ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] 'SO LUCKY' (SF/OS)

    ลำดับตอนที่ #5 : [SF] memento mori (JB x Jr.)

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 58


    memento mori

    JB/Jr. (Jinyoung-centric)

    a spin-off from amor fati. can be read as a standalone

     



     

     

     

    memento mori

     

     

     

    Memento mori (Latin: "remember (that you have) to die") is the medieval Latin theory and practice of reflection on mortality, especially as a means of considering the vanity of earthly life and the transient nature of all earthly goods and pursuits.

     

     

     

    เมื่อผู้หมวดจินยอง ปาร์ค หัวหน้าทีมสืบสวนของหน่วยปราบปรามแก๊งและยาเสพติด ได้เห็นรอยสักที่มีข้อความว่า 'Sam Burkes 18314' บนต้นแขนของแจบอม อิม หรือ 'เจบี' เพื่อนร่วมทีมคนใหม่ล่าสุดที่เพิ่งย้ายมาทำงานด้วยกันได้ไม่ถึงเดือนแล้ว เขาก็อดใจถามไปไม่ได้ว่า 'เจบี ใครคือแซม เบิร์กส์เหรอ' ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านั่นอาจเป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาไม่ควรละลาบละล้วง

     

    นอกจากเจบีจะมีรัศมีที่ไม่ค่อยเป็นมิตรแล้ว ประวัติของเขาก็ยังดูน่าเกรงขาม – เจบีอายุมากกว่าเขาหนึ่งปี เป็นอดีตเจ้าหน้าที่เอฟบีไอจากแผนกอาชญากรรมและยาเสพติดของที่โดนสั่งพักงานและโดนคำสั่งให้ย้ายมาอยู่ใต้สังกัดกรมตำรวจลอสแอนเจลิส เป็นคนที่จินยองรู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันว่าเขาไม่ใช่คนที่จะรับมือด้วยได้ง่ายๆ แม้ว่าเขาจะใจดีพอที่จะหัวเราะไปกับมุกแป้กของเควินตอนที่ไปดื่มด้วยกันหลังเลิกงาน แต่ถ้าลองโดนถามเรื่องลึกซึ้งแบบนี้ทั้งที่ยังไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้น จินยองเกรงว่าเจบีจะไม่พอใจ

     

    ''โทษที ถ้าคุณไม่อยากเล่า ไม่ต้องก็ได้' เขารีบพูด พร้อมปิดประตูล็อกเกอร์ของตัวเอง เป็นการจบวันทำงานได้เฮงซวยมาก ไอ้จินยอง แกอาจจะทำให้เขาโกรธ

     

    'แซม... ซาแมนธา เบิร์กส์ เธอเคยเป็นเพื่อนร่วมงานของผม ความใจร้อนของผมที่คิดแต่จะช่วยเธอทำให้แผนปฏิบัติการล้มเหลว แล้วเธอก็ตายอยู่ดี' เจบีพูดเหมือนไม่ได้ยินที่จินยองพูดว่าเขาจะไม่ตอบก็ได้

     

    นั่นคงเป็นต้นเรื่องทั้งหมดที่ทำให้เจบีโดนพักงานและย้ายมาอยู่ที่นี่ จินยองรู้เรื่อง 'ความใจร้อนบุ่มบ่าม ปฏิบัตินอกคำสั่ง' ที่อยู่ในรายงานส่งตัวของเจบี แต่เขาไม่ยักรู้เรื่องเพื่อนร่วมงานที่เจบีสูญเสียไปด้วย

     

    เจบีถามเขากลับ

     

    'คุณคิดยังไงที่บางครั้งเราจำเป็นต้องปกป้องคนหมู่มาก แต่กลับปกป้องคนที่เรารักไม่ได้'

     

    คนที่ชื่อแซม เบิร์กส สำคัญกับเจบีมากเพียงไหน เขาว่าเขารับรู้ได้ดีจากน้ำเสียงที่เจบีใช้ถาม

     

    'คงเป็นคำสาปของคนที่ทำงานอย่างเราละมั้ง'

     

    ตอนนั้นจินยองเพียงแค่ตอบไปตามที่คิด เรื่องของเจบีเป็นการสูญเสียที่น่าเศร้าและหลีกเลี่ยงไม่ได้ เลือกเพื่อนงานก็เสีย เลือกงานก็เสียเพื่อน เป็นสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่จินยองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าหากตัวเองจะต้องเผชิญ เขาจะเลือกอะไร

     

    จินยองไม่ได้คิดว่าหลังจากนั้นไม่นานนัก เจบีจะทำให้เขาต้องรู้จักสภาวะแบบนั้น

     

    *

     

    ประมาณเกือบครึ่งปีหลังจากที่เจบีย้ายมาอยู่ในทีมเดียวกัน จินยองจำเป็นต้องหาที่พักใหม่เพราะเจ้าของตึกที่เขาเช่าห้องอยู่กำลังจะขายตึกให้กับเจ้าของธุรกิจอสังหาฯ รายใหม่ ข่าวลือแว่วมาว่าตึกอพาร์ตเมนท์โกโรโกโสนี่จะโดนทุบทิ้งเพื่อปรับปรุงเป็นอาคารสำนักงานสวยไฉไล  เขาอยากหาห้องใหม่ให้ได้เร็วที่สุดเพื่อจะได้ไม่ฉุกละหุกเวลาต้องย้ายออก ลองไปถามเพื่อนในทีมว่ามีห้องพักที่ไหนดีๆ ราคาไม่แพงบ้าง เจบีก็เสนอมาว่า

     

    'รูมเมทที่แชร์ห้องกับฉันกำลังจะออกไปอยู่กับแฟนปลายเดือนนี้ ถ้านายไม่รังเกียจ มาอยู่ด้วยกันกับฉันก็ได้'

     

    เพราะเป็นเพื่อนร่วมทีมกันอยู่แล้ว และสภาพสตูดิโออพาร์ตเมนท์ที่แจบอมเช่าอยู่ก็ดีเกินกว่าที่จินยองคาดหวังเสียด้วยซ้ำ ค่าเช่าหารสองแล้วราคายังสูงกว่าห้องพักเก่าของเขาประมาณหนึ่ง แต่เทียบกับความกว้างขวางสะดวกสบายกว่าเดิมก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ เขาเลยไม่รอช้าที่จะตอบตกลง

     

