ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] Just A Little Bit of Us | yugmark (SF/OS)

    ลำดับตอนที่ #5 : [SF] amor fati

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 58






    amor fati

     

     

     

    amor fati is a Latin phrase that may be loosely translated as "love of fate" or "love of one's fate". It is used to describe an attitude in which one sees everything that happens in one's life, including suffering and loss, as good or, at the very least, necessary.

     

     

     


    มาร์คและยูคยอมกลับมาเริ่มต้นด้วยกันใหม่ครั้งที่สาม หลังจากที่พวกเขาเลิกรากันไปแล้วถึงสองครั้ง

     

    เหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน

     

    'นายทำถึงขนาดนี้...' เขาจ้องตายูคยอม ทบทวนเจตนารมณ์ของอีกฝ่ายอีกครั้ง '...จะไม่ให้ฉันปฏิเสธนายเลยสินะ

     

    งั้นเรามาเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้ง

     

     

     

     

     

    มาร์คยืนกอดอกพิงราวขอบถนน สายตาทอดมองไปยังรถกระบะสีแดงที่จอดอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว และชายหนุ่มตัวสูงอีกคนที่กำลังขะมักเขม้นกับการเปลี่ยนยางรถ  พวกเขาเพิ่งเดินทางออกจากลอสแอนเจลิสได้แค่ไม่กี่ชั่วโมง ยางหน้าซ้ายของรถก็แบนจนต้องรีบมาจอดข้างทาง  ท้ายรถมียางอะไหล่และแม่แรงวางกองไว้อยู่ การแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองจึงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป

     

    "ยังไม่ทันได้ออกจากแคลิฟอร์เนียเลย"

     

    มาร์คพูดลอยๆ พลางมองรถยนต์คันอื่นที่แล่นผ่านไปมา การจราจรคล่องตัวทำให้พาหนะทุกคันแล่นฉิวไปได้อย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เขาอยู่กับรถที่ยังใช้การไม่ได้และผู้ชายอารมณ์เสียอีกหนึ่งคน และเขาเองก็กำลังจะอารมณ์เสียตามเหมือนกัน ทุกอย่างควรราบรื่นกว่านี้

     

    ยูคยอมละสายตาจากวงล้อกลมตรงหน้า เขาหันไปมองมาร์ค "ถ้าจะยืนบ่นอย่างเดียวก็มาช่วยกันมั้ย"

     

    "นายเลือกรถห่วยๆ คันนี้มาเอง"

     

    "คุณช่วยคนอื่นไม่เป็นเหรอ"

     

    "หุบปากแล้วก็ทำไป"

     

    มาร์คตัดรำคาญ ไม่สนใจที่ยูคยอมจงใจสบถด่าเขาเสียงดังให้ได้ยิน ปกติยูคยอมจะสุภาพกับเขา แต่ในเวลาอารมณ์ร้อนอย่างเช่นในตอนนี้ก็ใช้คำหยาบคายได้เหมือนกัน และต่อให้ลุกลามทะเลาะกันแรงกว่านี้ สถานการณ์ปัจจุบันก็ไม่ช่วยให้ใครได้ไล่อีกคนออกไปเหมือนที่ผ่านมา มาร์คมั่นใจว่าจะไม่มีครั้งที่สี่เกิดขึ้น

     

    ยูคยอมใช้เวลานานกว่าที่คนใจร้อนอย่างมาร์คจะยืนรอเฉยๆ ได้ อุณหภูมิในเวลานี้ทำให้เขาอ่อนเพลียและอึดอัด ทุกวันนี้แทบทุกคนมีสมาร์ตโฟนไว้ฆ่าเวลาในเวลาแบบนี้ แต่ยกเว้นมาร์คไว้สักคน เขามีแค่โทรศัพท์มือถือรุ่นเก่ากึ้กหนึ่งเครื่องที่ทำได้แค่รับสายโทรออก และใช่ว่าเขาจะมีคนให้โทรศัพท์หาหรือติดต่อกันผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กเยอะแยะเสียเมื่อไร  มาร์คเริ่มกระสับกระส่าย เขาล้วงกระเป๋ากางเกงหาสิ่งที่เขาติด

     

    ยูคยอมเงยหน้าขึ้นมาอีกทีเพื่อยกยางเส้นใหม่สวมเข้าไปในวงล้อ ชักสีหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นว่ามาร์คกำลังทำอะไร และโกรธตัวเองที่พลาดไม่ยึดมันมาจากมาร์คตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง

     

    "นี่ยังจะมีอารมณ์สูบบุหรี่อีก"

     

    มาร์คไม่โต้ตอบ ยักไหล่แบบไม่สนใจ เขารู้อยู่แล้วว่ายูคยอมต้องบ่น ยังดีที่ไม่เดินมาดึงมวนบุหรี่ออกไปจากปากเหมือนครั้งก่อน ยูคยอมเพียงแค่ส่ายหน้าแล้วหันไปสนใจยางรถต่อเหมือนเดิม

     

    ไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็เปลี่ยนยางรถจนเสร็จ ยูคยอมเปิดประตูและขึ้นไปนั่งบนเบาะคนขับ ผู้ร่วมเดินทางอีกคนทำตามเขาและขึ้นไปนั่งบนเบาะข้างๆ ลดกระจกหน้าต่างลงเพื่อให้ระบายควันบุหรี่  ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะห้ามมาร์ค ยูคยอมทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่ชายหนุ่มอีกคนคาบไว้ในปาก เขาสตาร์ตรถและออกเดินทางต่อ

     

    *

     

    มาร์คเจอยูคยอมครั้งแรกตรงประตูทางเข้าออกของซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดกลางแห่งหนึ่งแถวบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม เขาเพิ่งเดินกลับออกมาจากการซื้ออาหารกระป๋องและของใช้อื่นๆ สวนกับชายหนุ่มเอเชียท่าทางฉุนเฉียวที่ก้าวเท้าฉับไวเข้าไปภายใน มาร์คคงไม่รู้สึกสะดุดใจเท่าไร หากไม่ใช่เพราะหัวคิ้วและปากของชายคนนั้นแตกจนเลือดอาบ

     

    เจ็บแบบนั้นทำไมไม่ไปคลินิก มาร์คสงสัยเช่นนั้น แต่ระดับความเป็นมิตรของเขาติดลบจึงไม่ใส่ใจจะถาม

     

    เขาเดินถือถุงข้าวของของตัวเองไปยังป้ายรถประจำทางที่อยู่ใกล้ๆ รถประจำทางสายที่เขารอยังไม่ทันจะมา ชายคนที่เขาเห็นเมื่อกี้ก็เดินมานั่งข้างๆ ในมือถือถุงขนาดเล็ก ถึงจะบาดเจ็บและมีเลือดไหลลงมาตั้งแต่ปากแผลบริเวณหัวคิ้วจรดลงมาถึงปลายคาง แต่คราบเลือดบางส่วนที่แห้งกรังก็ไม่ได้บดบังความดีงามของใบหน้านั้นเลยสักนิด เขาดูดีกว่าชาวเอเชียทั่วไปที่มาร์คเคยได้เจอ

     

    และรู้สึกตัวไวกว่าด้วย

     

    "มองอะไร"

     

    "ขอโทษที ก็แค่คุณดูเหมือนต้องการให้คนช่วย"

     

    "เนี่ยอะเหรอ" เขายกปลายนิ้วขึ้นเช็ดคราบเลือดที่แห้งติดอยู่ "แค่นิดเดียว"

     

    "อย่างน้อยก็น่าจะเช็ดเลือดหน่อย"

     

    ชายคนนั้นอ้าปากถุงที่ตัวเองถืออยู่ ข้างในมีแอลกอฮอลล์ล้างแผลขวดเล็ก สำลี ผ้าก๊อชและสก็อตเทป "คุณจะช่วยมั้ยล่ะ"

     

    มาร์คมองเลยไปด้านหลังของชายผู้นั้น เขาเห็นรถประจำทางสายที่ผ่านที่อยู่ของตัวเองกำลังขับใกล้เข้ามา

     

    แต่สิ่งที่อยู่ใกล้กว่าคือกลิ่นคาวเลือดที่อยู่ห่างออกไปเพียงนิดเดียว

     

    แล้วสุดท้ายมาร์คก็ปล่อยให้รถประจำทางคันนั้นรับสุภาพสตรีผิวสีและลูกชายของหล่อนขึ้นรถไปแค่สองคน เขาวางถุงของตัวเองลงบนพื้นก่อนจะเปิดฝาแอลกอฮอลล์ เทของเหลวลงบนสำลีก้อนให้ชุ่มโชก และค่อยๆ เช็ดทำความสะอาด ชายคนนั้นจ้องมองมาร์คด้วยสายตาที่ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ และหากว่ามาร์คไม่ได้กำลังขยับมือเพื่อช่วยทำแผลให้อีกคน เขาคงคิดว่าเวลาบนโลกกำลังหยุดหมุนเป็นแน่แท้

     

    "คุณชื่ออะไร"

     

    "ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก" มาร์คปฏิเสธทันที "เพราะผมก็จะไม่ถามว่าคุณไปได้แผลนี่มายังไง"

     

    มาร์คช่วยปิดแผลที่หัวคิ้วให้ชายคนนั้น ก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดกลับลงถุงแล้วยื่นคืนให้ ผ่านไปหลายนาที รถประจำทางสายเดิมผ่านมาอีกครั้ง คราวนี้มาร์คทิ้งคนที่ตัวเองเพิ่งทำแผลให้ไว้ที่เดิม ไม่รอฟังคำขอบคุณ

     

    *

     

    ประมาณสองชั่วโมงถัดมา รถของมาร์คและยูคยอมขับมาถึงเมืองซาคราเมนโต เมืองหลวงของรัฐแคลิฟอร์เนีย  บรรยากาศที่นี่โล่งและสะอาดตา นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่แทบไม่รู้จักเมืองนี้  และไม่มีผู้คนหลากสัญชาติรวมตัวกันเหมือนในลอสแอนเจลิส เมืองนี้จึงไม่แออัดเท่า แต่อย่างไรก็น่าจะมีมนุษย์อยู่มากกว่าที่ที่พวกเขากำลังจะขับผ่าน 

     

    พวกเขาแวะร้านเบอร์เกอร์แอนด์บรูว์เพื่อกินมื้อที่สองของวันและยืดเส้นยืดสายหลังจากนั่งอยู่ในรถมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง  ยูคยอมถึงกับต้องกดเฟ้นไปตามแขนและขาของตัวเอง นึกถึงที่เคยเสนอมาร์คไปว่า 'เรานั่งรถไปกัน ไปตามสาย 50 ไปให้ถึงฝั่งโน้นเลย แล้วอยากแวะที่ไหนก็แวะ สบายๆ' 

     

    ตอนพูดนั้นง่าย แต่พอต้องนั่งจับพวงมาลัยเป็นเวลาหลายชั่วโมงจริงๆ มันก็ไม่สบายอย่างที่คิด  ไม่น่าเลยจริงๆ

     

    ระหว่างรออาหาร มาร์คก็ลุกออกจากเก้าอี้ยาวที่นั่งอยู่ "ไปสูดอากาศข้างนอกแปบ" ซึ่งชายหนุ่มร่วมโต๊ะอีกคนยื่นมือออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น มาร์คถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ก่อนจะล้วงกระเป๋าเอาบุหรี่และไฟแช็คใส่มือของยูคยอม

     

    "นายมันตัวน่ารำคาญ"

     

    "แต่คุณก็ไม่เคยทิ้งตัวน่ารำคาญอย่างผมได้เลย"

     

    "Fuck you very much."

     

    "I'll be waiting."

