ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Reborn [KHR]:Fake [ByakuranX???]

    ลำดับตอนที่ #11 : REWRITE_FAKE ep.03

    • อัปเดตล่าสุด 30 ส.ค. 58


                หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างปรกติ ...อย่างน้อยก็เป็นเช่นนั้นหากจะมองจากสายตาคนภายนอก...

               ไปทำงาน เลิกงานก็ไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาล พอเริ่มจะเบื่อฟังปาฐกถาของท่านว่าด้วยเรื่องทำไมถึงควรหาแฟนและข้อดีของการมีครอบครัว ก็ปลีกตัวกลับ ใช้เวลาเย็นย่ำค่ำไปกับการทำอาหารกินกับพี่สาว ผู้ซึ่งอยู่ระหว่างลาพักร้อนจากการทำงานในกองทัพ 


                จะมีแปลกประหลาดก็เรื่องเดียว

                ปี๊บ

                “มาอีกแล้วเรอะ...”   รัลสบถเมื่อได้ยินเสียงข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือของคนเป็นน้อง ขณะที่ทั้งสองกำลังอ่านหนังสือในเวลาบ่ายวันหยุดกันที่โซฟาห้องนั่งเล่นของบ้าน ซาคุยะยิ้มเครียดขณะหยิบโทรศัพท์ฝาพับสีดำของตัวเองเปิดดู รัลชะโงกดูหน้าจอก่อนจะอ่านออกเสียง

                “คิดถึงจังที่รักของผม พี่สาวคุณดูดีนะแต่คุณน่ะสวยที่สุดสำหรับผม คุณดูน่ารักมากเวลาอยู่กับพี่สาว – ผมอยากจะเป็นคนในครอบครัวของคุณบ้าง – นับเวลาใจจดใจจ่อที่จะได้พบคุณ
    BG”   สาวแกร่งทำท่าขนลุก   “น่ากลัวชะมัดเลยเลยเจ้าโรคจิตนี่...ส่งมาอยู่ได้ทุกชั่วโมง...แถมยังทำหยั่งกับว่าเห็นการเคลื่อนไหวของเธอทั้งหมด...”

                ซาคุยะนิ่วหน้า เธอเองก็เป็นกังวลกับเรื่องนี้ไม่น้อย เพราะข้อความเหล่านี้ถูกส่งมาหาเธอแบบนี้ร่วมสัปดาห์แล้ว ตอนแรกก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก – คิดว่าคงจะเป็นชายหนุ่มคลั่งรักที่ส่งข้อความผิดเบอร์ แต่นานเข้าข้อความก็มีเข้ามามากขึ้น มีข้อความระบุเกี่ยวกับตัวเธอมากขึ้น ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว เธอเคยบล็อกเบอร์เจ้ากรรมนี่แต่ข้อความก็โผล่มาอีกโดยใช้เบอร์ใหม่ พร้อมแฝงนัยข่มขู่

               
    ถ้าคุณบล็อกเบอร์ผมอีก ต่อไปจะไม่ใช่แค่ข้อความอย่างแน่นอน

                ผู้เป็นพี่สาวเลือดร้อนพอได้เห็นข้อความก็แทบจะลุกเป็นไฟ ร่ำๆจะให้เพื่อนใช้เส้นสายตามจับตัวเจ้าโรคจิตคนนี้เสียให้ได้ หากซาคุยะรั้งเอาไว้ก่อนด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระเกินกว่าจะไปรบกวนแต่ก็แบ่งรับแบ่งสู้กับพี่สาวว่าจะหาทางจัดการ

                ...อันที่จริง เธอค่อนข้างจะแน่ใจทีเดียวว่านี่เป็นฝีมือของใคร เพราะฉะนั้นเลยไม่อยากให้พี่สาวเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ อาจจะฟังดูมองในแง่ร้ายไปหน่อยแต่ก็ดีกว่าโดนพี่สาวเอาตัวเองไปบูชายัญแนวคิดลูกสาวควรจะหาแฟนได้แล้วของพ่อแหละน่า

                ว่าแต่ไม่คิดเลยว่า ผู้ชายคนนั้นจะบ้าและทำตัวหน้าไม่อายขนาดนี้ ปากว่ามี
    ศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่เคยคิดฝืนใจใคร แต่ดูการกระทำแต่ละอย่าง...ฉวยโอกาสตอนที่เธอเมา ส่งข้อความโรคจิตมาก่อกวนแถมยังข่มขู่กันอีก...

                วอดก้าครึ่งขวด...วุ่นวายไม่จบไม่สิ้น... คิดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่

                “แล้วเมื่อไรจะจัดการซักทีละ...”   รัลเอ่ยถาม

                “รอฉันหมดความอดทนจะอ่านข้อความหวานเลี่ยนเอียนจนจะแหวะนี่ก็แล้วกัน...”

                “ใจเย็นจริง แม่น้องสาว กำลังโดนสตอล์กอยู่นะเนี่ย เป็นคนปกติคงประสาทกิน กลัวจนสั่นตั้งแต่ข้อความวันแรก นี่อยู่ได้มาเป็นสัปดาห์...”

                “ช่วยไม่ได้นี่...”   ซาคุยะยักไหล่   “รีบอร์นบอกว่าถ้าเรื่องไปถึงตำรวจจะเป็นข่าววุ่นวายซะเปล่าๆ อีกอย่างฉันเป็นคนประสานงานกับเครือที่อิตาลี มันเลยยุ่งยากถ้าจะเปลี่ยนเบอร์ใหม่ เขาบอกให้ทนๆไปก่อน ไว้ผ่านการประชุมผู้ถือหุ้นวันจันทร์นี้ค่อยว่ากัน...”

                “ไอ้บ้าจอนนั่นพูดง่าย...ถ้าไอ้โรคจิตนี่ย่องขึ้นห้องนอนเธอ มันจะมาช่วยเหลืออะไรไหม...”

                รัลสบถยาวเหยียด เรียกขานสรรพนามของบุคคลที่สามอย่างไม่มีความเกรงใจเพราะคนที่ถูกว่าก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นตั้งแต่ประถมยันมหาวิทยาลัยของเจ้าตัวเองนั่นหละ

                เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ซาคุยะมองหน้าจอที่เปิดค้างเอาไว้ ปรากฏตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่
    REBORN ทำเอารัลซึ่งเพิ่งสวดเจริญพรคนโทรเข้าไปหยกๆเบ้ปาก

                “ตายยากจริง พูดถึงก็โทรมาเลย...”

                ซาคุยะยิ้มขันพลางส่ายหัวอย่างอ่อนใจกับท่าทีราวกับเด็กๆของพี่สาว ก่อนจะกดปุ่มสีเขียวและยกมือถือขึ้นแนบหู ฟังเสียงปลายสายที่พูดมาโดยไม่รอให้เธอเอ่ยทักทาย

                “กว่าจะรับได้นะ...
    ” 

                “คนกำลังใช้เวลากับครอบครัว...”   หญิงสาวสวนกลับเสียงเรียบไม่ต่างกัน   “มีธุระอะไรล่ะ...”

                ซาคุยะเหลือบตามองพี่สาวที่ลุกออกจากห้องไปเพราะไม่อยากอยู่รบกวนการคุยงาน ขณะหูฟังคำถามจากคนปลายสาย   “รัลอยู่กับเธอรึเปล่า...”