    ตั้งแต่เรียนจบจากโรงเรียนตำรวจ จินยองก็ไม่ได้อยู่ร่วมกับใครมานานแล้ว การต้องอยู่กับคนที่รู้จักกันระดับหนึ่งในฐานะเพื่อนร่วมงานแต่ไม่เรียกว่าสนิทสนมกลมเกลียวนั้นจึงเหมือนเป็นความท้าทายบทใหม่ในชีวิตของเขา  จินยองยอมรับว่าเขาแอบกลัวเจบีอยู่นิดหนึ่ง -- รอยแผลบางๆ ที่พาดยาวตั้งแต่ไรผมลงมาจรดปลายคิ้วข้างซ้าย และรอยแผลจากกระสุนบนหน้าท้องสองรอยที่จินยองเคยเห็นตอนเจบีเปลี่ยนเสื้อแสดงความเจ็บปวดอันโชกโชนที่เจบีเคยผ่านมา จินยองอดสงสัยไม่ได้ว่าเจบีเฉียดความตายมาแล้วกี่ครั้งกัน

     

    ถึงจะอยู่ทีมเดียวกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้เข้าหรือเลิกงานพร้อมกัน ช่วงนั้นเจบีกับเพอร์ซี่ เจ้าหน้าที่ในทีมอีกคนหนึ่งต้องผลัดกันไปเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของคนร้ายที่เป็นเป้าหมาย เขาเลยกลับถึงห้องไม่เป็นเวลา  ไม่เหมือนกับจินยองที่มักจะทำงานอยู่ที่สำนักงาน คอยสืบหาและสรุปข้อมูลเกี่ยวกับแก๊งค้ายาเสพติดต่างๆ เพื่อประชุมกับผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมทีม และวางแผนเข้าจับกุมต่อไป  เช้าตรู่ของบางวันที่จินยองกำลังจะออกไปทำงานตามปกติ เจบีเพิ่งกลับถึงห้อง ไม่พูดไม่จาไม่ทักทายและทิ้งร่างตัวเองลงบนโซฟาทันทีอย่างเหน็ดเหนื่อยเพราะไม่ได้นอนทั้งคืน  บางวันที่จินยองได้หยุดพักผ่อน เจบียังต้องทำงาน  พวกเขาทักทายกันแค่ตอนเจอหน้ากัน หรือไม่ก็ตอนที่กินอะไรง่ายๆ อย่างขนมปังปิ้งหรือเบคอนทอดที่ทิ้งไว้จนเย็นชืดด้วยกันที่โต๊ะอาหารเท่านั้น

     

    กว่าจะได้หยุดพร้อมกันจริงๆ ก็ผ่านไปสองอาทิตย์หลังจากที่จินยองย้ายเข้ามาอยู่ เจบีเริ่มต้นเช้าวันหยุดของตัวเองด้วยการออกไปยืนสูบบุหรี่ที่ระเบียงหลังห้องติดกับบันไดหนีไฟ จินยองเดินตามออกไป พร้อมกับบอกเขาว่าขอบุหรี่มวนหนึ่ง

     

    ไม่ยักรู้ว่านายสูบด้วยเจบีถามอย่างประหลาดใจก่อนจะล้วงซองมาร์ลโบโรแบล็กเมนทอลออกมาจากในกระเป๋า หยิบบุหรี่ในนั้นให้จินยองมวนหนึ่งก่อนจะใช้ไลท์เตอร์จุดไฟให้ 

     

    สิ่งเดียวที่เคลื่อนไหวอยู่รอบตัวพวกเขามีเพียงกลุ่มควันที่ทั้งสองผลัดกันพ่นออกมา ไม่มีใครคิดจะชวนอีกฝ่ายคุยเพราะรู้ดีว่าช่วงเวลานี้เป็นหนึ่งในช่วงเวลาสงบสุขที่หาได้ยากยิ่งสำหรับพวกเขา โลกนั้นหมุนเร็ว อีกไม่นานพวกเขาก็จะต้องกลับไปปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงอันตรายของตัวเองตามเดิม

     

    จู่ๆ เจบีก็ถามเขาว่าจินยองมาเป็นตำรวจเพราะอะไร เขาตอบไปเหมือนอย่างที่ตอบคนอื่นๆ ว่าเป็นตามพ่อ พ่อคือแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ของเขา แม้ว่าพ่อจะไม่ทันอยู่เห็นความสำเร็จของเขาก็ตาม ท่านตายในหน้าที่ตอนฉันอายุสิบสาม”  จินยองเล่า เจบียกมือขึ้นมาตบหลังเขาเบาๆ เพื่อปลอบใจและแสดงความรู้สึกเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

     

    ทว่าฝ่ามืออบอุ่นของเจบีที่สัมผัสหลังเขาเพียงชั่วครู่ และกลุ่มควันที่สลายหายไปในอากาศกลับทำให้จินยองหวนคิดถึงความสูญเสียของตัวเองในวันนั้น วันที่พ่อในเครื่องแบบตำรวจเต็มยศกำลังจะออกไปทำงาน บอกกับเขาและแม่เหมือนทุกวันว่าเจอกันคืนนี้ แล้วพ่อก็ไม่เคยได้กลับมาอีกเลย

     

    จินยองลอบมองเจ้าของบุหรี่ที่เขาคาบไว้ในปาก จู่ๆ รู้สึกอึดอัดและปวดหน่วงตรงหน้าอก

     

    ตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นเพราะเขากลับมาสูบบุหรี่อีกทีหลังจากที่ไม่ได้สูบมานานแล้ว

     

    *

     

    จินยองกับเจบีได้กลับมาลุยภาคสนามด้วยกันอีกครั้งในแผนล่อซื้อยาเสพติดจากแอนเดร ผู้ค้ารายใหญ่ที่เปิดร้านขายอุปกรณ์กีฬาบังหน้า ตามแผนแล้วพวกเขาจะส่งลูคัส ผู้ค้ารายย่อยที่ถูกจับกุมได้ก่อนหน้านี้เข้าไปล่อซื้อยาอีกครั้ง ในตัวของลูคัสจะมีไมค์เก็บเสียงเพื่อบันทึกการซื้อขายนี้ไว้เป็นหลักฐาน แต่พอจะลงมือจริงๆ ลูคัสเกิดปอดแหกขึ้นมา กลัวว่าแอนเดรจะรู้ว่าเขามีอุปกรณ์สื่อสารติดตัวอยู่แล้วยิงเขาทิ้ง จินยองกับเจ้าหน้าที่คนอื่นในทีมจะกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล จนพวกเขาเกือบจะล้มแผนแล้วกลับไปหาทางใหม่แล้ว แต่เจบีกลับเสนอตัวว่าจะยอมเป็นนกต่อให้เอง