     

    *

     

    เกือบสองเดือนถัดมา มาร์คได้เจอชายคนที่เขาเจอที่ป้ายรถประจำทางอีกครั้งหน้าประตูทางเข้าตึกห้องเช่าของตัวเอง ตอนแรกเขาจำไม่ได้ว่าชายหนุ่มตัวสูงที่ยืนขวางไม่ให้เข้าเดินไปไหนเป็นใคร แต่พอจ้องตาและเห็นแผลเป็นจางๆ ที่หัวคิ้วแล้ว ความทรงจำในคืนนั้นก็กลับมาไม่ยาก  จากท่าทางของอีกฝ่าย มาร์ครู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

     

    “คุณรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่”

     

    “ผมมีวิธีก็แล้วกัน”

     

    คุณทำให้ผมรู้สึกไม่ดี”

     

    แน่ล่ะ ใครจะรู้สึกดีได้ที่อยู่ๆ มีใครสักคนที่เพิ่งเคยเจอหน้าแค่ครั้งเดียวตามหาตัวเขาเจอถึงบ้าน อีกทั้งรูปลักษณ์ภายนอกของชายคนนี้ยัง... คืนนั้นเขาไม่ทันได้สังเกต แต่ตอนนี้ชายคนดังกล่าวสวมเสื้อยืดสีขาวขนาดพอดีตัว เห็นส่วนหนึ่งของรอยสักสีดำโผล่ออกมาตรงคอเสื้อและปลายแขนเสื้อที่ขาดลุ่ย เช่นเดียวกับกางเกงยีนส์เก่าๆ สภาพดูไม่ได้ “ขอโทษนะ แต่คุณดูไม่น่าไว้ใจ”

     

    “ถ้าผมจะทำร้ายคุณ ผมไม่โผล่หน้ามาให้คุณเห็นชัดขนาดนี้หรอก ผมแค่อยากรู้จักคุณ” ชายคนนั้นพูดก่อนจะยื่นมือออกมาอย่างเป็นมิตรเพื่อแนะนำตัว “ผมชื่อยูคยอม คิม”

     

    ชื่อภาษาต่างประเทศที่ไม่คุ้นหูทำให้มาร์คฟังไม่ทันว่าควรออกเสียงอย่างไร “ยู...ยูอะไรนะ”

     

    “ยู-คยอม”

     

    “ยู...ยูคอม ยูคยอม” พอยูคยอมไม่แก้มาร์คจึงเข้าใจว่าตัวเองออกเสียงชื่ออีกฝ่ายถูกแล้ว เขารีบเอ่ยต่อ “โอเค มิสเตอร์ยูคยอม คิม  ผมรู้จักคุณแล้วนะ ส่วนคุณ...คุณรู้ว่าผมอยู่ตึกนี้ แปลว่าคุณก็คงจะรู้จักชื่อผมแล้ว เพราะฉะนั้น” เขาเดินเบี่ยงไปอีกข้างหวังจะผ่านยูคยอมไปได้ แต่คนตัวสูงกว่ากลับขวางเขาไว้ได้อย่างง่ายดาย

     

    “เฮ้ๆ ใครบอก ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย โอเค ผมบอกคุณก็ได้ว่าผมเจอที่นี่ได้ยังไง ผมไปยืนรอคุณแถวซูเปอร์นั่นทุกๆ สัปดาห์ สุ่มวันไปเรื่อยๆ เผื่อว่าจะเจอคุณเข้าสักวัน เมื่อวานซืนพอเห็นคุณปุ๊บ ผมก็ขึ้นรถประจำทางตามคุณมา แล้วคุณก็ลงที่ป้ายตรงหัวมุมนั้น ผมเลยเดาว่าคนที่อยู่คนเดียวอย่างคุณน่าจะอยู่ที่นี่”

     

    “ผมชื่อแจ็คสัน หวัง” มาร์คโกหกเพราะไม่อยากบอกชื่อจริงตัวเอง “รู้ตัวรึเปล่าว่าคุณน่ากลัวมาก และคุณควรทักผมที่ซูเปอร์ ไม่ใช่ตามมาถึงที่นี่”

     

    โทษที ผมดีใจที่ได้เจอคุณจนไม่ทันคิดน่ะ”

     

    “คุณไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ย ผมขอตัวล่ะ”

     

    กว่ายูคยอมจะได้รู้ความจริงว่าเขาไม่ได้มีชื่อว่าแจ็คสัน หวัง แต่ชื่อมาร์ค ต้วน ก็อีกประมาณสัปดาห์หลังจากนั้น เรื่องนี้ได้กลายเป็นมุกตลกที่ยูคยอมนำมาใช้บ่อยๆ อย่างเวลามาร์คทำอะไรพลาดไป ยูคยอมก็จะแกล้งพูดว่า ทำอะไรของคุณน่ะ แจ็คสันหรือหากมาร์คโกรธเขาอยู่ เขาก็จะง้อว่า โกรธผมทำไมแจ็คสันซึ่งชื่อนั่นก็จะทำให้มาร์คหัวเราะออกมาจนเกือบลืมไปว่าโกรธอยู่ แต่มันก็ใช้ได้ผลแค่ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น

     

    ในช่วงที่ทุกอย่างยังดี

     

    *

     

    มาร์คและยูคยอมไม่เสียเวลาอ้อยอิ่งอยู่ที่ซาคราเมนโตนานนัก หลังจากเติมอาหารให้เต็มกระเพาะและซื้อเสบียงตุนไว้ในรถจนพออยู่ได้อีกหลายมื้อ พวกเขาก็ออกเดินทางเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 50 – ถนนที่ยาวสามพันกว่าไมล์ เริ่มต้นในเมืองซาคราเมนโต และสิ้นสุดที่เมืองโอเชียนซิตี้ รัฐแมรี่แลนด์ ทางชายฝั่งตะวันออก

     

    ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงพวกเขาก็เข้าถึงเขตเอล โดราโด  สิ่งก่อสร้างสีเทาหม่น สัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองในตัวเมืองถูกแทนที่ด้วยทุ่งหญ้าสีน้ำตาลอ่อนในสองข้างทางและพุ่มไม้เตี้ยๆ สีเขียวอ่อน แตกต่างจากเมืองหลวงที่พวกเขาเพิ่งจากมาอย่างมาก เมื่อขับไปเรื่อยๆ จึงเริ่มเห็นเนินเขาลาดเอียงสลับกันไปตามทาง บรรยากาศโดยรวมดูแห้งแล้งและไร้ชีวิต เสาไฟฟ้าเป็นดั่งสิ่งแปลกปลอมที่ผุดขึ้นมาท่ามกลางธรรมชาติ

     

    ต้นไม้เริ่มมากขึ้นเมื่อพวกเขากำลังผ่านคาเมรอน พาร์ค  ความโล่งกว้างของถนนและท้องฟ้าไพศาลที่ปลอดโปร่งไร้เมฆสักก้อนทำให้รถกระบะสีแดงที่แล่นอยู่ไม่ต่างอะไรกับมดตัวหนึ่งในโลกกว้าง รถไม่กี่คันที่ร่วมถนนกันกับอาคารรูปบ้านที่เป็นอู่ล้างรถหรืออื่นๆ ช่วยทำดูไม่เงียบเหงาจนเกินไปนัก

     

    มาร์คเปิดกระจกหน้าต่างรถอีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อสูบบุหรี่เพราะยูคยอมยึดมันไปแล้ว แต่เพื่อให้อากาศภายนอกไหลเข้ามาได้  ชายหนุ่มที่ขับรถอยู่เหลือบมองการกระทำของผู้ร่วมเดินทางจากหางตา

     

    “เราจะจอดพักกันก็ได้นะ”

     

    “ไม่เป็นไร ไปต่อเถอะ ฉันอยากเห็นทะเลสาบก่อนที่จะเย็น” มาร์คเอ่ยเสียงเรียบ เขาเบือนหน้ามองทิวทัศน์ข้างทาง “และเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”

     

    *

     

    มาร์คไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่า ขอผมเลี้ยงกาแฟคุณสักแก้วหนึ่งของยูคยอมหมายความว่าอย่างไร ที่จริงก็พอจะเดาออกตั้งแต่อีกฝ่ายพยายามตามหาเขาขนาดนั้นแล้ว  หากเป็นคนอื่นเขาอาจจะปฏิเสธไมตรีที่หยิบยื่นให้นี้ไปและไม่สนใจความรู้สึกของผู้หวังดี แต่หลายๆ อย่างในตัวยูคยอมทำให้มาร์คหาข้ออ้างให้ตัวเองว่า กาแฟฟรีสักแก้วคงไม่เสียหายอะไร

     

    เขาเพิ่งรู้ในตอนนั้นเองว่ายูคยอมอายุยี่สิบสาม – น้อยกว่าเขาสี่ปี

     

    “นายเรียนมหาลัยที่ไหนล่ะ”

     

    “คิดว่าผมมีเงินเรียนเหรอ” ยูคยอมสวนกลับ น้ำเสียงไม่มีความน้อยอกน้อยใจ “พอจบไฮสคูลผมก็บอกลาการศึกษาแล้วล่ะ คงไม่เหมือนคุณหรอก ลองคุณถามแบบนี้แปลว่าคุณต้องเรียนสูงกว่า”

     

    “ซีซีเอ เมื่อก่อนฉันเคยอยู่ที่ซานฟรานซิสโก”

     

    คนฟังอ้าปากค้าง ปฏิกิริยาของเขาทำให้มาร์คเผลอยิ้มออกมา

     

    “โกหกน่า”

     

    “ฉันจะโกหกนายทำไม”

     

    “แล้วทำไมย้ายมาอยู่นี่”

     

    “เรื่องมันยาว”

     

    “ผมมีเวลา”

     

    “ไม่อยากเล่า” เขาเลี่ยง เพราะหากต้องอธิบายว่านักศึกษาศิลปะจากวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงโด่งดังและค่าเทอมแพงหูฉี่ ใช้ชีวิตหรูหราและค่อนข้าง มีสไตล์อย่างเขามาใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าราคาถูกๆ ตัวคนเดียวที่นี่ได้อย่างไรและเพราะเหตุใด แปลว่าเขาจำเป็นต้องเล่าทุกอย่างที่เขาไม่เต็มใจจะเล่าให้คนที่เพิ่งเคยพบหน้ากันไม่กี่ครั้งอย่างยูคยอมฟัง

     

    “ผมหมายถึง... ผมมีเวลาอีกนานที่จะทำให้คุณยอมเล่าให้ผมฟัง”

     

    *

     

    ปริมาณรถเริ่มหนาแน่นขึ้นเมื่อพวกเขาถึงเขตเพลเซอร์วิลล์ ยูคยอมจอดรถเพื่อเติมน้ำมันและเพื่อเดินยืดเส้นยืดสายข้างนอก เขามองกระเป๋าสีดำที่วางอยู่บนเบาะที่นั่งด้านหลังผ่านกระจกรถ แล้วมองมาร์คที่กำลังหลับอยู่ เขาเผลอแตะบุหรี่และไฟแช็คของมาร์คที่เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง ใจหนึ่งคิดว่าควรโยนมันทิ้งไป แต่อีกใจหนึ่งก็อยากเก็บเอาไว้

     

    ชายอายุมากกว่าดูสงบนิ่งในยามนิทราเช่นนี้ ทุกครั้งที่มาร์คนอนหลับ ยูคยอมหวนนึกถึงตอนที่ทุกอย่างยังดี

     

    ฉันคิดว่าเราก็น่าจะเข้ากันได้ดีนะ มาร์คเป็นคนพูดประโยคนี้ออกมาเองเมื่อพวกเขาตกลงกันว่าความสัมพันธ์นี้ควรจะจริงจังก้าวหน้าไปมากกว่านี้ได้แล้ว อย่างที่ทุกคนชอบเปรียบ เราเป็นชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย แต่นายทำให้ฉันชอบตอนที่ฉันได้อยู่กับนาย  โดยพื้นฐานแล้วมาร์คเป็นคนนิ่งๆ จนบางครั้งยูคยอมดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่ แต่มาร์คยิ้มให้ยูคยอมบ่อยขึ้นในทุกๆ ครั้งที่พบหน้ากัน และทุกรอยยิ้มที่มาร์คมีให้ยูคยอมทำให้เขาตกหลุมรักใหม่ทุกครั้ง เปล่งประกายและเป็นเหมือนแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวให้กับยูคยอม

                                                                      

    ช่วงเวลาเหล่านั้นดำเนินไปได้ไม่นานก็จบลง  แม้ว่าจะได้เริ่มต้นใหม่ในภายหลัง แต่ในทุกครั้งที่เวลาของพวกเขาจบลง เป็นมาร์คเสมอที่เป็นคนเอ่ยปากยุติ  ยูคยอมไม่เคยโกรธมาร์ค และเข้าใจว่ามาร์คมีสิทธิทุกอย่าง เพราะคนที่ทำให้ความสัมพันธ์บิดเบี้ยวแต่แรกคือตัวเขาเอง เส้นที่มันวาดไม่ตรงมาตั้งแต่แรก จะพยายามฝืนหรือบังคับอย่างไรก็ไม่มีทางตรงได้อย่างสมบูรณ์แบบ

     

     

    ยูคยอมขับรถออกจากเพลเซอร์วิลล์ต่อได้ไปสักสิบห้านาที มาร์คก็ตื่นขึ้น เขามองข้างทางที่ยังคงมีแต่ต้นสนเรียงรายหนาทึบและถนนก่อนจะถามยูคยอมว่าพวกเขาอยู่ตรงไหนกันแล้ว  ยูคยอมคิดว่ามาร์คคงเบื่อกับการนั่งรถเป็นเวลานานๆ ซ้ำข้างทางก็ยังไม่มีอะไรให้มอง เขาเลยเปิดเพลงในรถ แต่มาร์คดูเหมือนจะไม่ได้สนใจฟัง มัวแต่ดื่มด่ำกับทิวทัศน์เดิมๆ ภายนอกพาหนะ

     

    “ผมนึกว่าคุณจะเบื่อ”

     

    “ตอนที่ฉันย้ายจากซานฟรานไปอยู่แอลเอ ฉันก็คิดว่าฉันเดินทางไกลมากแล้ว” เขามองถนนที่ยาวสุดลูกหูลูกตา ยาวจนมองไม่เห็นว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ใด “นี่เรายังไม่พ้นจากแคลิฟอร์เนียด้วยซ้ำ”

     

    “เราจะยังไปถึงอีสต์โคสต์อยู่หรือเปล่า”

     

    “ถ้าไปถึงนั่นได้ก็ไป”

     

    งั้นผมจะพาคุณไปให้ถึงนะ”

     

    คนฟังไม่ได้ตอบรับในทันที เขาครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยพูดออกมาโดยไม่หันหน้ากลับมาทางยูคยอม ราวกับว่าผู้ฟังของเขาคือบรรดาต้นไม้และเนินดินที่อยู่ภายนอก

     

    “รู้อะไรมั้ย นายชอบสัญญาอะไรที่มัน... ไม่สิ ไม่ถึงขั้นสัญญา นายไม่เคยใช้คำนั้น แต่นายชอบบอกว่านายจะทำอย่างนั้น นายจะทำอย่างนี้ ทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้ และเราสองคนก็รู้ดี ผมจะเลิกทำแบบนั้น ผมจะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น ผมจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดกับคุณอีก all these bullshit you always say… ทั้งที่รู้อย่างนั้น ฉันก็ยังชอบฟัง แล้วก็เชื่อ

