ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] Just A Little Bit of Us | yugmark (SF/OS)

    ลำดับตอนที่ #8 : [SF] Manipulating Guy

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 58


    Manipulating Guy

    markgyeom

     

     

    ร่างสูงโปร่งก้าวเท้าออกจากลิฟต์ เดินย่ำเท้าบนผืนพรมลวดลายแปลกตาที่ปูยาวทั่วทั้งชั้น  ตรงไปยังห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่สุดทางเดิน  ห้องจัดเลี้ยงนี้เป็นห้องจัดเลี้ยงที่ดีที่สุดของโรงแรม และเป็นเพียงห้องเดียวที่ตั้งอยู่บนชั้น 22 จึงไม่ยากที่จะหาทางเข้าจนเจอ ซุ้มดอกไม้แนวโค้งที่อยู่บริเวณประตูของห้องจัดเลี้ยงซึ่งเป็นมุมถ่ายรูประหว่างเจ้าบ่าวเจ้าสาวกับแขกก็โดดเด่นเรียกสายตาของเขาได้เป็นอย่างดี

     

    คิม ยูคยอม เดินตรงไปยังโต๊ะที่มีสมุดเซ็นคำอวยพรเปิดกางอยู่  หญิงสาวในชุดเดรสสีเขียวพาสเทลกล่าวทักทายเขาอย่างอัธยาศัยดี  เขาจรดปลายปากกาและเขียนลงไปบนหน้าที่ว่างอยู่ว่า ขอแสดงความยินดีด้วยครับ ซง ยุนฮยอง 

     

    “ไม่ทราบว่าเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวคะ?” หญิงสาวคนนั้นถาม  ยูคยอมอึ้งไปนิดหนึ่งเพราะไม่คิดว่าจะเจอคำถามลักษณะนี้ตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าไปในงาน เขารีบดึงคำตอบออกมาจากข้อมูลที่บันทึกเอาไว้ในสมอง

     

    “เป็นน้องของเพื่อนเจ้าบ่าวครับ มาแทนพี่ชาย เขาติดงานอยู่ที่ต่างประเทศ”

     

    พอได้รับของชำร่วยแล้วจึงเข้าใจ  บ่าวสาวคู่นี้เตรียมของชำร่วยเอาไว้สำหรับแขกฝั่งของตนเองแตกต่างกันไป เพื่อนฝั่งเจ้าบ่าวจะได้รับเทียนหอมรูปต้นกระบองเพชร เพื่อนฝั่งเจ้าสาวจะได้รับเทียนหอมรูปหัวใจสีแดง ส่วนแขกผู้ใหญ่จะได้รับเทียนหอมบรรจุในแก้วทรงกระบอก ที่จริงยูคยอมคิดว่าเทียนหอมของเพื่อนเจ้าสาวดูสวยและเรียบหรูน่าเก็บกว่า แต่เอาเถอะ เขาไม่มีสิทธิ์เลือกมากอยู่แล้ว  ได้รับของชำร่วยติดไม้ติดมือกลับบ้านด้วยก็ดีถมไป

     

    เพราะที่จริง เขาไม่ได้เป็นอะไรกับทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวด้วยซ้ำ

     

     

     

    ในสังคมเกาหลีทุกวันนี้ที่หน้าตาและรูปลักษณ์มีความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด  ผู้คนมากมายล้วนทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาหน้าหรือภาพลักษณ์ของตัวเองและครอบครัวให้ดูดีที่สุดในสายตาของผู้อื่น ซึ่งมักชอบจับผิดเรื่องของคนอื่นและนำมาซุบซิบนินทากันอย่างสนุกปาก  ตั้งแต่เรื่องดั้งจมูกที่ก็ไม่ได้ไปงอกอยู่บนหน้าคนพูด ไปจนถึงเรื่องการศึกษาและฐานะของครอบครัว  กระทั่งงานแต่งงานก็กลายเป็นแค่ การแสดง เพื่อโอ้อวดความสมบูรณ์แบบของชีวิตตัวเองให้คนรอบตัวเห็นมากกว่าการป่าวประกาศว่าจะใช้ชีวิตฉันคนรักกับคู่ของตนและรับคำอวยพร ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจประเภทหนึ่งที่กำลังเติบโตและมาแรงสุดๆ คือธุรกิจสรรหา แขกงานแต่งงานปลอมให้ไปร่วมงานแต่งงานของคู่บ่าวสาวที่มีเพื่อนและญาติมิตรน้อยเกินไปจนไม่อาจเติมเต็มห้องจัดเลี้ยงหรูหราขนาดใหญ่ได้  เพื่อไม่ให้แขกเหรื่อที่รู้จักกันจริงเก็บไปนินทาลับหลังว่าบ่าวสาวไม่มีคนคบ และเพื่อให้ทุกอย่างออกมาดูดีตามอุดมคติเวลาถ่ายรูปออกมา  แม้ว่าจะต้องสิ้นเปลืองงบจัดงานไปกับแขกที่ตัวเองไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวเลยก็ตาม

     

    หลังจากเตร็ดเตร่หางานพิเศษทำช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อหารายได้เพิ่มมาเกือบเดือน  ยูคยอมก็ได้มาทำงานนี้ได้จากการอ่านบทความและศึกษารายละเอียดของงานนี้ในอินเทอร์เน็ต   เนื่องจากความต้องการคนมาทำงานนี้กำลังเพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจประเภทนี้ ทำให้เขาได้งานนี้ไม่ยาก  ค่าตอบแทนในแต่ละครั้งที่ไปร่วมงานแต่งงานหลังจากหักค่านายหน้าออกไปแล้วนั้นไม่ถือว่าเยอะมาก แต่ยูคยอมได้เปรียบเพราะหน้าตาดีและตัวสูงหุ่นนายแบบ ทำให้มีบ่าวสาวเลือกและจ้างให้ไปร่วมงานบ่อยครั้ง เพราะพวกเขาย่อมอยากให้ตัวเองมี เพื่อน/ญาติหน้าตาดี ไปร่วมแสดงความยินดีและถ่ายรูปด้วยกันในงานมากกว่าคนหน้าตาธรรมดา  แม้ว่าอายุของยูคยอมจะน้อยไปเมื่อเทียบกับอายุเฉลี่ยของคู่แต่งงาน แต่ถ้าแต่งตัวทำผมให้ดูเป็นผู้ใหญ่หน่อยก็กลมกลืนได้ไม่ยาก หรือจะตีเนียนเป็นน้องเป็นหลานใครก็ว่ากันไปตามแต่บัญชาของคุณลูกค้า  ช่วงไหนที่ฤกษ์งามยามดีและคนนิยมจัดงานแต่งงานกันถี่ๆ ยูคยอมก็เคยวิ่งรอกไปร่วมสามงานสามโรงแรมในวันเดียวกันมาแล้ว  วันนั้นเขาไม่ต้องใช้เงินตัวเองซื้ออาหารเลยสักวอน อิ่มท้องจากอาหารเลี้ยงในงานแต่งงานเลยนั่นแหละ

     

    สิ่งที่ยูคยอมต้องทำก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเตรียมชุดสุภาพและมาร่วมงานในฐานะเพื่อนหรือญาติของบ่าวสาว  ซึ่งทางบริษัทของเขาจะจัดเตรียมชื่อปลอมและรายละเอียดจำเป็นนิดหน่อยมาให้เขาจดจำ ตามด้วยการให้ซองแก่คู่บ่าวสาว ซึ่งเงินประมาณสามหมื่นวอนนั่นก็เป็นเงินที่ทางบริษัทเตรียมไว้ให้ หลังจากนั้นเขาก็จะเป็นอิสระ จะนั่งอยู่เฉยๆ หรือเดินไปไหนมาไหนก็ได้ แต่จำเป็นต้องคอยสแตนด์บายอยู่ในสถานที่จัดงานเพื่อให้บ่าวสาวเรียกตัวไปถ่ายรูปด้วยได้เสมอจนกระทั่งทุกอย่างเสร็จสิ้น

     

    ข้อควรระวังมีเพียงข้อเดียว

     

    ธุรกิจนี้เกิดจากความต้องการ รักษาหน้าตัวเองของลูกค้า ฉะนั้นการทำตามจุดประสงค์นั้นให้ตลอดรอดฝั่งเป็นสิ่งสำคัญ อย่าทำให้ความลับที่ว่าตัวเองเป็นแค่คนแปลกหน้าที่โดนจ้างมาร่วมงานแตกเป็นอันขาด  ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการที่คนในงานล่วงรู้ว่าบ่าวสาวลงทุนเสียเงินไปกับเรื่องแบบนี้ และจะพาให้มีเสียงนินทาลับหลังกระหึ่มกว่าการที่คู่บ่าวสาวมีแขกเหรื่อมาน้อยแน่นอน

     

    เจ้านายของยูคยอมย้ำเตือนเรื่องนี้หนักมาก  ช่วงแรกยูคยอมกังวลจนไม่กล้าสุงสิงกับใครในงาน กลัวว่าจะมีใครมาทักแล้วตัวเองเผลอปล่อยไก่ไปจนความแตก  แต่ภายหลังก็ค่อยเริ่มปล่อยวางและทำตัวให้สบายๆ กลมกลืนไปกับคนรอบข้าง เพราะได้เรียนรู้ว่าหากไม่ได้รู้จักกันมาก่อนหน้า แขกที่บังเอิญโดนจัดให้มานั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกันก็แทบไม่เสวนากัน ยูคยอมขอขอบคุณสมาร์ตโฟนและสังคมก้มหน้ามา ณ ที่นี้

     

    แต่...