     

    ถึงลูคัสจะค้านเจบีแล้วว่าแอนเดรไม่ยอมทำธุรกิจกับคนที่ไม่รู้จัก แต่เจบีไม่อยากเสียเที่ยว เขาติดอุปกรณ์ในตัวเรียบร้อยแล้วก็เดินดุ่มเข้าในร้านของแอนเดรอย่างไม่เกรงกลัว จินยองที่ยืนฟังเสียงอยู่ข้างนอกห่างๆ แทบกลั้นหายใจเมื่อแอนเดรยืนยันเด็ดขาดว่าจะไม่ยอมขาย

     

    เสียงกระสุนที่ดังลั่นขึ้นมานัดหนึ่งจนไม่ต้องฟังจากไมค์เก็บเสียงก็ได้ยินทำให้จินยองใจหายวูบ เขาสั่งให้ทุกคนบุกเข้าไปในร้านทันที พอเข้าไปแล้วจึงพบว่าแอนเดรวิ่งหนีออกไปทางหลังร้านแล้ว ส่วนเจบีก็ไล่กวดเขาไปติดๆ สุดท้ายเขาก็ล็อกตัวแอนเดรไว้ไม่ให้หลบหนีไปไหนได้

     

    หลังจากควบคุมตัวแอนเดรใส่ท้ายรถตำรวจไปได้แล้ว จินยองก็ตะโกนใส่เจบีราวกับว่าเขาทำงานล้มเหลวไม่เป็นท่า

     

    นายควรเดินออกมาตอนที่มันบอกว่าจะไม่ขายของให้นาย นายอาจจะตายได้ รู้ตัวรึเปล่า!

     

    คนที่ทำงานอย่างเรามีสิทธิกลัวตายด้วยหรือไง ยังไงสักวันหนึ่ง ไม่ฉันก็นายก็ต้องตายอยู่แล้ว

     

    แล้วตอนที่นายช่วยซาแมนธาจนทำงานทุกอย่างพังไม่คิดแบบนี้บ้างล่ะ

     

    ชื่อเพื่อนคนสำคัญของเจบีที่จินยองเผลอหลุดปากพาดพิงไปทำให้เจบีโกรธ ดวงตาเรียวจ้องหน้าจินยองอย่างถมึงทึง เป็นครั้งแรกที่จินยองกลัวเจบีขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่แค่รู้สึกไปเอง เขาเข้ามากระชากคอเสื้อยืดที่จินยองสวมใส่อยู่ สมาชิกคนอื่นในทีมพยายามมาดึงตัวเจบีออกไป แต่มือที่กำคอเสื้อของจินยองเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

     

    ฉันก็เคยคิดแบบนาย แต่เพราะแซมตาย ฉันถึงรู้ว่าฟันเฟืองที่มันเสียไปหรือบกพร่องมันไม่มีค่าอะไรมากสำหรับระบบนี้ คนพลาดโดนพักงาน คนตายได้เหรียญและธงชาติคลุมบนโลงศพ แค่นั้น แล้วพวกเขาก็หาคนใหม่มาแทนเจบีพูดอย่างคับแค้นใจ เราอยู่เพื่อปกป้องคนหมู่มาก แต่บางครั้งเรากลับเลือกที่จะปกป้องคนที่เรารักไม่ได้ และก็ไม่มีใครปกป้องเราด้วย มันก็เป็นคำสาปเหมือนที่นายพูดนั่นแหละ

     

    เขาปล่อยมือออกจากคอเสื้อของจินยอง เรามันแค่ฟันเฟืองโง่ๆ ที่ดันรักที่จะทำงานนี้เอง หน้าที่เราก็แค่ทำงานจนตาย ก็แค่นั้น ไม่มีไอ้เหี้ยหน้าไหนมันแคร์กับชีวิตเราหรอก

     

    แต่ฉันแคร์!

     

    จินยองพูดเสียงดังไล่หลังเจบีที่กำลังเดินไปขึ้นรถตำรวจอีกคันเพราะไม่อยากนั่งรถคันเดียวกันกับจินยอง เขาไม่รู้ว่าเจบีได้ยินหรือเปล่า แต่เขาหมายความตามนั้นจริงๆ

     

     

     

     

    ถึงจะเลี่ยงหน้ากันได้ในที่ทำงาน แต่สุดท้ายจินยองก็ได้เห็นหน้าเจบีอีกครั้งตอนที่เขากลับมาที่ห้องพร้อมกับกลิ่นเบียร์ เขาคงไปดื่มฉลองภารกิจสำเร็จกับพวกเพอร์ซี่ที่ร้านประจำ ซึ่งที่จริงแล้วจินยองควรไปด้วย แต่เพราะยังอารมณ์ไม่ดีอยู่จึงไม่อยากไปร่วมดื่ม

     

    เจบีเดินผ่านโซฟาที่เขานั่งอยู่ไปโดยไม่ทักทาย ตอนนั้นเองที่จินยองตัดสินใจพูดขึ้นมาว่า

     

    “เมื่อตอนกลางวัน... ขอโทษที ฉันพูดแรงและล้ำเส้นไป”

     

    คำขอโทษอย่างตรงไปตรงมาที่ออกมาจากปากของหัวหน้าทีมและรูมเมททำให้คนฟังสะดุด เขาหันกลับมาทางจินยอง

     

    “ไม่เป็นไร ฉันเองก็ต้องขอโทษด้วย เวลาฉันโกรธแล้วคุมตัวเองได้ยาก จะปรับปรุงตัวไม่ให้นายต้องเดือดร้อนนะ”

     

    “ฉันแค่อยากให้นายรู้ว่า ตอนนั้นนายเป็นห่วงแซมยังไง ฉันก็เป็นห่วงนายอย่างนั้น ไม่มีใครอยากเห็นนายเป็นอะไร”

     