     

     เพราะความหวังลมๆ แล้งๆ ก็ยังดีกว่าความสิ้นหวัง

     

    *

     

    บทเรียนชีวิตที่ผ่านมาทำให้มาร์คสังเกตสิ่งที่ผิดปกติได้ง่ายดาย และสังหรณ์ของเขาก็ทำงานไม่ผิดพลาด

     

    ยูคยอมบอกว่าเขาทำงานประจำที่อู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากที่พักของมาร์คจนเกินไป มาร์คเคยแวะไปรอยูคยอมใกล้ๆ ในช่วงเลิกงานบ้างหลายครั้ง ซึ่งตอนนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ แต่มีอีกหลายครั้งที่มาร์คผ่านที่ทำงานของยูคยอมระหว่างทางแวะไปทำธุระอื่นและได้รับคำตอบว่ายูคยอมไม่อยู่ พอสงสัยก็เลยถามไปตรงๆ ว่ายูคยอมยังทำงานอยู่ที่นี่หรือเปล่า ชายฮิสปานิกร่างท้วมใหญ่หนวดเฟิ้มที่ดูน่ากลัวคนหนึ่งพูดเสียงดังจนเกือบเป็นตะคอกว่า “มันทำงานที่นี่! แต่เวลานี้มันไม่อยู่ ตรงไหนที่ฟังไม่เข้าใจ”

     

    เขาตัวใหญ่และดูอันตรายเกินกว่ามาร์คจะยอมมีเรื่องและสวนกลับไปว่า ก็ตรงที่มันไม่อยู่ทำงานที่นี่ในเวลางานนี่ไง

     

    คืนนั้นยูคยอมมาหาเขาที่ห้องพอดี มาร์คเลยหยิบเรื่องที่สงสัยขึ้นมาถาม นั่นเป็นครั้งแรกที่มาร์คบอกยูคยอมว่าตัวเองแวะไปหายูคยอมมาระหว่างวัน และเป็นครั้งแรกที่มาร์คเห็นยูคยอมมีสีหน้าไม่ค่อยพึงพอใจสิ่งที่ได้ยิน เขาดูเครียดและกังวลกว่าครั้งใด

     

    “ผมเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าไปหาผมในเวลานั้น คุณไม่เจอผมหรอก นี่คุณแอบไปหลายครั้งแล้วใช่มั้ย คนที่นั่นจำหน้าคุณได้แล้วล่ะสิ คุณห้ามไปอีกนะ”

     

    ยูคยอมบังคับให้มาร์คสัญญาว่าจะไม่ไปหายูคยอมที่นั่นอีกหากเขาไม่ได้ชวนก่อน มาร์ครีบรับคำตามนั้นเพราะรู้สึกหวั่นเกรงสายตาขึงขังและน้ำเสียงจริงจังของชายหนุ่มอายุน้อยกว่า แต่ก็อดสงสัยไม่ได้

     

    “บอกฉันได้ไหมว่าที่นั่นมันมีอะไร คนพวกนั้นเพื่อนร่วมงานนายไม่ใช่เหรอ จำหน้าฉันได้แล้วมันทำไม”

     

    “ผมไม่อยากให้พวกมันมายุ่งกับคุณ และอย่าถามอะไรผมอีกเลย ขอร้องล่ะ”

     

     

    มาร์คไม่ถามยูคยอมและไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีกอย่างที่เจ้าตัวขอให้ทำ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเขาจะลืมเรื่องนั้นได้อย่างสนิทใจ เขารู้ซึ้งดีกว่าใครว่าการปล่อยปละละเลยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าสงสัยทำให้มีผลตามมาอย่างไรบ้าง

     

    ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน

     

    *

     

    ทางหลวงหมายเลข 50 พายูคยอมและมาร์คมาถึงเซาธ์เลคทาโฮ เมื่อขับขึ้นไปทางเหนือ พวกเขาก็เห็นส่วนหนึ่งของผืนน้ำในทะเลสาบทาโฮ ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ระหว่างรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐเนวาดาที่อยู่ติดกัน น้ำในทะเลสาบใสจนกลายเป็นสีเฉดเดียวกันกับท้องฟ้าที่อยู่เบื้องบน  ห่างออกไปข้างหน้า พวกเขาเห็นเทือกเขาไกลลิบ  ริมถนนฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกันกับฝั่งที่ติดทะเลสาบมีทั้งร้านอาหารและที่พักในอาคารรูปร่างบ้านทรงเตี้ย ไม่มีตึกสูงระฟ้ามาบดบังวิวให้เสียบรรยากาศ มีเพียงต้นไม้สีเขียวครึ้มเท่านั้นที่สูงโดดเด่น

     

    มาร์คบอกแค่ว่าอยากเห็นทะเลสาบทาโฮด้วยเท่านั้น พวกเขาไม่ได้วางแผนว่าจะทำอย่างไรเมื่อมาถึงที่นี่ ตอนนี้พวกเขาขับรถเข้ามาในบริเวณที่พักอาศัยและมองไม่เห็นทะเลสาบแล้ว

     

    “จะหาที่พักที่นี่เลยแล้วเราค่อยออกมาดูทะเลสาบ หรือคุณอยากข้ามไปเนวาดา”

     

    “ไม่รู้สิ เราควรไปไหนดีล่ะ”

     

    “ไปเนวาดาเลยแล้วกัน”

     

    ทั้งสองคนรู้ทันทีโดยไม่ต้องพึ่งแผนที่หรือป้ายบอกทางใดๆ ก็รู้ว่าตัวเองถึงบริเวณสเตตไลน์ของรัฐเนวาดา เพราะต้นไม้ที่รายล้อมทั้งสองฝั่งถนนเมื่อครู่นี้หายไป และมีตึกสูงที่พวกเขาไม่ได้เห็นมาเป็นชั่วโมงแล้ว สิ่งแรกที่เด่นสะดุดตาพวกเขาคือตัวอักษรสีแดง HARVEYS เหนือตึกโรงแรมที่ดูทันสมัย และขับต่อไปอีกนิดหนึ่งก็เจอกับคาสิโน

     

    “สมกับเป็นเนวาดา”

     

    “เราควรเข้าไปเล่นมั้ย”

     

    “ไม่อะ ดวงตกกันทั้งคู่ขนาดนี้”

     

    ยูคยอมพูด และพวกเขาก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

     

    หลังจากหยุดจอดรถชั่วคราวเพื่อกางแผนที่และปรึกษากันว่าจะไปดูทะเลสาบที่จุดไหนหรือหาที่พักได้ที่ไหนบ้าง ยูคยอมก็ตัดสินใจว่าจะพามาร์คไปดูทะเลสาบที่ถ้ำหินเคฟร็อก ซึ่งเป็นจุดพักและจุดชมวิว เสร็จแล้วก็ค่อยขับรถออกหาที่พักสำหรับค่ำคืนนี้ต่อ  มาร์คไม่ขัด 

     

    พวกเขาได้เห็นทะเลสาบอีกครั้งเมื่อขับเลียบไปจนใกล้ถึงจุดชมวิวของเคฟร็อก เมื่อหาที่จอดรถได้แล้วยูคยอมกับมาร์คก็ลงจากรถ คนแรกเดินไปจ่ายค่าบริการก่อน ส่วนคนหลังหันซ้ายหันขวามองหาป้ายห้องน้ำแล้ววิ่งไปทางนั้นทันทีโดยไม่พูดสักคำ ยูคยอมหัวเราะให้กับภาพที่เห็นก่อนจะเดินตามมาร์คไปทางเดียวกันอย่างใจเย็น

     

    เมื่อทั้งคู่ออกมาจากห้องน้ำแล้วก็ได้เวลาเดินลงมาชมวิวที่ริมทะเลสาบ มาร์คมองขึ้นไป เห็นอุโมงค์ที่เจาะผ่านเทือกเขาที่พวกเขาจะต้องขับลอดหลังจากนี้เพื่อขับไปตามถนนสายที่ 50 ต่อ พอได้ลงมาอยู่ใกล้ริมทะเลสาบจริงๆ บรรยากาศก็ช่างสงบ จนยูคยอมและมาร์คแทบไม่อยากเชื่อว่าเมื่อหลายชั่วโมงก่อนพวกเขายังอยู่ในเมืองที่เสียงดังอึกทึกและมีผู้คนเยอะแยะจนน่าเวียนหัว

     

    ลมที่นี่พัดแรง แต่อากาศสดชื่นจนมาร์คสูดมันเข้าไปเต็มปอด น้ำในทะเลสาบใสจนมองเห็นแนวหินเรียงรายลงไปถึงข้างล่าง นอกจากน้ำและท้องฟ้าแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคือเทือกเขาหินแนวยาวที่โอบล้อมทะเลสาบขนาดใหญ่นี้ไว้

     

    มาร์คเดินเลาะไปตามริมทะเลสาบ ชี้นิ้วไปทางเทือกเขาฝั่งตรงข้ามที่อยู่ไกลลิบซึ่งเขาคิดว่าน่าจะอยู่ทางทิศตะวันตก “ฝั่งโน้นนนนนน” เขาลากเสียงยาว “คือแคลิฟอร์เนียใช่มั้ย”

     

    “ก็คงใช่แหละ ตอนนี้เราอยู่ฝั่งเนวาดาแล้วนี่”

     

    “พอมองจากตรงนี้แล้วรู้สึกว่าลอสแอนเจลิสไกลจังเนอะ ทั้งที่รัฐมันก็อยู่ติดกัน”

     

    “จากซาคราเมนโตไปแมรี่แลนด์ใช้เวลาเกือบ 45 ชั่วโมง... นี่นับเวลาที่เราใช้จากแอลเอไปซาคราเมนโตก่อนด้วย ก็ยังใช้เวลาไปไม่ถึงสิบชั่วโมงเลย”

     

    “ยังอีกยาวไกล”

     

    ยูคยอมพึมพำตาม “ยังอีกยาวไกล”

     

    การหลีกหนีออกมาจากที่ที่เคยอยู่มายังที่ที่สวยงามและเงียบสงบเช่นนี้ทำให้พวกเขาลืมอะไรไปได้หลายอย่าง ทั้งสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต สิ่งที่พวกเขาทำต่อกันและกัน สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับพวกเขา

     

    และสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น

     

    ยังอีกยาวไกล

     

    *

     

    มาร์คใช้วิธีเดียวกับตอนที่ยูคยอมหาที่อยู่ของเขาจนเจอ นั่นคือดักรอ  ในวันที่เขาไม่ต้องเข้าทำงานกะเช้า เขาจะออกจากห้องเร็วกว่าเดิมเพื่อไปนั่งอยู่ในร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามกับอู่ซ่อมรถ ไม่นั่งริมกระจกให้ยูคยอมสังเกตเห็นได้ แต่นั่งข้างในร้านตรงตำแหน่งที่จะมองเห็นผ่านกระจกได้ชัดเจน

     

    มาร์คพบว่ามีช่างคนหนึ่งมาเปิดอู่แต่เช้าตรู่ แต่กว่ายูคยอมจะมาถึงก็เกือบสิบโมง ตอนแรกเขาพยายามมองในแง่ดีว่านี่อาจเป็นเวลาทำงานปกติของช่างคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีหน้าที่มาเปิดอู่รอแต่เช้า เพราะหลังจากยูคยอมเข้าไปแล้ว เขาก็เห็นคนอื่นเพิ่งมาเข้างานเหมือนกัน

     

    แต่มันเริ่มไม่ปกติตรงที่ยูคยอมออกมาจากที่นั่นหลังจากเข้าไปแค่ประมาณครึ่งชั่วโมงดี นอกจากกระเป๋าสะพายขนาดเล็กแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรติดตัวไปอีก ไม่มีกระทั่งกล่องอุปกรณ์ช่าง ฉะนั้นยูคยอมไม่ได้ออกไปซ่อมรถตามบ้านลูกค้าแน่นอน

     

    ยูคยอมออกไปไหน มาร์คอยากจะลองลุกและแอบเดินตามไปให้รู้แน่ชัด แต่เพราะเดี๋ยวเขาก็ต้องไปทำงานแล้วจึงทำตามที่ใจอยากไม่ได้

     

    มาร์คไปเฝ้าดูพฤติกรรมยูคยอมในช่วงเช้าอีกสองสามวัน ทำตัวและปรับน้ำเสียงให้ปกติในทุกครั้งที่ยูคยอมมาหาหรือโทรศัพท์มาเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต จนกระทั่งวันหนึ่ง มาร์คไปดักรอที่เดิมก่อนเวลายูคยอมเลิกงานเล็กน้อย นั่งรอไม่นานนัก เขาก็เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์สี่คนเดินมาทางอู่ซ่อมรถ คงออกไปที่ไหนสักแห่งกันมา หนึ่งในนั้นคือชายฮิสปานิกที่เคยตะคอกใส่มาร์ค และที่เดินล้วงกระเป๋าอยู่หลังสุดคือยูคยอม

     