                “โทรมาเพื่อถามหาพี่สาวฉันเนี่ยนะ โทรหาเจ้าตัวเองเลยง่ายกว่าไหม”   ซาคุยะลดเสียง

                “ถ้ายัยบ้านั่นจะเปิดโทรศัพท์ล่ะก็นะ...อย่าโยกโย้ ตอบมาเร็ว...รัลอยู่กับเธอรึเปล่า มีคนอยากได้คำตอบจะแย่อยู่ละ หูฉันจะบอดเพราะ
    มัน เล่นโทรมาตะโกนถามกรอกหูอยู่นั่นหละ ว่า นายรู้ไหมวะว่ายัยนั่นอยู่ไหน ฉันอยากเจอยัยนั่นจนจะบ้าตายอยู่แล้วเว้ยเฮ้ย ค่าโทรจากอิตาลีก็ไม่ใช่น้อยๆ ดันผ่าโทรมาคร่ำครวญอยู่ได้ทุกวัน”

                “ใช่ รัลอยู่ที่นี่ ว่าแต่ตั้งแต่เมื่อไร...”   หญิงสาวเงียบไปครู่เพื่อฟังปลายสายเอ่ยบอกวัน   “อืดอาดเป็นบ้า...พี่บินมาตั้งแต่คืนที่พ่อล้มเข้าโรงพยาบาลแล้วเหอะ...คืนวันพฤหัสอาทิตย์ที่แล้วน่ะ...”

                “มาญี่ปุ่นสิบวันพอดี...ยัยนั่นบอกรึเปล่าว่าลานานแค่ไหน...”

                “เกือบเดือน...ถ้าจะโทรมาคุยเรื่องเจ๊ ฉันจะวางแล้วนะ...


                “เดี๋ยว...”   อีกฝ่ายเอ่ยเสียงขรึม ยั้งปลายนิ้วมือที่จะกดปุ่มสีแดงเอาไว้ได้   “รู้ใช่ไหมว่าวันจันทร์มีประชุมน่ะ...”

                “รู้น่า...อาเฮียเล่นย้ำฉันตั้งแต่วันศุกร์แล้วใครจะกล้าลืมกัน...”    ซาคุยะแสร้งลากเสียงยาวจงใจจะยวนประสาทอีกฝ่ายเล่น แต่อีกฝั่งกลับไม่เต้นตามหากพูดตอบเสียงขรึม

                “รู้ก็ดี อ้อ มีเพิ่มเติมหน่อยนะ งานนี้จะมีคนจากมิลฟีโอเล่มาประชุมด้วย


                “หะ...”   หญิงสาวอุทานอดไม่ได้จะขมวดคิ้วด้วยความงุนงง   “คนจากมิลฟีโอเล่ อิริเอะกับสปาน่า...ทำไมมาเข้าการประชุมของผู้ถือหุ้นซาวาดะ ไม่ใช่แค่ดีลโปรเจ็คชอยส์หรอกเหรอ...”   เอ่ยข้อมูลที่ตัวเองพอรู้ออกมาแล้วถามไถ่ เธอไม่รู้รายละเอียดมากนักเพราะไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบของเธอโดยตรง แต่เป็นของคุณจางหัวหน้าฝ่ายพัฒนา

                “ไม่ใช่อิริเอะกับสปาน่าหรอก ตอนนี้อยู่ในช่วงระงับโปรเจ็คชอยส์ เพราะอิริเอะเพิ่งผ่าตัดไส้ติ่ง ส่วนสปาน่าเดินทางกลับอิตาลีไปดูความก้าวเรื่องการพัฒนาคิงมอสก้า”

                “...”

                “ทางมิลฟีโอเล่กำลังพิจารณาเรื่องการร่วมโปรเจ็คใหม่
    กล้วยไม้ขาว เป็นคนขอลงมาดูการประชุมผู้ถือหุ้นของเราด้วยตัวเอง...”

                หญิงสาวเลิกคิ้ว หัวเราะเบาโดยปราศจากความขัน   “ไม่เข้าใจเลยซักนิด...”   เธอไม่ค่อยใส่ใจเรื่องบอร์ดบริหารของมิลฟีโอเล่เพราะเธอไม่ได้ทำงานในส่วนที่เกี่ยวกับการพัฒนาและโปรเจ็คร่วมกับบริษัทอื่นนอกเครือ หากแต่รับผิดชอบในเรื่องการติดต่อประสานกับบริษัทในเครือเดียวกันอย่างวองโกเล่และวาเรีย ยิ่งมาใช้ฉายาวงในแบบนี้ใครจะไปรู้กัน

                “เอาเป็นว่า วันจันทร์ที่จะถึงนี้เก้าโมงตรง ห้ามป่วย ห้ามตาย ห้ามสาย ห้ามขาด ห้ามกางเกงยีนส์เข้าร่วมประชุมด้วย อย่าลืมแต่งตัวแต่งหน้าให้สวยสมกับเป็นผู้หญิงด้วยล่ะ...”

                สั่งเสร็จก็ตัดสายไป ซาคุยะอดที่จะเบ้ปากกับคำสั่งสุดเผด็จการไม่ได้

                “สั่งจริง...”   บ่นเล็กๆ ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะเตี้ยแล้วเดินเข้าครัวไปเตรียมอาหารมื้อเย็น ในหัวคิดถึงชุดที่จะใส่ให้เหมาะสมกับการประชุมแต่ต้องไม่ใช่กระโปรง

                แต่งตัวแต่งหน้าให้สวยสมกับเป็นผู้หญิง...เมินซะเถอะ...

    Ö

     


                “มาเร็วดีนี่...”

               
    รีบอร์นชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีดำสวมทับเสื้อเชิ้ตสีส้มและเนกไทสีน้ำเงินเอ่ยทัก นัยน์ตาสีดำสนิทเหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลบนผนัง แสงบนหน้าปัดแสดงผลเป็นเลข 08:00

                “ตัวเองก็มาแต่เช้าเหอะ...”   ซาคุยะตอบกลับ มือรูดซิปถอดเสื้อแจ็คเก็ตหนังที่ใส่กันลมออก หยิบเนกไทเส้นเล็กสีดำจากกระเป๋าเป้สะพายหลังขึ้นสวม เมินดวงตาสีดำไร้แววที่จ้องมองมา

                พอหยิบเสื้อสูทสีดำพอดีตัวขึ้นมาคลี่สะบัด อีกฝ่ายก็เอ่ยทัก    “ทำไมใส่สูท...”

                ว่าพลางมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ซาคุยะมองตาม อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เธอก็ว่าการแต่งการเธอปกติดีเสื้อสูทสีดำตัดพอดีตัวสวมทับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว เนกไทเส้นเล็กเรียวสีดำผูกปมสวยงามจัดถูกต้องตามหลักการแต่งกาย กางเกงแสล็คขากระบอกทรงผู้หญิงสีดำ เข็มขัดหนังสีดำมันวับของลีวายส์ รองเท้าบูทหนังหุ้มข้อส้นเตารีดสีดำ ทำไมอีกฝ่ายถึงได้มองเหมือนกับว่าเธอแต่งตัวแปลกประหลาดมากมาย

                “ทำไมไม่ใส่กระโปรง...”   หญิงสาวกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างเบื่อหน่าย อย่างงี้นี่เองถึงว่าทำไมถึงสั่งว่าห้ามยีนส์ คิดจะให้แต่งตัวแหววๆนี่เอง

               
    น่ารำคาญน่า ห้ามแค่กางเกงยีนส์เองไม่ใช่เหรอ...เข้าใจฉันหน่อยเหอะ

                “ไม่เข้าใจและไม่อยากเข้าใจด้วย...อย่าทำตัวให้เหมือนไอ้รัลมากจะได้ไหม แค่ใส่ชุดกระโปรง แต่งตัวสวยๆซักวันมันจะตายรึไง หยุด...อย่าอ้างว่าต้องขับมอเตอร์ไซค์ ไอ้รถสปอร์ตราคาเหยียบล้านน่ะ ซื้อมาประดับโรงรถให้สนิมกินเล่นรึไง แล้ววันศุกร์ที่แล้วฉันเห็นแกใส่กระโปรงมาทั้งๆที่ขับมอเตอร์ไซค์...”

