คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1 หมากเดิน
โคตรเจ็บ
..
เขาคลำหัวตัวเองป้อยๆขณะที่พยายามจะลืมตา รีบยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ทว่ามันกลับเป็นเศษฟันเฟืองกระจัดกระจายเท่านั้น
“ให้มันได้อย่างนี้สิ!” เกรเซียสสบถ เขาลุกไม่ขึ้น ขาข้างหนึ่งติดอยู่ใต้ผนังหินมานานนับชม. จากที่เคยปวดแสบปวดทนจนน้ำตาเล็ดเป็นสาย ตอนนี้หลงเหลือเพียงความชาหนึบๆ ตุบๆเท่านั้น
ใครจะคิดว่าย่องตอดมาเที่ยวห้างกับลอเลนอยู่ดีๆ จะเกิดระเบิดตูมตามขึ้นมาได้
เกรเซียสจำได้ว่าตัวเองผลักลอเลนด้วยแรงทั้งหมดที่มีทำให้ตกลงมายังชั้นใต้ดินเพียงคนเดียว ทั้งๆที่จริงอาจจะยังพอทันสำหรับการหนีไปยังประตูทางออก แต่สถานการณ์ตกใจ คนเรามันคิดทันที่ไหนเล่า!
ไอ้โรครักตัวกลัวตายที่ปกติออกจะรุนแรง ดันก็ไม่มีผลกับเพื่อน และ ครอบครัวซะอีก แล้วเป็นไง
เขายังไม่อยากเป็นตุ๊กแกขาเดี้ยงตากแห้งให้ลงหน้าหนังสือพิมพ์หรอกนะ!!
แกร็ก
เสียงขยับเพียงเล็กน้อยเรียกความสนใจของเกรเซียสให้พุ่งไปหา เขาตะแคงตัวอย่างระมัดระวังก้มมองผ่านรูแตกเล็กๆ ก่อนจะพบสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ๆ อยากจะกรี๊ดดังๆอย่างดีใจ แต่เดี๋ยวก่อน ไม่....เกิดไอ้บ้านี่ตกใจแล้วเตลิดไปละ เป็นเรื่อง.....
“เฮ!” เขาได้ยินเสียงล่อกแลกหันไปหันมา ถึงได้เอามือเคาะเบาๆที่ผนังปูนแล้วตะโกนอีก
“อยู่นี่ ใต้นี้ ขาฉันหักนะ แล้วก็ ติดอยู่นี่ ช่วยหน่อย” ไม่มีเสียงใดๆตอบรับกลับมา แต่ครู่เดียวน้ำหนักที่กดทับอยู่ก็ค่อยๆหายไป แสงสว่างคืนกลับมาอีกครั้ง เส้นผมสีทองเปร่งประกายยามต้องแสงเรืองรอง ขลับให้ดวงตาสีฟ้าสดใสกระจ่างขึ้นจนหัวคิ้วของร่างสูงต้องมุ่นขึ้น
“ขอบใจ”เกรเซียสยิ้มให้ชายหนุ่มสีไอส์บลู เขาคิดไปเองรึเปล่าไม่รู้ว่าใบหน้านั้นนิ่งไปนิดนึงก่อนที่จะพยักรับรอยยิ้มจริงใจของเขา
“ไม่เป็นไร.....สาวน้อย....”
เปรี๊ยะ
“ฉันเป็นผู้ชายว้อย!” เกรเซียสตะโกนใส่หน้าอีกฝ่าย ไม่สนใจหน้าเหวอๆที่มองพิจารณาตัวเขาทีละส่วนๆ
หนอย.....ไอ้พวกหล่อสมควรตายทั้งหลาย จำไว้เลยนะเว้ย!
“.....ขอโทษ......”ความโกรธในดวงตาของเกรเซียสอ่อนลง เขาแค่สะบัดหน้าไปอีกทางแล้วทำแก้มป่องด้วยความเคยชินเท่านั้น
“แต่นิสัยนาย.....เออ ไม่มีอะไร” ก็ลองมีสิ.........