    ตอนนั้นเองที่ชายฮิสปานิกไว้หนวดเคราร่างผอมวัยสามสิบปลายอีกคนหนึ่งเพิ่งเดินออกมาจากข้างในอู่ซ่อมรถนั่น เขาแต่งตัวดูดีกว่าคนที่เหลืออย่างเห็นได้ชัด จนมาร์คคิดว่าเขาน่าจะเป็นเจ้าของหรือผู้จัดการอู่ อะไรทำนองนั้น ชายคนนั้นดูไม่พอใจและกำลังตวาดใส่กลุ่มยูคยอม ก่อนจะเดินขึ้นรถยนต์สีดำที่จอดไว้หน้าอู่แล้วขับออกไป

     

    ทั้งสี่คนนั้นก็มีสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์เช่นกัน มาร์คเห็นยูคยอมยืนเกาหัวแกรกๆ บ่นอะไรกับอีกสามคนก่อนจะเดินแยกออกมา ส่วนอีกสามคนเดินกลับเข้าอู่ไป มาร์ครีบวางเงินไว้บนโต๊ะกาแฟที่ตัวเองนั่งอยู่ ข้ามถนนแล้วรีบเดินตามยูคยอมไป

     

    “ยูคยอม!” เขาเรียกชื่อพร้อมกับสะกิดไหล่ยูคยอมเบาๆ ส่วนเจ้าของชื่อหันขวับมาอย่างรวดเร็ว ตาโตเมื่อเห็นว่าเป็นมาร์ค เขารีบคว้าแขนมาร์คและเผลอออกแรงบีบเสียแน่น กึ่งจูงกึ่งลากมาร์คและก้าวเท้าอย่างเร่งรีบเพื่อให้พ้นจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุด ไม่สนใจเสียงร้องประท้วงของมาร์คที่เจ็บเพราะโดนบีบที่ต้นแขน

     

    ยังไม่ทันที่มาร์คจะได้ถามอะไร ยูคยอมก็พูดเสียงดุใส่ก่อนและยังคงไม่ปล่อยมือจากตัวเขา เขาเพิ่งเคยเห็นยูคยอมเป็นแบบนี้ครั้งแรก

     

    “คุณบ้าไปแล้วรึไง ผมบอกคุณแล้วว่าไม่ให้มาที่นี่อีก!” และเขาก็ทำให้มาร์คตกใจอีกเมื่อพูดต่อว่า “คิดว่าผมไม่รู้ตัวเหรอว่าคุณมานั่งเฝ้าผมหลายวันแล้ว”

     

    “ดี รู้ตัวก็ดี บอกฉันมาสิว่านายทำอะไรกันแน่ และทำไมต้องห้ามไม่ให้ฉันมาที่นี่ด้วย”

     

    “ผมบอกคุณแล้วไงว่าผมไม่อยากให้พวกนั้นมันมายุ่งกับคุณ!”

     

    “แล้วคนพวกนั้นมันเป็นอะไรถึงไม่อยากให้ฉันรู้จัก แถมทำตัวลับๆ ล่อๆ แบบนี้ ทำไม นี่พวกนายเป็นแก๊งค้ายากันหมดหรือยังไง”

     

    มาร์คแค่พูดประชด แต่ปฏิกิริยาของยูคยอมกลับต่างออกไปจากที่มาร์คคิดไว้ เขาชะงัก จ้องตามาร์คแต่ไม่พูดอะไร พร้อมกับค่อยๆ ปล่อยมือออกจากแขนของมาร์ค

     

    “ผม...”

     

    มาร์คเบิกตาโพลง พยายามตีความการกระทำและสีหน้าของยูคยอม และแล้วเขาก็เข้าใจทุกอย่าง เขาค่อยๆ ก้าวเท้าไปข้างหลังให้ห่างออกมาจากตัวของยูคยอมพร้อมกับที่ความรู้สึกเกลียดชังปนผิดหวังเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ เขารู้มาเสมอว่ายูคยอมคงไม่ใช่คนที่มีพื้นเพหรือมีชีวิตที่ดีเลิศอะไรนัก แต่เขาไม่เคยรังเกียจและไม่เห็นว่ามันเป็นข้อด้อยอะไร เพราะตอนนี้เขาเองก็ไม่ใช่มิสเตอร์ต้วน ว่าที่นักวาดภาพประกอบดาวรุ่งอนาคตไกลแล้ว เขาเป็นแค่อดีตศิลปินที่ตกอับและสูญเสียแรงบันดาลใจในชีวิตไปหมดแล้วเท่านั้น เขามีสิทธิจะเรียกร้องอะไรอีก

     

    แต่เขาก็ไม่คิดว่ายูคยอมจะเป็นคนที่สังคมตีตราว่าเป็นอาชญากรและหลอกเขามาตั้งแต่ต้น 

     

    หลอกลวงเขาเหมือนที่เขาเคยโดนหลอกลวงจนชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

     

    สุดท้ายมนุษย์ที่เขายอมเปิดใจให้แม่งก็ระยำเหมือนกันหมด

     

    “ฟังผม...”

     

    Fuck off,” มาร์คถอยหลัง ปัดมือยูคยอมที่พยายามแตะต้องตัวเขาทิ้งไปอย่างแรง “you son of a bitch.”

     

    ยูคยอมได้แต่มองมาร์คเดินหันหลังกลับไปหลังจากสบถด่าตัวเอง สายตาที่มาร์คมองเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนหน้านั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจแบบที่ยูคยอมนึกกลัวมาตลอด  มาร์คไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ยูคยอมเข้าใจทุกอย่างจากดวงตาคู่นั้นที่เขารักมาตลอด

     

    อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าแกอีก ออกไปให้พ้น ฉันเกลียดแก

     

    และนั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเขาจบกัน

     

    *

     

    หลังจากชมวิวที่ทะเลสาบทาโฮกันจนอิ่มใจแล้ว พวกเขาก็ขับรถไปบนถนนเส้นเดิม ลอดอุโมงค์เคฟร็อกที่เห็นจากข้างล่าง และใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงเมืองคาร์สันซิตี้ เมืองหลวงของรัฐเนวาดาที่ไม่เป็นที่รู้จักเท่าลาสเวกัส และมีประชากรน้อยกว่าถึงสิบเท่า หากให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนกับที่คนไม่รู้จักซาคราเมนโตเท่าลอสแอนเจลิส

     

    ทั้งสองคนเข้าพักที่โรงแรมสามดาวแห่งหนึ่งในเมือง ใช้เงินสดจ่ายค่าห้อง ห้องพักมีขนาดเล็กไปหน่อยและเตียงแข็งไปนิดสำหรับมาร์คแต่ก็พออยู่ได้สบาย ยูคยอมตัดสินใจว่าจะใช้เวลาช่วงเย็นจนถึงค่ำนอนพักที่ห้องหลังจากขับรถติดกันมาหลายชั่วโมงจนเมื่อย มาร์คเลยปล่อยให้ยูคยอมหลับพักผ่อนเอาแรงไป ส่วนตัวเองกินขนมและน้ำหวานที่ซื้อติดรถไว้รองท้อง กินไปได้นิดเดียวก็หยุด

     

    มาร์คลุกไปเปิดประตูตรงระเบียงเพื่อให้อากาศข้างนอกถ่ายเทเข้ามา ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่อากาศสดชื่นข้างนอกทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้เสมอ

     

    “คุณก็ควรจะหลับบ้างนะ คุณเพลียมากไม่ใช่เหรอ” ยูคยอมที่มาร์คคิดว่าหลับไปแล้วพูดขึ้นมา “นอนเถอะ เรานอนยาวไปจนถึงดึกๆ เลยก็ได้”

     

    มาร์คลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้าพาตัวเองขึ้นไปอยู่บนเตียงและนอนข้างๆ ยูคยอม  ชายหนุ่มอีกคนไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะใช้แขนโอบกอดมาร์คเอาไว้

     

    “อึดอัดรึเปล่า”

     

    “ไม่เลย”

     

    *

     

    ก็แค่ต้องเริ่มต้นใหม่ ใช้ชีวิตต่อไปเหมือนไม่เคยรู้จักคนที่ชื่อยูคยอม คิม มาก่อน  มาร์คคิดง่ายๆ แต่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ถึงยูคยอมจะไม่ได้ทำให้ชีวิตเขาพลิกหรือตกอับเหมือนอย่างที่เคยโดนมา แต่ความเจ็บปวดนั้นแทบไม่ต่างกัน 

     

    บุหรี่ที่มาร์คเคยเลิกสูบไปช่วงที่ต้องจำกัดค่าใช้จ่ายประจำเดือนให้ได้มากที่สุดกลับมาเป็นที่พึ่งของเขาอีกครั้ง แม้ว่ามันจะได้ผลน้อยกว่าที่คิดไว้ กระทั่งตอนที่มาร์คนอนสูบบุหรี่อยู่บนเตียงและมองกลุ่มควันลอยฟุ้งจางหายไปในอากาศ สายตาเขาก็มักจะเผลอจ้องไปที่ประตูห้อง หวังสุดหัวใจว่าจะมีใครสักคนที่ไม่ใช่ลุงเจ้าของตึกมาเคาะประตู อ้อนวอนขอโทษ อธิบายความจริงทุกอย่าง ซึ่งมาร์คอาจจะเข้าใจ ยอมรับ และให้อภัย หรืออาจจะไม่ 

     

    สุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงควันที่อยู่เป็นเพื่อนเขาในห้อง อย่างน้อยที่สุด กลิ่นของมันก็กล่อมเขาให้ข่มตาหลับได้ลง

     

    *

     

    หลังจากที่มาร์คผล็อยหลับไปแล้ว ยูคยอมก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียง มองมาร์คที่ดูสงบสุขในเวลาแบบนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมาซึ่งมีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายแล้ว การที่มาร์คที่ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวและทุกข์ร้อนอะไรคือสิ่งที่เขาปรารถนามากที่สุด

     

     

    มีหลายครั้งที่ยูคยอมเสียใจที่เห็นแก่ตัวและดึงดันที่จะพาตัวเองไปรู้จักกับมาร์ค เขารู้ตั้งแต่ในคืนนั้นที่ป้ายรถประจำทางว่ามาร์คเป็นคนดี ดีจนคนอย่างเขาไม่ควรพยายามเอื้อมให้ถึง แต่เขาตัดใจจากมาร์คไม่ได้และทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มีโอกาสเจอมาร์คอีกครั้ง  ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้มาร์คไว้ใจเขาได้จากการเจอกันแค่ครั้งสองครั้ง กระทั่งชื่อจริงของเจ้าตัวมาร์คยังไม่ยอมบอก

     

    ยูคยอมได้รู้ทีหลังว่าชื่อ แจ็คสัน หวังที่มาร์คบอกเขาเป็นชื่อปลอมตอนที่เขาขอให้ผู้หมวดจินยอง ปาร์ค ที่ทำงานด้วยกัน ช่วยเช็กประวัติให้ เพราะอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม  

     

    เสียใจด้วยนะ ฉันว่านายโดนต้มแล้วว่ะ ในแอลเอมีคนนามสกุลหวังเพียบ แต่ที่ชื่อแจ็คสันมีแค่สามคน อายุ 32 เป็นครูโรงเรียนมัธยม อายุ 41 ทำงานอยู่บริษัทที่ปรึกษา และ 57 ทำงานอยู่โรงงาน นายบอกว่าเขาไม่น่าอายุเกิน 30 นี่

     

    เมื่อเขาได้ชื่อจริงของมาร์คมา เขาก็ขอให้จินยองช่วยเหมือนครั้งก่อน ‘27 โสด คนไต้หวัน มีที่อยู่เก่าอยู่ซานฟราสซิสโก ไม่มีประวัติอาชญากรรม ทำงานพาร์ทไทม์ ไม่มีรายได้ที่แน่นอน อะไรที่เจาะลึกกว่านี้ฉันเข้าไม่ถึงแล้วล่ะ ต้องไปพึ่งเอฟบีไอเอานะ

     

    แค่นี้ก็ดีแล้ว ขอบคุณมาก

     

    ชอบเขาเหรอ

     

    ก็คงใช่

     

    อย่าหาว่าฉันพูดจาไม่ดีเลยนะ แต่มันยังไม่ถึงเวลาที่นายจะ...

     

    แต่ถ้าเขาไม่รู้ก็ไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอ

     

    สายตาของจินยองดูกังวล เขาห่วงทั้งเจ้าของชื่อมาร์ค ต้วน และยูคยอม ในฐานะที่ทำงานร่วมกันกับยูคยอม เขารู้ว่ายูคยอมเคยทำอะไร กำลังทำอะไร และในอนาคตจะต้องเจอกับอะไร  ไม่ควรมีใครต้องมามีพันธะกับยูคยอมในตอนนี้ทั้งนั้น  การโกหกกลบเกลื่อนอาจช่วยได้แค่ชั่วคราว แต่สักวันมาร์คจะต้องรู้ และเมื่อตอนนั้นมาถึง คนที่จะต้องเสียใจไม่แพ้กันก็คือยูคยอมเอง 

     

    เขาถอนหายใจ

     

    เอาเถอะ ฉันเป็นแค่ตำรวจที่ทำงานกับนาย คงบังคับทางเลือกของนายไม่ได้ อย่าทำให้งานเสียก็แล้วกัน

     

     

    ยูคยอมมองกระเป๋าสีดำใส่เงินสดที่วางอยู่บนพื้น เขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่านอกจากธนบัตรเป็นฟ่อนแล้ว ในช่องลับตรงพื้นกระเป๋ายังมีโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนเครื่องหนึ่งที่ปิดการใช้งานอยู่ โทรศัพท์ที่มาร์คไม่รู้ว่ายูคยอมมี ซึ่งเป็นหนึ่งในอีกหลายเรื่องที่มาร์คยังไม่รู้

     

    เขานั่งคำนวณเวลาที่ใช้ไปตั้งแต่ออกมาจากลอสแอนเจลิส ยังไม่ถึงเวลา

     

    *

     

    จากหนึ่งวันกลายเป็นสองวัน สามวัน หนึ่งสัปดาห์ สองสัปดาห์ และหนึ่งเดือนที่ยูคยอมหายไปจากชีวิตของมาร์ค  เวลาทำให้มาร์คเริ่มจะชินกับชีวิตที่ไม่มียูคยอม ชีวิตอย่างที่เขาเคยมีก่อนหน้านี้ พร้อมกับมีหัวใจที่ปิดแน่นกว่าเดิม ไม่เปิดรับใคร แต่ก็ไม่เคยปล่อยให้ยูคยอมออกไปเช่นกัน

     

    อีกสิบสามวันถัดมา ยูคยอมกลับมาหาเขา เป็นคนแรกที่มาร์คเห็นหน้าเมื่อกำลังเปิดประตูออกไปข้างนอก เขาปิดประตูกันยูคยอมไว้ไม่ทัน ร่างที่สูงใหญ่กว่าของยูคยอมทำให้เขาได้เปรียบ เขาจับไหล่มาร์คเอาไว้แล้วดันเขาเข้าไปในห้อง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าปกติจนมาร์คกลัว แต่แล้วยูคยอมกลับดึงเขาไปกอดอย่างแนบแน่น

     

    “ผมคิดถึงคุณ”

     

    “ปล่อย...”

