหน้าฉงน
เอ่ยปากจะถามต่อหากเจอรีบอร์นตัดบทไปเสียก่อน
“เอาละ...เลยกำหนดการมาเป็นสิบนาทีแล้ว อย่ามามัวยืนคุยกันอยู่เลย
เข้าห้องประชุมเถอะ ”
Ö
การประชุมดำเนินไปตามปกติ
เหมือนกับทุกเดือนที่เคยเป็นมา ตัวแทนฝ่ายบริหารที่ ณ
ที่นี้ประกอบด้วยสึนะโยชิและเธอ รายงานผลการดำเนินงานโดยคร่าว
เธอรายงานเรื่องการประสานงานกับเครือวองโกเล่และวาเรียคอร์ปฯที่อิตาลี
ส่วนสึนะโยชิรายงานเรื่องการดำเนินงานทั่วไปในญี่ปุ่น โดยมีรีบอร์นซึ่งเป็นที่ปรึกษาเป็นคนรับรอง
ผู้ถือหุ้นซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนในครอบครัววงศ์ญาติซาวาดะ
ก็ดูจะพึงพอใจกันดีแล้วการประชุมก็เปลี่ยนเป็นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางต่อไปของบริษัท
“...จบการประชุมแต่เพียงเท่านี้” เสียงประธานการประชุมเอ่ยขึ้น
ซาคุยะเป่าลมออกจากปาก
รวบแฟ้มเอกสารหน้าตัวเองเตรียมจะลุกออกไปจากห้องประชุมให้เร็วที่สุด ขี้เกียจจะเผชิญหน้ากับใครต่อใคร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่มีกรณีกันอยู่...
“ไงหนูซาคุยะ...วุ่นวายเลยสินะ
ช่วงนี้...” ซาวาดะ อิเอมิทสึ
บิดาของสึนะโยชิเอ่ยทักจากหัวโต๊ะ
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ
คุณลุง...” ซาคุยะตอบด้วยเสียงนอบน้อม
ไม่เพียงแต่เป็นอดีตประธานบริษัทที่ดึงตัวเธอเข้ามาทำงานหลังเรียนจบ
อิเอมิทสึมีศักดิ์เป็นพี่ชายของมารดาผู้ล่วงลับของเธอด้วย “พอดีว่าพี่รัลเขาลางานกลับมาญี่ปุ่นด้วย เลยไม่ค่อยวุ่นเท่าไร
อย่างน้อยก็มีคนผลัดกันไปอยู่กับพ่อ”
“รัลกลับมาด้วยสินะ...สัปดาห์ที่แล้วพอรู้ข่าวก็ยังไม่ไปเยี่ยมติดว่าต้องบินไปพบคุณธิโมธีโอที่อิตาลี
เดี๋ยวจะได้แวะไป อยู่โรงพยาบาลนามิโมริสอง แถวๆชานเมืองใช่ไหม...” ซาคุยะพยักหน้ารับ “อ้อ
แล้วเราสองคนถ้าเป็นไปได้ก็หาโอกาสไปกินข้าวเย็นด้วยกันนะ นานะคงจะดีใจ”
อีกฝ่ายยิ้มจางๆ
น้ำเสียงที่กล่าวถึงภรรยาเต็มไปด้วยความรักใคร่ ซาคุยะอดไม่ได้จะยิ้มตาม
ก่อนจะขยับเตรียมขอตัวออกไป หากแต่ชายหนุ่มผมขาวซึ่งนั่งสังเกตการณ์เงียบๆมาตลอดกลับได้ประกาศขึ้น
“เป็นการประชุมที่น่าประทับใจมากครับ...” เบียคุรันพูดด้วยเสียงทุ้มนุ่มนวล
ระดับเสียงไม่เบาและไม่ดังจนเกินไปนักหากได้ยินกันทุกคน “ผมตัดสินใจแล้วว่าโปรเจ็คชอยส์จะดำเนินต่อไป
โดยความร่วมมืออย่างเต็มที่จากมิลฟีโอเล่ เรื่องสัญญาอย่างเป็นทางการ
ผมจะเรียกฝ่ายกฏหมายมาร่างสัญญาการร่วมมืออย่างด่วนที่สุด
ขอให้มั่นใจว่าสัญญาระหว่างเราจะเสร็จสิ้นก่อนสิ้นเดือนนี้อย่างแน่นอน..”
