‘แม่! พ่อ!’
‘ไม่นะ’
‘อย่าทิ้งผมไป
‘ผมไม่อยากอยู่คนเดียว’
‘แม่ อย่าไป’
‘พ่อฮะ!’
‘ไม่น๊า!!!!!’
เฮือก! ผมสะดุ้งตื่นจากความฝัน เหงื่อไหลท่วมตัว รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
นี่มันความฝันบ้าอะไรกัน? ทำไมจู่ๆถึงฝันแบบนี้ได้เนี่ย รู้สึกหดหู่สุดๆไปเลย ร่างกายมันก็หนักๆชอบกลแหะ-_-?
“แม่~~” จู่ๆเสียงครางเบาๆก็ดังเข้ามาในหู เสียงนั้นอยู่ใกล้มากๆและมันไม่ได้ใกล้ธรรมดา เพราะมันอยู่แนบชิดติดหู ชนิดต่อให้พูดเบาแค่ไหนก็ได้ยิน
ผมค่อยๆหันไปทางต้นเสียงที่อยู่ซ้ายมือของผม และทันทีที่ผมหันไป ผมก็ต้องชะงักค้างโดยอัตโนมัติ เมื่อปลายจมูกของผมชนเข้ากับปลายจมูกของบุคคลที่นอนกอดผมแน่นราวกับจะสิงกันให้ได้ ผมตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว เพราะกลัวว่าถ้าเกิดขยับพลาดอย่างอื่นมันจะไปชนกันแทน
รึว่า! ที่ผมฝันร้ายสาเหตุทั้งหมดมันจะมาจากนาโอระที่เล่นนอนกอดผมทั้งคืนกันเนี่ย แต่ถึงมันจะเป็นแบบนั้นผมกลับไม่รู้สึกรำคาญเลยแม้แต่น้อย จิตใต้สำนึกมันบอกแค่ว่า สิ่งที่ควรปกป้องเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง
ร่างกายที่บอบบางจนดูเหมือนมันจะปลิวไปกับลม ผิวขาวจนเกือบชีด เรียวหน้าขาวเนียนไร้ที่ติ ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ เหมือนตุ๊กตาไม่มีผิดแล้วยิ่งเวลาหลับบอกได้คำเดียว น่ารักอ่ะ>< ผู้ชายอะไรน่ารักเกินไปแล้ว>/////<
ผมจ้องหน้านาโอระอยู่นานมาก นานจนกระทั่งหนังตาที่เคยปิดสนิทค่อยๆปรือขึ้นช้าๆ จนในที่สุดก็เผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าสดใสที่น่าหลงใหล ดูเหมือนเค้าจะตกใจอยู่ไม่น้อยที่ผมจ้องเค้าในระยะหายใจรดต้นคอแบบนี้ นัยน์ตากลมโตบ้องแบ๋วของนาโอระจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผมด้วยความสงสัย
ตึก~ตัก~ตึก~ตัก~ตึก~ตัก~
อ๊ากกกกก!!!!! นี่เราเป็นบ้าอะไรไปเนี่ย พอเห็นหน้าตาไร้เดียงสาของหมอนี่ทำไมหัวใจมันเต้นไม่เป็นจังหวะเลยอ่ะ หมอนั่นเป็นผู้ชายนะอย่าลืมสิ>o<
“นายสองคนจะนอนจ้องหน้ากันอีกนานมั้ย ฉันจะอ้วกแล้วนะ”ก่อนที่โรคประสาตจะกัดกินสมองจนกลายเป็นบ้าไปซะก่อน เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาตพอดิบพอดี
“ระ...รีบอร์น นายมาตั้งแต่เมือไรเนี่ย”ผมลุกจากที่นอนแทบไม่ทัน เมื่อเห็นรีบอร์นยืนจ้องหน้าผมตาไม่กระพริบ
“ก็นานพอที่จะเห็นนายลวนลามนาโอะทางสายตาละกัน” ก็ตั้งแต่แรกเลยอ่ะดิ แล้วไปหลบอยู่ส่วนไหนของห้องละเนี่ย ทำไมถึงมองไม่เห็นอ่ะ