“ฉันอิชลาน” เสียงเรียบๆบอกก่อนจะกระโดดข้ามกองเศษซากเข้ามาในส่วนที่เขาอยู่ มือเรียวสาละวัลกับการตรวจดูบาดแผลของขาเรียว
“ฉัน เกรเซียส โอ้ย เบาๆหน่อย เจ็บนะ”เกรเซียสเผลอร้อง แล้วชักเท้ากลับ แต่มันไม่ง่ายนักอย่างที่ควรจะเป็น อันที่จริง....เขาเผลอใช้แรงมากไปหน่อย ทำให้มันกลับมาปวดอีกรอบ
“ใจเย็น!”อีกฝ่ายร้องพรางนวดเบาๆให้ความเจ็บผ่อนลง เจ้าตัวคนผมทองเม้มปากก่อนพยักหน้ายอมความแต่โดยดี อิชลานลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ แต่ก็รีบปล่อยทันที เพราะดวงตาสีฟ้าที่มองมาอย่างเอาเรื่อง
“เท้าไม่ได้หัก......แต่เเพลงมาก”เสียงเนิบอธิบาย
“แย่พอกันนั้นแหละ”
“ไม่แย่มาก แบบนี้ยังพอพยุงได้ ถ้าหัก ฉันแบกนายไม่ไหวหรอกนะ” ไม่ใช่ว่าแล้งน้ำใจ.....แต่เห็นก็รู้ อิชลานมีแผลฟกช้ำตามใบหน้าและแขนสองข้าง ทั้งยังมีเลือดซึมบริเวรหัวเข่ากับปลายเท้าอีก สภาพแย่ไม่แพ้กันเห็นๆ
แค่นี้เกรเซียสก็ทึ่งแล้ว ที่อีกฝ่ายค่อยๆพยุงให้เขาลุกขึ้น แล้วยกแขนข้างขวาโอบรอบไหล่สูงไว้
“เฮ อิชลาน”เสียงตะโกนโหวกเหวกดังจนถึงกับมึนแค่ก้าวเข้ามาบนระเบียงบันไดหนีไฟที่สภาพน่ไว้ใจได้มากที่สุด ใบหน้าเรียบเฉยของคนตายด้านผ่อนคลายลงและยังถนหายใจเบาๆเหมือนโล่งอกอีกด้วย
“ชาร์ค.....”
“เฮ นายพาสาวน้อยที่ไหนมา....”
“ฉันเป็นผู้ชายโว้ย!” โว้ย!! ทำไมผู้ชายทุกคนที่เห็นข้า ต้องคิดว่าข้าเป็นผู้หญิงด้วย โลกไม่ยุติธรรม!!
“ไม่จริงอะ ตัวเล็ก ตาโต ผอมบางอย่างงี้เนี่ยนะ” เกรเซียสถลึงตามองอย่างเอาเรื่อง นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนตะโกนกลับมาใส่เขาแบบนี้ รับรองได้เลยว่า ดวงตาของเขาน่ากลัวไม่น้อยไปกว่างูแผ่แม่เบี้ยอย่างแน่นอน
“ไอ้....”