ซาคุยะนั่งฟังโดยไม่ใส่ใจเพราะถือว่าไม่เกี่ยวกับหน้าที่ที่เธอรับผิดชอบ
กรอกตาขึ้นฟ้าอย่างหน่ายๆในใจนึกอยากออกไปจากห้องประชุมเต็มทนเพราะสังหรณ์ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยจะดีนัก
“สิ่งที่ผมอยากจะขอคือให้มีการจัดงานเปิดตัวโปรเจ็คความร่วมมือระหว่างเราในปลายเดือนหน้า”
...เจ็ดสัปดาห์โดยประมาณ จัดงานใหญ่ระดับความร่วมมือสองบริษัทยักษ์ใหญ่
ฉุกละหุกพอดู... ซาคุยะคิดในใจ เคาะนิ้วมือกับโต๊ะเบาๆ
ขนหลังลุกชันเมื่อเห็นนัยน์ตาสีอเมทริสต์เหลือบมองมา
ก่อนจะรู้สึกเกรี้ยวกราดจนแทบร้องกรี้ดออกมากลางห้องกับประโยคถัดมาที่อีกฝ่ายเอ่ย
“หากจะกรุณา
ผมต้องการให้คุณซาคุยะเป็นผู้ประสานงานงานเปิดตัวที่จะจัดขึ้น...”
บ้าบอคอแตกอะไรกัน!
ผู้บริหาร
ผู้ถือหุ้นและผู้เกี่ยวข้องเกือบสิบชีวิตเริ่มทยอยออกจากห้องประชุมใหญ่เช่นเดียวกับหญิงสาวที่รีบเก็บแฟ้มเอกสารและคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของตนลงกระเป๋าเป้ก่อนจะตวัดกระเป๋าใบเขื่องขึ้นสะพายหลัง
หากเมื่อจะเดินออกไปกลับมีเสียงหนึ่งเรียกทักขึ้น
“แกจะรีบไปไหนของแกน่ะหะ”
“เออ เจอเฮียก็ดีละ เอ้า! เอาไอ้นี่คืนไป”
ซาคุยะโยนกิ๊บเหน็บผมสีขาว
(ที่ไม่อาจทราบได้ว่าอีกฝ่ายเอามาจากไหน จะว่าพกไว้เองก็ดูขัดๆพิกลกระไรอยู่)
ให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ที่มีเอกลักษณ์คือหมวกปีกกว้างกับจอนงอนโค้ง
อีกฝ่ายก็ไวพอกันที่สามารถรับของที่ส่งมา (ด้วยการโยนใส่แบบไม่ให้ได้ตั้งตัว) ได้
“แล้วแกจะไปไหนฮะ! ทำยังกะจะมีใครมาไล่ฆ่า”
“ไม่มีใครมาตามฆ่าฉันหรอกเฮีย
แต่ฉันกลัวว่าที่บ้านจะมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นเพราะ ‘พ่อพันเอก’ แกเล่นมาเคาะประตูหน้าบ้าน เซอร์ไพรส์กันแต่เช้า สายเข้าเมื่อเช้านั่นแหละที่พี่โทรมาสวดฉันน่ะ...”
ซาคุยะปรายตามองหนุ่มรุ่นพี่ที่เป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดในเหตุการณ์นี้ยกมือขึ้นกุมขมับ
ส่งเสียงบ่นออกมาเป็นเชิงว่า ‘ไอ้ทหารทึ่มเอ๊ยยย’
“ป่านนี้ ฝาบ้านฉันคงเต็มไปด้วยรอยกระสุนแล้วมั้ง...” ซาคุยะเปรยก่อนหันมาทำสายตาอ้อนวอน “ขอฉันลางานบ่ายนี้เหอะนะ...นะ...นะ”
รีบอร์นละมือที่กุมขมับ
มองหญิงสาวที่ทำตัวอ้อน (อ้อนไม้อ้อนมือ) อย่างเอือมๆ ก่อนจะโบกมือเป็นเชิงไล่เบาๆ
พลางเอ่ยสำทับ “จะไปก็ไป
อย่าลืมรายงานด้วยล่ะ...อย่างน้อยถ้า ‘มัน’ กลายเป็นศพจะได้ช่วยโทรเรียกกู้ภัยช่วยไปเก็บซาก”
เมื่อได้ยินคำอนุญาตร่างบางก็ถลาออกไปจากห้องประชุมราวกับลมพัด
โดยมีเสียงโหวกเหวกโวยวายของรีบอร์นตามหลัง
“อย่าลืมทำงานที่เขาขอมานะเว้ย...”
แน่นอนว่าเสียงหวานตะโกนตอบลอยมาตามลม “...เรื่อง...ฉันไม่รับปาก ฉันไม่ทำ...เตรียมหาคนแทนไว้เลย...”