“ฉันก็ยืนอยู่ตรงนี้ แต่นายไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เอาแต่ส่งสายตาหนาวเยิ้มใส่หน้านาโอะ จนหน้าหมอนั่นจะทะลุอยู่แล้ว”
“ช่วยอย่าอ่านความคิดของคนอื่นเค้าตามใจชอบจะได้มั้ย”
“แค่มองตาแว็บเดียวฉันก็รู้แล้ว นายน่ะมองออกง่ายจะตายไป” ชิ! ขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว เปลี่ยนเป้าหมายหันไปมองนาโอระดีกว่า
อ้าว! เมื่อกี้ตื่นแล้วนี่หว่า แล้วไหงถึงลงไปนอนต่อล่ะ
“ปล่อยให้นอนไปแบบนั้นแหละดีแล้ว”
“ทำไมล่ะ นี่มันสายแล้วนะ เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนไม่ทันหรอก”
“นี่นายเมาขี้ตารึไง วันนี้วันเสาร์นะเฟ้ย!” อ้าวหรอ! วันเสาร์หรอ
“ลงไปข้างล่างได้แล้ว เดี๋ยวเจ้าแรมโบ้แย่งกินข้าวหมดฉันไม่รู้ด้วยนะ” พล่ามจบ ก็หันหลังเดินออกจากห้องไปแบบเงียบๆ
แปลกแฮะ! เจ้ารีบอร์นปกติต้องลากผมออกจากห้องไปแล้ว แต่นี่กลับเดินออกไปแบบเงียบเชียบ แถมดูจะสงบปากสงบคำขึ้นเยอะเลย เป็นอะไรไปเนี่ย (หิมะตกแหง่เลย)
ผมหยุดความคิดไว้แค่นั้น เพราะถ้าเกิดไม่รีบลงไปข้างล่าง มีหวังข้าวเช้าไปนอนรอผมในท้องแรมโบ้แน่
“สึนะ” ผมยังไม่ทันจะได้ก้าวเท้า มือเล็กๆของนาโอระก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของผมอย่างรวดเร็ว พอหันกลับไปมองก็พบกับสายตาไร้เดียงสาที่จ้องมายังผม
คงอยากได้เราเป็นหมอนข้างแน่ๆเลยแบบนี้-_-!
“หยุดส่งสายตาแบบนั้นสักทีจะได้มั้ย มันขนลุก”
“ห้องนายไม่มีหมอนข้างอ่ะ ยืมกอดหน่อยไม่ได้หรอ” ตูว่าแล้วเชียว! เล่นกอดทั้งคืนแบบนั้น
“ก็ได้” นี่เป็นอีกครั้งที่ผมปฏิเสธไม่ลง ต้องจำใจนอนลงแต่โดยดี แต่ว่าผมยังไม่ทันได้ตั้งตัว นาโอระก็คว้าคอผมลงไปกอดอย่างแนบแน่นราวกับเด็กขาดความอบอุ่น แต่ตอนนี้ผมกำลังจะขาดใจตาย กอดแน่นเกินไปแล้วนะเฟ้ยยย!!!><
“ฟรี้~~~” สักพักเสียงครางแผ่วเบาก็ลอยมา อ้อมกอดที่เคยแน่นราวกับจะฆ่ากันให้คามือก็คลายออก ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ นั่นหมายความว่า......หลับ (ได้สักทีนะ)
“นายเป็นใครกันแน่” ผมเปรยออกมาเบาๆ พลางใช้นิ้วเขี่ยผมที่ลงมาปิดหน้าเค้าออก แล้วก็ไล้ไปตามแก้มขาวอย่างเบามือ เพื่อไม่ให้เค้าตื่น
รีบอร์นเคยบอกว่านาโอระเกี่ยวข้องกับวองโกเล่ แล้วมันเกี่ยวยังไงล่ะ ถ้าไม่นักฆ่า แล้วทำไมจู่ๆถึงมาอยู่บ้านเราได้ ประวัติความเป็นมาเราก็ไม่รู้อะไรสักอย่างออกจากชื่อ
เป็นแค่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆแท้ๆ แต่ทำไมความลับที่มีอยู่ในตัวมันจะมากเกินไปหน่อยแล้วมั้งเนี่ย
........................................