                “แล้วเฮียก็บ่นกระโปรงตัวนั้นว่าแหวกสูงไป ไม่เรียบร้อยป่ะ...แล้วงานประชุมผู้ถือหุ้นต้องเรียบร้อยมะ...
    สูทนี่ก็เหมาะดีจะตาย...”   ซาคุยะโต้ เฮียจะให้ฉันสวยไปอวดใครล่ะ...โหย ระดับนี้แล้วไม่มีใครสนหรอก เชื่อเหอะ

                รีบอร์นส่ายหัวเบาๆด้วยความอ่อนอกอ่อนใจต่อน้องสาวเพื่อนที่เห็นมันมาตั้งแต่เด็กๆ พยายามจะเสี้ยมจะสอนให้มีนิสัยต่างไปจากคนพี่(ที่ห่ามเกินเยียวยาไปแล้ว) แต่เหมือนพันธุกรรมบ้านนี้จะแรงเกินคาด

                ...ทั้งพี่ทั้งน้องไม่เคยจะรู้ตัวหรอกว่ามีสเน่ห์ดึงดูดสายตาเพศตรงข้าม...ลงว่าทำตัวให้สวย อ่อนหวาน น่าทะนุถนอมซักหน่อย ขี้คร้านผู้ชายเป็นฝูงจะมาคลานแทบเท้า...

                นี่อะไร...คนหนึ่งทำตัวห้าวซะจนจะเทียบได้กับผู้ชายอกสามศอกละ อีกคนก็ทำตัวแกร่งซะจนไม่คิดจะง้อผู้ชาย...

                “เถียงกับแกแล้วปวดหัวว่ะ...ตามใจแกเหอะ...”   รีบอร์นยอมยกธงขาว จนป่านนี้แล้วเขาคงจะเปลี่ยนนิสัยอะไรของแม่เจ้าประคุณไม่ได้อีกแล้วล่ะ

                “อีกตั้งชั่วโมง ขอฉันไปงีบที่โต๊ะก่อนได้ไหม เมื่อคืนไม่ได้นอน...”  

                ซาคุยะเอ่ยขึ้นเป็นเชิงขออนุญาตหลังจากกลัดกระดุมสูทตัวนอกเสร็จ
               
                “มัวทำอะไร...”    รีบอร์นถามกลับ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

                ซาคุยะมองท่าทีนั้นก่อนจะยกไหล่ขึ้นเบาๆแล้วตอบ   “เล่นไล่จับกับเจ๊ เค้นเรื่องพันเอก...”  

                “แล้วว่าไง...”

                “ไม่ค่อยจะอยากรู้เลยเนอะ...”  

                หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะจิกกัดปฏิกิริยาอยากรู้อยากเห็นเต็มพิกัดของอีกฝ่าย ถึงสีหน้าจะไม่ค่อยเปลี่ยนนักแต่เธอก็มองออกหรอกน่าว่าอีกฝ่ายอยากจะรู้เรื่องนี้สุดๆ

                ...เอาจริงๆแล้วรีบอร์นก็ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนรอบๆตัวเสมอนั่นแหละ...แล้วก็รู้ดีด้วยนะ...แต่ก็นั่นแหละถ้าไม่รู้ดีคงไม่ได้เป็นที่ปรึกษาของซาวาดะกรุ๊ปจนทุกวันนี้...

                “จะเล่าดีๆหรือให้เอาปืนจ่อ...”  


                “ก็ได้ๆ”   ซาคุยะเอ่ยเสียงหวาด เป็นที่รู้กันดีว่าไม่มีใครอยากเสี่ยงกับปืนในมือรีบอร์น   “เห็นว่ามีเรื่องกันก่อนมานิดหน่อย...แต่ฉันว่าไม่นิดหรอกติดแต่ว่าพยายามง้างปากยังไงก็ไม่ยอมหลุดอะไรออกมาซักนิด เลยไม่รู้ว่าไอ้เรื่องที่มีน่ะมันอะไร แล้วก็พอดีว่าพ่อล้มเลยยื่นลากะทันหันแล้วบินมาเลย...”

                “ปากแข็งเหมือนเคย...”   รีบอร์นเปรยออกมาเบาๆด้วยก็รู้นิสัยอีกฝ่ายดี

                “เนอะ...ถ้ารับรักก็ไม่ต้องลำบากแล้ว...”   ซาคุยะรำพึง รีบอร์นหันขวับ

                “โดนคุณมิจจิกดดันเรื่องแฟนอีกแล้วสิ...”   รีบอร์นเอ่ย ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาก็พอจะรู้สถานการณ์ของหุ้นส่วนครอบครัวนี้มากพอดู อันที่จริง พ่อของรัลกับซาคุยะก็ชอบเปรยๆเรื่องให้ลูกสาวสองคนรีบๆแต่งงานแต่งการไปซักทีหรืออย่างน้อยหาแฟนเข้าบ้านให้ได้ก็ยังดี เพราะกลัวลูกสาวจะขึ้นคานแต่งกับงานไปซะก่อน

                “พอล้มป่วยยิ่งเพ้อหนัก...”   ซาคุยะถอดถอนใจเมื่อเอ่ยถึงความวิตกกังวลจนเกินไปของพ่อตัวเอง

                “ก็หาซักคนสิ...”   รีบอร์นแนะ หากซาคุยะกลับทำท่าขนลุกขนพองพลางสะบัดหัวพรืด

                “เรื่อง...ยุ่งยากจะตายไป...”

                “ยุ่ง...หรือว่ากลัว...”   รีบอร์นดักคอ มองเห็นหญิงสาวสะดุ้งคล้ายคำพูดเขาแทงใจ   “กลัวอะไร...”

                “คนแย่ๆ”   ซาคุยะตอบเสียงอุบอิบ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง   “ไปได้รึยัง...”

                “จะไปไหน...แกต้องอยู่รับแขกเป็นเพื่อนฉัน...”

                “หะ
    !!”   ซาคุยะอุทานเสียงหลง   “ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายปฏิคมบริษัทเรอะ...”

                “เหอะน่า...”

                “อีกตั้งชั่วโมงไม่ใช่เรอะ ขอฉันไปนอนก่อนไม่ได้รึไง ฉันง่วงงงงงงงงงงงงงงงงง...”

                ซาคุยะโอดครวญ หากอีกฝ่ายกลับเพียงปรายตามองก่อนจะปล่อยไม้ตายออกมา

               
    แค่นี้ทนไม่ได้ก็ไปตายซะ...

                แกร๊กเสียงสับนกเปลี่ยนกระสุนปืนลูกโม่ของรีบอร์นช่างเป็นตัวขู่ที่ทำงานได้ดีเสมอ สำหรับคนทั้งบริษัท...หรือแม้แต่ตัวเธอเอง
               
                และในที่สุดเธอก็ต้องกล้ำกลืนน้ำตาและอดทนอดกลั้นต่ออาการง่วงนอนมายืนปั้นหน้ายิ้มรับแขก อยู่หน้าประตูห้องประชุมข้างรีบอร์น แต่ทว่าผมสีน้ำเงินเข้มถึงรวบขึ้นเกล้าโดยใช้กิ๊บสีขาวอันใหญ่ติดไว้หลวมๆ ปล่อยปอยผมด้านหน้าหล่นเคลียข้างแก้ม

                ที่ต้องติดนี่ก็เพราะคำสั่งรีบอร์นที่ว่า...ปล่อยผมยาวกระเซอะกระเซิงแล้วมันดูไม่เรียบร้อย...


               
     

    Ö

     


               
    เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นระหว่างช่วงการต้อนรับผู้ถือหุ้นที่เริ่มทยอยมาถึงทำให้หญิงสาวต้องผละจากการพูดคุยทักทายอย่างออกรส มาล้วงโทรศัพท์ที่ยังส่งเสียงอยู่ไม่เลิกราจากกระเป๋าเสื้อสูทหญิงสาวดูหน้าจอก่อนจะพบกับชื่อ

                ...Lal Sister...