     

    “ผมรู้ว่าคุณคงเกลียดผมแล้ว และผมเข้าใจ แต่ผมคิดถึงคุณ”

     

    “แต่ฉันเกลียดนาย”

     

    มาร์คยืนกรานความรู้สึกของตัวเอง เขาพยายามผลักยูคยอมออกไปแต่ก็ไม่ได้ผลเท่าไรนัก ยิ่งเขาผลักยูคยอมกลับยิ่งกอดเขาแน่นขึ้น  เขาควรจะรู้ตั้งแต่ตอนที่ยูคยอมพยายามหาทางเจอเขาอีกครั้งแล้วว่ายูคยอมเป็นคนหัวดื้อ คำว่าเกลียดทำอะไรเขาไม่ได้

     

    “ฉันน่าจะโทรเรียกตำรวจจับนายตั้งแต่วันนั้นให้มันจบๆ ไปซะ”

     

    “เชิญเรียกเลย มาร์ค พวกเขาก็ปล่อยผมออกมาอยู่ดี”

     

    พอมาร์คขู่ว่าจะแจ้งตำรวจ ยูคยอมเลยท้าให้เขาทำเช่นนั้นจริง และเขาไม่ได้แค่ท้าด้วยคำพูด เขาปล่อยมาร์คให้หลุดจากกอดของตัวเอง พร้อมกับโยนโทรศัพท์มือถือแบบใช้แล้วทิ้งจากกระเป๋ากางเกงตัวเองให้  ชายหนุ่มเจ้าของห้องที่เพิ่งรับโทรศัพท์มายืนตัวแข็งทื่อ มองยูคยอมที่ยืนกอดอกอย่างใจเย็นและไม่มีอาการสะทกสะท้านหรือหวาดกลัวตำรวจแต่อย่างใด ถ้าไม่ใช่เพราะยูคยอมมีอำนาจบาตรใหญ่จนผู้รักษากฎหมายไม่อาจแตะต้อง และมาร์คไม่คิดว่ายูคยอมใหญ่โตขนาดนั้น ก็คงเป็นเพราะ

     

    “นายทำงานให้พวกตำรวจ

     

    “บิงโก”

     

    “แล้วไง ในแง่จริยธรรมนายก็ดูเป็นคนดีขึ้นน่ะนะ แต่ฉันก็เกลียดนายอยู่ดี” เขาโยนอุปกรณ์สื่อสารในมือใส่ยูคยอมโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้ทัน มันร่วงหล่นอยู่ตรงปลายเท้ายูคยอม แต่ไม่มีใครแยแส “เลิกพูดเรื่องไร้สาระนี่เถอะ เสียเวลาชีวิตฉัน”

     

    “ผมรู้ว่าคนอย่างผมควรจะไปจากชีวิตคุณ และผมพยายามทำอย่างนั้นมาตลอดหนึ่งเดือน แต่ผมทำไม่ได้”

     

    “นั่นมันก็ไม่เกี่ยวกับฉัน”

     

    “ผมรู้ว่าผมทำผิดที่ผมไม่เคยบอกความจริงกับคุณ แต่ผมแค่ไม่อยากให้คุณต้องมารับรู้และเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมทำ และถ้าคุณรู้ว่าผมเป็นใคร ผมเคยทำอะไรและผมทำอะไร คุณจะยอมให้ผมเข้าใกล้คุณเหรอ”

     

    “มันไม่สำคัญหรอกว่านายจะทำอะไร แต่ชีวิตฉันแม่งฉิบหายเพราะคำโกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่าของคนคนนึง เพราะฉันมันโง่และคิดว่าทุกคนที่ฉันทำดีด้วยทำดีกับฉัน  และตั้งแต่นั้นมาฉันก็หวาดระแวงไปหมดทุกอย่าง จำไม่ได้เหรอว่าฉันไม่บอกชื่อจริงของฉันให้นายรู้ด้วยซ้ำ แต่พอฉันยอมเปิดใจให้นาย...”

     

    “คุณยังรักผมอยู่รึเปล่า”

     

    ยูคยอมโพล่งออกมาจนมาร์คชะงักไป

     

    “ผมถามแค่นี้ ผมรู้ว่าคุณเกลียดผมที่ผมโกหกคุณ แต่คุณยังรักผมอยู่มั้ย ถ้าคุณไม่หลงเหลือความรู้สึกอะไรให้ผมแล้ว ผมจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีก แต่ถ้าคุณยังรักผมเหมือนที่ผมยังรักคุณอยู่...”

     

    “...”

     

    “ผมอยากให้เราเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และผมจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”

     

    *

     

    เช้าวันถัดมา ยูคยอมถามมาร์คว่าอยากจะไปไหน อยากจะลงใต้ไปลาสเวกัสหรืออยากจะขับไปตามถนนหมายเลข 50 นี้ต่อไป  พอเลือกไม่ได้พวกเขาก็เลยตัดสินใจกันด้วยวิธีการเป่ายิงฉุบ... มาร์คชนะ และจุดหมายของพวกเขาคือลาสเวกัส

     

    เนื่องจากพวกเขามีแผนที่จะขับไปตามถนนหมายเลข 50 ต่อหลังจากกลับจากลาสเวกัส การขับรถลงไปลาสเวกัสและขับกลับขึ้นมาที่คาร์สันซิตี้อีกครั้งจะเหนื่อยและเสียเวลามากเกินไป จากที่ตั้งใจว่าจะขับรถไปตลอดการเดินทางครั้งนี้จึงจำเป็นต้องพึ่งเครื่องบิน  พวกเขาขับรถขึ้นไปที่เมืองเรโนที่ห่างจากคาร์สันซิตี้ประมาณสี่สิบนาที และออกเดินทางไปลาสเวกัสด้วยไฟลท์ที่เร็วที่สุด

     

    ยูคยอมเสนอว่าไหนๆ พวกเขาก็อุตส่าห์มาถึงลาสเวกัสทั้งที และเงินสดที่พวกเขามีก็ไม่ใช่น้อย ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเขียมเงินและไปพักในโรงแรมราคาถูกๆ  พวกเขานั่งรถชัตเติลจากสนามบินนานาชาติแมคคาร์แรนและไปลงแถวสตริป ศูนย์กลางของลาสเวกัสที่มีโรงแรมทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่อยู่หลายแห่ง และสุดท้ายก็เลือกเช็คอินที่เดอะเวเนเชียน

     

    มาร์คอยากไปดูส่วนที่เป็นคาสิโนของโรงแรม แต่ยูคยอมห้ามไว้

     

    “ในนั้นสูบบุหรี่กันเต็ม ไม่ดีหรอก”

     

    “ให้ตายเถอะ ยูคยอม เรามาถึงเวกัสทั้งทีนะ” เขาบ่น “มันไม่ได้แตกต่างกันมากนักหรอก”

     

    สุดท้ายยูคยอมก็ต้องยอมคนอายุมากกว่าที่เอาแต่ใจ เขาพามาร์คเข้าไปเดินเล่นในคาสิโน กลิ่นบุหรี่คละคลุ้งอบอวลไปทั่วจนยูคยอมที่ค่อนข้างชินกับกลิ่นเพราะคนรอบตัวสูบกันเยอะยังรู้สึกเหม็นจนมึน เผลอนิ่วหน้าแทบทุกครั้งที่เข้าใกล้ควันบุหรี่ จนมาร์คต้องส่ายศีรษะใส่เหมือนจะสื่อว่า นายนี่มันอ่อนชะมัด  ผิดกับมาร์ค คนที่สูบบุหรี่เป็นประจำซึ่งเดินดูเครื่องเล่นตรงนั้นตรงนี้อย่างไม่สะทกสะท้าน

     

    เขาปล่อยให้มาร์คไปเล่นสล็อตแมชชีน ส่วนตัวเองยืนเฝ้าอยู่ห่างๆ มั่นใจว่ามาร์คกำลังติดพันเครื่องเล่นตรงหน้าแล้ว เขาก็หยิบสมาร์ทโฟนเครื่องที่ซ่อนไว้ในกระเป๋าเงินนั้นออกมา แล้วกดเปิด

     

    *

     

    สำหรับมาร์คแล้ว การเริ่มต้นใหม่ไม่ใช่แค่การกดปุ่มรีสตาร์ทเพื่อลบข้อผิดพลาดทุกอย่างทิ้งแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น  หากเขาอายุน้อยกว่านี้สักสิบปี เขาคงจะให้โอกาสยูคยอมแบบไม่มีเงื่อนไขใด ดีไม่ดีคงเป็นคนโทรไปอ้อนวอนยูคยอมให้กลับมาหาเขาเอง และเขาจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เกี่ยวกับสิ่งที่ยูคยอมทำ แต่สิ่งที่เขาเคยเจอมาทำให้เขาทำเช่นนั้นไม่ได้  ยูคยอมได้รับโอกาสครั้งที่สองภายใต้เงื่อนไขว่าต้องบอกความจริงทุกอย่างทั้งหมดให้มาร์คฟัง ซึ่งมาร์คอาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อ

     

    และต่อให้ฉันเชื่อทุกคำที่นายเล่าทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้

     

     

    ยูคยอมเป็นสมาชิกระดับปลายแถวของแก๊งหนึ่งที่ค่อนข้างมีอิทธิพลและทำเรื่องผิดกฎหมายในแคลิฟอร์เนีย เขาถูกตำรวจควบคุมตัวได้ระหว่างซื้อขายยาเสพติดกับกลุ่มผู้ซื้อชาวเกาหลีตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว  ตอนแรกก็จะมีการดำเนินคดีและส่งฟ้องตามขั้นตอนปกติ แต่ตำรวจคนหนึ่งเห็นว่ายูคยอมเป็นแค่สมาชิกปลายแถว ทำหน้าที่ส่งของและรับเงินตามที่ได้รับมอบหมายมามากกว่าที่จะเป็นตัวการรับยามาจากผู้ค้ารายใหญ่โดยตรง ต่อให้จับเข้าคุกไปก็แทบไม่เป็นประโยชน์อะไรหากเส้นเลือดใหญ่ในวงการยาเสพติดยังอยู่  และจากการสอบสวนก็พบว่ายูคยอมเข้ามาร่วมกับแก๊งนี้ได้เพราะจับพลัดจับผลูตามพวกเพื่อนๆ ที่ออกนอกลู่นอกทางกันมา และนี่เพิ่งเป็นการติดต่อซื้อขายครั้งที่สี่ของเขาจึงพลาดโดนจับได้ ตำรวจคนนั้นเห็นว่ายูคยอมยังมีโอกาสกลับตัว และเป็นตัวเลือกที่ดี เขาต้องการให้ยูคยอมคอยทำงานเป็นสายให้ตำรวจ

     

    คิดดูดีนะๆ นายจะยอมจบเห่ตรงนี้ หรือจะช่วยพวกเราแล้วพ้นทุกข้อหา

     

    ยูคยอมยอมทำตามข้อตกลงนั้น เพราะเขาก็ไม่ใช่ลูกน้องผู้จงรักภักดีกับไอ้แก๊งนี่อยู่แล้ว เขาคอยส่งข่าวให้กับทางตำรวจสามารถจับกุมการซื้อขายย่อยๆ ได้เป็นบางครั้งบางคราวเพื่อไม่ให้น่าสงสัยจนเกินไป และยังช่วยให้แจบอม อิม หรือ เจบี เจ้าหน้าที่สืบสวนเข้ามาแฝงตัวอยู่ในแก๊งด้วยได้อีกคน 

     

    เอสพิวโด ชายชาวฮิสปานิคตัวผอมไว้หนวดที่มาร์คเคยเห็นคือ บอสของยูคยอม

     

    “และถ้าพวกเขาจับตัวผู้ชายคนนั้นได้ นายก็จะเป็นอิสระ”

     

    “ก็ไม่เชิง เอสพิวโดเป็นคนที่คอยดูแลการซื้อขายโคเคน สินค้าทุกล็อตและเงินสดทุกใบต้องผ่านมือเขา แต่เขาไม่เคยเข้ามายุ่งกับการซื้อขายรายย่อยจริงๆ  พวกตำรวจต้องการจับเขาให้ได้คาหนังคาเขาระหว่างการซื้อขาย หรือระหว่างการติดต่อกับพวกผู้ค้ายารายใหญ่อีกที ซึ่งเขาไม่เคยให้คนระดับผมเข้าไปยุ่ง ผมเลยให้เบาะแสอะไรกับพวกตำรวจไม่ได้เลย  แต่จริงๆ แล้วพวกตำรวจต้องการจับตัวหัวหน้าของเอสพิวโดอีกที”

     

    “ซึ่งก็คือ...”