    เจบีนิ่งไป ทีแรกจินยองคิดว่าเขาจะเดินไปเข้าห้องน้ำหรือทำธุระส่วนตัวของตัวเอง แต่ปรากฏว่าเขากลับเดินตรงไปยังตู้เย็น หยิบเบียร์ที่แช่อยู่ในนั้นออกมาสองกระป๋องแล้วกลับมาหาเขา โยนกระป๋องเบียร์เย็นๆ มาทางจินยองอย่างไม่บอกไม่กล่าวจนเขาเกือบรับไว้ไม่ทัน ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ แล้วเปิดเบียร์ดื่ม ราวกับว่าเมื่อกี้ยังไม่ได้ไปดื่มมาจนเต็มที่แล้ว

     

    “ไม่มีใครพูดกับฉันแบบนั้นนานแล้วเหมือนกัน”

     

    “ขอโทษนะ นายมีคนรักหรือคนในครอบครัว…”

     

    “เคยมีเมียแต่หย่ากันไปนานแล้ว”

     

    คนฟังเผลออ้าปากค้างน้อยๆ ถึงอายุสามสิบสามปีของเจบีจะไม่น่าแปลกที่เคยแต่งงานมาก่อนแล้วก็ตาม แต่พอนึกภาพแล้วก็อึ้งอยู่ดี

     

    “เป็นคำสาปอย่างที่นายว่าแหละ จินยอง ผู้หญิงที่ไหนจะทนอยู่กับคนที่ต้องคอยสแตนด์บายกับงานยี่สิบสี่ชั่วโมง หรือหายไปตามติดพวกแก๊งค้ายาเป็นเดือนๆ  ถ้าไม่นับเพื่อนร่วมงาน หลังจากนั้นฉันก็อยู่คนเดียวมาตลอด กับรูมเมทคนก่อนก็ไม่สนิทกันขนาดนั้น”

     

    “แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนี่” จินยองบีบไหล่ของเจบีแน่น “อย่าพูดแบบนั้นอีกล่ะ”

     

    *

     

    วันหนึ่ง สารวัตรแอนนี่ คลาร์ก หัวหน้าหน่วยปราบปรามฯ ได้มอบหมายให้เจบีที่เป็นสมาชิกใหม่คนล่าสุดของทีมสอบสวน และเคยมีประสบการณ์ทางด้านนี้มาก่อนแฝงตัวเข้าไปเป็นสมาชิกในแก๊งค้ายาของนักค้าคนหนึ่งที่ชื่อว่าเอสพิวโด หลังจากที่ตำรวจจับกุมสมาชิกปลายแถวคนหนึ่งของแก๊งนี้ได้ และทางนั้นตกลงยอมจะเป็นสายให้ พวกเขาต้องการให้สายคนนี้พาเจบีแฝงตัวเข้าไปในแก๊ง เพื่อที่พวกเขาจะได้สืบสาวไปถึงตัว บอสใหญ่สุดที่ชื่อว่าคอร์เทสได้ต่อไป

     

    ในฐานะหัวหน้าทีม จินยองต้องคอยคุมให้ภารกิจนี้เป็นไปอย่างราบรื่น คอยติดต่อกับสายที่ชื่อยูคยอม เก็บข้อมูลจากทั้งยูคยอมและเจบีที่กำลังจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งเพื่อคอยหาทางวางแผนจับกุม

     

    ปกติทีมของจินยองทำอย่างมากก็แค่คอยแฝงตัวสะกดรอยดูความเคลื่อนไหว ไม่ก็ดักล่อซื้อยาจากพวกผู้ค้าเท่านั้น ไม่เคยต้องถึงขั้นแฝงตัวเข้าไปเป็นสมาชิกคนใหม่ของแก๊งตรงๆ  แต่สารวัตรคลาร์กเห็นว่าเจบีเคยมีประสบการณ์ทางด้านนี้มาก่อน และเอสพิวโดนั้นปรากฏตัวให้จับคาหนังคาเขาได้ยาก การมีเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยสืบเพื่อหาหนทางน่าจะดีกว่าปล่อยให้สายอย่างยูคยอมทำงานคนเดียว จินยองไม่กล้าขัดเพราะเห็นแก่งานที่พวกเขาต้องทำ

     

    จินยองได้แต่คิดว่ามันเสี่ยงเกินไปโดยไม่จำเป็น ส่วนตัวคนที่ต้องไปเสี่ยงกลับไม่คิดอะไร

     

    ฉันเคยอยู่กับพวกที่น่ากลัวกว่านี้อีกน่าเขาพูดให้จินยองสบายใจ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก

     

    ถึงเจบีจะบอกไม่ให้เขาต้องเป็นห่วง และจินยองพยายามย้ำกับตัวเองภายหลังว่านี่เป็นงานที่เจบีต้องทำอยู่แล้ว แค่แฝงตัวเข้าไปถ้าไม่โดนจับได้ก็ไม่น่าจะอันตราย แต่พอถึงวันที่เจบีเก็บของใช้และเสื้อผ้าส่วนหนึ่งเพื่อไปอยู่ในห้องเช่าห้องใหม่ที่เล็กคับแคบและเตรียมกลายเป็น เดฟ ลีเพื่อนคนใหม่ของยูคยอมจริงๆ จินยองก็อดใจหายไม่ได้

     

    เขานึกถึงวันสุดท้ายที่เขาได้เห็นหน้าพ่อ

     

    “นายจะกลับมาใช่มั้ย”

     

    เจบีหัวเราะราวกับว่าจินยองพูดอะไรที่น่าขำ

     

    “นี่มันอพาร์ตเมนท์ของฉันนะ จินยอง ฉันต้องกลับมาอยู่แล้ว”

     

     

    ไว้พ่อกลับมาแล้วเจอกันคืนนี้นะ

     

     

    “นายจะรายงานสถานการณ์ทุกๆ สิบสองชั่วโมงตามที่ตกลงกันไว้”

     

    “อื้ม”

     

    “และนายจะไม่เป็นอะไร”

     

    “นั่นน่ะ...”