                หญิงสาวโชว์หน้าจอมือถือให้รีบอร์นที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันนักดูเพื่อเป็นเชิงของอนุญาตก่อนจะเดินหลบฉากออกไปไม่ไกลนักแล้วนิ้วเรียวก็กดรับสาย หากไม่ทันจะเอ่ยทักทายปลายสายก็ส่งเสียงสบถลอดไรฟันมาตามสาย


                “เพราะเธอเลยนะ ซาคุยะ...”

                “โว้ว ใจเย็นค่ะ...มาถึงก็บอกว่าเป็นเพราะฉันนี่ ฉันงงนะพี่...
               

                “เมื่อวานเธอบอกใครล่ะว่าฉันจะกลับมาอยู่ญี่ปุ่นซักพัก...”

                ซาคุยะร้องอ๋ออยู่ในใจ พอเดาออกแล้วว่าทำไมคนเป็นพี่ถึงได้โทรมาทำเสียงเหวี่ยงใส่ หากยังแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ กรอกเสียงตอบกลับไป

                “ก็รีบอร์นโทรมาถามไง...เมื่อวานฉันมีเบอร์โทรเข้ามาสายเดียวแค่นั้นแหละ...”   เธอพูดความจริงและอีกฝ่ายก็รู้ พอได้ยินเช่นนั้น รัลก็สบถเจริญพรทั้งเธอทั้งคนที่เธอกล่าวอ้าง  “มีอะไรเหรอ...”

                “โคโรเนโร่...”   น้ำเสียงของรัลที่เรียกชื่อคนๆนี้มันปนเปอยู่ระหว่างโกรธแล้วก็เขิน ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้ตัวบ้างรึเปล่า   “หมอนั่นโผล่มาที่นี่...”

                ไวจริง... ซาคุยะอดจะคิดในใจไม่ได้ ...เธอเพิ่งจะบอกรีบอร์นไปตอนบ่ายเมื่อวานว่าพี่สาวอยู่ที่ญี่ปุ่น พอมาเช้าวันนี้
    พ่อพันเอก นั่นก็พาตัวเองมาเคาะประตูหน้าบ้านเลย จะเรียกว่าอะไรดี ใจกล้าบ้าบิ่น หรือ คลั่งรัก

                “ฉันก็ไม่รู้ว่ารีบอร์นติดต่อกับเขานี่นะเลยบอกไป...”   อันนี้โกหกกันหน้าซื่อตาใสเลยทีเดียว จะไม่รู้ได้ยังไง โคโรเนโร่กับรีบอร์นแล้วก็รัลเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องมหาวิทยาลัยเดียวกัน ชมรมก็อยู่ชมรมเดียวกัน


                “เจ้ก็อย่าเพิ่งไปอาละวาดฟาดงวงฟาดงาล่ะ...

                “สภาพตอนนี้แกจะให้ฉันสงบอารมณ์ได้อีกเรอะ ซาคุยะ ฉันไม่ได้ใจเย็นพอจะอดทนหรอกนะยิ่งตอนก่อนจะมาน่ะ...


                “เกิดอะไรขึ้น...”   ซาคุยะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกดต่ำ ...เธอรู้สึกว่ามันแปลกๆตั้งแต่ที่ได้ฟังจาก
    รีบอร์นว่ารัลปิดเครื่องและโคโรเนโร่โทรถามหาพี่สาวเธอทุกวันแล้ว ระหว่างสองคนนี้ต้องเกิดอะไรซักอย่างขึ้นแน่ๆ
    ...เธอต้องการจะรู้ความจริง...

                ปลายสายอึกอัก ส่งผลให้หญิงสาวต้องถอนใจ พี่สาวเธอปากหนักเสมอในสิ่งที่ไม่อยากจะพูดและนั่นคือสิ่งที่น่ากลัว...เพราะการที่ไม่พูดออกมามันทำให้ไม่สามารถล่วงรู้และอาจจะกลายเป็นไม่สามารถช่วยอะไรได้... แต่อุปนิสัยของเธอก็ไม่ได้ต่างกับพี่สาวนักหรอก...


                “เจ้คิดให้ดีๆ ยังไงพี่เค้าก็เพื่อนเจ้...รักษามิตรภาพไว้จะดีกว่าแล้วก็ยังเรื่องของพ่ออีก...บางที เรื่องนี้อาจจะทำให้พ่อรามือจากเราบ้าง เจ้มีทางเลือกอยู่ในมือแล้วที่เหลือก็แล้วแต่เจ้

                ซาคุยะเอ่ยเสียงเรียบเป็นเชิงให้คำแนะนำ
    ก่อนจะกดตัดสายหนี ทันได้ฟังเสียงสบถยาวเหยียดของพี่สาวที่มีเสียงทุ้มของใครอีกคนแทรกมาในสายอยู่แวบหนึ่ง

                ...ไปเคลียร์กันสองคนเถอะ... ซาคุยะคิดในใจก่อนจะกดปิดเครื่องยัดโทรศัพท์มือถือสีดำลงกระเป๋าเสื้อสูทดังเดิมก่อนจะหันหลังเดินกลับมายังห้องประชุม

               
                หญิงสาวลดความเร็วฝีเท้าลงในขณะที่ห่างจากประตูห้องประชุมไม่กี่เมตร คิ้วเรียวพลางขมวดด้วยความสงสัยเมื่อเธอพบรีบอร์นกำลังคุยอย่างออกรสกับใครบางคน
     เธอเห็นไม่ค่อยชัดนักว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใครด้วยร่างสูงสมส่วนของรีบอร์น บดบังเสียมิดอีกทั้งมุมที่เธอยืนก็เป็นมุมที่ตรงกับแผ่นหลังของชายหนุ่มผมดำอย่างพอดิบพอดี

                แต่ที่เท่าที่เธอสังเกตเห็นก็คือร่างสูงโปร่งที่เต็มไปด้วยสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ปลายผมสีขาวที่ชี้โด่เด่ราวกับไม่ได้ถูกใส่ใจกับสูทสีขาวสะอาดตัดกับเสื้อเชิ้ตสีดำที่ใส่ไว้ข้างใน...สิ่งที่เห็นทำให้ใจของเธอกระหวัดนึกถึงใครอีกคน... หญิงสาวกัดปากฉับเพื่อสะกดความรู้สึกไม่ให้นึกถึงเพลย์บอยตัวฉกาจที่เธอได้พานพบเมื่อสัปดาห์ก่อนซึ่งอาจจะเป็นคนเดียวกับเจ้าของข้อความโรคจิตที่ส่งมารบกวนเธอทุกวี่ทุกวัน

                “เฮ้มัวยืนทื่อทำไมอยู่ล่ะ...มาช่วยกันรับแขกหน่อย

                เสียงตะโกนดังลั่นของรีบอร์นฉุดหญิงสาวออกจากความคิด นัยน์ตาสีน้ำเงินเบิกกว้างอย่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นคู่สนทนาจากการเบี่ยงตัวของรีบอร์น

                ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่
    !

                หญิงสาวอยากจะตะโกนให้ก้องเพื่อระบายความตึงเครียดภายในหากแต่ไม่สามารถจะทำได้อย่างใจคิด ดังนั้น ดวงหน้าสวยจึงได้ตีหน้าเคร่งขรึมเรียบเฉยเพื่อปิดบังความรู้สึกทั้งมวลถึงแม้จะมีความรู้สึกมากมายหลายหลากอัดแน่นอยู่ภายในใจจนแทบจะระเบิดออกมา


                “ซาคุยะนี่ กล้วยไม้ขาวเบียคุรัน แจสโซ ประธานบริหารบริษัทมิลฟีโอเล่ ผู้สังเกตการณ์
    การประชุมวันนี้...เบียคุรัน นี่ ซาคุยะ มิจจิ หนึ่งในผู้ถือหุ้นและผู้บริหารของเรา...”