     

    สงสัยวันนี้ยูคยอมจะเจองานหิน

     

    ปกติแค่เดินเข้ามาในงาน แกล้งพูดคุยทักทายเจ้าบ่าวเจ้าสาวประหนึ่งรู้จักสนิทสนมกันเป็นอย่างดี แล้วไปหย่อนตัวนั่งลงที่โต๊ะว่างๆ คนน้อยๆ สักโต๊ะ หยิบมือถือขึ้นมากดรัวๆ เหมือนยุ่งหรือติดพันกับอะไรสักอย่างมากๆ ถ้ามีใครมาทักมาคุยก็แค่แนะนำตัวแล้วยิ้มให้ก็พอ พยายามอย่าเปิดช่องให้อีกฝ่ายสานบทสนทนาต่อ (ซึ่งกรณีแบบนี้นานๆ ทีจะมีมาให้ลองฝีมือ) เท่านี้ก็ถือว่าเป็นอันจบด่านยากแล้ว ที่เหลือก็แค่เดินตามไปถ่ายรูปกับบ่าวสาวหากโดนเรียกตัว  ยิ่งพอมีคนขึ้นไปพูดบนเวที หรือมีการแสดงพิเศษอะไร แขกคนอื่นก็จะสนใจจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านั้นจนไม่สนใจเขา

     

    วันนี้ยูคยอมรู้สึกได้เลยว่ามีคนกำลังจ้องมองเขาตั้งแต่เขาเข้ามาในงานจนกระทั่งไปนั่งที่โต๊ะ เอ่อ ยอมรับก็ได้ว่าจริงๆ เป็นฝ่ายไปมองเห็นเขาก่อน เพราะผู้ชายคนนั้นหน้าตาหล่อเหลาเด่นสะดุดตามากกว่าคนอื่นในงาน มองแค่แว้บเดียวจริงๆ แล้วก็ไม่ได้มองอีก แต่กลับกลายเป็นว่าทุกครั้งที่ยูคยอมเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือ เพื่อดูว่าใครมานั่งด้วยกันที่โต๊ะหรือไม่ก็มองหาคู่บ่าวสาวว่าอยู่ตรงไหนทำอะไรอยู่  เขาจะต้องเห็นดวงตาและคิ้วเข้มๆ ของผู้ชายตัวเล็กคนนั้นกำลังมองมาทางตัวเองอยู่เสมอ ก่อนจะรีบเสมองไปทางอื่น

     

    หืม ไม่ต้องมาทำหลบตาเลย นี่ยูคยอมก็คงจะแกล้งถลึงตาจ้องกลับไปให้อีกฝ่ายรู้ว่า รู้นะว่ามองอยู่กลับไปหรอกถ้าไม่ใช่ว่ามีความลับของลูกค้าที่ต้องรักษายิ่งชีพ  หน้าที่ที่ค้ำคออยู่ทำให้เขาไม่กล้ากระโตกกระตากอะไรมาก ได้แต่ไขว้นิ้วภาวนาในใจว่าชายคนนั้นจะแค่แอบมองเขาเฉยๆ (ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ล่ะ) 

     

    อย่าเข้ามายุ่งกับเขาเลยได้โปรด

     

     

     

     

    “ขอโทษนะครับ นี่เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า”

     

    อุตส่าห์พยายามนั่งอยู่เงียบๆ ที่โต๊ะไม่ลุกเดินไปมาให้เป็นที่สนใจ แต่ชายหนุ่มคนนั้นก็ดันเข้ามานั่งบนเก้าอี้ว่างข้างๆ เขาทันทีที่ลุงอีกคนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าลุกไป แถมดูประโยคที่พี่แกพูด... (ขอเหมาว่าเป็นพี่แล้วกัน คงไม่มีคนอื่นในงานอายุต่ำกว่ายี่สิบปีอีกแล้ว และอีกฝ่ายก็ดูมีอายุเกินกว่าจะเป็นลูกหรือหลานใครสักคน) ถ้าอยู่ในสถานการณ์อื่นจะล้อกลับเลยว่านี่ยังกล้าเล่นมุกแบบนี้อยู่อีกเหรอครับพี่  แต่ตอนนี้ประโยคจีบสาวสุดคลาสสิก (หรืออีกนัยหนึ่งคือเชยระเบิด) ที่ออกมาจากริมฝีปากของคนหน้าเคร่งขรึมกลับให้ความรู้สึกเป็นเหมือนคำสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจมากกว่า

     

    ขอโทษนะครับ นี่เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า มีความหมายเทียบเท่ากับ ผมไม่เคยเห็นหน้าคุณนะ คุณมาอยู่ในงานนี้ได้ยังไง

     

    “ไม่น่าจะเคยนะครับ”

     

    “ก็ว่าอยู่ ผมว่าผมน่าจะรู้จักคนที่ได้รับเทียนกระบองเพชรเกือบทุกคนนะ เพราะผมช่วยจินกิไล่รายชื่อแขกฝั่งเขาให้ตอนจะสั่งของชำร่วย แต่ผมนึกหน้าคุณไม่ออก” นั่นปะไร เดาผิดเสียที่ไหน “ขอโทษนะครับ คุณชื่อ...?”

     

    “ซง ยุนฮยองครับ น้องของพี่ซง มินโฮ ที่เป็นเพื่อนพี่จินกิตอนมัธยม” ข้อมูลทั้งหมดปลอมขึ้นมา

     

    “ซง มินโฮ...” อีกฝ่ายทวนชื่อที่หลุดจากปากของยูคยอมเบาๆ “เหมือนจะเห็นคนนามสกุลซงในรายชื่อ เพื่อนตอนมัธยมนี่เอง ถึงว่าไม่คุ้นเลย ส่วนใหญ่พี่รู้จักแต่เพื่อนสมัยมหาลัยไม่ก็เพื่อนตอนทำงานมากกว่า”

     

    ต้องมีชื่อปลอมของเขาอยู่ในรายชื่ออยู่แล้วเพื่อให้ทางฝ่ายจัดงานเตรียมที่นั่ง อาหาร และของชำร่วยให้เพียงพอกับจำนวนคน  ยูคยอมไม่รู้ว่าบ่าวสาวงานนี้ทุ่มทุนไปกับการจ้างแขกปลอมมามากขนาดไหน แต่เท่าที่เขาเคยประสบมา บางคนก็จะจ้างแขกมาจากหลายๆ บริษัทพร้อมกัน   งานแต่งงานวันนี้ค่อนข้างใหญ่ ยูคยอมไม่คิดว่าเขาเป็นแขกปลอมเพียงคนเดียว

     

    “พี่ชื่อมาร์ค ต้วน เป็นเพื่อนที่ทำงานของจินกิ” เขาแนะนำตัว “แล้วพี่ชายไปไหนเหรอถึงมาไม่ได้”

     

    ถึงอีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว แต่เขาก็ห้ามเผยความจริงให้รู้เด็ดขาด เว้นเสียแต่ว่าจะมั่นใจว่าเพื่อนคนนี้รู้เห็นกับการลงทุนจ้างแขกปลอมด้วย เพราะลูกค้าของเขาส่วนใหญ่มักจะปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้เพื่อนร่วมงานหรือกระทั่งคนในครอบครัวรู้ ขอใส่ตัวหนาขีดเส้นใต้ไฮไลท์สีเขียวสะท้อนแสงให้ชัดๆ อีกรอบ ความลับของลูกค้าสำคัญที่สุด

     

    “เขาติดงานอยู่ต่างประเทศน่ะครับ”

     

    “ก็เลยส่งน้องมาแทน? อืม...เจอเพื่อนพี่ชายบ้างรึยังล่ะ ให้พี่ช่วยพาไปหาไหม”

     

    สรรพนามที่แสดงความใกล้ชิดขึ้นมาอีกระดับหนึ่งในทันตากับข้อเสนอที่เต็มไปด้วยความหวังดีนั่นทำให้ยูคยอมส่ายหน้ารัวๆ ในใจเลย  สิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการก็คือการต้องไปทักทายใครต่อใครในงาน เพราะหากมีคนสะดุดใจหรือสงสัยว่าไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนเลยมากๆ เข้า อาจทำให้ความแตกได้  ฉะนั้นยูคยอมจึงปฏิเสธอย่างสุภาพไปว่า

     

    “ไม่เป็นไรครับ ไม่รบกวนดีกว่า ผมอยู่ตรงนี้คนเดียวก็ได้”

     

    คนฟังทำท่าจะพูดอะไรออกมาสักคำแต่ก็เปลี่ยนใจ  ยูคยอมโล่งอกที่เขาไม่พยายามเซ้าซี้

     

    “ซงยุนฮยอง...” เขาทวนชื่อปลอมของยูคยอมเบาๆ “งั้นไม่กวนก็ได้ มีอะไรก็ไปเรียกพี่ได้นะ”

     

    “ครับ”

     

    แน่นอนว่ายูคยอมไม่ได้ทำอย่างที่อีกคนบอก เขาลุกไปถ่ายรูปกับแขกคนอื่นในงานเฉพาะเวลาที่โดนเจ้าบ่าวเจ้าสาวเรียกตัวเท่านั้น  สาวๆ หลายคนแสดงอาการหลงใหลได้ปลื้มเขา หยอกเย้าถามเจ้าบ่าวว่ารู้จักคนหน้าตาดีแบบนี้ทำไมไม่เคยแนะนำให้รู้จักกันบ้าง  แต่เขาก็จงใจไม่หยุดยืนอยู่กับใครนานนัก และความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่าเขาควรอยู่ห่างจากมาร์ค 

     

    เขาได้เจอมาร์คอีกทีเมื่อถึงเวลาถ่ายรูปรวมตอนจบงาน  จงใจไปยืนอยู่ริมๆ ให้ห่างจากบ่าวสาวที่ยืนอยู่ตรงกลางแล้วแต่ดันโดนแทรกโดนดัน มีคนขอสลับที่ด้วยบ้าง ทำให้สุดท้ายเขาจึงมายืนอยู่ข้างๆ คนที่พยายามหลีกเลี่ยง  มาร์คหันมาสบตาเขาแว่บหนึ่ง ยิ้มให้ และพอช่างภาพเตรียมนับถอยหลังกดชัตเตอร์  มาร์คก็ยกแขนขึ้นมาโอบไหล่เขาไว้ รั้งเขาให้แนบชิดกับตัวเหมือนสนิทสนมกันมานาน...