“สึนะ ฉันอยากกินไอ้นั่นอ่ะ ซื้อให้หน่อยสิ”
“เดี๋ยวสิแก กล้ามาไถตังส์รุ่นที่สิบงั้นหรอ”
“ฉันยังไม่ได้ไถเลยนะ แค่ให้สึนะซื้อไอติมให้กินก็แค่นั้นเอง”
“มันก็เหมือนกันนั้นแหละน่า เป็นแค่เด็กแท้ๆกล้ามาสั่งรุ่นที่สิบ”
“ฉันไม่ใช่เด็กน๊า!!!! ไอ้หัวปลาหมึก”
“หน็อย! ไอ้เด็กบ้า เดี๋ยวพ่อเปาสมองกระจายเลยซะเลยนี่”
“ก็เอาสิ กล้ารึป่าว”
ตอนนี้ผมกำลังเดินหัวหดอยู่ในเมือง โดยมียามาโมโตะเดินตามหลังและนาโอระกับโกคุเดระคุงที่กำลังเปิดศึกโวยวายใส่กันแบบไม่สนใจสายตาประชาชีเดินรั้งท้าย ไม่รู้ว่าสองคนนั่นเค้าไปแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน หรือว่าชาติก่อนนาโอระเคยดอดไปเผาบ้านโกคุเดระคุงจนวอดวายไม่ที่ซุกหัวนอนรึป่าวก็มิทราบ ชาตินี้ถึงได้เจอหน้าเป็นตีกันทุกที
“น่ารักดีนะ” ยามาโมโตะเดินขึ้นมาตีคู่แล้วพูดขึ้นมา
“หา?” งงครับท่าน อะไรน่ารักหว่าO_O?
“แหม่! เครื่องหมายคำถามอันเบ่อเริ่มเชียวนะ ...ฉันหมายถึง น้องชายของนายน่ะ น่ารักดี” เค้าเหล่มองไปทางนาโอระที่กำลังกวนโอ๊ยโกคุเดระคุงอยู่ด้านหลัง
“งั้นมั้ง” ไอ้น่ารักมันก็อาจจะใช่ แต่นิสัยมันช่างกบฏกับหน้าตาเสียนี่กะไร ทั้งดื้อ ซน เอาแต่ใจ ขี้งอน ขี้เซา ร่าเริงเกินเหตุ นิ่งเป็นหลับขยับเป็นกิน ไม่รู้ว่าร่างกายเล็กๆแบบนั้นเอาอาหารกับขนมไปยัดไว้ส่วนไหนของร่างกาย ทำไมถึงกินได้เยอะขนาดนั้น ผมกลัวว่าสักวันหมอนั่นจะโมโหหิวแล้วจับผมเขมือบลงท้องแก้หิวจริงๆ
รู้สึกว่าจะเริ่มนอกเรื่องออกประเทศไปไกลแล้ว กลับเข้าเรื่องของเราดีกว่า......