                ทันทีที่เดินไปถึง รีบอร์นก็เอ่ยแนะนำตัวเขากับเธอทันที ซาคุยะอยากจะกรีดร้องว่า ฉันไม่สนหรอก ฉันไม่อยากรู้จักอีตานี่เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ด้วยมารยาท เธอจึงพยายามตีสีหน้าให้เป็นปกติ ไม่ถึงกับยิ้มแย้ม(เพราะจุดนี้ ให้ตายก็ยิ้มไม่ออก) แต่ก็ไม่บึ้งตึงจนสังเกตเห็นได้ชัด ขณะเอื้อมมือไปเช็คแฮนด์แล้วดึงกลับอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นรอยยิ้มประหลาดๆของอีกฝ่าย

                “อันที่จริงก็ไม่ต้องมาแนะนำแบบพิธีรีตองแบบนี้ก็ได้นะครับ ผมกับซาคุยะก็รู้จักกันอยู่แล้ว...”
    เบียคุรันเอียงคอหันมาทางเธอก่อนจะเอ่ยเป็นเชิงถาม   “ใช่ไหม...”

                เบียคุรันยิ้มออกมาบางเบา เมื่อเห็นหญิงสาวที่แสร้งตีหน้าเรียบถลึงตาใส่เขา ก่อนจะกลับไปทำทีเรียบเฉยอย่างรวดเร็ว เมื่อถูกจ้องมองโดยรีบอร์นที่หันไปส่งสายตาเป็นเชิงถามว่า จริงหรือ เขาเห็นหญิงสาวทำหน้ากระอักกระอ่วนใจแวบหนึ่งก่อนจะหันไปตอบคนสูงวัยกว่าว่า

                “บังเอิญเจอกันที่
    Guardian เมื่อศุกร์สัปดาห์นู้น...”  หญิงสาวจงใจใช้น้ำเสียงแสดงความห่างเหินอย่างชัดเจน ซึ่งรีบอร์นก็เพียงแต่พยักหน้ารับเท่านั้นไม่ได้ซักถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อะไรต่ออีก 

                ซาคุยะขยับตัวอย่างอึดอัดใจ เมื่อดูเหมือนแขกจะไม่ยอมขยับตัวไปไหนซักที กลับเอาแต่ยืนจ้องมองมาทางเธออยู่นั่น รีบอร์นที่ตอนแรกไม่ได้สนอกสนใจก็เริ่มจะเมียงมองมาบ้าง หญิงสาวขยับพลิกข้อมือดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือเรือนเล็ก

                “ถึงเวลาแล้วนี่ เราเข้าไปในห้องประชุมได้รึยัง...”   ซาคุยะเอ่ยถามผู้อาวุโสกว่า เมื่อหน้าปัดนาฬิกาข้อมือบอกเวลาเก้านาฬิกาตรง

               
    ไอ้ห่วยยังไม่มา...

                ซาคุยะเบ้ปากกับคำตอบของรีบอร์น ในขณะที่เบียคุรันอมยิ้มขบขันกับสรรพนามที่ที่ปรึกษาอาวุโสอย่างรีบอร์นใช้เรียกลูกศิษย์ตัวเองหรืออีกนัยหนึ่งก็คือประธานซาวาดะกรุ๊ปคนปัจจุบัน

               
    นินทาอะไรผมกันล่ะครับ...   เสียงของผู้ถูกนินทาดังขึ้นก่อนจะปรากฏตัวในชุดสูทสีน้ำตาลอ่อนเข้ากับกับสีผมน้ำตาลประกายทองที่ไม่เป็นรูปเป็นทรง

                “ไอ้ห่วยสึนะ...สายตลอดศก แกเป็นประธานบริษัทก็ช่วยมีความรับผิดชอบหน่อยสิเว้ย”

                รีบอร์นไม่รอให้ประธานไม่เอาไหนได้เอ่ยอะไรเริ่มสวดเทศน์ในทันที ส่วนซาคุยะทำเพียงเขม้นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่แสดงความไม่พอใจเท่านั้น หาก
    ซาวาดะ สึนะโยชิก็ดูจะไม่สะทกสะท้านต่อคำบ่นว่าและสายตามาดร้ายนัก

                “ขอโทษครับ...”   ชายหนุ่มผมน้ำตาลเอ่ยยิ้ม ไม่มีท่าทีจะสำนึกแต่อย่างใด ก่อนจะหันไปทางชายหนุ่มผมขาว   

                “อ้าว สวัสดีครับ คุณเบียคุรัน มานานรึยังครับ”

                “ซักพักแล้วล่ะ...”   ตอบโดยไม่ละสายตาจากใบหน้าของหญิงสาวคนเดียวในวงสนทนา สึนะโยชิไหวไหล่เบาๆก่อนจะหันมาคุยกับคนที่ถูกจ้องแทน

               
    ไงซาคุยะ...คืนวันศุกร์นู้นดีไหม...

                ซาคุยะเลิกคิ้ว เป็นเชิงบอกว่า
    ฉันไม่เข้าใจอะไรที่นายจะสื่อ ชายหนุ่มจึงขยายความ

                “เห็นไปขึ้นฟลอร์ที่
    Guardian เครียดจัดรึไง...แต่เต้นสวยดีนะ...”

                “ยุ่งน่ะ...”   หญิงสาวแยกเขี้ยวใส่   “แต่ผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วเพิ่งจะมาถามเรื่องที่
    Guardian ช้าไปไหม...เอ๊ะ ว่าแต่ศุกร์นั้นนายอยู่ที่คลับด้วยเรอะ”

                สึนะโยชิหัวเราะก่อนตอบ   “สัปดาห์ที่ผ่านมาผมบินไปอิตาลีไหมครับ แหม...เพิ่งจะได้เจอก็เลยได้คุยเนี่ย...เรื่องที่คลับ วันนั้นผมพาเพื่อนที่เพิ่งมาจากต่างประเทศไปเลี้ยงน่ะ นั่งอยู่ชั้นลอย เธอคงไม่เห็นผมแต่ผมเห็นเธอชัดแจ๋วเลย”   ว่าพลางเหลือบมอง
    เพื่อนที่ว่าที่ยืนล้วงกระเป๋าทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

                “วะ...”   ซาคุยะสบถก่อนจะยกมือขึ้นชี้หน้า   “ถ้างั้นก็แสดงว่าเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นยันจบ”

                สึนะโยชิผงกหัวด้วยใบหน้ายิ้มๆ ในขณะที่ซาคุยะทำหน้าคล้ายโลกจะแตก ยกมือเรียวขึ้นกุมศีรษะ รีบอร์นที่เหมือนถูกกันไปจากบทสนทนาพักใหญ่เอ่ยถาม

                “มีเรื่องอะไรกัน...”

                “ยัยนี่...”   สึนะเป็นคนตอบคำถามนั้น   “เมื่อวันศุกร์นั้นน่าจะไปเยี่ยมพ่อแล้วคงเลยไปนั่งดื่มที่คลับของเรียวเฮย์ แล้วเดอะแก๊งค์ของแม่คุณก็เฮี้ยน พากันไปยึดฟลอร์เปิดการแสดง เต้นไปได้เพลงนึงก็วงแตก...เรียวเฮย์ลงไปเก็บน้องสาวกับแฟนตัวเอง โกคุเดระที่ไปกับผมก็ลงไปลากฮารุ เหลือแม่นี่โดนทิ้งเคว้งอยู่กลางฟลอร์คนเดียว...”

                “รู้ดีนะ...”   ซาคุยะกันฟันกรอดๆ   “แล้วก็ไม่ลงมาช่วยกันนะ ทั้งๆที่เห็นฉันถูกทิ้งคว้างไว้ที่ฟลอร์คนเดียวแท้ๆ ฉะ...”  