รีบอร์นส่ายอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับท่าทีนั้น
เหลือบมองชายหนุ่มผมขาวที่ขยับมายืนข้างตัวเอง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ออกจะแปลกๆนะที่ให้คนที่ไม่ได้ทำงานเกี่ยวข้องกับโปรเจ็คที่เราร่วมกับมิลฟีโอเล่
จัดงานเปิดตัวโปรเจ็ค” ชายหนุ่มผมดำเว้นช่วงก่อนจะเอ่ยถาม “คุณคิดอะไรของคุณอยู่น่ะ เบียคุรัน”
โดยไม่รอคำตอบ
รีบอร์นเอ่ยต่อ “ยัยนั่นเป็นหัวแข็งนะ
ลงว่าหล่อนจะไม่ทำ หล่อนก็ไม่ยอมทำหรอก...แล้วก็กล่อมไม่ได้ง่ายๆซะด้วยสิ...”
“เรื่องนั้น
ผมจะไปคุยกับเธอเอง...”
เบียคุรันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ รีบอร์นหันขวับไปมองหน้าผู้บริหารหนุ่มจากต่างบริษัท
เห็นนัยน์ตาสีม่วงอเมทริสต์ทอประกายกล้าและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าอีกฝ่ายในชั่วแวบ
ก่อนที่ร่างในชุดขาวนั้นจะก้าวเดินออกไปในทิศทางเดียวกับที่หญิงสาวผมสีน้ำเงินเพิ่งจะโลดแล่นออกไป
ในใจรีบอร์นสังหรณ์ว่า
งานนี้อาจจะมีอะไรซับซ้อนซ่อนอยู่
Ö
ซาคุยะเดินลงมาที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินด้วยความรู้สึกแช่มชื่นที่หาเรื่องหนีจากงานที่ตัวเองไม่อยากจะทำมาได้
โดยไม่ได้นึกหวาดระแวงอะไรเลยแม้แต่น้อย ขาเรียวก้าวฉับๆอย่างคล่องแคล่วไปยังรถมอเตอร์ไซค์ Honda CBR สีดำคู่ใจที่จอดอยู่ไม่ไกล พลันหางตาของหญิงสาวก็สังเกตเห็นรถสปอร์ตสีขาว Citroen GT ที่วิ่งอยู่ข้างหลัง...
หญิงสาวผิวปากหวือ แน่ละ!
รถหรูๆราคาหลักสิบล้านแบบนี้ใช่ว่าจะเห็นกันได้ง่ายๆตามท้องถนนเสียเมื่อไรกัน
บางทีอาจจะเป็นพวกหุ้นส่วนที่มาประชุมแล้วอยากอวดของแพงก็เป็นได้หญิงสาวคลี่ยิ้มหยันๆก่อนหลบฉากไปด้านข้างเพื่อเป็นการให้ทางกับอีกฝ่ายด้วยเห็นว่าคงต้องการจะออกไปเพียงมีเธอเดินขวางทางอยู่
แต่กลับไม่ใช่!!
คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเคลื่อนรถไปข้างหน้า
นัยน์ตาสีน้ำเงินเพ่งมองเข้าไปในกระจกรถที่ติดฟิล์มกรองแสงทึบจนมองไม่เห็น
ก่อนจะขนลุกขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่ารถของ ‘ใครบางคน’ ที่เธอเคยนั่ง
แม้ในตอนนั้นเธอจะไม่ได้สังเกตอะไรมากเพราะกำลังเฟลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันมีลักษณะเหมือนเจ้า Citroen คันนี้อย่างกับฝาแฝด!
หญิงสาวออกเดินหน้าค่อยๆเร่งความเร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่งเพื่อให้ถึง CBR สีดำคู่ใจให้เร็วที่สุด...จริงอยู่ Citroen จะไม่เห็นกันได้ง่ายตามท้องถนนด้วยราคาเฉียดสิบล้านแล้วคนรวยระดับอภิมหาเศรษฐีที่สามารถเก็บมันไว้ในคอลเล็กชั่นในที่ประชุมวันนี้ก็มีมากมาย
แต่เธอจะไม่ไว้ใจอะไรทั้งนั้น
เมื่อถึงรถ หญิงสาวกระชับสายสะพายกระเป๋าเป้ให้กระชับกับลำตัวก่อนจะเสียบกุญแจ
เตรียมขึ้นคร่อม
หากแต่ชั่วเสี้ยววินาทีที่รถสปอร์ตสีขาววิ่งเขามาใกล้ด้วยความเร็วก่อนจะหยุดตรงที่เธอยืนอยู่
ประตูได้ถูกเปิดออกพร้อมกับที่หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีอะไรมาดึงเอวแล้วฉุดเธอเข้าไปในนั้น!