“สึนะ! หิวข้าวอ่ะ” เอาอีกแล้ว จำได้ว่าเพิ่งกินไปไม่ใช่หรอ-_-
“ยังจะกินอีกหรอ” เงินผมมันยุบลงไปเยอะเลย เพราะเด็กนี่แท้ๆ
“น้าๆๆๆๆ” ทีแบบนี้ไร้เดียงสาขึ้นทันตาเห็นเลยนะ
“งั้นเดี๋ยวฉันซื้อไอติมให้ละกัน” ยามาโมโตะแทรกขึ้นมา ฉีกยิ้มกว้างให้ผม ส่วนนาโอระก็แทบจะกระโดดกอดยามาโมโตะแต่ก็คงจะไม่กล้า ทำได้แค่เดินไปกอดแขนแน่นแล้วลากไปทางร้านไอติมที่อยู่ไกลออกไปข้างหน้า
“ไอ้เด็กนั่น มันเป็นใครครับรุ่นที่สิบ”
“เอ๋! โกคุเดระคุงไม่รู้งั้นหรอ”
“เด็กอวดเก่งแบบนั้น ผมก็พึ่งจะเคยเห็นนี่ละครับ”แปลกแฮะ ถ้าเกี่ยวข้องกับวองโกเล่แล้วทำไมโกคุเดระคุงถึงไม่รู้กันล่ะ หรือว่าเรื่องของนาโอระจะเป็นความลับที่คนระดับสูงเท่านั้นถึงจะรู้กันนะ
..................................
(Naora talk)
“ขอบคุณนะ” ผมรับไอติมมาจากยามาโมโตะ แล้วเดินนำหน้าออกมา เดินมองนู่นมองนี่ไปเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจคนที่ตามอยู่ข้างเลยสักกะติ๊ด อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ได้ออกมาเดินเล่นเปิดหูเปิดตาแบบนี้นานเป็นปีแล้วก็ได้ มันเพลินจนแทบจะไม่อยากกลับบ้านเลย
“พ่อฮะ แม่ฮะ ผมอยากได้ไอ้นั่นอ่ะ ซื้อให้ผมหน่อยสิ”
“จ๋าๆ เดี๋ยวแม่ซื้อให้นะ” ฉันหยุดยืนดูสามพ่อแม่ลูกที่ยืนอยู่หน้าร้านของเล่น
เห็นแล้วมันรู้สึกแปลกๆในหัวใจ มันทั้งว้าเหว่ เดียวดาย สับสน แล้วก็อิจฉา ...อิจฉาที่เห็นเค้าอยู่กันพร้อมหน้า แต่เรากลับไม่มีอะไรเลย ไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่ตัวเองด้วยซ้ำ ต้องอยู่อย่างทรมานมาตลอด เฮ้อ! คิดแล้วเศร้า
“ยามาโม.....โตะ!?” ผมหันกลับไปเรียกบุคคลที่เดินตามหลังผมเมื่อสักครู่ แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นแม้เงารวมถึงพวกสึนะด้วย หายไปไหนกันหมดอ่ะ
งานเข้าแล้วไง พึ่งมาอยู่ญี่ปุ่นได้วันเดียวยังไม่รู้เส้นทางเลย แล้วคนหลงทิศอย่างเราหาทางกลับบ้านไม่ถูกแน่ ทำไงดี ToT
“ช่างเถอะ เดินไปเรื่อยๆแล้วกัน” เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ออกเดินต่อ เดินไปพลางเลียไอติมไปพลาง เพลินดีเหมือนกันแฮะ^^
เดินมาตั้งนานแล้วนามิโมรินี่มันกว้างจังแฮะ ของกินก็เต็มไปหมด แต่เสียดายดันลืมเอากระเป๋าตังส์มา พวกสึนะก็หายหัว ซื้ออะไรไม่ได้สักอย่าง เซ็งเป็ด!!!
“เริ่มจะเหนื่อยแล้วแฮะ” อาการหืดหอบก็ชักจะกำเริบ ตาก็เริ่มลาย ท้องก็เริ่มหิว (อีกแล้วหรอ) เหมือนจะเป็นลม หาที่นั่งดีกว่า
ปัก!