                ซาคุยะกัดปากฉับเมื่อกำลังจะเผลอหลุดเรื่องที่ไม่สมควรจะให้ใครรู้ออกไป

                สึนะโยชิปรายตามอง ทำเอาหญิงสาวรู้สึกร้อนๆหนาวๆ ดวงตาสีน้ำตาลมองเธอ เลื่อนไปมองอีกคนแล้วพูดออกมา  

                “พอดีว่ามีธุระด่วนต้องจัดการน่ะ...ขอโทษทีนะ แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีนี่ ไม่งั้นเธอคงมายืนว่าผมฉอดๆอยู่นี่หรอก”

                ...เรียบร้อยกับผีน่ะสิ... ซาคุยะค้านในใจแต่ไม่ได้เอ่ยออกไป ...ถูกผู้ชายแปลกหน้าลากไปกก มีข้อความโรคจิตตามตื้อ ต่อมาก็พบว่าผู้ชายคนนั้นเป็นว่าที่หุ้นส่วน...

                รีบอร์นหัวเราะเสียงเย็น   “ได้รู้กันซักทีว่าทำไมยัยนี่ถึงโดนข้อความโรคจิตก่อนกวนตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา...”   สึนะทำหน้าฉงน เอ่ยปากจะถามต่อหากเจอรีบอร์นตัดบทไปเสียก่อน   “เอาละ...เลยกำหนดการมาเป็นสิบนาทีแล้ว อย่ามามัวยืนคุยกันอยู่เลย เข้าห้องประชุมเถอะ ”

    Ö

               
                การประชุมดำเนินไปตามปกติ เหมือนกับทุกเดือนที่เคยเป็นมา ตัวแทนฝ่ายบริหารที่ ณ ที่นี้ประกอบด้วยสึนะโยชิและเธอ รายงานผลการดำเนินงานโดยคร่าว เธอรายงานเรื่องการประสานงานกับเครือวองโกเล่และวาเรียคอร์ปฯที่อิตาลี ส่วนสึนะโยชิรายงานเรื่องการดำเนินงานทั่วไปในญี่ปุ่น โดยมีรีบอร์นซึ่งเป็นที่ปรึกษาเป็นคนรับรอง ผู้ถือหุ้นซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนในครอบครัววงศ์ญาติซาวาดะ ก็ดูจะพึงพอใจกันดีแล้วการประชุมก็เปลี่ยนเป็นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางต่อไปของบริษัท

                “...จบการประชุมแต่เพียงเท่านี้”  เสียงประธานการประชุมเอ่ยขึ้น ซาคุยะเป่าลมออกจากปาก รวบแฟ้มเอกสารหน้าตัวเองเตรียมจะลุกออกไปจากห้องประชุมให้เร็วที่สุด ขี้เกียจจะเผชิญหน้ากับใครต่อใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่มีกรณีกันอยู่...

                “ไงหนูซาคุยะ...วุ่นวายเลยสินะ ช่วงนี้...”   ซาวาดะ อิเอมิทสึ บิดาของสึนะโยชิเอ่ยทักจากหัวโต๊ะ

               
                “ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ คุณลุง...”   ซาคุยะตอบด้วยเสียงนอบน้อม ไม่เพียงแต่เป็นอดีตประธานบริษัทที่ดึงตัวเธอเข้ามาทำงานหลังเรียนจบ อิเอมิทสึมีศักดิ์เป็นพี่ชายของมารดาผู้ล่วงลับของเธอด้วย   “พอดีว่าพี่รัลเขาลางานกลับมาญี่ปุ่นด้วย เลยไม่ค่อยวุ่นเท่าไร อย่างน้อยก็มีคนผลัดกันไปอยู่กับพ่อ”

                “รัลกลับมาด้วยสินะ...สัปดาห์ที่แล้วพอรู้ข่าวก็ยังไม่ไปเยี่ยมติดว่าต้องบินไปพบคุณธิโมธีโอที่อิตาลี เดี๋ยวจะได้แวะไป อยู่โรงพยาบาลนามิโมริสอง แถวๆชานเมืองใช่ไหม...”   ซาคุยะพยักหน้ารับ   “อ้อ แล้วเราสองคนถ้าเป็นไปได้ก็หาโอกาสไปกินข้าวเย็นด้วยกันนะ นานะคงจะดีใจ”

                อีกฝ่ายยิ้มจางๆ น้ำเสียงที่กล่าวถึงภรรยาเต็มไปด้วยความรักใคร่ ซาคุยะอดไม่ได้จะยิ้มตาม ก่อนจะขยับเตรียมขอตัวออกไป หากแต่ชายหนุ่มผมขาวซึ่งนั่งสังเกตการณ์เงียบๆมาตลอดกลับได้ประกาศขึ้น

                “เป็นการประชุมที่น่าประทับใจมากครับ...”   เบียคุรันพูดด้วยเสียงทุ้มนุ่มนวล ระดับเสียงไม่เบาและไม่ดังจนเกินไปนักหากได้ยินกันทุกคน   “ผมตัดสินใจแล้วว่าโปรเจ็คชอยส์จะดำเนินต่อไป โดยความร่วมมืออย่างเต็มที่จากมิลฟีโอเล่ เรื่องสัญญาอย่างเป็นทางการ ผมจะเรียกฝ่ายกฏหมายมาร่างสัญญาการร่วมมืออย่างด่วนที่สุด ขอให้มั่นใจว่าสัญญาระหว่างเราจะเสร็จสิ้นก่อนสิ้นเดือนนี้อย่างแน่นอน..”

                ซาคุยะนั่งฟังโดยไม่ใส่ใจเพราะถือว่าไม่เกี่ยวกับหน้าที่ที่เธอรับผิดชอบ กรอกตาขึ้นฟ้าอย่างหน่ายๆในใจนึกอยากออกไปจากห้องประชุมเต็มทนเพราะสังหรณ์ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยจะดีนัก

                “สิ่งที่ผมอยากจะขอคือให้มีการจัดงานเปิดตัวโปรเจ็คความร่วมมือระหว่างเราในปลายเดือนหน้า”

                ...เจ็ดสัปดาห์โดยประมาณ จัดงานใหญ่ระดับความร่วมมือสองบริษัทยักษ์ใหญ่ ฉุกละหุกพอดู... ซาคุยะคิดในใจ เคาะนิ้วมือกับโต๊ะเบาๆ ขนหลังลุกชันเมื่อเห็นนัยน์ตาสีอเมทริสต์เหลือบมองมา ก่อนจะรู้สึกเกรี้ยวกราดจนแทบร้องกรี้ดออกมากลางห้องกับประโยคถัดมาที่อีกฝ่ายเอ่ย

                “หากจะกรุณา ผมต้องการให้คุณซาคุยะเป็นผู้ประสานงานงานเปิดตัวที่จะจัดขึ้น...”

                บ้าบอคอแตกอะไรกัน
    !


                ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นและผู้เกี่ยวข้องเกือบสิบชีวิตเริ่มทยอยออกจากห้องประชุมใหญ่เช่นเดียวกับหญิงสาวที่รีบเก็บแฟ้มเอกสารและคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของตนลงกระเป๋าเป้ก่อนจะตวัดกระเป๋าใบเขื่องขึ้นสะพายหลัง หากเมื่อจะเดินออกไปกลับมีเสียงหนึ่งเรียกทักขึ้น

                “แกจะรีบไปไหนของแกน่ะหะ


                “เออ เจอเฮียก็ดีละ เอ้า
    เอาไอ้นี่คืนไป

                 ซาคุยะโยนกิ๊บเหน็บผมสีขาว (ที่ไม่อาจทราบได้ว่าอีกฝ่ายเอามาจากไหน จะว่าพกไว้เองก็ดูขัดๆพิกลกระไรอยู่) ให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ที่มีเอกลักษณ์คือหมวกปีกกว้างกับจอนงอนโค้ง อีกฝ่ายก็ไวพอกันที่สามารถรับของที่ส่งมา (ด้วยการโยนใส่แบบไม่ให้ได้ตั้งตัว) ได้


                “แล้วแกจะไปไหนฮะทำยังกะจะมีใครมาไล่ฆ่า

                “ไม่มีใครมาตามฆ่าฉันหรอกเฮีย แต่ฉันกลัวว่าที่บ้านจะมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นเพราะ พ่อพันเอก แกเล่นมาเคาะประตูหน้าบ้าน เซอร์ไพรส์กันแต่เช้า สายเข้าเมื่อเช้านั่นแหละที่พี่โทรมาสวดฉันน่ะ...”