     

    “ผมรู้แค่ว่าเขานามสกุลคอร์เทส และผมไม่เคยเจอเขา พวกตำรวจเลยกดดันจะให้ผมหาทางล่อเอสพิวโดให้ออกมาจากที่มืดให้ได้ พอจับเอสพิวโดได้ พวกเขาก็จะสาวตัวไปถึงคอร์เทสได้ – ผมทำงานให้กับพวกตำรวจมาเกือบปีจนเจบีแฝงตัวเข้ามาได้หลายเดือนแล้ว แต่ยังไม่คืบหน้าเลย เอสพิวโดค่อนข้างระวังตัว”

     

    มาร์คควักบุหรี่ออกมาสูบแทบจะทันทีหลังจากที่ฟังยูคยอมเล่าทุกอย่างจนครบถ้วน ชักไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองตัดสินใจถูกหรือไม่ที่ยอมให้โอกาสยูคยอมอีกครั้ง หากตัดเรื่องอื่นออกไป ยูคยอมคือคนที่ทำให้เขากลับมามีความสุขเหมือนคนทั่วไปได้เหมือนเดิม แต่เขารู้ว่าเขามองข้ามทุกอย่างไปไม่ได้

     

    “มีคนเคยเตือนผมว่าจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบ ผมไม่ควรรู้จักใคร ไม่ควรผูกพันกับใคร”

     

    มาร์คแค่นหัวเราะ “ถ้านายมีสมองสักหน่อย ก็น่าจะรู้ว่ามันควรเป็นอย่างนั้นแต่แรกอยู่แล้ว”

     

    “แต่ตั้งแต่ผมเจอคุณวันนั้น ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผมจะปล่อยคุณไปได้ยังไง”

     

    “...”

     

    “คุณเองก็ทำไม่ได้เหมือนกันใช่มั้ย”

     

    *

     

    หลังจากกินอาหารเย็นในร้านอาหารของโรงแรมเสร็จแล้วออกไปเดินเที่ยวแถวสตริปได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดี มาร์คก็ต้องประหลาดใจเมื่อยูคยอมบอกให้พวกเขารีบกลับไปที่เวเนเชียนเพื่อจะไปนั่งกอนโดลา ซึ่งเจ้าตัวแอบไปซื้อตั๋วรอบที่เร็วที่สุดไว้ให้ในขณะที่กินอาหารเย็นกัน

     

    “จะบ้าหรือไง อายเขา”

     

    “อายอะไรเล่า”

     

    ยูคยอมดันหลังมาร์คให้ยอมลงไปนั่งในกอนโดลาสำหรับสี่คน ฝั่งตรงข้ามพวกเขามีคู่รักชายหญิงวัยประมาณสี่สิบกว่าปีนั่งอยู่ คนพายกอนโดลาซึ่งเป็นผู้หญิงกล่าวทักทายและถามอย่างเป็นมิตรว่าพวกเขามาจากไหนกันบ้าง ชายหญิงสองคนนั้นมาจากยูทาห์ ส่วนยูคยอมเป็นคนตอบว่าพวกเขามาจากแคลิฟอร์เนีย

     

    เรือกอนโดลาเริ่มออกตัวและลอยไปตามลำน้ำที่อยู่ภายในโรงแรม บนฝั่งทั้งสองด้านมีผู้คนมากมายนั่งอยู่ตามร้านค้าและร้านอาหารต่างๆ นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยเริ่มหยิบกล้องและโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเมื่อพวกเขาเห็นเรือกอนโดลา มาร์คก้มหน้างุด

     

    ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาพร้อมๆ กับที่หญิงสาวผู้พายเรือกอนโดลาเริ่มร้องเพลง ‘O sole mio  เสียงเพลงภาษาอิตาลีที่ขับขานอย่างไพเราะและท้องฟ้าจำลองที่อยู่บนเพดานทำให้พวกเขาแทบลืมว่าตัวเองอยู่ข้างในอาคารที่ลาสเวกัส และไม่ได้กำลังล่องกอนโดลาของจริงในกรุงเวนิส

     

    “มาร์ค ไอ้นี่แหละนะที่น่าอายกว่า”

     

    จู่ๆ ยูคยอมก็ทักขึ้น มาร์คถึงได้รู้ตัวว่ากำลังเอนศีรษะซบลงบนไหล่ของยูคยอมตามความเคยชินเพราะมัวแต่ดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบตัว เขารีบนั่งตัวตรงเหมือนเดิม พยายามทำเป็นไม่รู้สึกอะไรกับเสียงหัวเราะคิกคักจากสุภาพสตรีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และเขาก็รู้ว่าตอนนี้คนที่นั่งข้างเขาก็คงกำลังอมยิ้มไม่ต่างกัน เขาเริ่มเคืองยูคยอมนิดๆ ที่ไม่ยอมจองเรือกอนโดลาแบบไพรเวทสำหรับสองคนนั่ง

     

    ยูคยอมง้อเขาเงียบๆ ด้วยการจับมือเขาก่อนจะประสานนิ้วของทั้งคู่เข้าด้วยกัน

     

    “ผมล้อเล่นน่า คุณจะนั่งแบบเมื่อกี้ก็ได้”

     

    มาร์คทำเป็นไม่ได้ยิน เขานั่งเงียบๆ ชื่นชมบรรยากาศรอบตัวไปจนกระทั่งเรือกอนโดลาพายครบรอบ ยูคยอมจ่ายทิปให้หญิงสาวคนพายไปอีกหลายดอลลาร์ ก่อนจะหันมาถามมาร์คว่า

     

    “เมื่อกี้นี้ตอนที่เรานั่งอยู่บนนั้น คุณคิดอะไรอยู่”

     

    ชายหนุ่มยิ้มออกมา

     

    “รู้สึกว่าที่นี่สวยจนอยากวาดรูป เสียดายที่ไม่ได้เอากระดาษกับดินสอลงมาด้วย”

     

    *

     

    ไม่กี่วันหลังจากที่ยูคยอมกลับมา มาร์คก็ยอมขึ้นเตียงกับยูคยอม  การห่างหายกันไปเป็นเดือนทำให้การจู่โจมและการตอบสนองร้อนแรงกว่าแทบทุกครั้ง จนบางจังหวะมาร์ครู้สึกราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกระหว่างพวกเขาสองคน ราวกับว่าพวกเขาเป็นคนที่หิวโหยและต้องการเสพสิ่งใดก็ได้ให้อิ่มหนำ

     

    ยิ่งเป็นแบบนี้มาร์คยิ่งรู้ตัวว่าเขาปล่อยยูคยอมไปไม่ได้  ทุกจูบและทุกสัมผัสของยูคยอมเติมเต็มความว่างเปล่าในร่างกายและจิตใจของเขา ความว่างเปล่าที่เกาะกินพื้นที่ในใจเขามาเป็นปี ราวกับพระเจ้าส่งยูคยอมมาเป็นของขวัญเพื่อชดเชยเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้น เป็นชิ้นส่วนที่ซ่อมแซมชีวิตให้กลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม และเขาก็เป็นสิ่งเดียวกันสำหรับยูคยอม

     

    แต่พระเจ้าก็ไม่ได้เมตตาพวกเขาถึงเพียงนั้น

     

     

    “ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น”

     

    ยูคยอมถามขึ้นมาหลังจากที่พาตัวเองและมาร์คถึงฝั่งฝันไปแล้วสองครั้งในคืนนั้น  มันเป็นเรื่องที่มาร์คเลี่ยงที่จะพูดถึงมาโดยตลอดในช่วงที่ยังอยู่ด้วยกัน และยูคยอมก็ล้มเลิกความพยายามไปหลังจากมาร์คบ่ายเบี่ยงไปหลายครั้ง  มาร์ครู้ดีว่าทำไมจู่ๆ ยูคยอมถึงอยากรู้เรื่องนี้อีก

     

    และเขารู้ว่าถ้าไม่อยากต้องจบกับยูคยอมอีก เขาควรจะเล่าให้ฟังเสียที

     

     

    “ฉันเกิดที่ซานฟรานซิสโก ฉันเป็นเอเชียนที่บ้านค่อนข้างมีฐานะ แต่ไม่ค่อยมีเพื่อน เพราะไม่ชอบไปเล่นข้างนอก ชอบนั่งวาดรูปเงียบๆ คนอื่นมองว่าฉันแปลก ฉันไม่แคร์

     

    “ฉันรู้ตัวว่าฉันไม่ชอบผู้หญิงตอนอายุสิบสอง และคนก็มองฉันแปลกยิ่งกว่าเดิม พ่อแม่ฉันรู้ เขาดูผิดหวัง แต่ไม่ได้แสดงออก ผิดกับญาติฉัน พวกเขาไม่ชอบหน้าฉัน

     

    “ตอนเกรดเจ็ดฉันมีเพื่อนคนนึงชื่อแจ็คสัน หวัง เขาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจากฮ่องกง เขาไม่ใช่รักแรกของฉัน แต่เขาเป็นคนแรกที่จูบฉันแบบนั้น ฉันคงไม่ต้องเล่านะว่าสุดท้ายฝันหวานในปีนั้นมันจบลงยังไง

     

    “พอเรียนที่วิทยาลัยต่อ ฉันก็รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง เขาเป็นรุ่นพี่ฉันปีหนึ่ง เรียนคนละสาขากับฉัน มีเสน่ห์ ยิ้มสวย พวกผู้หญิงชอบเขาเพียบ ใช้เวลาไม่นานเราก็คบกัน อยู่ด้วยกัน เขาอยู่กับฉันตลอดทั้งในช่วงเวลาที่ดีมากๆ และในช่วงเวลาที่ชีวิตฉันแย่มากๆ อย่างตอนที่พ่อแม่ของฉันเสียกะทันหัน ตอนที่พี่สาวพ่อมาขอบ้านคืนไปโดยไม่เห็นหัวฉัน แค่มรดกจากแม่แกก็อยู่ได้สบายๆ แล้ว เห็นใจโจอี้มันบ้าง ฉันก็คิดเสียว่าฉันโตกว่า เดี๋ยวฉันก็คงมีงานทำและไม่ได้กลับบ้านอยู่ดี ฉันก็เลยยอม

     

    “ให้พูดตรงๆ เขาฐานะไม่ดีเท่าฉัน และเก่งไม่เท่าฉัน หอพักของเขาเล็กกว่าหอที่ฉันอยู่ปกติตั้งครึ่งหนึ่ง ฉันเองที่เป็นฝ่ายชวนเขามาอยู่ด้วยกัน เขาอยากได้โทรศัพท์ใหม่ฉันก็พาไปซื้อให้ เขาผ่อนจ่ายคืนมาแค่ครึ่งหนึ่งแล้วก็เงียบ ตอนนั้นฉันก็ไม่ติดใจอะไร คิดซะว่าซื้อให้เป็นของขวัญ”

     

    “ไม่ใช่แค่โทรศัพท์สินะคุณ”

     

    “หลายอย่าง เสื้อผ้า น้ำหอม ของส่วนตัวของฉันเขาก็ชอบหยิบไปใช้โดยไม่ขอ บางอย่างก็หายไปเลยโดยที่ฉันไม่รู้ว่ามันไปไหน พอคาดคั้นเขาเขาก็บอกไม่รู้ วางไว้ที่เดิมแล้ว คืนให้แล้ว นั่นแหละ มันก็แค่คำพูดลอยๆ แล้วฉันก็โง่เชื่อโดยไม่สงสัยอะไร เขาขอยืมเงินฉัน บอกว่าจะเอาไปซื้อแท็บเลตตัวใหม่ ซื้อนู่นซื้อนี่ใหม่ ฉันก็ให้เขาโดยไม่คิดอะไร ก็คิดแค่ว่าเขาอยู่ด้วยกันกับฉันแล้ว แค่นี้ไม่เป็นไร ขนาดว่าเขาเอาแนวคิดของรูปที่ฉันวาดไปใช้ในงานตัวเองส่งอาจารย์ ฉันยังไม่ว่าอะไรเขาเลย

     

    จนกระทั่งฉันเรียนจบและเริ่มทำงานแล้วถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่แค่นั้น  ฉันได้รับงานออกแบบลายเสื้อให้กับผู้ผลิตเสื้อผ้าอิสระรายหนึ่ง บางลายก็เป็นรูปที่ฉันวาดไว้ตั้งแต่เรียนแล้วเอามาแก้ไขรายละเอียดเล็กน้อย พอส่งลายเสื้อ จ่ายเงินกันเรียบร้อยแล้ว ก็มีคนฟ้องผู้ผลิตว่าลายเสื้อที่ฉันวาดมันเหมือนกับลายเสื้อของอีกที่หนึ่งที่ขายราคาถูกกว่าในเว็บขายของออนไลน์”

     