“ชาร์ค
.”ก่อนที่หนุ่มผมทองจะได้มีโอกาสโชว์ลีลาปากไปมากกว่านี้ ร่างสูงของหนุ่มไอส์บลูก็เอ่ยปรามเสียงต่ำ เป็นผลให้ชาร์คเงียบไม่สาวความยาวต่อความยืดต่อ แต่ก็ยังได้ยินเสียงพึมพำเบาๆเป็นระยะ
“อย่าถือสาเลย หมอนี่ไม่ได้มีเจตนาร้าย”เสียงราบเรียบบอกกับเกรเซียส แล้วหันไปแนะนำกับชาร์คบ้าง อีกฝ่ายพยักหน้ารับ แล้วทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ เขาจับไหล่อิชลาน ตะโกนและเขย่าคนร่างสูงด้วยท่าทีตื่นเต้นสุดๆ
“นายต้องไม่เชื่อแน่ อิชลาน แต่เร็วเข้า เหมือนจะมีทางออกอยู่ละ”
ว่าแล้วก็คว้าแขนลากถูอิชลานกับเกรเซียสผู้โชคร้าย โดยไม่ได้ดูเลยว่าทำให้เจ้าตัวทอง หน้าฟาดกับผนังอย่างจัง
เกรเซียสหายไปแล้ว......ส่วนเขาก็ติดแหง็กอยู่ในช่องเล็กๆนี่
คิดถึงภาพเจ้าตัวดีที่เหวี่ยงเขาซะสุดแรงก่อนจะโดนทรณีสูบไปแล้วก็ปวดใจ
ทั้งๆที่เขาเคยสัญญาว่าจะปกป้องหมอนั้นแท้ๆ เวลานี้กลับทำได้แต่ไต่ไปตามขอบห้องเพื่อหาทางออกเท่านั้นเอง
“เกรเซียส.......”
เจ้าบ้านั้น.....
พรืด
“เหวอ!”
หมับ
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเร็วมากจนเขาตั้งตัวไม่ทัน รู้ตัวอีกทีก็ห้อยต่องแต่งกลางอากาศ มีเพียงมือเล็กๆของคนแปลกหน้ายึดเหนี่ยวตัวเขาเอาไว้เท่านั้น
“เดมอส นั้นเสียงอะไรนะ!”ฝีเท้าหนักๆสองคู่ไล่เลี่ยสะท้อนมาขัดกับความเงียบ ลอเลนพยายามใช้ดวงตาสีฟ้าของเขากวาดมอง แต่ที่เห็นก็มีแต่มือสีซีดกับดวงตาไร้แววสีลาเวนเดอร์อ่อนๆใต้ผมหยิกหยอยเท่านั้นเอง
.......อาจจะผิดเวลา แต่เขารู้สึกได้ทันทีว่า ดวงตาคู่นี้ เป็นแววตาที่แปลกประหลาด แต่น่าหลงไหล อย่างพิศวง.........
“คน.......”เสียงนั้นไม่ได้เบา แต่ก็ไม่ได้ดังมาก แต่ทำให้ฝีเท้าดังขึ้นกว่าเดิมไล่รุกเข้ามาเร็วขึ้น
“เหวอ! จับไว้”ชายร่างใหญ่สะดุ้งตกใจก่อนจะช่วยฉุดลอเลนขึ้นมา อันที่จริงด้วยกำลังเเขนของเขา ชายหนุ่มแทบจะลอยข้ามเจ้าของมือสีซีดไปเลย เมื่อเท้าสัมผัสกับพื้นอีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าก็ลอบสังเกตุ คนแปลกหน้าทั้งสาม อย่างถี่ถ้วน นอกจากร่างเล็กที่เหมือนหมอกเมฆแผ่วเบา คนหนึ่งเป็นชายตัวใหญ่ที่ยกเขาขึ้นมาเมื่อกี้ ผมสีน้ำตาลยาวประบ่าก็จริง แต่เขามีท่าทางเป็นผู้ใหญ่มาก เมื่อเทียบกับร่างที่มีเส้นผมสีฟ้า
ใช่ สีฟ้า สีที่ประหลาด แต่มีเสน่ห์ จนแทบจะลืมมองดวงตามรกตที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นนั้นไปเสียสนิทเลย
“เกือบเป็น ลูกชิ้นเสียบไม้แล้วนะนาย”เขามองตามสายตาของคนที่ชะโงกผ่านเขาไป เหล็กเส้นขึ้นสนิมที่บิดเบี้ยวไม่ได้รูป โผล่พ้นหินปูนฉาบผนัง ทำมุมองศาสะท้อนกับแสงนีออนเป็นประกายพอดิบพอดี....
........เกรเซียส หวังว่านายคงไม่ได้มีรูบนตัวเพิ่มหรอกนะ......