     

    ความลังเลในเสียงของเจบีไม่เคยทำให้จินยองรู้สึกหนักอึ้งขนาดนี้มาก่อน

     

    “...จะพยายามก็แล้วกัน”

     

    *

     

    ข้อตกลงที่ว่าเจบีจะต้องรายงานตัวทุกสิบสองชั่วโมงนั้นเป็นไปได้แค่ในช่วงแรกที่เจบีเพิ่งย้ายออกไป ตอนนั้นเขาคอยตามติดยูคยอมในฐานะเพื่อนเก่าแก่คนหนึ่งเพื่อให้คนอื่นในแก๊งของเอสพิวโดคุ้นหน้าคุ้นตา ทำให้มีเวลาและสะดวกพอที่จะคอยติดต่อกลับมาหาจินยองอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งก็ไปหาถึงที่ทำงานด้วยซ้ำหากมั่นใจว่าไม่มีใครตามเขาอยู่ แต่หลังจากที่เจบีได้รับการยอมรับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งแล้ว นานๆ ทีเจบีจึงจะติดต่อมาสักที เพราะเขาต้องคอยตามติดเอสพิวโดหรือลูกน้องคนอื่นๆ ไปไหนต่อไหน เช่นเดียวกันกับยูคยอมที่จะติดต่อมารายงานความคืบหน้าของตัวเองเป็นครั้งคราว ไม่ก็ช่วยแจ้งเรื่องการซื้อขายเล็กๆ ให้จินยองนำกำลังไปจับได้

     

    นอกจากตัวเขาเองแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาพะว้าพะวงเรื่องเจบีมากเพียงใด ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเจบีจะยังไม่กลับมาจนกว่างานจะเสร็จ แต่ทุกคืนที่จินยองกลับมาถึงห้อง เขามักจะชอบหันไปมองทางประตูทุกครั้ง เผื่อว่าเจบีอาจจะอยากกลับมานอนที่นี่สักคืนเพราะคิดถึงหรือทนสภาพห้องเช่าที่ย่ำแย่กว่าที่เคยนอนไม่ได้ เขาลืมนึกไปว่างานก่อนๆ ที่เจบีเคยทำอาจจะหนักหนาสาหัสกว่าตอนนี้อีก

     

    เวลาที่เจบีโทรศัพท์ติดต่อกลับมาเพื่อรายงานสถานการณ์และความคืบหน้า จินยองจะบอกให้เขารักษาตัวเองให้ปลอดภัยเสมอ Be safe and come back home.  จนครั้งหนึ่งเจบีเคยหัวเราะล้อเขาว่า นายพูดเหมือนเมียเก่าฉันเลยและในขณะที่หัวใจของจินยองวูบไหวไปกับคำนั้นอย่างไม่มีเหตุผล เขาก็พูดแทรกขึ้นมาอีกว่า แต่สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายขอฉันหย่านะ

     

    จินยองเกือบโพล่งสวนกลับไปว่าไม่หรอก เขาจะไม่มีวันเหนื่อยกับการรอเจบีกลับมา เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องการที่สุดในตอนนี้  มากกว่าอะไรทั้งหมด อาจจะมากกว่าอยากให้งานสำเร็จเสียด้วยซ้ำ

     

    ในความเป็นจริง เขาพูดกลับไปได้แค่ กลับมาเร็วๆ ก็แล้วกัน

     

    สตูดิโออพาร์ตเมนท์กว้างเกินไปสำหรับคนคนเดียว เตียงที่ว่างเปล่า ปราศจากหมอนและผ้าห่มที่โดนเก็บเข้าตู้เพื่อไม่ให้ฝุ่นเกาะแล้วทำให้เขานึกถึงตอนที่เจบียังอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นหากเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงแล้วเจบีไม่ได้กลับมา ความว่างเปล่านี้จะหลอกหลอนเขาไปตลอดใช่หรือไม่ เพราะจินยองคงทำใจให้คนอื่นมาอยู่ตรงนี้แทนที่เจบีไม่ได้

     

    เจบีทิ้งมาร์ลโบโรแบล็กเมนทอลที่สูบไปแล้วเกินครึ่งซองไว้ให้เขาก่อนไป เผื่อนายจะอยากสูบตอนที่ฉันไม่อยู่ ไว้ฉันไปหาซื้อใหม่เอาก็ได้เขาพูดอย่างนั้น  ความจริงจินยองนานๆ จะสูบบุหรี่ที แต่กลิ่นหอมของแบล็กเมนทอลที่ชวนให้นึกถึงใครคนหนึ่งที่ชอบออกไปพ่นควันตอนเช้าที่ระเบียงห้องหรือไม่ก็ตอนพักเที่ยงในโซนสูบบุหรี่ทำให้จินยองอดไม่ได้ที่จะควักมันออกมาสูบบ้าง เมื่อเวลาผ่านไปและเขาตระหนักได้ว่าในซองเหลือเพียงมวนเดียว จินยองก็หยุด ...คิดว่าควรเหลือไว้ให้เจ้าของที่แท้จริงกลับมาสูบ

     

    ในระยะหลัง เจบีติดต่อกลับมาหาเขาถี่ขึ้นกว่าเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความคิดถึงหรือความเป็นห่วงของจินยองลดลงไป ยิ่งเข้าใกล้ความสำเร็จแปลว่าเจบีกับยูคยอมกำลังถลำลึกและเสี่ยงอันตราย ยิ่งเข้าไปในถ้ำลึกก็ยิ่งน่าหวาดหวั่นว่าเสือร้ายจะขย้ำ ในน้ำเสียงชื่นชมยินดีที่รู้ว่างานกำลังลุล่วงไปด้วยดีของจินยองมีความกังวลแฝงอยู่เสมอ เขาหวังว่าเจบีจะไม่รับรู้ เพราะเขาไม่อยากให้เจบีต้องเป็นห่วง แค่งานเสี่ยงที่ตัวเองต้องทำก็ลำบากมากพออยู่แล้ว

     

    *

     

    เจบีติดต่อกลับมาหาจินยองเรื่องแผนการที่จะล่อให้เอสพิวโดออกจากมุมมืด แผนการนี้เกิดขึ้นได้เพราะมีบุคคลที่สามที่ชื่อ มาร์คซึ่งจินยองจำได้ว่ายูคยอมเคยขอให้เขาช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับคนคนนี้เป็นตัวแปรสำคัญ  ที่จริงเขาเป็นห่วงว่าหากมีการยิงไล่ล่ากันระหว่างทางแล้วยูคยอมยิงสวนกลับมาทางเจบีซึ่งต้องขับรถให้เอสพิวโดจะอันตรายเกินไปหรือไม่ เจบีบอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง ไม่น่าอันตรายขนาดนั้นหากทุกอย่างจบลงอย่างรวดเร็วและเป็นไปตามแผนที่คาดการณ์เอาไว้

     