    “ซึ่งผู้ชายคนนั้นเป็นคนวาด” ยูคยอมเดาบทสรุปได้ทั้งหมด

     

    มาร์คพยักหน้า “ตอนนั้นฉันถึงเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาเขาก๊อปปี้ไฟล์งานจากเครื่องของฉันแล้วเอาไปทำของขายในอินเทอร์เน็ตตลอดโดยที่ฉันไม่รู้ ส่งให้เพื่อนเอาไปปรินท์ขายบ้าง ทำเสื้อทำแก้วขายบ้าง ฉันจำเป็นต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับทางคนผลิตเสื้อเพื่อให้เรื่องจบลงโดยเร็วที่สุด เพราะส่วนหนึ่งมันก็เป็นความผิดฉันที่ไม่รักษาไฟล์งานตัวเองให้ดี  พอความลับเรื่องนี้แตก ฉันก็ทะเลาะกับเขาแรงมาก และตอนนั้นเองที่ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้มีฉันคนเดียว พวกของแพงๆ นั่น และเงินทุกดอลลาร์ที่เขาหามาได้จากการแอบเอางานฉันไปขาย... เขาเอาให้ผู้หญิงอีกคนหมด ฉันเพิ่งรู้ตอนนั้นเองว่าโดนหลอกมาตลอด ทุกอย่าง ทุกเรื่อง เราจบกันตอนนั้น

     

    เงินมรดกของพ่อกับแม่ฉันก็ใช้ไปกับค่าเทอมค่ากินอยู่ ค่าซื้อของโง่ๆ ให้ผู้ชายคนนั้น และค่าเสียหายให้กับผู้ผลิตเสื้อจนเหลือไม่มาก ฉันตัดสินใจขายทุกอย่างที่มีอยู่เพื่อเป็นทุนมาตั้งตัวใหม่ที่แอลเอ เพราะฉันไม่อยากอยู่ที่ซานฟรานซิสโกต่อไป แต่ฉันก็ไม่เคยออกไปไกลนอกแคลิฟอร์เนีย 

     

    ฉันได้แต่รับงานจ้างเล็กๆ ไปวันๆ ซึ่งนานๆ จะมีเข้ามาที แต่การอยู่คนเดียวในช่วงแรกมันลำบากมาก ฉันอยู่อย่างหวาดระแวงคนอื่นไปหมดจนรู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นบ้า ทุกครั้งที่สมองว่างก็เผลอนึกถึงแต่เรื่องที่ตัวเองโดนหลอกมาตลอด

     

    พอผ่านไปไม่กี่เดือน... ฉันก็วาดรูปไม่ได้อีกแล้ว”

     

    *

     

    ยูคยอมปิดโทรศัพท์มือถือ ช่วงเวลาหลายชั่วโมงที่ผ่านมาน่าจะเพียงพอแล้ว เขาซ่อนอุปกรณ์สื่อสารนั้นไว้ในช่องเดิมของกระเป๋า ตั้งแต่ออกเดินทาง มาร์คแทบไม่แตะต้องกระเป๋าและเงินสดข้างในนั้น เขาปล่อยให้ยูคยอมเป็นคนจัดการทั้งหมด หากจะซื้ออะไรเล็กๆ น้อยๆ เขาจะใช้เงินสดที่ถอนมาจากบัญชีของตัวเองจนเกลี้ยงในวันก่อนออกเดินทางมากกว่า

     

    มาร์คที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมา เห็นยูคยอมที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงจ้องกระเป๋าใบนั้น  ความเหน็ดเหนื่อยและบรรยากาศใหม่ๆ ที่ได้สัมผัสจากการเดินทางทำให้มาร์คได้ลืมสาเหตุที่ทำให้พวกเขาออกเดินทางจากลอสแอนเจลิสไปได้ แต่เมื่อเห็นยูคยอมมองกระเป๋าใส่เงินสดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และอยู่ในห้องพักสลัวๆ ด้วยกันเพียงสองคนเหมือนมาวันนั้นแล้ว สิ่งที่เขาเหมือนจะลืมไปได้ก็วกกลับมาอีกครั้ง

     

    “นายคิดว่าเรายังมีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่” เขาถามในขณะที่เดินมานั่งข้างๆ ไม่พยายามซ่อนหรือปิดบังว่ารู้สึกกลัว

     

    “...น่าจะอีกนาน เมื่อวานเราขับรถมาตลอด ตามรอยได้ยาก แถมมาถึงเนวาดาแล้วด้วย”

     

    “ถ้าเกิดว่า...”

     

    “ชู่วว” เขายกนิ้วแตะริมฝีปากมาร์ค พร้อมกับโยนกระเป๋าที่วางอยู่ตรงหน้าให้ลงไปบนพื้น พ้นหูพ้นตาพวกเขาทั้งสองคน “เลิกคิดเรื่องนี้เถอะ”

     

    *

     

    ทั้งยูคยอมและมาร์คเชื่อว่าการเริ่มต้นใหม่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เฉกเช่นคำที่ยูคยอมบอกมาร์คในวันนั้น  การที่ต่างฝ่ายต่างยอมเปิดปากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของตัวเองเหมือนเป็นการปรับความเข้าใจให้ดีขึ้น  ถ้ายูคยอมไม่ได้ติด งานที่ไหน เขาก็มักจะมานอนค้างที่ห้องของมาร์คบ่อยกว่าเดิม 

     

    มีอยู่วันหนึ่งที่เขาลืมตาตื่นมาบนเตียงของมาร์ค เห็นเจ้าของห้องนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้างเตียง และกำลังใช้ดินสอวาดอะไรบางอย่างลงบนสมุดสเก็ตช์ภาพ  ไม่ทันจะอ้าปากถาม มาร์คก็รีบสั่งห้ามว่า “อยู่นิ่งๆ!

     

    “อะไร คุณวาดรูปนู้ดผมอยู่หรือไง” ยูคยอมแกล้งถาม

     

    เขายิ้มกว้างแต่ไม่ตอบ ส่วนคนที่กลายเป็นนายแบบจำเป็นก็ตามใจคนเป็นพี่ด้วยการนอนท่าเดิมบนเตียงตามคำขอ ปล่อยให้มาร์ควาดรูปจนเสร็จในอีกสิบกว่านาทีถัดมา เจ้าของผลงานหันสมุดมาทางยูคยอม อวดผลงานของตัวเองให้นายแบบได้ดู บนกระดาษมีรูปวาดเหมือนของยูคยอมที่กำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียง ตั้งแต่ศีรษะลงไปถึงช่วงแผ่นหลังที่เปลือยเปล่า

     

    “ทะลึ่ง”

     

    “นี่เป็นแค่หนังเรทพีจีไปเลยถ้าเทียบกับอะไรๆ ที่นายทำกับฉันเมื่อคืน

     

    “แล้วใครอ้อนขอก่อนล่ะ” ยูคยอมย้อน

     

    มาร์คจนมุมและยิ้มน้อยๆ ไม่ได้โต้ตอบกลับหรือพยายามเปลี่ยนเรื่องเหมือนที่มักจะทำ เขาพลิกสมุดกลับ ใช้ดินสอวาดเก็บรายละเอียดเล็กๆ ที่ยังไม่เนี้ยบพอสำหรับเขา พร้อมกับพูดออกมาว่า

     

    “เฮ้ ขอบคุณมากนะ”

     

    น้ำเสียงและแววตาที่เต็มไปด้วยความสุขของเขาทำให้ยูคยอมนึกถึงคืนที่มาร์คยอมเล่าทุกอย่างให้ฟัง

    ตอนนั้นเองที่เขานึกได้ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นมาร์คจับดินสอวาดรูป

     

    และนี่คือสัญญาณว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น

     

    *

     

    มาร์คดูจะชอบเวกัส เขาขอร้องยูคยอมและบอกว่าต้องการอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักหนึ่งหรือสองวัน  พวกเขาไม่เคยมีแผนการเดินทางที่แน่นอนมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว  เขาเลยได้ในสิ่งที่ต้องการ  พวกเขาเช่ารถและขับเที่ยวทั่วทั้งเมือง แวะเข้าไปเล่นในคาสิโนบ้างให้พอคุ้มกับที่มาแต่ไม่เล่นจนเสียเยอะ

     

    ในคืนที่สามของพวกเขาที่เวกัส ยูคยอมพามาร์คไปดูการแสดงน้ำพุเต้นระบำที่เบลลาจิโอ ทั้งสายน้ำที่พวยพุ่งขึ้นมาและแสงสีที่ประกอบสวยตื่นตาตื่นใจจนมาร์คแทบลืมหายใจ  สมกับที่เป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของเวกัส พวกเขาสองคนยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มารอชมการแสดงน้ำพุกันอย่างเนืองแน่น

     

    “เฮ้ ยูคยอมคิม นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ”

     

    ร่างสูงเกือบสะดุ้งเฮือกที่จู่ๆ ก็มีคนเรียกชื่อของตนทั้งที่เขาไม่รู้จักใครในเวกัส มาร์คเองก็หันไปทางต้นเสียงเช่นเดียวกัน  คนที่เรียกพวกเขากำลังสาวเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้น เขาเป็นผู้ชายชาวเอเชีย ตัวเล็กกว่ามาร์ค ดูจากเค้าโครงหน้าแล้วไม่น่าใช่เอเชียตะวันออก แต่เป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

     

    ยูคยอมแอบใช้ศอกถองสีข้างมาร์คเบาๆ ไล่ให้เขาหันกลับไปดูน้ำพุเหมือนเดิม เป็นสัญญาณที่พวกเขาตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ มาร์คจึงรีบหันกลับไปทางน้ำพุ แต่หูของเขากลับตั้งใจฟังบทสนทนาที่เกิดขึ้นใกล้ๆ

     

    “ไง แบมแบม แล้วนายล่ะมาทำอะไรที่นี่”

     

    เจ้าของชื่อแปลกหูคนนั้นตอบอย่างฉะฉาน “มีของต้องมาส่งถึงนี่ เลยแวะมาดูอะไรดีๆ หน่อยน่ะ นายนั่นแหละมาทำอะไรที่นี่ ก่อนฉันออกมาได้ยินว่าทางนั้นวุ่นกันใหญ่ที่ติดต่อนายไม่ได้”

     

    “มีเรื่องต้องทำนิดหน่อย”

     

    แบมแบมยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นอย่างรู้ทัน “และนายก็กำลังไขว้นิ้ว หวังว่าฉันจะไม่ไปบอกใครว่าเจอนายที่นี่สินะ”

     

    “ถ้าช่วยทำแบบนั้นได้จะขอบคุณมาก”

     

    “ไว้ใจฉันได้เลยน่า แต่รีบกลับไปให้เอสพิวโดเห็นหน้าหน่อยก็แล้วกัน ฉันว่าเขาคงทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอก ถ้าฉันจำไม่ผิด รู้สึกว่าจะมีอะไรของเขาหายไปด้วย...”

     

    ยูคยอมพยายามไม่แสดงพิรุธใดๆ ออกมา

     

    “ฮื่มม... ขอให้โชคดีแล้วกันนะยูคยอม คิม”

     

    เจ้าของชื่อมองดูแบมแบมเดินจากไปจนกระทั่งเขาหายไปกับฝูงชน มั่นใจแล้วว่าพวกเขาอยู่ห่างจากระยะสายตาไกลเกินกว่าที่แบมแบมจะมองเห็นได้หากเขาหันกลับมา จึงค่อยหันไปทางมาร์ค คว้าแขนของเขาเอาไว้

     

    “เราต้องไปแล้ว”

     

    ยูคยอมกระซิบแผ่วเบาแค่พอให้มาร์คได้ยิน แต่คำนั้นกลับดังก้อง บังคับให้มาร์คต้องเข้าใจและฝืนยอมรับอย่างเจ็บปวด ว่าต่อให้พวกเขาออกเดินทางไปได้ไกลถึงไหน ก็ไม่สามารถหนีจากความจริงไปได้พ้น มันจะติดตัวพวกเขาไปทุกที่ หลอกหลอนให้พวกเขาต้องหวาดกลัว และเหลียวหลังทุกครั้งเมื่อรู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมอง

     

    เราหนีไปด้วยกันเถอะนะ ผมจะไม่ให้คนพวกนั้นมายุ่งกับคุณอีก

     

    มาร์คไม่น่าเชื่อคำพูดของยูคยอมในวันนั้นเลย

     

    *

     

    ในเวลาส่วนใหญ่ มาร์คแทบลืมไปแล้วว่ายูคยอมเป็นใคร เคยทำอะไร และกำลังทำอะไร เพราะทุกอย่างระหว่างพวกเขาเป็นไปอย่างปกติ เป็นไปเหมือนอย่างที่คนรักกันควรจะเป็น และส่วนหนึ่งเป็นเพราะมาร์คเลี่ยงที่จะไปหายูคยอมที่ ที่ทำงาน ลึกๆ แล้วเขาก็รู้ดีว่าทั้งเขากับยูคยอมแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นความจริง

     

    แค่มาร์คไม่ต้องวุ่นวายอะไรกับโลกฝั่งของยูคยอมก็พอ เป็นข้ออ้างที่ยูคยอมใช้เพื่อให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปได้โดยที่ทั้งสองฝ่ายสบายใจ ข้ออ้างที่เขาเคยใช้บอกตัวเองและผู้หมวดจินยองตอนที่จะก้าวเข้ามาในชีวิตของมาร์ค และสุดท้ายก็กลายเป็นข้ออ้างที่มาร์คใช้บอกตัวเองว่า ทุกอย่างจะไม่เป็นไร  ยูคยอมบอกเขาไว้ว่าถ้าภารกิจของเขาสำเร็จลุล่วงเมื่อไร ทุกอย่างก็จะแม้จบ และเขาก็จะเป็นอิสระ ทั้งจากเอสพิวโด และจากบทลงโทษทางกฎหมายทุกอย่างตามที่ฝ่ายตำรวจตกลงเอาไว้