“ขอบใจ....”ลอเลนกลืนน้ำลายฝืดๆลงคอ ก่อนกล่าวขอบคุณตามมารยาทเมื่อตั้งสติได้
“ไม่เป็นไรๆ เราเองก็ได้เดมอส ช่วยไว้เหมือนกัน” ร่างบางราวกับหมอกเมฆส่ายหัวเบาๆเป็นเชิงว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่
“ฉันไอเวส นี่เพื่อนสนิทฉัน ซีโอ”ชายร่างใหญ่ยิ้มอย่างเป็นมิตรเช่นเดียวกับเพื่อนผมสีแปลกของเขา
“ลอเลน”ชายหนุ่มยิ้มจางๆก่อนอื้มมือไปจับมือที่ยื่นมาของ ซีโอ
“เดมอส.....”เสียงเบาหวิวราวกับกระซิบ ก่อนจะเดินนำกลุ่มคนทั้งสี่ออกไปหามุมปลอดภัย ลอเลนค่อนข้างรู้สึกแปลกใจทีเดียวที่เดมอส ก้าวเดินได้อย่างมั่นคง และ ไม่พาพวกเขาเฉียดใกล้บริเวณอันตรายเลยแม้แต่นิด
“เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่กันนะ.......”เดมอสเปรยเสียงเเผ่วเบา
“พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้ตัวอีกทีก็หนีตายกันอยู่เนี่ย”ไอเวสยักไหล่เหมือนไม่ทุกข์ไม่ร้อน แต่คิ้วที่ขมวดนิดๆบ่งบอกความนัยได้อย่างดี
“หรือว่าแผ่นดินไหว?” ลอเลนเสนอขึ้น
“ไม่มีทาง”ซีโอเถียงทันควับ
“อย่างน้อย ถ้าเกิดอะไรขึ้น ฉันควรจะได้ sms แล้ว นี่มีแต่ข่าวลือเรื่องนักโทษที่จะโดนส่งมอบที่นี่ กับ สายของหมอค้าอวัยวะเถื่อน”เขาเพิ่งสังเกตุตอนนี้เองว่า อีกฝ่ายง่วนกับการจิ้มหน้าจอแบบสัมผัสของโทรศัพท์มือถือรูปร่างแปลกนิดๆอยู่ตลอดการเดิน
“ดูนายรู้ดีจังนะ”ลอเลนคลานผ่านช่องรอยร้าวที่ไม่ใหญ่มากออกไปห่อนช่วยอีกสองคนดึงไอเวสที่เหมือนจะติดกลางลำตัวอีกที
“เดี๋ยวนี้รู้เรื่องพวกนี้ก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอ?”ชายร่างใหญ่พูดพรางหดหัวแล้วลองมุดเข้ามาใหม่ในท่าตะแคงข้าง
“โทรศัพท์นายไม่ได้ต่อโปรโมชั่นข่าวไว้ละสิ”
“โทรศัพท์.....อ่อ ปกติเกรเซียสเอาไปถือให้ตลอด ฉันไม่รู้หรอก”ผิดก็แต่ครั้งนี้......โทรศัพท์ฝาทับสีเงินของเขา อยู่กับเขาเอง เพราะกลัวว่าเจ้าตัวแสบจะวิ่งเล่นจนหลงทางกัน แย่จริงๆ
เพราะสัญญาณขาดหายไปแล้ว นี่ถ้าแค่ติดต่อได้สักหน่อย.......คงจะดีกว่านี้ไม่น้อย
มือบางแตะลงที่ไหล่ของเขาอย่างเห็นใจ เดมอสพยักหน้านิดๆทั้งๆที่ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า แต่นั้นก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเล็กๆ ซีโอต้องเสี่ยงทุบผนังปูนออกเล็กน้อยไอเวสถึงจะสามารถออกมาได้ พวกเราสี่คน ปีนขึ้นมาอยู่ในจุดของทางเดินหนีไฟแล้วในตอนนี้ สภาพทั้งหมดดูเหมือนเป็นคนละโลกกับภายนอกเลยก็ว่าได้ ทำให้เบาใจไปเยอะ แต่อยู่ๆเดมอสที่เดินอยู่หน้าสุดก็ชะงักกึก เป็นผลให้หน้าของลอเลนฟาดกับอีกฝ่ายอย่างจัง
“ไอเวส”ซีโอเอ่ยเสียงเครียด
“.....ฉันว่าฉันได้กลิ่นไหม้”ร่างใหญ่หรี่ตามอง เอาหูแนบกับผนังปูนและราวเหล็ก ก่อนดวงตาเทาของไอเวสเบิกกว้าง เขาคว้าแขนคนใกล้ตัวทั้งสองแล้วพุ่งทะยานลงไปแบบไม่คิดชีวิตก่อนร้องลั่น
“ไม่ใช่แค่ได้กลิ่นแล้วละ วิ่ง!!!”