    หลังจากที่การไล่ล่าบนทางหลวงหมายเลข 50 ในรัฐเนวาดาจบลงและเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมเอสพิวโดไว้ได้ จินยองแทบขาดใจเมื่อเห็นรอยกระสุนทะลุกระจกตรงตำแหน่งคนขับรถของเอสพิวโดตำแหน่งที่เจบีนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ แต่ปรากฏว่ากระสุนเจาะทะลุแค่ที่แขนเท่านั้น ไม่ได้โดนจุดสำคัญและเจบีก็ยังมีชีวิตอยู่ดี จินยองรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่รัดแขนของเจบีเอาไว้เพื่อห้ามเลือดแล้วพาออกมาจากรถ การได้เห็นว่าเจบีปลอดภัยหลังจากที่ไม่เจอกันมานานและบาดเจ็บน้อยกว่าที่เขาคิดเอาไว้ทำให้จินยองโล่งใจ

     

    “เดี๋ยว จินยอง ขอฉันด่ามันก่อน” เจบีพูดก่อนจะหันไปทางยูคยอม

     

    “ไม่เอาน่า เจบี...” จินยองพยายามห้าม

     

    “นี่แกคิดว่าแกเป็นแจ็ก บาวเออร์หรือไงถึงยิงมั่วแบบนั้น ยิงไอ้คนที่ยิงแกสิวะ จะมายิงฉันทำไม”

     

    จินยองแตะแขนเจบีเบาๆ เพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็นลง ไม่คิดมาก่อนว่าคนอย่างเจบีที่เคยพูดว่าไม่สนใจว่าตัวเองจะตายจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับการที่ตัวเองโดนยิงที่แขนขนาดนี้

     

    “ถ้านายเป็นยูคยอม นายยิ่งมั่วกว่านี้อีก เจบี ทำเป็นพูด”

     

    *

     

    หลังจากเสร็จสิ้นงานทุกอย่างที่เนวาดาแล้ว จินยองกับเจบีและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่สังกัดกรมตำรวจลอสแอนเจลิสก็กลับมาที่ถิ่นเดิมของตัวเอง กระสุนที่เจาะแขนของเจบีเฉียดเส้นเลือดใหญ่ไปเพียงนิดเดียว แม้ว่าจะไม่ร้ายแรงมากแต่ทางสารวัตรคลาร์กก็สั่งให้เจบีลาพักจนกว่าแผลจะหายดีและแขนกลับมาใช้งานได้ปกติเหมือนเดิม

     

    จากที่ไม่ได้อยู่ในห้องนี้นาน พอกลับมาทีก็ได้หยุดพักอยู่เสียยาว

     

    ในเช้าวันที่พวกเขากลับมาถึงลอสแอนเจลิส เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งนำสัมภาระของเจบีกลับมาให้ถึงอพาร์ตเมนท์ก่อนจะปิดประตูจากไป จินยองมองเจบีที่ตอนนี้มีทั้งผ้าพันแผลพันไว้เหนือตำแหน่งที่ถูกยิงและผ้าสามเหลี่ยมคล้องเพื่อไม่ให้เจ้าตัวเผลอขยับแขนจนแผลกระเทือนแล้วก็อดขำสภาพอีกฝ่ายไม่ได้

     

    “หัวเราะอะไร อยากให้กลับมานักก็กลับมาแล้วไง อยู่นานเลยทีนี้”

     

    จินยองจัดการต้มซุปครีมเห็ดกระป๋องที่เจบีชอบกินให้เป็นอาหารเช้าและวางชามซุปให้บนโต๊ะ แต่พอเห็นความทุลักทุเลของอดีตเจ้าหน้าที่เอฟบีไอคนเก่งที่พยายามใช้มือซ้ายที่ไม่ถนัดจับช้อนตักของเหลวเข้าปากแล้วก็เห็นใจ เขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างเจบีก่อนจะดึงชามกับช้อนมาไว้หน้าตัวเอง ตักซุปแล้วป้อนให้เจบีกิน  อีกฝ่ายดูอึ้งไปนิดหนึ่งที่จินยองบริการให้ขนาดนี้ แต่ก็อ้าปากรับอาหารเข้าท้องแต่โดยดี  จินยองป้อนซุปให้เจบีเรื่อยๆ จนหมดชามแล้วจึงยกทั้งชามและช้อนไปล้างให้

     

    จู่ๆ เจบีก็โพล่งขึ้นมา “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง แต่ฉันหาจังหวะโทรหานายไม่ได้เลย”

     

    จินยองนิ่งชะงัก เขายังคงใช้ฟองน้ำถูชามในมือต่อไปเหมือนไม่ได้ยินที่เจบีพูด

     

    “หลังจากหย่า ฉันก็อยู่คนเดียวมาตลอด เวลาไปทำงานแบบนี้ไม่เคยมีใครตามให้กลับมาบ้าน”

    “ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงนาย ก็มีแต่ความคิดว่าอยากจะทิ้งทุกอย่างแล้วกลับไปหา แต่มันทำแบบนั้นไม่ได้”

    “ตอนที่ไอ้เด็กนั่นยิงสวนกลับมา ฉันทั้งโกรธทั้งกลัว... กลัวว่าถ้าตายจะไม่ได้กลับมาหานาย”

     

    คนฟังเม้มปากแน่น เขาปิดก๊อกน้ำ เก็บชามกับช้อนไว้ที่เดิมของมัน ก่อนจะเดินไปทางเก้าอี้ที่เจบีนั่งอยู่แล้วกอดคอเขาจากด้านหลัง มีอะไรมากมายที่จินยองอยากพูดให้เจบีได้ฟัง แต่มันก็ไม่ต่างอะไรจากประโยคซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่เขาพร่ำบอกเจบีไปแล้วก่อนหน้านี้ บางทีสัมผัสนี้อาจจะบอกได้มากกว่าด้วยซ้ำ

     

    เจบีใช้มือข้างที่ไม่บาดเจ็บบีบมือของจินยองเสียแน่น เขาก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน

     

     

     

    คืนนั้น เจบีออกไปนั่งบนพื้นระเบียงหลังห้องคนเดียว จินยองปล่อยให้เขามีเวลาส่วนตัวกับตัวเองจนกระทั่งได้ยินเสียงเจบีเรียกร้องขอบุหรี่ของตัวเอง จินยองหยิบมาร์ลโบโรซองเดิมที่เหลือเพียงมวนเดียวออกไปให้โดยไม่ลืมถือไลท์เตอร์ติดไปด้วยก่อนจะนั่งลงข้างๆ