     

    อืม ยูคยอมจะพยายามเข้าใจแล้วกันว่ามาร์คคงชินกับวัฒนธรรมตะวันตก  แต่ต่อให้มาร์คจะทำอะไรก็ไม่สลักสำคัญอะไรปานนั้น เพราะทันทีที่แขกเหรื่อคนอื่นๆ เริ่มแยกย้ายกันกลับ ยูคยอมก็พาตัวเองออกมาจากสถานที่จัดงานทันที

     

    อย่างไรเสียก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

     

    ***

     

    ประมาณสองเดือนถัดมา ยูคยอมโดนจ้างให้ไปร่วมงานแต่งงานงานหนึ่งที่จัดขึ้นในวันอาทิตย์ เป็นการรับงานเหมือนปกติทุกครั้ง เขาไม่คิดว่าจะมีอะไรแตกต่างจากการทำงานครั้งอื่นๆ  แต่ทันทีที่ไปถึงงาน เขาก็รู้ว่าเขาคิดผิดถนัด

     

    “ไง ยุนฮยอง”

     

    มาร์คร้องทัก เกือบหันหลังไปดูแล้วว่าเขาทักใครสักคนที่อาจจะยืนอยู่ข้างหลังเขาหรือเปล่า ดีนะที่ยูคยอมเห็นหน้ามาร์คแล้วเชื่อมโยงไปถึงชื่อซง ยุนฮยองที่ตัวเองเคยใช้ได้ในพริบตา เขาพยักหน้าตอบรับอีกฝ่ายและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร สวมบทเป็นยุนฮยองอย่างที่ตัวเองเคยทำเมื่อสองเดือนก่อน

     

    ส่วนในใจร่ำร้องอยู่ว่าฉิบหายแล้ว... โปรดย้อนกลับไปดูตรงที่ไฮไลท์สีเขียวอีกรอบไว้  วันนี้ยูคยอมต้องเป็นคนที่ชื่อพัค จินยอง รุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยของเจ้าสาว  ไม่ใช่ยุนฮยอง  เขาไม่รู้ว่ามาร์คเป็นเพื่อนหรือญาติใครฝ่ายไหนในงานนี้ แต่การที่มาร์คซึ่งรู้จักเขาในชื่อของยุนฮยองมาเจอเขาตอนนี้ไม่ใช่นิมิตหมายที่ดี  เกิดมาร์คเรียกเขาว่ายุนฮยองให้คนอื่นได้ยิน หรือแนะนำว่าเขาเป็นยุนฮยองให้คนอื่นในงานที่ควรจะเข้าใจว่าเขาชื่อจินยองฟังล่ะก็... เขาต้องตอบคำถามเป็นสิบแน่ๆ 

     

    ขืนความลับแตกขึ้นมามีหวังโดนทั้งลูกค้าและเจ้านายด่าเปิง

     

    หัวใจของยูคยอมเต้นโครมคราม เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์เป็นเพราะหวั่นใจกลัวว่าวันนี้ภารกิจของตัวเองจะล้มเหลว และอีกห้าเปอร์เซ็นต์... อืม คงเป็นเพราะพี่คนที่ชื่อมาร์คกำลังก้าวเท้ามาทางเขา ใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น (ขอเพิ่มเป็นสิบห้าเปอร์เซ็นต์) คว้าต้นแขนเขาไว้ (สิบแปดเปอร์เซ็นต์) กระตุกยิ้มที่มุมปาก (ยี่สิบเปอร์เซ็นต์) ยื่นหน้าเข้ามาประชิดริมหูแล้วเอ่ยเสียงกระซิบ (ยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์)

     

    “ไม่ต้องตกใจ พี่รู้ว่าน้องเป็นใคร”

     

    (หัวใจหยุดเต้นชั่วคราว ช็อก)

     

    ยูคยอมยืนตัวแข็งทื่อในขณะที่มาร์คขยับตัวไปทางด้านหลัง ใบหน้าหล่อเหลายิ้มพรายเหมือนพึงพอใจที่ล่วงรู้ว่ายูคยอมมาทำอะไรที่นี่ เขามองไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครจะเดินผ่านมาได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขา

     

    “ไม่บอกใครหรอก”

     

    “รู้...ตั้งแต่ตอนไหนครับ”

     

    “ก็หลังจากงานของจินกินั่นแหละ เจ้าสาวงานนี้เป็นน้องที่เรียนปริญญาโทด้วยกัน ไม่ค่อยมีเพื่อน คิดอยู่เหมือนกันว่าน่าจะใช้บริการอะไรแบบนี้ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นน้องมาอีกบังเอิญเนอะ”

     

    ยูคยอมเผลอกลั้นหายใจตอนที่มาร์คยิ้มอวดฟันขาวตอนที่พูดคำว่า บังเอิญ  จริงๆ เขาไม่ควรตื่นเต้นอะไรในเมื่อมาร์คบอกแล้วว่าจะเก็บความลับให้เขา แต่มือขาวกลับชื้นเหงื่อจนต้องแอบถูกับกางเกงที่สวมอยู่ อาจเป็นเพราะดวงตาวิบวับที่มองมาทางเขาไม่หยุดก็ได้

     

     

     

    ปกติยูคยอมจะฉายเดี่ยว นานๆ ทีจึงจะได้เข้าไปในงานร่วมกับหน้าม้าอีกคนจากบริษัทเดียวกันในกรณีโดนจ้างด้วยกันเป็นคู่  นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนในงานตัวจริงพาเขาเข้าไปและนั่งที่โต๊ะด้วยกัน  มาร์คไม่ซักไซ้ถามยูคยอมว่าวันนี้เขาต้องสวมรอยเป็นใครและเป็นเพื่อนหรือญาติของฝ่ายไหน เขาปล่อยให้ยูคยอมเป็นคนแนะนำตัวเองให้บุคคลที่สามเมื่อจำเป็น

     

    ที่จริงแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน  การมีแขกอีกคนที่ดูเป็นคนรู้จักนั่งและคุยด้วยกันทำให้การกลมกลืนไปกับแขกคนอื่นแนบเนียนขึ้น เขาทำตัวสบายกว่าเดิม  มีมาร์คอยู่ข้างๆ คอยชวนคุยเป็นระยะ ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดหรือรำคาญเท่าไร  ยูคยอมจึงได้รู้ว่ามาร์คอายุเฉียดสามสิบแล้วแต่ใบหน้าดูอ่อนเยาว์กว่าวัยจริงไปหลายปี ทำงานเป็นนักวิเคราะห์นโยบายและแผนการตลาดของบริษัทแห่งหนึ่ง  ส่วนมาร์คก็ใช้จังหวะตอนที่แขกคนอื่นลุกไปหาเพื่อนหรือลุกไปตักอาหารถามเกี่ยวกับยูคยอมกลับ รวมถึงเหตุผลที่ยูคยอมทำงานนี้

     

    “ก็เงินล้วนๆ อะครับ เรียนดีไซน์ค่าใช้จ่ายมันเยอะ งานนี้สบาย มีอาหารให้กินฟรีด้วย”

     

    “นึกว่าเอ็นจอยกับการเห็นคนเขารักกันก็เลยเลือกงานนี้” มาร์คพูด พลางรินน้ำเย็นจากเหยือกตรงกลางโต๊ะเทใส่แก้วให้

     

    “บางคนที่ผมรู้จักก็ทำงานนี้เป็นงานพิเศษเพราะชอบบรรยากาศแฮปปี้แบบนี้ มันก็ดีอยู่หรอกครับ แต่บางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่าตกลงเราจัดงานแต่งไปเพื่ออะไรกันแน่ เพื่อเป็นความทรงจำดีๆ ในชีวิตหรือเพื่อให้คนอื่นมองว่าชีวิตเราดี” เขาพูดออกมาตามที่คิด “แต่ผมก็ไม่อยากตัดสินใครหรอกครับว่าใครถูกใครผิด สุดท้ายผมก็กำลังหากินจากความรู้สึกตรงนี้ของคน”

     

    “ทำมานานแล้วนี่ ใช่มั้ย เห็นเค้าแต่งกันแล้วอยากแต่งเร็วๆ บ้างรึเปล่า”

     

    ยูคยอมส่ายหน้าและโอดครวญ “โห อีกตั้งปีกว่าผมจะเรียนจบ กว่าจะเก็บเงินได้อีก แถมยังไม่รู้จะแต่งกับใครด้วย”

     

    “ไม่มีแฟน?”