                ซาคุยะปรายตามองหนุ่มรุ่นพี่ที่เป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดในเหตุการณ์นี้ยกมือขึ้นกุมขมับ ส่งเสียงบ่นออกมาเป็นเชิงว่า
    ไอ้ทหารทึ่มเอ๊ยยย

                “ป่านนี้ ฝาบ้านฉันคงเต็มไปด้วยรอยกระสุนแล้วมั้ง...”   ซาคุยะเปรยก่อนหันมาทำสายตาอ้อนวอน   “ขอฉันลางานบ่ายนี้เหอะนะ...นะ...นะ”

                รีบอร์นละมือที่กุมขมับ มองหญิงสาวที่ทำตัวอ้อน (อ้อนไม้อ้อนมือ) อย่างเอือมๆ ก่อนจะโบกมือเป็นเชิงไล่เบาๆ พลางเอ่ยสำทับ   “จะไปก็ไป อย่าลืมรายงานด้วยล่ะ...อย่างน้อยถ้า
    มัน กลายเป็นศพจะได้ช่วยโทรเรียกกู้ภัยช่วยไปเก็บซาก”

                เมื่อได้ยินคำอนุญาตร่างบางก็ถลาออกไปจากห้องประชุมราวกับลมพัด โดยมีเสียงโหวกเหวกโวยวายของรีบอร์นตามหลัง

                “อย่าลืมทำงานที่เขาขอมานะเว้ย...”

                แน่นอนว่าเสียงหวานตะโกนตอบลอยมาตามลม   “...เรื่อง...ฉันไม่รับปาก ฉันไม่ทำ...เตรียมหาคนแทนไว้เลย...”

               

                รีบอร์นส่ายอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับท่าทีนั้น เหลือบมองชายหนุ่มผมขาวที่ขยับมายืนข้างตัวเอง ก่อนจะเอ่ยขึ้น

                “ออกจะแปลกๆนะที่ให้คนที่ไม่ได้ทำงานเกี่ยวข้องกับโปรเจ็คที่เราร่วมกับมิลฟีโอเล่ จัดงานเปิดตัวโปรเจ็ค”   ชายหนุ่มผมดำเว้นช่วงก่อนจะเอ่ยถาม   “คุณคิดอะไรของคุณอยู่น่ะ เบียคุรัน”  

                โดยไม่รอคำตอบ รีบอร์นเอ่ยต่อ   “ยัยนั่นเป็นหัวแข็งนะ ลงว่าหล่อนจะไม่ทำ หล่อนก็ไม่ยอมทำหรอก...แล้วก็กล่อมไม่ได้ง่ายๆซะด้วยสิ...”

                “เรื่องนั้น ผมจะไปคุยกับเธอเอง...”   เบียคุรันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ รีบอร์นหันขวับไปมองหน้าผู้บริหารหนุ่มจากต่างบริษัท เห็นนัยน์ตาสีม่วงอเมทริสต์ทอประกายกล้าและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าอีกฝ่ายในชั่วแวบ ก่อนที่ร่างในชุดขาวนั้นจะก้าวเดินออกไปในทิศทางเดียวกับที่หญิงสาวผมสีน้ำเงินเพิ่งจะโลดแล่นออกไป

                ในใจรีบอร์นสังหรณ์ว่า งานนี้อาจจะมีอะไรซับซ้อนซ่อนอยู่

     

    Ö


                ซาคุยะเดินลงมาที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินด้วยความรู้สึกแช่มชื่นที่หาเรื่องหนีจากงานที่ตัวเองไม่อยากจะทำมาได้ โดยไม่ได้นึกหวาดระแวงอะไรเลยแม้แต่น้อย ขาเรียวก้าวฉับๆอย่างคล่องแคล่วไปยังรถมอเตอร์ไซค์ Honda CBR สีดำคู่ใจที่จอดอยู่ไม่ไกล พลันหางตาของหญิงสาวก็สังเกตเห็นรถสปอร์ตสีขาว Citroen GT ที่วิ่งอยู่ข้างหลัง...

                หญิงสาวผิวปากหวือ แน่ละ
    ! รถหรูๆราคาหลักสิบล้านแบบนี้ใช่ว่าจะเห็นกันได้ง่ายๆตามท้องถนนเสียเมื่อไรกัน บางทีอาจจะเป็นพวกหุ้นส่วนที่มาประชุมแล้วอยากอวดของแพงก็เป็นได้หญิงสาวคลี่ยิ้มหยันๆก่อนหลบฉากไปด้านข้างเพื่อเป็นการให้ทางกับอีกฝ่ายด้วยเห็นว่าคงต้องการจะออกไปเพียงมีเธอเดินขวางทางอยู่

                แต่กลับไม่ใช่
    !!

                คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเคลื่อนรถไปข้างหน้า นัยน์ตาสีน้ำเงินเพ่งมองเข้าไปในกระจกรถที่ติดฟิล์มกรองแสงทึบจนมองไม่เห็น ก่อนจะขนลุกขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่ารถของ
     ‘ใครบางคน’ ที่เธอเคยนั่ง แม้ในตอนนั้นเธอจะไม่ได้สังเกตอะไรมากเพราะกำลังเฟลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันมีลักษณะเหมือนเจ้า Citroen คันนี้อย่างกับฝาแฝด!

                หญิงสาวออกเดินหน้าค่อยๆเร่งความเร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่งเพื่อให้ถึง
     CBR สีดำคู่ใจให้เร็วที่สุด...จริงอยู่ Citroen จะไม่เห็นกันได้ง่ายตามท้องถนนด้วยราคาเฉียดสิบล้านแล้วคนรวยระดับอภิมหาเศรษฐีที่สามารถเก็บมันไว้ในคอลเล็กชั่นในที่ประชุมวันนี้ก็มีมากมาย แต่เธอจะไม่ไว้ใจอะไรทั้งนั้น

                เมื่อถึงรถ หญิงสาวกระชับสายสะพายกระเป๋าเป้ให้กระชับกับลำตัวก่อนจะเสียบกุญแจ เตรียมขึ้นคร่อม หากแต่ชั่วเสี้ยววินาทีที่รถสปอร์ตสีขาววิ่งเขามาใกล้ด้วยความเร็วก่อนจะหยุดตรงที่เธอยืนอยู่ ประตูได้ถูกเปิดออกพร้อมกับที่หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีอะไรมาดึงเอวแล้วฉุดเธอเข้าไปในนั้น
    !

                ปึก
    !

                หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองกระแทกเข้ากับอะไรสักอย่างและเหมือนว่าพื้นที่ของเธอจะถูกจำกัดอยู่ในช่องเล็กๆที่มีวัตถุแข็งแกร่งวางกั้นเธอไว้ทุกด้านก่อนรถจะเคลื่อนที่ต่อด้วยความเร็วสูง
        นานทีเดียวกว่าสติที่ปลิดปลิวไปจากการถูกจู่โจมอย่างฉับพลันของซาคุยะจะกลับคืนมานัยน์ตาสีน้ำทะเลลึกกระพริบๆปริบๆสองสามคราเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่และสภาวะรอบกายในตอนนี้เป็นความจริง มือเรียวควานไปด้านหลังเพื่อตรวจสอบว่ากระเป๋าเป้ยังติดตัวอยู่หรือเปล่าแล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อปลายนิ้วสัมผัสถึงความเรียบลื่นของเนื้อผ้าเสื้อเชิ้ตและกล้ามเนื้ออกแข็งๆข้างใต้

                 “ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับ ที่รัก...