     

    “เหลือมวนเดียวเองเหรอ”

     

    “อื้ม”

     

    เจบีไม่ถามว่าทำไมบุหรี่จึงเหลือเพียงแค่นั้นเพราะรู้ว่าจินยองคงเป็นคนสูบหมด เขาคาบบุหรี่ไว้ที่ปากก่อนจะอยู่นิ่งๆ ให้จินยองจุดไลท์เตอร์ให้ เสพนิโคตินและกลิ่นเมนทอลที่อัดแน่นอยู่จนพอใจแล้วก็หันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

     

    “เอามั้ย”

     

    บุหรี่มวนสุดท้ายถูกยื่นให้กับจินยองหลังจากที่เจ้าตัวพยักหน้า กลิ่นที่เคยช่วยบรรเทาความรู้สึกคิดถึงเจบีนั้นแสนคุ้นเคย แม้ว่าตอนนี้เจบีจะอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แต่สารเสพติดก็ทำให้จินยองเพลิดเพลินเกินกว่าจะยอมคืนบุหรี่มวนนั้นให้เจบี แม้ว่าอีกฝ่ายจะแบมือขอบุหรี่ของตัวเองคืนแล้วก็ตาม

     

    “คืนมาได้แล้ว”

     

    จินยองส่ายหน้าอย่างท้าทาย ไม่ใส่ใจเสียงดุของคนอายุมากกว่า เจบีเลยใช้แขนข้างซ้ายคว้าท้ายทอยของอีกฝ่ายให้โน้มเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนที่เขาจะจูบหน้าผากอีกคนอย่างไม่ให้ตั้งตัว ความตกใจทำให้จินยองเผลออ้าปากกว้าง ปล่อยให้บุหรี่มวนสุดท้ายที่คาบอยู่ร่วงลงไปบนพื้น แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเจบีอีกต่อไปแล้ว

     

    เขายังจับคอของจินยองไว้แน่นไม่ให้เจ้าตัวหันหนีไปไหนได้ตอนที่ประกบจูบลงไปบนกลีบปากนุ่มๆ นั่น รสบุหรี่ยังติดอยู่ในปากของจินยองให้เขาได้เสพสมใจ ทีแรกแค่คิดจะแกล้งคนดื้อที่ไม่ยอมคืนบุหรี่ให้เขาเฉยๆ แต่จินยองกลับหลับตาพริ้มและจูบตอบเขาอย่างไร้ความเคอะเขิน เสียงครางเบาๆ ในลำคอของอีกคนทำให้เจบีรู้สึกวาบหวาม กล้ามเนื้อที่หน้าอกด้านซ้ายของเขาเต้นโครมครามจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกมา แม้ว่ารสเมนทอลที่เขาถามหาจากจินยองเมื่อกี้นี้จะจางหายไปแล้ว แต่เจบีกลับค้นพบรสที่น่าหลงใหลกว่านั้น

     

    จินยองพึมพำถามอย่างใคร่รู้เมื่อเจบีผละออกไป

     

    “...ฉันนึกว่านายไม่ได้ชอบผู้ชายเสียอีก...”

     

    “ไม่รู้” ริมฝีปากของเจบียังคงคลอเคลียอยู่ที่พวงแก้มของจินยอง “แค่รู้สึกว่าอยากจูบนาย”

     

    “...”

     

    “ถ้าฉันไม่ได้กลับมาจูบนายอย่างนี้ ฉันคงได้สาปแช่งพระเจ้าจากนรกแน่”

     

    “เฮ้ ผู้รักษากฎหมายอย่างพวกเราต้องขึ้นสวรรค์สิ”

     

    “ฉันว่าสวรรค์ของฉันคือที่นี่” เขายกมือโอบแก้มของจินยอง “โลกที่ไม่มีนายมันก็คงเป็นนรกหมด”

     

    งั้นก็ได้โปรดอย่าทิ้งฉันไว้ในนรกแล้วกัน”

     

    คราวนี้จินยองเป็นฝ่ายรุกก่อน ยกมือสองข้างประคองแก้มเจบีเอาไว้และจูบเขา ไม่รอฟังคำตอบรับ ปิดกั้นไม่ให้เจบีปฏิเสธ

     

    *

     

    ถึงจะโดนคำสั่งให้พักงานจนกว่าจะหายดี แต่เจบีก็ยังตามจินยองออกมาทำงานด้วยเหตุผลที่ว่าอยู่ที่อพาร์ตเมนท์คนเดียวแล้วทำอะไรไม่ค่อยสะดวก ตามมาอยู่กับจินยองที่ทำงานสบายกว่า และรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์มากกว่าเพราะยังได้ช่วยงานเพื่อนในทีมบ้าง ดีกว่านั่งหายใจทิ้งเฉยๆ อยู่คนเดียวที่บ้าน

     

    เย็นวันที่เจบีกลับจากโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจดูว่าแผลของเขาหายเรียบร้อยดีแล้ว จินยองตั้งใจว่าจะจัดปาร์ตี้พิซซ่าเล็กๆ ฉลองแขนที่กลับมาใช้การได้ดีของเจบี แต่สีหน้าที่ไม่ค่อยดีนักบนใบหน้าของรูมเมทที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาทำให้ใจของจินยองหล่นวูบเล็กน้อย

     

    “มีอะไรรึเปล่า” เขาถามอย่างเป็นห่วง ความคิดที่จะให้เจบีเลือกหน้าพิซซ่ามาฉลองด้วยกันถูกพับทิ้งไป

     

    “คลาร์กเรียกฉันไปคุยวันนี้ตอนที่นายออกไปข้างนอกกับเควิน”

     

    “แล้ว...”

     

    “นายคงได้ฟังคำให้การของเอสพิวโดแล้ว ที่เขาให้การเกี่ยวกับมาเทียส เรย์” เขาหมายถึงลูกน้องคนสนิทของคอร์เทส “จาเวียร์ ลูกน้องคนหนึ่งในกลุ่มของมาเทียสเคยโดนตำรวจจับได้ตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว ตอนนี้อยู่ในคุก พวกเขามีแผนว่าจะตกลงลดโทษให้จาเวียร์กึ่งหนึ่ง หากจาเวียร์ยอมตกลงช่วยเหลือเรา...”