“เฮ้ย!”
“เฮ้ย!”
ฝ่าเท้าหนักๆเขี่ยเข้าที่ข้างขมับ มีกลิ่นดินโชย กับรสขืนของเลือดในปาก ก่อนที่เสียงห้วนๆจะตามมา
“ยังมีชีวิตอยู่มั้ยวะ”
แลนท์ปรือตาขึ้นในสภาพทุลักทุเล เจ็บ ชา และมึน ตามบาดแผล และ รอยฟกช้ำบน ใบหน้า หัวไหล่ และแผ่นหลัง แต่ยังดีที่ขาทั้งสองข้างไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าแค่มีแผลถลอกเล็กน้อย
“โย่ อรุณสวัสดิ์ พ่อคนประหลาด”ใบหน้าทะเล้นที่มีรอยยิ้มเหมือนแสยะชะโงกมาใกล้จนเกือบจะติด ดวงตาสีทองใต้หัวยุ่งๆของอีกฝ่ายดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนผิดกับสถานการณ์ แต่จะแปลกใจทำไม
ติดอยู่ในซากอาคาร มันย่อมมีความหวัง และ น่าชื่นใจกว่าการถูกส่งตัวไปลานประหารเป็นไหนๆ
แน่นอนว่คำพูดนี้เขาไม่ได้กำลังประชดอยู่ หากแต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
“
..เป็นอย่างที่เห็น ลูก้า เอกอน”อีกฝ่ายย่นจมูกมองอย่างขัดใจในท่าทีไม่ทุกข์ร้อนของอีกฝ่าย
“นี่แก
.ไม่รู้รึไงว่า ข้าเป็นใคร” ชายผู้ดำสามประการหยุดมือที่ปัดเศษฝุ่นซึ่งเกาะอยู่บนเสื้อผ้าของตนแล้วเหลือบตามองอีกฝ่ายแว่บหนึ่ง
“ลูก้า เอกอน”
ผัวะ
เท้าที่เป็นสิ่งเดียวที่พอจะแผลงฤทธิ์ได้เตะเข้ากลางลำตัวของอีกฝ่ายอย่างแรง แต่คนตรงหน้าพลิกตัวหลบได้ทัน ลูก้าจึงได้แต่สบถอย่างไม่พอใจ ดวงตาเรียบเฉยสีดำช่างน่าหงุดหงิดนัก ยิ่งมองยิ่งดู ทั้งๆที่ไม่มีแววตาดูแคลนส่งมาให้ แต่เขารู้สึกอยากเอามือไปควักออกมาเหยียบอย่างที่สุด
ไอ้ตำรวจเฮงซวยทั้งหลาย! จะตายละก็เอากุญแจมาก่อนได้มั้ย !!!