“โอ้ยเจ็บ!!! เออ...ขะ...ขอโทษ” ด้วยความที่ตาลาย เลยไม่ดูตาม้าตาเรือไปชนกับใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง ผมพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น ปัดฝุ่นไปตามเนื้อตัวแล้วเงยหน้ามองคนตรงหน้า
“เธออีกแล้วหรอ” น่านไง! ทำไมวันนี้มันซวยซ้ำซวยซ้อนแบบนี้ ไอ้คนที่อยากจะเจอกลับไม่ได้เจอ แต่ไอ้คนที่ชาตินี้ไม่มีวันคิดอยากจะเจอดันเจอ โลกนี้มันเป็นบ้าอะไรไปแล้วเนี่ย>O<
“ฉันสมควรจะพูดคำนั้นมากกว่า” ผมตอบ แล้วยืนจ้องหน้าไอ้กรรมการคุมกฎจอมขี้เก๊กที่ผมพึ่งเดินชนไปเมื่อกี้ ถ้ารู้ว่าเป็นไอ้หมอนี่ รู้งี้! ชนให้คว่ำหน้าแหกไปเลยดีกว่า
“ว่าแต่นายเหอะ ได้ยินมาว่าไม่ชอบการสุมหัวไม่ใช่หรอ แล้วมาทำอะไรแถวนี้”
“ไม่จำเป็นจะต้องตอบ” แหม่! ไอ้หมอนี่มันจะเก๊กอะไรหนักหนา ไม่เมื่อยบ้างรึไงฟะ
“ก็ไม่ได้อยากจะฟังสักหน่อย” ผมทำหน้าตึ๊มตึ๋มใส่ฮิบาริ แล้วเดินออกมา
“จะไปไหน” เสียงฮิบาริไล่หลังมา ผมเลยหันกลับไปตอบ
“ไม่จำเป็นจะต้องตอบ” เอาคืนไปเลย คำพูดที่เคยพูดกับฉัน ฮ่าๆๆๆๆ^^
“หลงทางใช่มั้ยล่ะ” ฉึก! เมื่อมีดาบปักลงที่กลางใจ ไอ้หมอนี่รู้ได้ไงฟะ-_-?
“ป่าวสักหน่อย แค่เดินเล่นเฉยๆ” แถหน้าตายครับท่าน ให้หมอนี่รู้ไม่ได้เดี๋ยวเสียฟอร์มหมด
“ให้ฉันช่วยมั้ยล่ะ” เหมือนมีแสงแห่งความหวังวิววับอยู่ไกลๆ แต่เรื่องอะไรจะให้ไอ้คนแบบนี้ช่วยล่ะ
“ไม่ต้องหรอก ฉันไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร”
“หึหึ! หลงจริงๆสินะ แต่ก็ช่างเถอะฉันแค่พูดไปตามมารยาทก็เท่านั้น”
“ว่าไงน้า!!!” คุณท่านเค้าช่างยิ้มได้ยั่วยวนกวนTeenดี ชักอยากจะกระโดดขาคู่ถีบไปที่หน้าเก๊กๆของหมอนั่นจริงๆ
“แถวนี้เวลาค่ำๆไอ้พวกโรคจิตเยอะซะด้วยสิ” พูดทิ้งท้ายแล้วก็เดินออกไปช้าๆ เหมือนจะรอดูอาการของผม
“คิดจะขู่ฉันรึไง”
“หึ!” หมอนั่นเริ่มเดินห่างออกไปเรื่อยๆเรื่อยๆ ในใจมันบอกให้วิ่งตามไป แต่สมองมันดันบอกว่าหาทางกลับเองก็ได้ ส่วนความรู้สึกตอนนี้บอกได้คำเดียวว่า ‘กลัว’ ครับพี่น้อง เลยจำใจต้องวิ่งตามไปแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก
“ตามมาทำไม” ฮิบาริเหล่มองผมด้วยหางตา