     

    “ก็...ไม่มีมาสามสี่ปีละครับ ผมเรียนด้วยทำงานด้วย มันวุ่นๆ เกินกว่าจะมี”

     

    “อืม เข้าใจ นี่ก็ทั้งเรียนทั้งทำงานจนคนใกล้ตัวแต่งกันไปเกือบหมดแล้ว”

     

    นี่คือจงใจจะบอกหรือเปล่าว่าตัวเองก็ยังโสด ซึ่งยูคยอมไม่ได้ถามถึงและไม่ได้อยากจะรู้เลยสักนิด  แต่อะไรที่มันไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิตนี่แหละที่สมองจดจำได้ยอดเยี่ยมนัก ขนาดที่ว่ามาร์คปลีกตัวไปสังสรรค์อยู่กับกลุ่มเพื่อนของตัวเองนานแล้ว เสียงต่ำของมาร์คที่บอกว่าตัวเองเรียนจบที่ไหนทำงานอะไรและ ยังไม่มีแฟนก็ยังเล่นวนอยู่ในหัวของยูคยอมอยู่นั่น กระทั่งเสียงดนตรีสดจากวงที่มาเล่นในงานยังกลบไปไม่ได้

     

    นัยน์ตาคู่เดิมที่เคยมองยูคยอมในงานครั้งก่อนก็ยังมองตามมาอยู่ไม่เปลี่ยน  เพียงแต่ครั้งนี้ยูคยอมไม่ได้ระแวงว่าอีกฝ่ายกำลังมองเขาอย่างจับผิด  อาจจะแค่คอยเฝ้าดูยูคยอมเผื่อช่วยอะไรได้หากมีบุคคลที่สามเข้ามาพูดคุยด้วย  ถึงจะไม่เข้าใจนักก็เถอะว่ามาร์คจะมาห่วงหน้าที่การงานอะไรเขามากมาย  

     

    เพราะยังไงก็คงไม่ได้เจอกันเป็นครั้งที่สาม

     

    ***

     

    คราวนี้เป็นยูคยอมเองที่เอ่ยทักมาร์คก่อนทันทีที่เข้าไปในงานแล้วเห็นหน้าอีกฝ่าย พอก้าวเท้าเข้าไปหาจนอยู่ใกล้พอที่จะพูดคุยแล้วได้ยินกันเพียงสองคน เขาก็ล้อต่อว่า

     

    “ผมว่าปีนี้คนรู้จักของพี่แต่งงานกันเยอะไปแล้วนะ”

     

    “ก็รีบแต่งก่อนอายุสามสิบกันทั้งนั้น” มาร์คให้เหตุผล “ไม่ดีเหรอ น้องจะได้มีงานเยอะๆ ไง”

     

    “ผมแค่ไม่คิดว่าจะเจอพี่เป็นครั้งที่สาม”

     

    มาร์คยักไหล่ “พี่ก็ไม่คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

     

     

    งานวันนี้มาร์คไม่ได้อยู่ประกบยูคยอมเหมือนครั้งก่อนหน้าเพราะเขาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว จึงต้องคอยช่วยบ่าวสาวรับแขกและคอยดูแลความเป็นไปของงานไม่ให้มีอะไรขาดตกบกพร่อง  คราวนี้ยูคยอมเลยได้เป็นฝ่ายมองมาร์คบ้าง...  ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรอกนะ แต่จะให้เขานั่งมองแขกคนอื่นไปเรื่อยก็กลัวเผลอไปสบตาใครสักคนจนงานเข้า จะให้นั่งเช็กคาทกที่ตอนนี้ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ หรือรีเฟรชเฟสบุ๊กทุกสามนาทีจนไม่รู้จะอ่านอะไรอีกแล้วก็เบื่อ  มาร์คเป็นคนเดียวที่ยูคยอมรู้จัก ก็...ดูๆ หน่อยว่าเขาทำอะไรบ้างก็ไม่เห็นแปลกอะไร  

     

    เขาได้คุยกับมาร์คอีกทีก็ช่วงเปิดฟลอร์เต้นรำ  ชายหนุ่มที่คงเหนื่อยจากการวิ่งวุ่นมาตลอดแล้วเมื่อยล้าเกินกว่าจะไปเต้นเข้ามานั่งบนเก้าอี้ว่างข้างๆ ยูคยอมที่หัวเดียวกระเทียมลีบ

     

    จู่ๆ มาร์คก็โน้มหน้ามาชิดริมหูเขา กลัวว่าเสียงเพลงจะทำให้คนฟังได้ยินตัวเองพูดไม่ชัดเจน ลมหายใจอุ่นร้อนที่ออกมาพร้อมกับคำพูดทำให้ยูคยอมสติกระเจิงไปนิดหนึ่ง

     

    “ยูคยอม พี่ถามอะไรหน่อยสิ ปกติรับงานนอกรึเปล่า?”

     

    “หืม? งานแบบนี้น่ะเหรอครับ ไม่เคยอะ ปกติผมก็รับผ่านบริษัทตลอด”

     

    “คืองี้ มีเพื่อนพี่คนนึงแพลนๆ ไว้ว่าจะแต่งงาน เพื่อนในกลุ่มสมัยเรียนเลย มันหาวันและเตรียมงานกันอยู่ น่าจะสักปลายปี อย่างเร็วก็กลางปี เราเคยคุยกันไว้ว่าถ้าเพื่อนคนใดคนหนึ่งแต่งงาน ทุกคนต้องพาแฟนไปด้วย จะได้ถ่ายรูปหมู่เพื่อนในกลุ่มกับแฟนทุกคนให้ครบคู่ นึกออกใช่มั้ย ทีนี้ปัญหาของพี่ก็คือ...”

     

    “พี่ไม่มีแฟนและไม่มีคนไปด้วย” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างรู้ทัน

     

    มาร์คเอ่ยขอร้องเสียงนุ่ม เอียงคอเล็กน้อยจนปลายจมูกแทบจะแตะแก้มเขาอยู่แล้ว

     

    “...ยูคยอมไปกับพี่ได้รึเปล่า”

     

    ยูคยอมกระเถิบตัวออกมาให้ห่างจากมาร์คนิดหนึ่ง ระยะใกล้แบบนี้ชักจะอันตรายกับสมาธิและสติของเขามากไป พร้อมกับเอ่ยปฏิเสธแทบจะทันที

     

    “เฮ่ย ไม่ดีมั้งครับพี่ ผมเป็นผู้ชายนา”

     

    “เพื่อนพี่กลุ่มนี้เรียนอินเตอร์มาด้วยกัน ไม่ใช่พวกเคร่งแบบคนเกาหลี มันไม่ถือหรอก”

     

    “แต่ผมไม่เคยรับงานโดยไม่ผ่านบริษัทเลยน่ะครับ กลัวว่าจะมีปัญหาถ้าเขารู้”

     

    “ก็รับแค่งานพี่คนเดียวสิ อย่าให้เขารู้ พี่ไม่บอกหรอก”

     

    “แต่ถ้าวันที่มันชนกัน...”

     

    “ถ้าชนจริงๆ ก็บอกไปว่าวันนั้นนายติดเรียน ติดธุระ เขาก็หาคนอื่นแทนได้ไม่ใช่เหรอ”

     

    “แต่...”

     

    “รับเงินค่าตัวเต็มๆ ไม่โดนหักนะ ให้เพิ่มด้วยถ้ายูคยอมจะเอา ไม่สนเหรอ ให้พี่ควงเราออกงานแค่วันเดียวเอง”

     

    “พี่ ผม...”

     

    มาร์คล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท และพูดอย่างมัดมือชกว่า “เวลามีคนเสนองานให้น่ะ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็รับไว้ซะ หาเงินกินขนม เอ้า เอาไอดีคาทกมา”

     

    ยูคยอมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กซื่อตามคนไม่ทัน  เพราะถ้าทักษะเอาตัวรอดต่ำเตี้ยเรี่ยดินคงทำงานที่ต้องปลอมตัวให้แนบเนียนและกลมกลืนไปกับแขกเหรื่อคนอื่นในงานได้ลำบาก ตอนที่โชคไม่เข้าข้างมากๆ ยูคยอมก็เคยเจอแขกที่คุยเก่งๆ และพยายามรับรู้เรื่องราว (เรียกง่ายๆ ว่าเสือก) ของคู่สนทนาของตนให้ได้มากที่สุดเหมือนกัน ซึ่งนั่นอันตรายต่อการรักษาความลับของยูคยอมอย่างยิ่ง แต่เขาก็เอาตัวรอดและถอยห่างออกมาจากบทสนทนาเหล่านั้นได้อย่างราบรื่นโดยไม่ทำให้พวกเขาสงสัย

     

    แต่...ทั้งที่เขาพยายามบ่ายเบี่ยงแล้ว แต่ลูกล่อลูกชนของมาร์คก็ทำเอาเขาเขวจนตั้งรับไม่ทัน  อุปกรณ์สื่อสารถูกยัดมาไว้ในมือของเขา  ยูคยอมสบตากับมาร์ค ดวงตาเป็นประกายนั่นบอกให้เขารู้ว่ามาร์คไม่ยอมฟังคำปฏิเสธแน่นอน และสุดท้ายเขาก็ต้องยอมพิมพ์ไอดีคาคาโอทอล์กของตัวเองลงไปให้