ปึก!
หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองกระแทกเข้ากับอะไรสักอย่างและเหมือนว่าพื้นที่ของเธอจะถูกจำกัดอยู่ในช่องเล็กๆที่มีวัตถุแข็งแกร่งวางกั้นเธอไว้ทุกด้านก่อนรถจะเคลื่อนที่ต่อด้วยความเร็วสูง
นานทีเดียวกว่าสติที่ปลิดปลิวไปจากการถูกจู่โจมอย่างฉับพลันของซาคุยะจะกลับคืนมานัยน์ตาสีน้ำทะเลลึกกระพริบๆปริบๆสองสามคราเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่และสภาวะรอบกายในตอนนี้เป็นความจริง
มือเรียวควานไปด้านหลังเพื่อตรวจสอบว่ากระเป๋าเป้ยังติดตัวอยู่หรือเปล่าแล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อปลายนิ้วสัมผัสถึงความเรียบลื่นของเนื้อผ้าเสื้อเชิ้ตและกล้ามเนื้ออกแข็งๆข้างใต้
“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับ
ที่รัก...”
หญิงสาวสะดุ้ง รู้สึกเหมือนขนอ่อนหลังต้นคอพากันลุกชันเมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นหู
กระซิบอยู่ใกล้ๆจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆเป่ารดใบหูร่างบางอุทานด้วยความตกใจก่อนจะหันขวับไปทางต้นเสียง...
“เบียคุรัน!!”
ซาคุยะเอ่ยชื่อของชายที่นั่งซ้อนอยู่เบื้องหลังของเธอเสียงลั่น
พยายามจะขยับตัวให้พ้นจากวงแขนที่คล้ายกับกกกอดเธอไว้กลายๆ แต่ก็ต้องหยุดการดิ้นรนของตัวเองลงราวกับปิดสวิตช์เมื่อได้ยินเสียงขรึมของอีกฝ่ายเอ่ยเจือแววขบขันขึ้นมาว่า
“โว้ว
อย่าดิ้นครับ...ผมกำลังขับรถอยู่ เดี๋ยวก็ได้ไถลลงข้างทางกันพอดี...”
หญิงสาวเหลือบนัยน์ตาสีเข้มมองจิกชายหนุ่ม
ราวกับจะบอกว่า ถ้าจะขับรถแล้วจะลากหล่อนขึ้นรถมานั่งซ้อนตักเพื่อ?
หากเบียคุรันก็ยังทำท่าทีราวกับไม่รู้สึกรู้สมแถมยังกรีดรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีตอบกลับมา
จนเป็นซาคุยะเองที่อดรนทนไม่ได้จนต้องเอ่ยปากขึ้น
“ไม่ทราบว่าที่ลากดิฉันขึ้นมานั่งบนรถ
บนตักคุณโดยที่ดิฉันไม่ได้คิดยินยอมและมีจิตพิศวาสจะไปกับคุณนี่
คุณคิดจะทำอะไรมิทราบ...”
“ผมคิดว่า เราควรจะไป ‘ปรึกษางาน’ กัน ‘ตัวต่อตัว’ นะครับ...เพื่อที่ว่างานจะได้ออกมาตรงใจเราทั้งสองฝ่ายให้มากที่สุด...”
“คุณคุยกิจธุระกับคนอื่นด้วยการฉุดกระชากเค้ามาขึ้นรถแล้วพาไปที่ไหนไม่รู้งั้นหรือคะ...ดิฉันคิดว่าการคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวที่ซาวาดะจะยุ่งยากน้อยกว่าและดูเป็นอารยะชนกว่าไหมคะ”
หญิงสาวเอ่ยกระทบกระเทียบด้วยน้ำเสียงเรียบ เมินเฉยกับคำพูดที่แฝงนัยยะแปลกๆของอีกฝ่าย
ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ดิฉันคิดว่าได้บอกไปชัดเจนก่อนออกจากห้องประชุมแล้วนะคะ
ว่าดิฉันไม่ทำงานนี้...เอาละค่ะ กรุณาหยุดรถแล้วให้ดิฉันลงได้แล้วค่ะ
ดิฉันมีธุระต้องไปทำ”
“ทำไมคุณถึงไม่ทำล่ะ หืมม์” ชายหนุ่มเมินเฉยต่อคำของหญิงสาว
หากตั้งคำถามกลับ “กลัวผมเหรอ...กลัวว่าถ้าทำงานใกล้ชิดผมแล้วจะหวั่นไหวเหรอ...หลังจากที่ผ่านค่ำคืน...”