“ก็แค่หาเพื่อนเดิน อยู่คนเดียวมันเหงา” หมอนั่นไม่ได้ตอบอะไร ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆแบบไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่ชัด
เราสองคนเดินไปเรื่อยๆดูโน่นดูนี่ข้างทางอย่างเพลินตา แต่ที่จริงแล้วก็คงจะมีแค่ผมเท่านั้นแหละมั้ง ที่คิดไปเองว่ามันเพลิน เพราะดูสภาพหน้าที่นิ่งเฉยไร้อารมณ์ของหมอนั่นแล้ว คงกำลังเบื่ออยู่แหง่มๆเลย ที่ต้องมาเดินข้างผม
“นี่! นายอยู่คนเดียวไม่เหงาหรอ” ผมหันไปถามฮิบาริที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น
“......?” ไม่มีคำพูดใดๆเล็ดรอดออกจากปาก
“ถ้าเป็นฉันนะ ฉันคงเหงาจนแทบคลั่งเลยล่ะ ต้องอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครให้คุยด้วยแบบนั่นน่ะ นายเองไม่เคยรู้สึกว่ามันเดียวดายบ้างเลยหรอ การที่ต้องอยู่ลำพังตัวคนเดียวน่ะ” ถึงผมจะพูดไปแบบนั้น แต่จริงๆแล้วในใจก็รู้ดีอยู่แล้วว่าหมอนั่นไม่มีทางตอบผมหรอก
“........”
“งั้นหรอ นายนี่เก่งจังเลยนะ อยู่คนเดียวได้นานขนาดนี้ ฉันอิจฉานายชะมัดเลย” แต่ถึงหมอนั่นจะไม่พูดกับผม จะไม่มองผม หรืออาจจะไม่สนใจผมเลยก็ตามที แต่ผมก็จะพูด เพราะผมเกลียดที่เงียบๆเป็นที่สุด
“เมื่อก่อน ฉันก็เคยอยู่คนเดียวนะ มันเหงามากๆเลย ต้องอยู่แต่ในห้องที่ทั้งมืดแล้วก็หนาว วินาทีนั้นฉันคิดว่า การมีชีวิตอยู่มันทรมาน เลยอยากจะตายไปให้พ้นๆ จากความเดียวดายที่เผชิญอยู่” พอพูดถึงเรื่องนี้ทีไร ภาพในอดีตก็ฉายให้เห็นในสมองหยั่งกับสามมิติ มันเลยพานให้น้ำตาจะไหลทุกที
“ทำหน้าแบบนั้น คงจะรำคาญล่ะซิ” ผมเงยหัวมองหน้าฮิบาริ แล้วยิ้มแห้งๆ
“พูดมากชะมัดเลย” ฮิบาริหยุดยืนมองหน้าผม
เราสองคนยืนจ้องหน้ากันอยู่นานมาก จนในที่สุดผมเป็นฝ่ายแพ้ หลบสายตาของฮิบาริแล้วเดินนำไปข้างหน้า บอกตามตรงผมไม่ชอบให้ใครมายืนมองตาผมแบบนี้เลย เพราะผมถือคติที่ว่า ดวงตา คือ หน้าต่างของหัวใจ ผมกลัวว่าใครมันจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่
“จะไปไหน” ฮิบาริถาม
“ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก”
แล้วผมก็เดินไปเรื่อยๆอย่างที่บอก จนขามันเริ่มล้า ตาเริ่มลาย อาการหืดหอบกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง ผมเลยหันกลับไปส่งสายตาไร้เดียงสาให้ฮิบาริที่เดินตามมาข้างหลัง
“มองอะไร”
“คือว่า...”
“..........”