     

    จินยองรู้ทันทีว่าเจบีกำลังจะบอกอะไรเขา และเจบีก็รู้ว่าจินยองรู้แล้ว

     

    ต่างคนต่างไม่มีใครอยากพูดหรือฟังความจริงที่กำลังจะออกมาจากปากของเจบีจนจบ

     

    “...ด้วยการพาฉันเข้าไปเป็นพวกของมาเทียส...”

     

    ข่าวร้ายที่ได้ฟังทันทีที่เจบีกลับมาทำเอาจินยองเจ็บจุก ทั้งที่เคยทำใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่าสักวันเจบีก็ต้องมีงานแบบนี้อีก แต่พอได้ยินจริงๆ ก็อยากตะโกนให้ลั่นห้องว่าเขาไม่ยอมให้เจบีต้องไปเสี่ยงอย่างนั้น อยากค้านว่าแผนนี้มันไม่สมเหตุสมผลเพราะเจบีเคยแฝงตัวเข้าไปอยู่กับเอสพิวโดแล้ว จะให้เขาเสี่ยงปลอมตัวไปอยู่กับมาเทียสที่รู้จักเอสพิวโดอีกทำไม  อยากถามว่าถ้าเจบีเป็นอะไรไปแล้วคลาร์กจะชดใช้อะไรให้เขาได้บ้าง แต่เขารู้ว่าเขาก็ได้แค่คิดอยาก คนอย่างคลาร์กคงคิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้วถึงคุยกับเจบีแบบนี้

     

    คำถามที่จินยองได้เอ่ยถามจริงๆ ก็คือ “เมื่อไหร่”

     

    “คลาร์กจะประชุมกับทีมอาทิตย์หน้า ก็...อย่างมากคงไม่เกินสามสัปดาห์หลังจากนี้”

     

    ไม่มีทางเลือกอื่นให้จินยอง เขารู้ว่าต่อให้เขาขอร้องคลาร์กให้เขาแฝงตัวเข้าไปด้วย คลาร์กจะไม่มีวันยอม เพราะแค่ตำรวจคนเดียวก็เสี่ยงมากพอแล้ว หากเอาเข้าไปสองคนน่าจะยิ่งอันตรายกว่าเดิม หรือต่อให้จินยองยอมแลกตัวกับเจบี คลาร์กก็คงจะไม่อนุญาตอีกเช่นกัน หล่อนคงต้องการให้เจบีที่เชี่ยวชาญมากกว่าเป็นผู้ปฏิบัติการ

     

    ตราบใดที่พวกเขาสองคนยังทำอาชีพที่เหมือนโดนสาปแบบนี้อยู่ จินยองก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากเตรียมตัวเผชิญกับความเปล่าเปลี่ยวนั้นอีกครั้ง

     

    จะชั่วคราวหรือถาวร...เขาไม่รู้เลย

     

     

    'คุณคิดยังไงที่บางครั้งเราจำเป็นต้องปกป้องคนหมู่มาก แต่กลับปกป้องคนที่เรารักไม่ได้'

     

    'คงเป็นคำสาปของคนที่ทำงานอย่างเราละมั้ง'

     

    *

     

    ใจหนึ่งจินยองเชื่อว่าเจบีจะกลับมา แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าอาจเป็นครั้งสุดท้าย

     

    ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง ครั้งนี้เจบีอาจจะแนบเนียนเสียจนมาเทียสไม่เอะใจว่าเขาเป็นตำรวจ หรือมาเทียสอาจจะสังเกตแต่แรกเห็นจนกลายเป็นครั้งสุดท้ายของเจบีที่ได้ทำงานแบบนี้

     

    เขาไม่รู้อะไรเลย

     

    เจบีเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าใบเดิมเหมือนในวันนั้น สิ่งที่ต่างออกไปคือความเงียบงัน จินยองไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่า “รีบติดต่อกลับมานะ” เพราะแม้จะไม่ได้เจอกันอีกสักระยะ แต่เสียงของเจบีคือหลักฐานเดียวที่บอกให้จินยองรู้ว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่และจะกลับมาหาเขา

     

    อีกสิ่งหนึ่งที่เจบีและจินยองทำคือจูบ จูบเพื่อบอกให้จินยองรู้ว่าเขาจะกลับมา จูบเพื่อบอกให้เจบีรู้ว่าเขารอเสมอ

     

    และเผื่อเป็นการจูบลาครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำ

     

    “Be safe and come back home.”

     

    “I will.”

     

     

    ยังไงสักวันหนึ่ง ไม่ฉันก็นายก็ต้องตายอยู่แล้ว

     

     

    เขารู้ว่าสักวันหนึ่งไม่เจบีก็เขาก็ต้องตาย คนที่ทำอาชีพอย่างเขาสองคนมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว และภาระหน้าที่ของเจบีก็ทำให้เขามีโอกาสเฉียดใกล้ความตายได้มากกว่าจินยอง บาดแผลตามร่างกายของเจบีคงไม่หยุดอยู่แค่เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน

     

    จินยองได้แต่ภาวนาว่า... วันที่เจบีหรือเขาจากกันไปจะไม่มาถึงเร็วจนเกินทำใจ

     

     

    เขายังอยากใช้ชีวิตอยู่กับเจบีให้นานกว่านี้

     

     

     

    END.

     


     

    เอ๊ะ อะไร ยังไง

    ไปอ่าน amor fati มาอีกรอบแล้วคิดถึงคุณตำรวจทั้งสองคนค่ะ เลยจับมาวิ่งเล่น(?)กันซะหน่อย
    ตอนแรกจะเขียนเป็น ficlet สั้นๆ บรรยายจินยองที่รอเจบีทุกคืน
    รู้ว่างานเขาเสี่ยง รู้ว่าเขาอาจจะตายได้ แต่ก็หวังว่าเขาจะปลอดภัยกลับมา
    ทว่ามันก็ยาวออกทะเลอีกแล้ว *ตีมือตัวเอง* และก็ออกมาเป็นแบบนี้แหละ

    ไม่มีภาคต่อหรือสปินออฟใดๆ จากตัวละครชุดนี้แล้วนะคะ
    ส่วนเจบีจะรอดกลับมาหาจินยองหรือไม่นั้น...เก่งอย่างคุณเขาก็ต้องรอดสิเนอะ ;w;


    - สมสน.
    (c) Chess theme
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×