     

    ช่างมันเถอะ... ถ้าวันนั้นว่างก็ไปก็ได้ แค่ไปให้พี่เขา ควงออกงานเฉยๆ ก็ไม่น่าแตกต่างจากสิ่งที่ทำอยู่เท่าไร

     

    และกว่าจะได้เจอกันอีกที อย่างเร็วสุดก็อีกตั้งเกือบสี่เดือน

     

    ***

     

    ยูคยอมไม่ได้ต้องรอถึงสี่เดือน  เพราะในวันถัดมา คนที่เพิ่งได้ไอดีคาทกเขาไปเมื่อวานก็ส่งข้อความมาหา บอกว่าออกมาประชุมกับลูกค้าที่ตึกสำนักงานแถวมหาวิทยาลัยของยูคยอมพอดี น่าจะเสร็จหลังเที่ยง ช่วงบ่ายว่างรึเปล่า ออกไปหาอะไรกินกันมั้ย  ถ้ายูคยอมกำลังเรียนวิชาในคณะของตัวเองอยู่ก็คงจะตอบปฏิเสธไปทันที เพราะมีเพื่อนไปนั่งกินข้าวที่โรงอาหารด้วยกันอยู่แล้ว แต่วันจันทร์นี้เขามีเรียนวิชาเลือกเสรีที่คณะอื่น กำลังอยู่ตัวคนเดียว ซึ่ง...ให้ตอบจริงๆ มันก็ว่างน่ะนะเพราะไม่ได้ต้องไปไหนต่อกับใคร ไม่มีเรียนต่อและไม่มีธุระหรืองานเร่งด่วนต้องเคลียร์ด้วย แต่ก็... (สายตาวิบวับของมาร์คโผล่มาในห้วงภวังค์ความคิด) ...ไม่ดีกว่า

     

     

    Mark Tuan: อ่านเจอมาว่ามีร้านบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นที่นึงมีโปรลดร่วมกับบัตรเครดิต

    Mark Tuan: พี่มีบัตรนั้น

    Mark Tuan: สนใจมั้ย

    Mark Tuan: ชอบอาหารญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอ

     

     

    เอ๊า รู้อีก! กำลังจะพิมพ์ถามกลับไปอย่างร้อนรนว่าอีกฝ่ายมารู้รสนิยมการกินของเขาได้อย่างไร ก็นึกขึ้นได้ว่าในงานแต่งงานครั้งที่เจอกับมาร์คเป็นครั้งที่สอง ทางฝ่ายบ่าวสาวจัดเตรียมอาหารญี่ปุ่นไว้ให้แขกได้ตักกินด้วย และด้วยความโปรดปรานอาหารชาตินี้มากเป็นพิเศษ ยูคยอมจึงลุกไปตักนิกิริกับมากิมากินตั้งหลายจาน (นี่คือสิ่งดีๆ ที่ชีวิตยูคยอมได้จากการทำงานนี้ ถึงเลิกทำไม่ได้ไง!) จนมาร์คถึงกับเอ่ยปากทัก

     

    รู้ว่าชอบกินอะไรยังไม่พอ ยังรู้อีกว่าเวลาสิบโมงกว่าๆ นี่มันเป็นเวลาที่กระเพาะของนักศึกษาผู้หิวโหยอย่างเขากำลังเรียกร้องให้มีอะไรเข้าปากลงไปเติมเต็มสุดๆ   สมองนี่คิดไปตั้งแต่เห็นมาร์คทักมาแล้วล่ะว่าจะตอบปฏิเสธไป แต่... แต่ก็คืออยากกินไง ว่างด้วย นี่พี่เขามีบัตรเครดิตลดด้วยนะ จ่ายถูกกว่าเวลาไปกินกับเพื่อนอยู่แล้ว

     

    นี่ไมได้อยากเจอพี่เขาหรอกนะ จริงๆ  ผู้ชายชื่อมาร์ค ต้วน ไม่ได้อยู่ในเหตุผลที่ทำให้ยูคยอมพิมพ์ตอบตกลงไปเลย

     

    ***

     

    ทุกครั้งที่ยูคยอมคิดว่า แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว’ ‘ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายหรือ เดี๋ยวพี่เขาก็คงยุ่งๆ ครั้งหน้าคงไม่มีอีกผลจะออกมาว่าเขาคิดผิดเสมอ  เพราะหลังจากมื้อกลางวันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นครั้งนั้น (ซึ่งยูคยอมกินมื้อนั้นฟรีเพราะมาร์คใช้บัตรของตัวเองจ่าย แม้ยูคยอมจะบอกแล้วว่าการเลี้ยงข้าวมื้อนี้จะไม่นำไปหักจากค่าตัวของยูคยอมในวันงาน)  ชื่อของมาร์คก็ยังคงโผล่มาบนแถบแจ้งเตือนในโทรศัพท์มือถือ และตัวจริงเสียงจริงก็ยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ชีวิตของยูคยอมไม่ไปไหนเสียที

     

    ตัวอย่างเช่น ในเย็นวันศุกร์หนึ่ง อยู่ดีๆ มาร์คก็ส่งข้อความมาว่า  ไปดูหนังด้วยกันหน่อยสิ เรื่องอะไรก็ได้ น้องเลือกเลย  พอถามกลับไปว่าอยู่ไหน อีกฝ่ายก็ตอบมาว่าอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่แถวมหาวิทยาลัยของเขา  ยูคยอมเห็นว่าอีกฝ่ายที่ทำงานอยู่ในอีกคนละมุมเมืองอุตส่าห์ขับรถมาถึงนี่แล้ว จะใจร้ายปล่อยให้กลับไปเฉยๆ ก็สงสาร เลยยอมออกจากหอแล้วนั่งรถประจำทางไปหา พวกเขาไปนั่งกินขนมในร้านด้วยกันรอภาพยนตร์รอบที่เร็วที่สุดเข้าฉาย จบลงที่มาร์คขับรถมาส่งเขาถึงที่หอ

     

    นอกจากนี้มาร์คยังส่งข้อความมาคุยกับเขาสั้นๆ ทุกวันเป็นประจำ บทสนทนาจะยาวเป็นพิเศษในวันที่ไม่ได้นัดเจอกัน และสั้นเป็นพิเศษในวันที่มาร์คยุ่งกับงาน แต่ตั้งแต่มาร์คได้ไอดีคาทกเขาไป ไม่มีวันไหนเลยที่มาร์คไม่ทักมาก่อน  ยูคยอมไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร  การกระทำของมาร์คชวนให้เขานึกถึงสมัยมัธยมที่เขาจีบกับแฟนคนแรก เพราะเขาก็เคยทำอะไรคล้ายๆ แบบนี้นั่นแหละ แต่ยูคยอมไม่ได้ลืมว่ามาร์คเข้ามาในชีวิตเขาเพราะอะไร นี่ก็คงจะเป็นแค่การเอาใจเพื่อให้ยูคยอมยอมร่วมหัวจมท้ายไปกับเขาจนกระทั่งถึงวันงานไม่บอกปฏิเสธกันกะทันหัน หรือคิดในแง่บวกที่สุดก็คืออยากให้คุ้นเคยกันและกันมากขึ้นเพื่อจะได้ไปแสดงโชว์ในงานวันนั้นได้อย่างสมจริง   สำหรับยูคยอม มันก็เป็นส่วนหนึ่งของงานที่พัฒนาความยากขึ้นไปอีกระดับ  

     

    เพียงแต่บางอย่างมันก็มากเกินกว่าที่ยูคยอมคิดว่ามาร์คจำเป็นต้องทำ

     

    เวลาผ่านเลยมาถึงช่วงเดือนไฟนอลนรกที่ยูคยอมต้องปั่นงานชิ้นใหญ่ของหลายๆ วิชาพร้อมกันซึ่งมีทั้งงานกลุ่มและงานเดี่ยว  ในช่วงนั้นยูคยอมกับเพื่อนร่วมสาขาแทบจะกินนอนกันอยู่ในดีไซน์สตูดิโอของคณะ  ถามว่ามันเกี่ยวอะไรกับชีวิตของมาร์คเลยไหม ก็ไม่ ก็แค่ยูคยอมไม่มีเวลาไปไหนตามคำชวนของมาร์คเลยเพราะ ผมต้องทำงานอะพี่ ไม่ว่าง’ ‘รอส่งงานเสร็จก่อนนะพี่  

     

    แต่แล้ววันหนึ่งมาร์คก็ขับรถมาปรากฏตัวที่สตูดิโอแห่งนั้นหลังเลิกงาน

     

    “มาทำไม ผมกลับดึกเลยนะ”

     

    “รอได้ พี่เอางานมาทำด้วย” เขายกกระเป๋าโน้ตบุ๊กของตัวเองให้ยูคยอมดู

     

    “ที่นี่เสียงดัง มันมีงานกลุ่ม พวกผมต้องคุยงานกันด้วย”

     

    “ก็ไม่เป็นไร พี่มารอยูคยอม ซื้อขนมมาฝากด้วยเผื่อหิว”

     

    “รอทำไม ผมกลับเองได้ หอผมอยู่แค่นี้ บ้านพี่อยู่ตั้งโน่น พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานไม่ใช่เหรอ”

     

    “ไม่เป็นไร พี่จะรอ”

     