“เคียวยะคุง จะว่าอะไรมั้ย ถ้าผมจะขอขี่หลังหน่อยน่ะ” โอ๊ย!!! กระดากปากเป็นบ้าเลย -*- แต่ก็ช่างเถอะ แค่พูดเล่นๆเฉยๆ ยังไงหมอนั่นก็ไม่มีวันยอมหรอก
“..........” สายตาเย็นชาจับจ้องมายังผมแบบไม่ละสายตา
“ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร งั้นฉันนั่งอยู่ที่นี่แหละ นายจะไปไหนก็ไปเถอะ” ไอ้บ้านี่ ขยันเงียบจริงๆ
“จะให้ฉันแบกไปส่งบ้านงั้นหรอ”
“ได้มั้ยล่ะ”
“
” เออ! เงียบเข้าไป แล้วหน้าพี่แก จะเก๊กไปไหนเนี่ย คิดว่าหล่อมากเลยรึไงฟะ-*-
ในขณะที่ผมกำลังนั่ง วิพากษ์วิจารณ์ หน้าเก๊กหล่อของหมอนั่น (อยู่ในใจ) จู่ๆตัวผมก็ถูกกระชากไปด้านหลังอย่างแรงจนหงายเงิบ ลงไปนอนกลิ้งเล่นบนพื้น ด้วยฝีมือไอ้หน้าหมาบางตัว ผมพยายามพยุงตัวขึ้น แต่ก็โดนแขนที่มีกล้ามเป็นมัดๆ รัดเข้าที่เอวแล้วยกขึ้นจากพื้นจนตัวลอย
“นี่แก เปลี่ยนจากกรรมการคุมกฎ มาเป็นพี่เลี้ยงเด็กตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย 555+” ไอ้ตัวยักษ์ที่อุ้มผมอยู่พูดขึ้น แล้วหันไปหัวเราะชอบใจกับฝูงลิงภูเขาที่คาดว่าน่าจะเป็นลูกน้อง ที่ยืนเป็นแบล็กกาวน์อยู่ด้านหลัง
“ไอ้บ้าเอ้ย!!! ปล่อยฉันนะเว้ย!!!” ผมทั้งดิ้น ทั้งโวยวาย ทั้งกัด ทั้งขีดข่วนไปตามแขนไอ้ตัวยักษ์ ทำทุกวิถีทางให้ชีวิตน้อยๆดวงนี้ ลุดลอยออกไปจากแขนของไอ้กอลิล่าภูเขานี่ให้ได้ แต่มันไม่มีสะทบสะท้านเลย แถมรัดผมแน่นขึ้นอีกต่างหาก
ฮื่อ!!! ทำไงดี นี่เราต้องมาจบชีวิต เพราะโดนกอลิล่ารัดตายงั้นหรอ น่าสมเพชสุดๆอ่ะ ขอตายสบายๆกว่านี้ไม่ได้รึไง ฉันกลัวเจ็บนะเฟ้ยยย!!!! TOT
“ไอ้เด็กบ้านี่ จะดิ้นอะไรหนักหนา!!!!” มันหันมาตะโกนใส่หน้าผม พร้อมด้วยเอฟเฟ็กที่กระเด็นออกมาจากปาก จนผมหันหน้าหลบแทบไม่ทัน บอกได้คำเดียวว่า ‘เสียงใช่ได้ แต่กลิ่นต้องปรับปรุง’
มันเหมือนมีตัวอะไรไปนอนตายอยู่ในปากเลยอ่ะ นี่ผมต้องเปลี่ยนจากโดนรัดตาย มาเป็นเหม็นตายแหง่เลยแบบนี้ -_-!?