                หญิงสาวสะดุ้ง รู้สึกเหมือนขนอ่อนหลังต้นคอพากันลุกชันเมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นหู กระซิบอยู่ใกล้ๆจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆเป่ารดใบหูร่างบางอุทานด้วยความตกใจก่อนจะหันขวับไปทางต้นเสียง...

                “เบียคุรัน
    !!

               
    ซาคุยะเอ่ยชื่อของชายที่นั่งซ้อนอยู่เบื้องหลังของเธอเสียงลั่น พยายามจะขยับตัวให้พ้นจากวงแขนที่คล้ายกับกกกอดเธอไว้กลายๆ แต่ก็ต้องหยุดการดิ้นรนของตัวเองลงราวกับปิดสวิตช์เมื่อได้ยินเสียงขรึมของอีกฝ่ายเอ่ยเจือแววขบขันขึ้นมาว่า
               
                “โว้ว อย่าดิ้นครับ...ผมกำลังขับรถอยู่ เดี๋ยวก็ได้ไถลลงข้างทางกันพอดี...”

                หญิงสาวเหลือบนัยน์ตาสีเข้มมองจิกชายหนุ่ม ราวกับจะบอกว่า ถ้าจะขับรถแล้วจะลากหล่อนขึ้นรถมานั่งซ้อนตักเพื่อ? 
    หากเบียคุรันก็ยังทำท่าทีราวกับไม่รู้สึกรู้สมแถมยังกรีดรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีตอบกลับมา จนเป็นซาคุยะเองที่อดรนทนไม่ได้จนต้องเอ่ยปากขึ้น


              “ไม่ทราบว่าที่ลากดิฉันขึ้นมานั่งบนรถ บนตักคุณโดยที่ดิฉันไม่ได้คิดยินยอมและมีจิตพิศวาสจะไปกับคุณนี่ คุณคิดจะทำอะไรมิทราบ...”
               
                “ผมคิดว่า เราควรจะไป
    ปรึกษางานกัน ตัวต่อตัวนะครับ...เพื่อที่ว่างานจะได้ออกมาตรงใจเราทั้งสองฝ่ายให้มากที่สุด...”

                “คุณคุยกิจธุระกับคนอื่นด้วยการฉุดกระชากเค้ามาขึ้นรถแล้วพาไปที่ไหนไม่รู้งั้นหรือคะ...ดิฉันคิดว่าการคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวที่ซาวาดะจะยุ่งยากน้อยกว่าและดูเป็นอารยะชนกว่าไหมคะ”

               
    หญิงสาวเอ่ยกระทบกระเทียบด้วยน้ำเสียงเรียบ เมินเฉยกับคำพูดที่แฝงนัยยะแปลกๆของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยต่อ

                “ดิฉันคิดว่าได้บอกไปชัดเจนก่อนออกจากห้องประชุมแล้วนะคะ ว่าดิฉันไม่ทำงานนี้...เอาละค่ะ กรุณาหยุดรถแล้วให้ดิฉันลงได้แล้วค่ะ ดิฉันมีธุระต้องไปทำ”

                “ทำไมคุณถึงไม่ทำล่ะ หืมม์”   ชายหนุ่มเมินเฉยต่อคำของหญิงสาว หากตั้งคำถามกลับ “กลัวผมเหรอ...กลัวว่าถ้าทำงานใกล้ชิดผมแล้วจะหวั่นไหวเหรอ...หลังจากที่ผ่านค่ำคืน...”

                “ค่ำคืนที่ฉันจำไม่ได้ซักนิดเดียวหรือคะ...”   หญิงสาวส่ายหัว   “ฉันไม่คิดว่าฉันจะมีอารมณ์อ่อนไหวกับสิ่งที่ฉันไม่มีความทรงจำร่วมหรอกนะคะ...”

                “ว่าแต่จะมานั่งถกกันแบบนี้เหรอคะ”   หญิงสาวเหลือบมองตัวเองในอ้อมแขนของอีกฝ่าย   “คุณอาจจะพูดว่าไม่หนักแต่ฉันอึดอัดค่ะ เป้กดหลังฉันจนเจ็บหมดแล้ว ให้ฉันได้นั่งแบบคนดีๆเขานั่งกันเถอะ”

                เบียคุรันอดทึ่งไม่ได้กับท่าทีเฉยชานั้น ก่อนจะยอมให้อีกฝ่ายลุกออกจากตักตัวเอง หญิงสาวบ่นอุบเรื่องความคับแคบของห้องโดยสารเมื่อต้องขยับโยกตัวข้ามกระปุกเกียร์มานั่งที่นั่งข้างคนขับ

                “คุณคงจะไม่คิดโดดลงไปหรอกนะ...”

                “เรื่องเถอะค่ะ...ฉันไม่ใช่นางเอกนิยายจะได้ยอมเจ็บตัว”   หญิงสาวสวนกลับนิ่งๆ   “ขอฉันอธิบายต่อนะคะ ดิฉันพอจะแยกออกระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว ถ้าฉันจะทำงานนี้ เรื่องที่เคยพลาดๆ ฉันไม่แคร์หรอกเพราะมันไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน แต่ที่ดิฉันไม่ทำเพราะเกรงว่าจะมีผู้ประสานที่เหมาะสมกว่า และมีความรู้ความเข้าใจในโปรเจ็คนี้มากกว่าค่ะ ดิฉันไม่มีความเข้าพื้นฐานอะไรเลยเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างซาวาดะและมิลฟีโอเล่ ยิ่งความรู้ในโปรเจ็คยิ่งเป็นศูนย์ จึงอยากจะหลีกทางให้คนที่เหมาะสมกว่า”

                ...วางตัวห่างเหิน... คือถ้อยคำที่ผุดขึ้นในความคิดของผู้ที่ได้ฟังอย่างเบียคุรัน ดูเหมือนซาคุยะพยายามอย่างยิ่งที่จะลบเลือนว่าเคย
    มีค่ำคืนร่วมกันกับเขาและพยายามจำกัดระยะห่างระหว่างเขาและเธอ ให้อยู่แค่ในระดับ ผู้ร่วมงานห่างๆเท่านั้น

                ยอมรับว่าเหตุผลที่เธอยกมานั้นไม่เลวเลย ถ้าเขามุ่งโฟกัสที่งานก็คงจะเห็นด้วยกับเธอแน่ๆ แต่น่าเสียดายที่วัตถุประสงค์หลักของเขามันไม่ใช่การทำให้งานออกมาเฟอร์เฟ็ค

                “ยังไงก็จะไม่ทำงานนี้แน่ๆใช่ไหมครับ...”

                “ใช่ค่ะ”

                ชายหนุ่มเหยียบเบรก หญิงสาวบ่นอุบที่เบรกไม่บอกไม่กล่าว เงยหน้ามองรอบๆก็พบว่ายังคงอยู่ในพื้นที่ของอาคารซาวาดะกรุ๊ป หากชายหนุ่มกลับไม่หือไม่อือหยิบสมาร์ทโฟนสีขาวของตัวเองขึ้นมากด ปากก็เอ่ยถาม

                “คุณแน่ใจหรือครับ...”

                ซาคุยะเลิกคิ้ว งุนงงกับคำถามนั้น ในใจอดคิดไม่ได้ว่า เธอทั้งอธิบาย ทั้งปฏิเสธไปแล้ว ดูเหมือนผู้บริหารหนุ่มของมิลฟีโอเล่จะกระโหลกหนากว่าที่คิด หากยังไม่ทันได้เอ่ยปากตอบ ชายหนุ่มก็พลิกหน้าจอมือถือขึ้นให้ปรากฏอยู่ในระดับสายตาของเธอ ใบหน้าของเขาที่อยู่ข้างมือถือเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

                ...หากเป็นรอยยิ้มแห่งความเจ้าเล่ห์เพทุบาย...

                “คุณคงไม่อยากให้
    นี่หลุดออกไปหรอก จริงไหม?” 

               



               
               
               

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×