เขาค้อนตาเหลือกใส่ซากศพในชุดลำลองสองนายที่ ถูกคลุมภาพเอน็ดอนาภของเครื่องในที่เกลื่อนกราด ทะลักออกตามบาดแผลและรอยแยกกลางลำตัว ด้วยผ้าม่านของร้านเฟอนิเจอร์ใกล้ๆ แน่นอนว่าไม่ใช่ฝีมือเขา แต่เป็นไอ้บ้าตรงหน้าที่มาเจอเขา ในสภาพที่มีกุญแจมือเกี่ยวกับก็อกน้ำประปาที่แทงทะลุพื้นขึ้นมา ห้อยต่องแต่ง เตรียมตกลงไปฟาดกับเสาหินแหลมเปี๊ยวข้างล่าง มะรำมะร่อ
“เฮ้ย” ลูก้าเบิกตามองมีดพับสองอัน กับ กระบอกปืน ที่ถูกค้นออกมาจากกระเป๋าของศพใกล้ๆตัวนั้น เขาไม่ใช่คนขวัญอ่อนหรอก ถ้าอีกฝ่ายจะไม่หันปากกระบอกมาทางเขา
“จะทำอะไรวะ
”เขารู้ตั้งแต่ปราดแรกที่เห็นแล้วว่า คนตรงหน้าเป็นลูกผู้ดีมีตระกูล จากประสบการณ์ไม่ต้องมาทำเก็กหน้าขรึมเลยนะ อาวุธในชีวิตจริงนะ มันไม่ง่ายเหมือนในหนังที่ยิงเปรี้ยงเดียวไม่พลาดเลยตั้งแต่นัดแรกหรอกนะ
“เฮ้ย!” ร้องสุดเสียงแต่นิ้วนั้นก็เหนี่ยวไกอย่างไม่ลังเล
เคร้ง
“มือติดกันแบบนั้น.....จะไปเอาตัวรอดได้ไง.....” เสียงราบเรียบว่าก่อนจะยัดกระบอกปืนกับมีดพับลงในกระเป๋ากางเกงของรูปปั้นชายหนุ่มสูงร้อยแปดสิบกว่าๆ เขาสบัดหัวไล่ความมึนงงออกไป
ไอ้......ไอ้บ้านี่มันไม่ธรรมดาเว้ย! หรือเขาจะเข้าใผิดไปเอง ไอ้บ้านี่อาจจะเป็นนักโทษอีกคนที่
..มั่วแล้ว ลูก้า คดีนี้มีแกคนเดียวที่โดนเอามาส่งมอบวันนี้ ไม่มีทางน่า
ฟรุ๊ก
ใช่
.ต้องฟรุ๊กแน่ๆ ไอ้นี่มันดวงดีต่างหาก ไม่สิ
.ไม่สำคัญ เดี๋ยวนะ หมอนี่เพิ่งช่วย
..
“นี่แกสำนึกบ้างมั้ยว่า ช่วยใครอยู่.....”ดวงตาสีนิลปราดมองก่อนดึงให้เขาลุกขึ้น
“ผู้ชาย....อายุพอๆกัน”มือที่เพิ่งหลุดเป็นอิสระสะบัดไมตรีตรงหน้าออก เขาถลึงตามองแล้วแค่นเสียงหัวเราะเสียงดัง
“ไอ้โง่เอ้ย......ศตวรรทนี้มีคนอย่างแกอยู่นี่สุดยอดเลยวะ”แต่แทนที่จะเกิดไฟโทสะให้เห็น ร่างสูงกลับมองมาด้วยแววตาเวทนากึ่งสงสาร
“แลนท์” เสียงนั้นทรงอำนาจจนลูก้าต้องหยุดขำ เขายืนประจันหน้ากับ ‘แลนท์’ ท่ามกลางซากปรักหักพัง
“ชื่อของฉัน.....เสียเวลามากเเล้ว ไปกันเถอะ”
“ฮะ!” ผู้ร้ายหัวสีน้ำตาลทองร้องอย่างไม่พอใจ
“จะไปไหน...”
ปัง ปัง
บังเกิดความเงียบเมื่อกระสุนเหล็กสองนัดเฉี่ยวเส้นผมของเขาขาดติดไปเส้นหนึ่ง ลูก้าเบิกตากว้างเท่าไข่ห่าน มองร่างที่ยิงปืนโดยไม่หันมามองด้วยท่าทางเหมือนปลาขาดน้ำ
“ฉันไม่ชอบความรุนแรงหรอกนะ...จะไปได้รึยัง” พยักหน้าหงึกงักราวกับเด็กดีผิดวิสัย ดวงตาสีดำสนิทมืดมนชายตามองก่อนจะเดินนำ
“ก็แค่นั้น.....”