“อะไรกัน นี่กะยกพวกมารุมคนคนเดียวเลยหรอ” จะโดนเหยียบตายอยู่แล้ว ยังจะมีหน้ามาทำเก๊กอีกนะ
“ก็กะอยู่เหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าแกจะเอายัยเปี๊ยกนี่มาด้วย”
“ยัยเปี๊ยกงั้นหรอ!!! นี่แก...คงไม่อยากแก่ตายสินะ” กล้ามากนะแก มาหาว่าฉันเป็นยัยเปี๊ยก -*-
“โอ้โฮ้! ปากเก่งซะด้วย ปากเก่งแบบนี้ ระวังจะตายเร็วนะ ...นังหนูเอ้ย!!!!” ไอ้กอลิล่าเหวียงตัวผมไปด้านหลัง และด้วยความที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างของผมเลยลอยละลิ่วล่นลงกระแทกสไลด์พื้นท่าอย่างสวย เล่นเอาจุกเลยที่เดียวเชียว
พวกฝูงลิงภูเขากรูกันเข้าไปรุมฮิบาริแบบไม่มียั้ง แต่หมอนั่นก็ใช่ย่อยซะทีไหน ซัดลูกน้องของไอ้กอลิล่าหัวโจกกระเด็นออกมานอกวงได้ตั้งสี่ห้าตัว แต่มันก็ยังอุตส่าวิ่งกับเข้าไปร่วมวงใหม่แล้วก็โดนซัดออกมาเหมือนเดิม
“ไงสาวน้อย เป็นแฟนไอ้หมอนั่นหรอ” หนึ่งในฝูงลิงภูเขาที่ยืนดูเพื่อนตะลุมบอลฮิบาริอยู่ข้างๆผมพูดขึ้น (ที่ไอ้หมอนี่ไม่ได้เข้าไปกระทืบฮิบาริ เพราะต้องคอยกันผมไม่ให้ชิ่งหนีไปซะก่อน)
“นี่แกเอาตาหรือหัวเข่ามองเนี่ย ฉันเป็นผู้ชายนะเฟ้ย จะเป็นแฟนไอ้บ้านั่นได้ยังไง” หมอนั่นเหลือกตาจ้องผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แล้วทำหน้าแบบไม่อยากจะเชื่อสุดๆ
“บ้าเอ้ย!” ไม่รู้ว่ามันด่าใคร แต่ถ้าด่าฉันล่ะก็ ...โดดถีบแม่งเล้ยยย!!!
ผมก้มลงมองสำรวจร่างกายว่ามีบาดแผลตรงไหน เพราะมันรู้สึกแสบๆชอบกล ผลปรากฏว่า ซอก หัวเข่า แล้วก็ตามขามันถลอกเป็นแผลเล็กๆ ตอนที่โดนไอ้กอลิล่าตัวยักษ์โยนทิ้งแหง่เลย
ฟิ้ว~~~ พลัก~งัก~งัก~งัก~ มีอะไรบางอย่างลอยละลิ่วมาทับผมบนตัวผม แถมไอ้นั่นมันกระแทกหน้าอย่างแรงจนมึน ตอนนี้ข้างหน้ามันดูมืดไปหมด มีแต่นกน้อยกับดวงดาวลอยอยู่เต็มหน้า แถมรู้สึกเหมือนมันมีอะไรเหนียวๆไหลออกมาจากจมูก
“...เจ้าหนู เจ้าหนู” เสียงของใครบางคนดังขึ้น แต่สำหรับผมมันเหมือนดังมาจากอีกโลกหนึ่ง ผมที่นอนกองอยู่บนพื้นฝืนลืมตาขึ้น รู้สึกหัวหมุนติ้ว เหมือนตอนปั่นจิ้งหรีดไม่มีผิด
“ละ...เลือด ...เฮ้ย! เจ้าหนูอย่าพึ่งตายนะเว้ยยย!!!” เสียงตะโกนดังลั่นสะเทือนฟ้าดิน ทำให้ผมปวดหัวหนักกว่าเก่าเลยนอนหลับตานิ่งอยู่อย่างนั้น แต่ว่าไหนๆก็ได้นอนแล้วขอหลับไปเลยแล้วกัน จะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับฝูงลิงภูเขามรณะนั้นอีก
สาธุ! ตื่นมาแล้วขอให้ไปโผล่อยู่ที่บ้าน ขอให้เรื่องทุกอย่างมันเป็นแค่ฝันทีเถอะ TOT!
ความคิดเห็น