    ยากกว่าการไล่มาร์คกลับบ้านก็คือการอธิบายและตอบคำถามจากเจ้าของสายตาหลายคู่ที่มองไปยังมาร์คอย่างสงสัยใคร่รู้  ไม่มีใครสงสัยว่ามาร์คมาทำอะไร แต่พวกเขาอยากรู้ว่ามีความจำเป็นอะไรที่มาร์คเป็นใครและทำไมต้องมารอยูคยอมถึงค่ำมืดแบบนี้  ปัญหาคือ ยูคยอมเองก็ไม่รู้คำตอบ  เขาเลยแกล้งทำเป็นไม่สนใจและจงใจเลี่ยง หันหน้ากลับเข้าหน้าจอทำงานส่วนของตัวเองต่อไปเหมือนเดิม แต่ยังคงไม่หายอึดอัดกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่

     

    “วันหลังไม่ต้องมารอนะพี่มาร์ค ผมเกรงใจ”

     

    หลังจากนั่งทำงานจนถึงเวลาที่สตูดิโอปิดให้ใช้งาน เขาก็เอ่ยาปกทันทีที่เข้ามานั่งอยู่ในรถ ตั้งใจว่าจะให้ครั้งนี้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่มาร์คมารอเขาทำงานจนดึกดื่นมืดค่ำแบบนี้  ส่วนหนึ่งก็เพราะเป็นห่วงไม่อยากให้มาร์คขับรถไปกลับไกลๆ ทั้งที่ควรได้พักผ่อนหลังเลิกงาน และส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่รู้จะอธิบายเพื่อนและอธิบายตัวเองยังไง

     

    “ไม่เป็นไร พี่ยินดี”

     

    “แต่ผมไม่อยากให้พี่มา  ไม่รู้เรื่องเหรอ ทำไมต้องให้ผมย้ำหลายรอบอะรำคาญ”

     

    ยูคยอมขึ้นเสียง รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาที่มาร์คไม่ยอมฟังเขา ผู้ชายวัยเฉียดสามสิบควรเข้าใจคำพูดของเขาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ใช่เอาแต่ย้อนแบบนี้ 

     

    ขอโทษความอ่อนล้าของร่างกายและสมองที่ทำให้เขาอดทนได้น้อยลงก็แล้วกัน

     

    ...พี่ก็แค่อยากให้เรากลับบ้านสบายๆ” มาร์คพูดเสียงอ่อนจนคนฟังรู้สึกผิดในใจ “แต่จะเอาแบบนั้นก็ได้ ถ้าเรารำคาญพี่ก็จะไม่มาอีก”

     

    ภายในรถเงียบกริบตั้งแต่ออกจากมหาวิทยาลัยไปจนถึงหอของยูคยอม ปกติมาร์คไม่เคยปล่อยให้มีเดดแอร์ระหว่างพวกเขานานขนาดนี้  ยูคยอมเดาอารมณ์ของอีกคนหนึ่งไม่ถูก รู้อย่างเดียวว่าคงไม่พอใจกับสิ่งที่เขาหลุดปากไปเท่าไร  เด็กหนุ่มทำเพียงแค่กล่าวขอบคุณที่อุตส่าห์มาส่งแล้วเดินกลับขึ้นห้อง

     

    ***

     

    ยูคยอมไม่ได้คาดหวังว่ามาร์คจะส่งข้อความอะไรมาให้ แม้ว่าสิ่งแรกที่เขาทำหลังจากลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมาจะเป็นการหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็กคาทกก็ตาม  และที่เขาเช็กโทรศัพท์บ่อยๆ ทั้งระหว่างเรียนและตอนพักกลางวันนี่ก็เผื่อว่าเจ้านายของเขาจะส่งงานมาให้ทำก็เท่านั้น ช่วงนี้เงินเก็บเริ่มใกล้จะหมดแล้ว  ไม่ใช่เพราะรอข้อความของใครบางคนที่ทักมาทุกวันในตลอดระยะเวลาเกือบสามเดือนที่ผ่านมาจริงๆ นะ

     

    เพราะรู้ว่าเมื่อคืนพวกเขาจากกันไม่ดี ยูคยอมเลยยิ่งกระวนกระวายด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะยังไม่หายโกรธ แค่พิมพ์ข้อความไปหาว่าทำอะไรอยู่หรือเป็นยังไงบ้างเขาก็ไม่กล้า ฉะนั้นไม่ต้องคิดเรื่องกดโทรศัพท์หาเลย ที่นั่งจ้องโทรศัพท์นานๆ คือนั่งย้อนข้อความเก่าๆ ที่เคยคุยกันอยู่ต่างหาก

     

    การที่มาร์คหายไปอย่างนี้กลับไม่ได้ทำให้ยูคยอมกังวลใจเรื่องงานที่ตกลงกันไว้เลยสักนิด เงินจะหาใหม่จากการรับงานอีกมากมายแค่ไหนเมื่อใดก็ได้  ตอนนี้เขาร้อนใจเพราะกลัวว่าจะไม่ได้เจอกันอีกมากกว่า ทั้งที่จะทำเป็นไม่สนใจและปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ แต่ยูคยอมกลับทำอย่างนั้นไม่ไหว

     

    มาร์คทำให้ยูคยอมเคยชินกับการมีมาร์คอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลาไปเสียแล้ว

     

    ถ้าไม่พอใจที่ยูคยอมพูดแบบนั้นก็น่าจะบอกกันตรงๆ ไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่เงียบหายไป

     

    ไม่ใช่มาทำให้ชอบ แล้วจู่ๆ ก็ปล่อยมือทิ้งไปง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมาไม่เคยรู้สึกอะไรเลย

     

    ***

     

    ผ่านจากวันที่ผิดใจกันไปแค่หนึ่งสัปดาห์เต็ม สุดท้ายคนที่บอกไม่ให้มาร์คมารอตัวเองก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว (ในช่วงเจ็ดวันนั้นเขาเป็นอย่างไรน่ะหรือ? ก็แค่ตื่นเช้ามาปุ๊บต้องหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูหน้าจอที่ว่างเปล่าไร้ชื่อ Mark Tuan อย่างกลัดกลุ้ม ลุกเดินไปแปรงฟันเข้าห้องน้ำ นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่บนชักโครก ทำใจอยู่เกือบสิบนาทีกว่าจะลุกไปแต่งตัวแล้วใช้ชีวิต กินอาหารอย่างไม่รู้รสชาติเท่าไร ถอนหายใจใส่หน้าจอโทรศัพท์มือถือในเวลาที่ว่างพอที่จะเหม่อลอยคิดถึงคนที่เคยคุยกันเสมอ) ตัดสินใจพิมพ์ข้อความส่งไปว่า

     

    พี่มาร์ค ผมอยากเจอพี่

     

    ช่วงเวลานับตั้งแต่กดส่ง มีข้อความแสดงบอกว่าคู่สนทนาอ่านแล้ว ไปจนถึงตอนที่มาร์คพิมพ์ตอบกลับนั้นกินเวลาไม่กี่วินาที แต่ยูคยอมรู้สึกว่าตัวเองกลั้นใจนานจนเหมือนจะตาย ลุ้นสุดใจว่าเขาจะตอบอะไรกลับมา

     

     

    Mark Tuan: วันนี้เลิกห้าโมงใช่มั้ย

    Mark Tuan: หกโมงน่าจะถึงคณะ เดี๋ยวไปรับ

     

     

    นั่น... ยังอุตส่าห์จำได้อีกว่าวันพุธยูคยอมมีเรียนถึงห้าโมง  บางวันเขายังจำตารางเรียนตัวเองไม่ได้เลย

     

    แล้วแบบนี้คิม ยูคยอมจะหนีไปไหนรอดครับ หืม?

     

     

     

     

    ทุกครั้งที่มีโอกาสได้นัดเจอกันก่อนหน้านี้ มาร์คไม่เคยปล่อยให้ยูคยอมต้องรอ เขามักจะมาถึงก่อนเวลานัดหรือตรงเวลานัดเสมอ  ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน  รถยนต์สีดำที่ยูคยอมคุ้นตาจอดเทียบฟุตบาธใกล้โต๊ะม้าหินหน้าตึกคณะ เด็กหนุ่มคว้ากระเป๋า เปิดประตูรถและลงไปนั่งบนเบาะข้างคนขับ ตำแหน่งเดิมที่คุ้นเคย

     

    รถยังแล่นออกไปไม่พ้นเขตมหาวิทยาลัยดี ชายหนุ่มก็พูดขึ้นมาก่อน “มีอะไร ทำไมจู่ๆ อยากเจอ”

     

    “ผมเห็นพี่หายไปเลย”

     

    “พี่ก็ไม่ได้หลบหน้าไปไหนนี่ ยูคยอมทักคาทกมาพี่ก็ตอบ ที่เงียบไปเพราะพี่กลัวเราจะรำคาญเหมือนอย่างที่บอกวันนั้น”

     

    อ้าว กลายเป็นความผิดเขาที่รอให้เวลาผ่านไปขนาดนี้แล้วค่อยใจกล้าทักไปสินะ นี่แปลว่าถ้าทักไปตั้งแต่วันนั้นมาร์คก็จะตอบเขาใช่ไหม? นี่เขาไม่ใช่เทวดานะจะได้ตรัสรู้ความรู้สึกนึกคิดของใคร

     

    “แล้วนี่ไม่รำคาญพี่แล้วเหรอ”

     

    “ถ้ารำคาญผมจะอยากเจอมั้ยล่ะครับ”

     

    “ให้คุยให้พานั่งรถเล่นเหมือนเมื่อก่อนได้แล้วใช่มั้ย”