ไอ้บ้านี่ น่ากลัวกว่า ฆาตกรต่อเนื่องอย่าง ข้าอีก!!!
ติ๋ง
เขานิ่วหน้าขณะที่หยดน้ำหยดหนึ่งแตกกระจายวงบนปากแผลสดๆที่หัวเข่า มือที่สาละวันกับการใช้เข็มเย็บปากแผลสดๆชะงักงันก่อนยกขึ้นลูบปอยผมสีน้ำตาลแมกไม้ของร่างสูงกว่าเป็นเชิงปลอบ
“ทนหน่อยนะ อีกนิดเดียวน่าจะเสร็จแล้ว” แม้ในใจอยากจะบอกเจ้าของเรือนผมสีเขียวสั้นประบ่านี้ว่า เขาเป็นผุ้ชายอกสามศอกนะ แค่นี้มันไม่เท่าไหร่หรอก แต่ก็ทำได้แค่ตีหน้าซื่อ กล่าวขอบคุณยิ้มๆอย่างจริงใจเท่านั้น
เกือบชม.แล้วที่พวกเขาสามคนติดอยู่ในช่องผนังด้านหลังลานไอส์สเก็ตที่ตอนนี้ น้ำแข็งเริ่มละลายตัวกลายเป็นน้ำเจิ่งนองเฉอะแฉะน่ารำคาญเหลือเกิน สาเหตุหลักๆมันก้มาจากอาการบาดเจ็บ กระดูกโผล่ของ จอร์โก และ ไวเออร์นี่แหละ ที่ทำให้ไอร์เม่ ต้องใช้วิชาชีพประจำตัวผ่าตัดแบบสดๆ กันกลางห้าง ด้วยนิสัยคนดีที่ทนดูคนอื่นบาดเจ็บ หรือ ไม่ยอมหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว ทั้งสามถึงได้มานั่งเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับเวลาที่ไม่รู้ว่ามีอยู่เท่าไหร่อยู่นี่
“ไวเออร์ สภาพแบบนั้นนะ พักก่อนดีกว่ามั้ย”ไอร์เม่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่มือก็ยังเขี่ยเส้นเอ็นยุบยิบในปากแผลสีแดงๆ ชวนให้เจ้าของอวัยวะต้องเบือนหน้าหนีอย่างผะอืดผะอมด้วยท่าทางคล่องแคล้ว
“ไม่”ร่างสูงระหงค์ที่เชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่งและดูไม่ถูกชะตากับ จอร์โกตั้งแต่ยังไม่เริ่มคุย สอดสายตาและทำท่าเหมือนถ้าไม่ได้จะกระโจนออกไปหาใครสักคนที่อาจจะยังอยู่ดี หรือ ไม่เหลือสภาพแล้ว เขาอาจจะขาดใจได้ง่ายๆเอา
“แต่...แต่แผลที่ทำไปเมื่อกี้มันร้ายแรงมากเลยนะ.....”ไอร์เม่เอ่ยเสียงสั่น เหลือบมองผ้าพันแผลรอบแผ่นอกของอีกฝ่าย ไวเออร์ เอาตัวเข้ารับแท่งหินแทนเขา ทำให้เกิดปากแผลใหญ่มาก แม้เขาจะใช้อุปกรณ์ที่มักจะติดตัวไว้รักษาให้อย่างดี แต่ไม่เคยมีวิชาการแพทย์ที่ไหนบอกเขาเลยว่า คนไม่พักผ่อน เมื่อเสียเลือดมากๆ จะสามารถวิ่งรอบห้างตามหาใครสักคนได้ ถ้าไม่ติดงานในหน้าที่ตรงมืออยู่....เขาคงวิ่งไปคว้าเอวอีกฝ่ายไว้แล้ว
“ไม่เป็นไร ฉันยังพอทนไหว”เสียงรั้นๆเอ่ยก่อนจะนิ่วหน้าเพราะปากแผลเหมือนจะปริออกนิดๆ
“ไวเออร์!”