“ค่ำคืนที่ฉันจำไม่ได้ซักนิดเดียวหรือคะ...” หญิงสาวส่ายหัว
“ฉันไม่คิดว่าฉันจะมีอารมณ์อ่อนไหวกับสิ่งที่ฉันไม่มีความทรงจำร่วมหรอกนะคะ...”
“ว่าแต่จะมานั่งถกกันแบบนี้เหรอคะ”
หญิงสาวเหลือบมองตัวเองในอ้อมแขนของอีกฝ่าย “คุณอาจจะพูดว่าไม่หนักแต่ฉันอึดอัดค่ะ
เป้กดหลังฉันจนเจ็บหมดแล้ว ให้ฉันได้นั่งแบบคนดีๆเขานั่งกันเถอะ”
เบียคุรันอดทึ่งไม่ได้กับท่าทีเฉยชานั้น
ก่อนจะยอมให้อีกฝ่ายลุกออกจากตักตัวเอง
หญิงสาวบ่นอุบเรื่องความคับแคบของห้องโดยสารเมื่อต้องขยับโยกตัวข้ามกระปุกเกียร์มานั่งที่นั่งข้างคนขับ
“คุณคงจะไม่คิดโดดลงไปหรอกนะ...”
“เรื่องเถอะค่ะ...ฉันไม่ใช่นางเอกนิยายจะได้ยอมเจ็บตัว” หญิงสาวสวนกลับนิ่งๆ “ขอฉันอธิบายต่อนะคะ ดิฉันพอจะแยกออกระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว
ถ้าฉันจะทำงานนี้ เรื่องที่เคยพลาดๆ ฉันไม่แคร์หรอกเพราะมันไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน
แต่ที่ดิฉันไม่ทำเพราะเกรงว่าจะมีผู้ประสานที่เหมาะสมกว่า
และมีความรู้ความเข้าใจในโปรเจ็คนี้มากกว่าค่ะ
ดิฉันไม่มีความเข้าพื้นฐานอะไรเลยเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างซาวาดะและมิลฟีโอเล่
ยิ่งความรู้ในโปรเจ็คยิ่งเป็นศูนย์ จึงอยากจะหลีกทางให้คนที่เหมาะสมกว่า”
...วางตัวห่างเหิน... คือถ้อยคำที่ผุดขึ้นในความคิดของผู้ที่ได้ฟังอย่างเบียคุรัน
ดูเหมือนซาคุยะพยายามอย่างยิ่งที่จะลบเลือนว่าเคย ‘มีค่ำคืนร่วมกัน’ กับเขาและพยายามจำกัดระยะห่างระหว่างเขาและเธอ
ให้อยู่แค่ในระดับ ‘ผู้ร่วมงานห่างๆ’ เท่านั้น
ยอมรับว่าเหตุผลที่เธอยกมานั้นไม่เลวเลย
ถ้าเขามุ่งโฟกัสที่งานก็คงจะเห็นด้วยกับเธอแน่ๆ
แต่น่าเสียดายที่วัตถุประสงค์หลักของเขามันไม่ใช่การทำให้งานออกมาเฟอร์เฟ็ค
“ยังไงก็จะไม่ทำงานนี้แน่ๆใช่ไหมครับ...”
“ใช่ค่ะ”
ชายหนุ่มเหยียบเบรก
หญิงสาวบ่นอุบที่เบรกไม่บอกไม่กล่าว
เงยหน้ามองรอบๆก็พบว่ายังคงอยู่ในพื้นที่ของอาคารซาวาดะกรุ๊ป
หากชายหนุ่มกลับไม่หือไม่อือหยิบสมาร์ทโฟนสีขาวของตัวเองขึ้นมากด ปากก็เอ่ยถาม
“คุณแน่ใจหรือครับ...”
ซาคุยะเลิกคิ้ว งุนงงกับคำถามนั้น
ในใจอดคิดไม่ได้ว่า เธอทั้งอธิบาย ทั้งปฏิเสธไปแล้ว
ดูเหมือนผู้บริหารหนุ่มของมิลฟีโอเล่จะกระโหลกหนากว่าที่คิด
หากยังไม่ทันได้เอ่ยปากตอบ ชายหนุ่มก็พลิกหน้าจอมือถือขึ้นให้ปรากฏอยู่ในระดับสายตาของเธอ
ใบหน้าของเขาที่อยู่ข้างมือถือเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
...หากเป็นรอยยิ้มแห่งความเจ้าเล่ห์เพทุบาย...
“คุณคงไม่อยากให้ ‘นี่’ หลุดออกไปหรอก จริงไหม?”
ความคิดเห็น