     

    ยูคยอมหัวเราะเบาๆ “ถ้าพี่ว่างขนาดนั้นก็ตามสบาย”

     

     

     

    หลังจากตกลงกันได้แล้วว่าจะไปไหน มาร์คก็ขับรถออกมาจากมหาวิทยาลัย เลี้ยวไปยังถนนเส้นที่จะพาพวกเขาไปยังคาเฟ่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลออกไปนัก  ปกติใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหากรถไม่ติด แต่เย็นวันนี้ปริมาณรถบนถนนกลับหนาแน่นเป็นพิเศษ  มาร์คพ่นลมหายใจออกมาอย่างหน่ายเมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาเคาะนิ้วข้างขวาลงบนพวงมาลัยเป็นจังหวะ มองตรงไปยังพาหนะอีกนับสิบคันที่ติดแหง็กอยู่บนถนน  ไม่รู้ตัวว่าคนข้างกายเหลือบมองและครุ่นคิดอะไรบางอย่างที่รบกวนหัวใจเขามาตลอดระยะเวลาหลายวัน

     

    ในเมื่อเขารู้แล้วว่าหัวใจต้องการตัวเองต้องการอะไร เขาก็ต้องการความชัดเจน  โดยเฉพาะจากคนที่เริ่มต้นความสัมพันธ์ทุกอย่างทั้งหมด คนที่เดินมาหายูคยอมในวันที่เขาพยายามหลบหน้ามาร์ค

     

    “พี่มาร์ค ผมถามอะไรหน่อยสิ”

     

    “หืม?”

     

    “นี่พี่กำลังจีบผมอยู่หรือเปล่า”

     

    ถ้าไม่มั่นใจระดับหนึ่งนี่ไม่กล้าถามหรอกนะ เพราะช่วงที่มาร์คหายหน้าหายตาไป เขานั่งคิดแล้วคิดอีกว่าการกระทำของมาร์คที่ผ่านมาคืออะไร จำเป็นไหมที่ ว่าที่นายจ้างอย่างมาร์คจะต้องมาคอยตามคุยและพาเขาไปกินอาหารอร่อยๆ ดูหนังสนุกๆ คอยฟังยูคยอมบ่นเป็นหมีกินผึ้งเวลาคิดงานไม่ออกทั้งที่งานตัวเองก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว แถมยังคอยมารอเขาที่มหาวิทยาลัยจนดึกดื่นเพื่อรับไปส่งกลับหอ และกะอีแค่เขาหลุดปากไปว่ารำคาญนี่ มีสาเหตุอะไรที่มาร์คต้องน้อยใจ(?)ถึงขนาดไม่ยอมคุยกับเขาอีก  

     

    มันก็มีอยู่คำตอบเดียว เห็นๆ กันอยู่

     

    หวังอยู่ลึกๆ ว่าจะเห็นมาร์คหลุดมาดหล่อตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ให้ยูคยอมได้เห็นตอนที่มาร์คเขินบ้างเถอะ แต่ปฏิกิริยาของมาร์คกลับนิ่งเฉยเสียจนยูคยอมใจเสีย และเขาเหมือนโดนค้อนปอนด์ทุบเข้าที่หัวจังๆ เลยเมื่ออีกฝ่ายถามกลับมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจนิดๆ ว่า

     

    “หา ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ?”

     

    อ้าว...

     

    ยูคยอมได้ยินเสียงหน้าแตกกับเสียงอกหักดังเพล้งในใจ พยายามแสร้งยิ้มกลบเกลื่อนพลางพูดละล่ำละลัก

     

    เอ้อ ช่างมันเหอะครับ ผมแค่คือพี่อะช่างมันๆๆๆ ไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร ลืมที่ผมพูดไปเหอะ”

     

    เวรกรรม จากที่ตั้งใจไว้ว่าต้องเห็นอีกฝ่ายหลุดแน่ๆ ดันกลับตาลปัตรเสียนี่ พูดจบก็เบี่ยงหน้าไปทางหน้าต่างรถฝั่งตัวเองแทน ไม่กล้ามองคนที่จับพวงมาลัยรถอยู่  นี่ยังประคองร่างตัวเองให้นั่งพิงเบาะได้อยู่ถือว่าดีแล้วนะ เพราะตอนนี้ยูคยอมอยากจะไหลลงไปกองเต็มทีแล้ว อยากจะดึงเข็มขัดนิรภัยออกแล้วเปิดประตูหนีความอับอายและสายตาของชายอีกคนไปให้พ้นๆ

     

    “ยูคยอมอา...”

     

    “ผมไม่ได้พูดอะไรครับเมื่อกี้ ช่างมันเถอะ”

     

    เด็กหนุ่มรีบแทรก ยังคงไม่ยอมหันกลับไปมองมาร์ค  กำลังคิดในใจว่าเมื่อไหร่ไฟจะเขียวสักที คนข้างๆ จะได้ขับรถต่อโดยไม่ต้องสนใจสิ่งที่เขาพูด

     

    ตอนนั้นเองที่มาร์คเลื่อนมือมาบีบแก้มเขาไว้อย่างมันเขี้ยว  คนโดนบีบแก้มหันขวับ เห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มและดวงตาวิบวับอย่างล้อเลียนของมาร์คเต็มตา

     

    “พี่ถามว่า... ทำไมยูคยอมถึงคิดว่าพี่จีบครับ? หืม?”

     

    “กะ...ก็... เราแค่บังเอิญได้เจอกันบ่อยๆ จนพี่สนใจที่จะจ้างผมก็จริง แต่พอเรารู้จักกัน ผมว่า...อะไรหลายอย่างที่พี่ทำ มันมากเกินไป”

     

    เขากำลังจะเสริมต่อว่าถ้ามาร์คไม่คิดอะไรก็อย่าไปทำแบบนั้นกับใครอีก แต่ชายหนุ่มขัดขึ้นมาก่อน

     

    “หลายคนพูดกันว่าคนสองคนที่บังเอิญได้เจอกันบ่อยๆ คือพรหมลิขิต พี่ไม่เชื่ออะไรแบบนั้น พี่เชื่อในความน่าจะเป็น และการเพิ่มความน่าจะเป็น  ครั้งแรกระหว่างเราคือพรหมลิขิต แต่ครั้งที่สองเป็นต้นมาน่ะ...” เขายกยิ้มขึ้นที่มุมปาก

     

    “ยูคยอมคิดว่าทั้งหมดนั่นมันเป็นแค่ความบังเอิญจริงๆ เหรอ?”

     

    ในพจนานุกรมของมาร์คไม่มีคำว่าบังเอิญ ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้หากมีการศึกษาข้อมูลและวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน  วันที่เขาเจอยูคยอมหรือ ซง ยุนฮยองครั้งแรกนั่นถือเป็นพรหมลิขิต เขาไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มตัวสูงหน้าตาน่ารักขนาดนั้นมาก่อน และก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปทำความรู้จัก  เขาหาทางเก็บข้อมูลเต็มที่ว่าชื่ออะไรเป็นใครมาจากไหนอย่างแนบเนียนไม่ให้ไก่ตื่น จะได้เอาไปสืบสาวจากเจ้าจินกิได้ถูก 

     

    ปรากฏว่าจินกิไม่รู้จัก  ทั้งซง มินโฮ และซง ยุนฮยอง ไม่มีตัวตนอยู่จริงในสารบบคนรู้จักของจินกิ เพราะยูคยอมเป็นแค่แขกแปลกหน้าที่จินกิจ้างมา รู้จักแค่หน้าตากับชื่อเท่านั้น ไม่มีรายละเอียดอื่นใดที่จะช่วยให้มาร์คได้ตามหาจนเจอ  มาร์คได้แต่เก็บนามบัตรของบริษัทนายหน้าของยูคยอมที่ได้มาจากจินกิเอาไว้ แต่เนื่องจากเขาไม่ได้จะจ้างงานยูคยอม เขาเลยไม่มีเหตุผลที่จะโทรศัพท์ไปที่บริษัทแล้วบอกว่า ขอรายละเอียดการติดต่อของคุณคิม ยูคยอมด้วยครับเพราะคงไม่มีใครที่ไหนยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของบุคคลที่สามให้เขารับรู้แน่ๆ

     

    เมื่อได้ยินข่าวว่ารุ่นน้องที่เรียนปริญญาโทด้วยกันจะแต่งงาน แถมเห็นเจ้าหล่อนบ่นกับเพื่อนในเฟสบุ๊กว่าเพื่อนหลายคนยังอยู่ต่างประเทศกันทั้งนั้น บรรยากาศในงานคงจะโหรงเหรงมากแน่ๆ  มาร์คเลยทักแชทไปและแนะนำงานประเภทที่ยูคยอมทำอยู่ และจงใจพูดว่า ถ้าพาคนนี้มางานได้นะ สาวๆ เพื่อนเธอตื่นเต้นกันแน่ๆ แล้วยูคยอมมาปรากฏตัวในงานตามที่มาร์คคาดไว้จริงๆ  

     