“นายรีบไปตอนนี้ ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้หรอกน่า”เป็นจอร์โกที่เอ่ยปรามเสียงเย็น เขาทำท่าเลิกลั่กเพราะเผลอลืมตัวแต่ดุเหมือนจะไม่มีใครสนใจภาพลักษณ์นั้นเท่าไหร่
“ได้สิ! ถ้ารีบตอนนี้ บางทีอาจจะช่วยซีบิลทัน....”
“ไวเออร์ อาเทมิสต์!” ไอร์เม่ตะโกนเท่าที่เสียงเล็กๆจะตะโกนได้ น้ำสีใสคลอดวงตากลมโตน่ารักนั้น แล้วพูดต่อด้วยเสียงอู้อี้
“ซีบิลอยู่ในโซนที่ใกล้ทางออกมาก ต่อให้เธอโดนทับ ยังไงก็ต้องมีคนช่วยเธอก่อนพวกเราแล้วละ”
“มีเหตุผลหน่อย ไอร์เม่ทำหน้าจะร้องไห้อยู่มะรำมะร่อ นายสองคนเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ สนใจคนข้างๆก่อนดีกว่ามั้ยนะ”ต่อให้จอร์โกจะไม่ช่วยพูดเสริม แต่ท่าทางของเพื่อนสนิทก็ทำให้อีกฝ่ายสลดลงไปมากเกินครึ่งแล้ว เขาเดินมาลูบหัวคนตัวเล็กกว่าพรางเอ่ยคำขอโทษ วึ่งไอร์เม่ก็พยักหน้าแล้วยิ้มจางๆเป็นการตอบรับ แต่นั้นยิ่งทำให้ไวเออร์คิดหนักมากไปกว่าเดิมอีก
“แต่แค่....แต่แค่.....ถ้าฉันไม่ทะเลาะกับเธอวันก่อนจนต้องให้นายมาเป็นเพื่อนละก็......”
“ไม่เป็นไร”เขาเว้น “เห็นนายเป็นคนจริงใจกับคนรัก ฉันก็รู้สึกดีไปด้วย ไม่ต้องโทษตัวเองหรอก”
ไอร์เม่เอ่ยขัดเสียงหดหู่พรางพันปากแผลของจอร์โกด้วยผ้าก็อตสีขาว หวังว่ายาชาเพียงเข็มเดียวที่เหลืออยู่ จะทำให้ลดอาการเจ็บปวดของอีกฝ่ายไปได้ แม้ว่าเขาจะไม่เคยรู้จักคนตรงหน้ามาก่อน แต่ใช่ว่า ไอร์เม่จะสามารถทิ้งคนบาดเจ็บไปได้ง่ายๆอีกนั้นแหละ นิสัยแบบนี้ เป็นตัวตนที่ยากจะหาได้จนน่าแปลกใจทีเดียวสำหรับ จอร์โก
“ยืนไหวมั้ย จอร์โก”อีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะเซ เพราะร่างเล็กไม่สามารถรับน้ำหนักและร่างที่ใหญ่กว่าได้ พลันก็มีมืออีกข้างมาโอบประคองเอาไว้
“จับไว้ เราต้องออกไปได้น่า”ประกายความหวังลุกโชนในดวงตาสีอาเทมิสต์สมชื่อของไวเออร์ ทางเชื่อมต่อที่ขาดหายไปตรงหน้า ถ้าจำไม่ผิดละก็ อาจจะยังพอทันสำหรับทางออกตรงข้ามกับลานจอดรถด้านล่าง
โดยไม่รู้ตัวเลยว่าก้าวย่างของกลุ่มคนสี่กลุ่ม
กำลังนำพวกเขาไปพบกับเรื่องที่จะลืมไม่ลงเลยเรื่องเดียวกัน
ในอีกไม่นานนี้เอง
ความคิดเห็น