    มาร์คไม่อยากเดินหน้าหากผลลัพธ์ที่จะได้เป็นศูนย์หรือติดลบ เขาใช้โอกาสครั้งที่สองที่เจอกันเก็บข้อมูลได้จนรู้ว่ายูคยอมยังโสด พร้อมทั้งเผยข้อมูลของตัวเองให้อีกฝ่ายรับรู้ไปพร้อมกันด้วยว่าเขาก็ยังโสดเหมือนกัน แถมหน้าที่การงานก็ค่อนข้างดีไม่น้อยหน้าใคร  การเผยจุดแข็งของตัวเองให้เป้าหมายที่ต้องการพิชิตใจได้รับรู้คือกลยุทธ์ลำดับต้นๆ ที่ควรกระทำ  แล้วหลังจากนั้นมาร์คก็ใช้วิธีเดิมเพื่อให้ได้เจอยูคยอมเป็นครั้งที่สาม คราวนี้เขาล่อให้ยูคยอมติดบ่วงเรียบร้อยด้วยการขอช่องทางติดต่อและชวนมาทำงานให้ล่วงหน้า วางแผนระยะยาวไหมล่ะ

     

    และทำไมเขาจะดูไม่ออกว่ายูคยอมรู้สึกอย่างไรกับเขา ถ้ารำคาญหรือไม่ชอบ คนอย่างยูคยอมไม่น่าปล่อยให้เขาเทียวรับเทียวส่งพาไปกินข้าวดูหนัง หรือตอบข้อความเขาสม่ำเสมอโดยไม่มีท่าทีหงุดหงิดหรือต้องการจะตัดบทอย่างเย็นชา  เขาพลาดล้ำเส้นแค่เพียงครั้งเดียวก็ตอนที่อุตส่าห์ไปรอยูคยอมทำงานจนเจ้าตัวหลุดปากออกมาว่ารำคาญนั่นแหละ เขาเลยได้หายไปจากชีวิตของยูคยอมในช่วงนั้น

     

    ยูคยอมสบตามาร์ค ทบทวนคำพูดของมาร์คที่สื่อว่าไม่เคยมีความบังเอิญเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา นึกย้อนไปตั้งแต่ครั้งที่สองที่ได้เจอกันจนถึงครั้งนี้

     

    “...นี่พี่วางแผนมาตลอดเลยเหรอ”

     

    “ใช่”

     

    “ทุกอย่างเลย?”

     

    “ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องที่ยูคยอมไล่พี่วันนั้น”

     

    แต่ถึงยูคยอมไม่บอกว่ารำคาญ มาร์คก็คิดไว้แล้วว่าจะต้องมีช่วงหนึ่งที่เขาตั้งใจถอยห่างออกมาจากยูคยอม เพื่อจะดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายว่ากระวนกระวายมากน้อยแค่ไหนที่ไม่ได้เห็นหน้าเขาอีกอย่างที่เคย  สิ่งที่เขาเพียรทำไปจะเห็นผลได้ชัดก็ในตอนนี้

     

    เขาแทบจะร้องดีใจออกมาอย่างผู้ชนะเมื่อเห็นยูคยอมส่งข้อความมาว่าอยากเจอเขา ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเป็นฝ่ายพูดเองว่ารำคาญ และเวลาก็ผ่านไปแค่เจ็ดวันเท่านั้นเอง

     

    ซึ่งความจริงข้อนี้ ไว้ค่อยบอกวันหลังก็ยังไม่สาย หรือไม่บอกเลยอาจจะดีที่สุด

     

    ทั้งที่ควรจะดีใจที่อีกฝ่ายใจตรงกัน แต่พอรู้ว่าที่ผ่านมามาร์คล่วงรู้ทุกเรื่องและวางแผนความสัมพันธ์ของพวกเขาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนมาตลอด ก็อดที่จะค้อนไม่ได้ เขาแกล้งถามกลับเสียงดัง  

     

    “สนุกมากมั้ยล่ะ บอกกันตรงๆ แต่แรกก็จบแล้วมั้ย”

     

    “ถ้าพี่จีบยูคยอมตั้งแต่แรก ยูคยอมจะสนพี่เหรอ? โอกาสทำคะแนนน่ะมันต้องสร้างขึ้นมาเอง”

     

    “แล้วผมจะเชื่ออะไรที่พี่พูดได้บ้างเนี่ย ไอ้เรื่องที่ต้องพาผมไปงานแต่งเพราะนัดเพื่อนเอาไว้ก็ไม่จริงด้วยใช่มั้ย พี่ก็แค่อยากได้ไอดีคาทกผมใช่ปะ”

     

    “ที่เพื่อนพี่จะแต่งงานน่ะเรื่องจริง ส่วนเรื่องถ่ายรูปน่ะ ใครจะไปนัดอะไรอย่างนั้นเล่า เราจะไปรู้ได้ยังไงว่าเราจะมีแฟนพร้อมกันหมดแล้วตอนที่เพื่อนคนหนึ่งแต่งงาน”

     

    ...เอ่อ ขอโทษแล้วกันที่ดันเชื่อ

     

    “แต่ที่พี่อยากควงยูคยอมไปเป็นแฟนน่ะเป็นเรื่องจริง”

     

    ยูคยอมจะไม่รู้สึกอะไรเลยหากมาร์คไม่ได้สบประสานตากับเขาอย่างแน่วแน่ขนาดนั้น ซ้ำยังกุมมือเขาไว้เสียอีก ตอนนี้หัวใจเขาทำงานหนักมาก รู้สึกว่าร้อนไปหมดทั้งหน้าทั้งตัวแม้ว่าเสียงแอร์ในรถทำงานจะยังดังเข้าหูอยู่ก็ตาม  เขาเผลอกลั้นหายใจเมื่อมาร์คยกมือขึ้น ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มเขาเล่นเบาๆ ตามด้วยการเอ่ยเสียงนุ่มว่า

     

     

    “ถ้าพี่อยากให้ยูคยอมเป็นแฟนพี่แล้วไปออกงานกับพี่ตลอด... พี่ต้องจ่ายเท่าไหร่ครับ?”

     

     

     

    ปี๊นนนนนนนนนนนน

     

    เสียงบีบแตรจากคนขับรถคันข้างหลังทำให้ยูคยอมรีบเบือนหน้าแดงๆ ของตัวเองหนี ริมฝีปากขยับพึมพำว่า

     

    “...พี่มาร์ค ไฟเขียวแล้ว”

     

    มาร์คจิ๊ปากอย่างขัดใจที่สัญญาณไฟดันมาเปลี่ยนตอนนี้ เขาเหยียบคันเร่ง

     

    “ไว้พี่ค่อยถามเราตอนถึงห้องก็ได้เนอะ”

     

    ***

     

    ในช่วงปิดเทอม ยูคยอมก็ยังคงทำงานพิเศษงานเดิม เขายังคงเป็นคนแปลกหน้าที่ลุยเดี่ยว หาทางกลมกลืนไปกับแขกเหรื่อคนอื่นๆ ที่ตนเองไม่รู้จัก ยิ้มแย้มถ่ายรูปแสดงความยินดีกับบ่าวสาวที่เขาไม่เคยเห็นหน้า ฟังเรื่องราวความรักของพระนางในงาน มองคู่คนอื่นเปิดฟลอร์เต้นรำในงาน ฟังดนตรีสดท่ามกลางบรรยากาศอันน่าอภิรมย์ และเอ่อ กินอาหารฟรีเท่าที่ฝ่ายจัดงานเตรียมเอาไว้ให้อย่างอิ่มหนำสำราญ

     

    แต่ในวันนี้ ยูคยอมไม่ได้เดินทางมายังห้องจัดเลี้ยงหรูหราของโรงแรมอย่างแต่ก่อน  งานแต่งงานที่เขามาร่วมวันนี้จัดขึ้นที่ร้านอาหารแบบโอเพ่นแอร์ เพราะบ่าวสาวอยากจัดงานแบบเล็กๆ บรรยากาศใกล้ชิดและเป็นกันเอง อยากให้คนมาร่วมแสดงความยินดีกับตนเองมากกว่าจะจัดงานใหญ่โตหรูหราเพื่ออวดสายตาใครต่อใคร

     

    วันนี้ยูคยอมไม่ได้มาคนเดียว แต่มีชายหนุ่มอีกคนกำลังพาเขาเดินไปในงาน เขาไม่ได้มาร่วมงานแต่งงานในฐานะแขกที่ไม่มีตัวตนที่แท้จริงเหมือนเคย ไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อปลอมที่สร้างขึ้นมาลงชื่อในสมุดอวยพรตรงทางเข้า ไม่จำเป็นต้องคอยระแวงว่าจะมีใครจับได้ ตอนนี้เขามีมาร์คเดินนำหน้าเขา จับมือเขาไว้ราวกับว่ากลัวเขาจะหลงไปไหน และชายหนุ่มก็คอยแนะนำเขาให้ทุกคนที่มองมาทางเขากับมาร์คอย่างสงสัยใคร่รู้ได้รู้จักว่าเขาเป็นใคร

     

    “คิม ยูคยอม แฟนฉันเอง”

     

     

     

     

    END.

     



    เมื่อเรือพลิกเราก็ต้องพลิกตามเรือ /มองดูความมัคคยอมเต็มไทม์ไลน์
    แรงบันดาลใจของฟิคเรื่องนี้มาจากบทความนี้ค่ะ บวกกับอยากเห็นฟิคพี่มาร์ควางแผนจีบคยอมแบบจริงๆ จังๆ บ้าง
    ทีแรกกะจะเขียนสั้นๆ คั่นรอฟิคเรื่องอื่นที่เปิดทิ้งไว้อยู่ ไปๆ มาๆ ยาวกว่าที่คิดไว้อีกแล้ว เวิ่นมากด้วย5555

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

    - สมสน.


    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×