     

    มีช่วงหนึ่งที่ยูคยอมตัวติดกับเขาแทบจะตลอดเวลา เขาตามไปส่งมาร์คถึงที่ทำงานพาร์ทไทม์ แต่ไม่เข้าไปข้างในเพื่อไม่ให้คนอื่นๆ เห็นหน้าเขา และพอมาร์คกลับถึงห้องก็จะเจอยูคยอมนอนรอเขาอยู่ แม้จะสงสัยว่ายูคยอมไม่จำเป็นต้องไป ทำงานหรืออย่างไร มาร์คก็เก็บข้อข้องใจนั้นเอาไว้

     

    มาร์คและยูคยอมหนีความจริงได้ไม่นาน

     

    วันหนึ่ง มาร์คกลับมาที่ห้องโดยไม่เจอยูคยอม แต่สภาพห้องของเขาแปลกไปจากที่เห็นทุกวัน ผ้าห่มที่เขามักจะพับเก็บเรียบร้อยทุกเช้าถูกปัดทิ้งลงกับพื้น ของที่วางอยู่บนชั้นล้มระเนระนาดและหลายชิ้นตกอยู่บนพื้นเหมือนมีใครบางคนปัดมันออก ประตูบานที่เชื่อมกับบันไดหนีไฟเปิดอ้าเอาไว้เล็กน้อย เขารีบเดินไปดูตรงประตูห้อง ถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีใครสักคนถีบพังประตูเข้ามา

     

    ไม่มีของมีค่าใดๆ หายไป หรือถ้าพูดให้ถูกคือห้องของเขาไม่มีของมีค่าอะไรที่ล่อตาล่อใจพวกโจรทั้งนั้น หากพวกหัวขโมยกำลังเล็งจะงัดห้องพักของใครสักคนในอพาร์ตเมนท์แห่งนี้เพื่อฉกฉวยทรัพย์สินมีค่า ห้องของมาร์คเป็นตัวเลือกแรกที่พวกมันตัดออกไปได้เลย  ถ้าเฝ้าจับตาดูก็น่าจะเห็นพวกคนที่แต่งตัวดีๆ หรือใช้โทรศัพท์ราคาแพงๆ เดินเข้าออกที่นี่และก็ตามหาห้องพักของพวกเขาได้ไม่ยาก ทำไมมาร์คที่ไม่มีอะไรเลยจึงกลายเป็นเป้าหมาย

     

    เขาไพล่ไปนึกถึงผู้ชายคนที่แวะมาที่นี่บ่อยๆ ผู้ชายคนเดียวที่มาร์ครู้จักที่ข้องเกี่ยวกับพวกที่กล้าทำอะไรแบบนี้  เมื่อยูคยอมมาหาเขาในคืนนั้น มาร์คจึงไม่รีรอที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง  อีกฝ่ายทำหน้าเครียดทันทีที่รู้เรื่อง และในวันถัดมา เขาก็ตามช่างมาติดอุปกรณ์ล็อกที่ประตูห้องของมาร์คเพิ่ม

     

    “สรุปว่าเป็นพวกนั้นจริงๆ ใช่มั้ย”

     

    ยูคยอมไม่ตอบ แต่มาร์คมั่นใจว่าเขาเดาไม่ผิด คนที่บุกเข้ามาในห้องเข้าเกี่ยวข้องกับยูคยอม  แม้ไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริง แต่ตอนนี้มาร์คกำลังถูกจับตามองจากพวกนั้น

     

    “คุณไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวผมจัดการเอง”

     

    จัดการเองของยูคยอมหมายถึงอะไร มาร์คก็สุดจะรู้

     

    หลังจากนั้นยูคยอมก็หายไปและติดต่อไม่ได้เป็นหลายวัน ช่วงระยะเวลาตอนนั้นเป็นช่วงที่มาร์คร้อนอกร้อนใจที่สุดจนถึงขั้นว่าจะไปแจ้งตำรวจ แต่เขาก็ไม่รู้อยู่ดีกว่าที่ยูคยอมหายไปนั้นไปทำงานให้กับใคร กำลังทำงานให้กับคนพวกนั้นหรือกำลังทำงานให้กับตำรวจ เขากลัวว่าถ้าเกิดกระโตกกระตากแล้ววิ่งแจ้นไปหาตำรวจที่ชื่อจินยองที่ยูคยอมเคยพูดถึง เขาอาจทำให้สิ่งที่ยูคยอมลอบทำมาตลอดเสียเปล่า

     

    ในคืนหนึ่ง คืนที่ยูคยอมยังคงไม่กลับมา ขณะที่กำลังเดินจากป้ายรถประจำทางใกล้ๆ มาที่ตึกอพาร์ตเมนท์ของตัวเอเหมือนทุกวัน เขารู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังเดินตามเขามาอย่างเร็วรี่ และทันทีที่เขาหันกลับไปมอง เขาก็ถูกชายท่าทางน่ากลัวที่เขาเคยเห็นที่อู่ซ่อมรถลวงโลกนั่นเข้าประชิดตัว

     

    ชายฮิสปานิกคนที่ตัวใหญ่ที่สุดจับต้นแขนของมาร์คเอาไว้เพื่อไม่ให้เขาวิ่งหนีไปไหน ร่างเล็กของมาร์คเหมือนหนูตัวเล็กกระจิดริดที่กำลังจะโดนสุนัขตัวใหญ่ขย้ำ

     

    “ยูคยอมอยู่ไหน

     

    พวกมันมาตามหายูคยอม และถ้านี่เป็นคนกลุ่มเดียวกับที่งัดห้องของมาร์ค เขาเข้าใจแล้วว่าพวกนั้นต้องการอะไร

     

    “ฉันไม่รู้!”

     

    “จะไม่รู้ได้ไงวะ ก็มันเข้าออกห้องมึงทุกวัน”

     

    ยังไม่ทันที่มาร์คจะโต้ตอบอะไร ชายตัวสูงอีกคนก็เอื้อมมือมาบีบแก้มเขา สายตาน่ารังเกียจของมันเพ่งจ้องมาร์ค ราวกับสัตว์ร้ายที่จ้องจะงาบเหยื่ออันโอชะในอุ้งมือ 

     

    “ดูใกล้ๆ แล้วหน้าตาดีนี่หว่า มิน่าล่ะ มันคงหลงแกจนไม่โผล่หน้าไปให้เห็นเลย” มาร์คพยายามดิ้นให้หลุด แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรเลย “นี่ ค่าตัวมึงเท่าไหร่วะ กูไม่เคยเอาผู้ชายหรอกนะ แต่แม่ง...” นิ้วหยาบกร้านของมันไล้ไปตามแก้มนุ่มของมาร์ค ก่อนจะหยุดลงที่ตรงริมฝีปาก “...น่าลองฉิบ เฮ้ อัล มึงว่าถ้ากูเอามันซักทีกูจะเบี่ยงเบนไปเลยมั้ยวะ”

     

    “เฮ้ย! มึงหยุดเลย นี่มาตามหาไอ้ยูคยอม ไม่ใช่จะมาเอาคนของมัน” คำสั่งของชายตัวใหญ่ที่ตอนนี้มาร์ครู้แล้วว่าชื่อ อัลทำให้คนที่จับหน้ามาร์คไว้ยอมปล่อยมือ อัลพูดกับมาร์คอีกครั้ง “มึงแน่ใจนะว่ามึงไม่รู้ว่าไอ้ยูคยอมมันอยู่ไหน”

     

    “ถถ้ารู้ก็บอกไปแล้วไง! ฉันไม่ได้เจอยูคยอมมาหลายวันแล้ว ไม่รู้หรอกว่าอยู่ไหน”

     

    ใจจริงมาร์คอยากขู่กลับไปว่าเขาจะแจ้งตำรวจและเขารู้ว่าเบื้องหลังของสองคนนี้ทำอะไร แต่เขาไม่กล้าเสี่ยง หากพวกมันรู้ว่ามาร์ครู้อะไรมากกว่านั้นและไม่ใช่แค่ ผู้ชายที่ยูคยอมซื้อตัวอย่างที่เข้าใจอยู่ มันคงไม่ปล่อยเขาไว้เฉยๆ แน่

     

    อัลหรี่ตามองมาร์คแล้วจึงปล่อยมือออกจากตัวมาร์ค ท่าทางเชื่อคำตอบ

                                 

    “ไม่รู้ก็แล้วไป แต่ถ้าได้เจอกับยูคยอม บอกมันด้วยว่าให้รีบโผล่หัวมาได้แล้ว ไม่งั้นมันได้หัวหลุดจริงๆ แน่”

     

    มาร์คยืนแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับตัวไปไหน แต่หัวใจของเขาเต้นโครมครามราวกับไปวิ่งระยะไกลมา เมื่อสองคนนั้นหันหลังแล้วเดินจากไปไกลแล้ว เขาก็รีบเดินกลับเข้าที่พักของตัวเองทันทีโดยไม่หันหลังกลับไปมอง กลัวจับใจว่าพวกมันสองคนอาจจะตลบหลังเขาแล้วตามเขามาถึงห้อง

     

    โชคดีที่มันไม่เป็นอย่างที่มาร์คกลัว เขามาถึงห้องของตัวเองได้อย่างปลอดภัย ล็อกประตูสองชั้นให้แน่นหนา เขาพุ่งตรงไปที่ห้องน้ำโดยไม่เสียเวลาวางกระเป๋าของตัวเองทิ้งไว้ที่ไหนเลย  เขาเปิดก๊อกน้ำ ล้างมือที่สั่นเทาของตัวเอง ก่อนจะใช้อวัยวะทั้งสองข้างที่เปียกของเหลวนั้นถูแรงๆ ตรงแก้มและปาก ทำความสะอาดตำแหน่งที่ชายคนนั้นล่วงละเมิดและจับอย่างจาบจ้วง  ความรู้สึกขยะแขยงและรังเกียจเมื่อกี้นี้ตีกลับมาในสมองของมาร์คอีกครั้ง เสียงพูดดูหมิ่นหยามเขาเล่นซ้ำและไม่ยอมเงียบดับไปไหน ทั้งเสียงที่เพิ่งได้สดับฟังเมื่อครู่นี้ และเสียงที่กรีดหัวใจของเขาจนบาดลึกเมื่อนานมาแล้ว

     

    นี่ ค่าตัวมึงเท่าไหร่วะ ถ้ากูเอามันซักทีกูจะเบี่ยงเบนไปเลยมั้ย

     

    ‘There comes that faggot.’

     

    ฉันสงสารน้องชายฉันจริงๆ ที่มีลูกผิดเพศอย่างแก

     

    ‘God doesn’t love you.’

     

    นี่แกไม่คิดบ้างเหรอว่าที่ผ่านมาฉันขยะแขยงแค่ไหนตอนที่จูบกับแก ก็ถือว่าเราต่างได้ต่างเสียแล้วกัน

     

    มาร์คล้างหน้าตัวเองอย่างแรงจนทั้งเส้นผมและใบหน้าเปียกปอน เขาเงยหน้าขึ้นแล้วมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ความรู้สึกเกลียดชังและสมเพชชีวิตในตอนนี้ของตัวเองกำลังกัดกินจิตใจ ตีกันกับความรู้สึกกระอักกระอ่วนชวนอาเจียนเมื่อนึกถึงสัมผัสหยาบกร้านที่ลูบไล้บนใบหน้าของเขา เขาไม่ได้รู้สึกย่ำแย่ขนาดนี้มานานแล้วนับตั้งแต่พาตัวเองออกมาจากซานฟรานซิสโก เขาเคยใช้ชีวิตคนเดียวโดยไม่ต้องเป็นห่วงใคร ไม่ต้องผูกพันกับใคร ไม่ต้องเดือดร้อนจากการกระทำของคนอื่น แต่ตอนนี้เขากำลังเผชิญทุกอย่างเพราะคิมยูคยอมเพียงคนเดียว

     

    และมันมากเกินกว่าที่คนที่เคยเจ็บมาแล้วอย่างเขาจะรับไหว

     

     

     

    ในช่วงเย็นวันต่อมา ยูคยอมที่หายหน้าหายตาไปหลายวันก็มาเคาะประตูห้องของมาร์ค ราวกับรู้ว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งวันเกิดอะไรขึ้น  ทันทีที่มาร์คเปิดประตูออกและเห็นว่าเป็นใคร เขาก็ลากยูคยอมเข้ามาในห้องแล้วผลักร่างสูงหนาเข้ากับกำแพงห้องฝั่งหนึ่งอย่างเต็มแรง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะกระชากคอเสื้อของยูคยอมไว้

     

    “นายหายไปไหนมา”

     

    “ผม... เดี๋ยวก่อนสิคุณ ใจเย็น!”

     

    “นายรู้มั้ยว่าฉันเป็นห่วงนายแทบบ้า! ไม่รู้ว่านายไปทำงานให้พวกนั้น หรือทำให้พวกตำรวจแล้วโดนยิงตายไปแล้ว หรือนายกำลังหนีอะไรอยู่ นายจะกลับมาได้มั้ย หรือฉันจะรู้อีกทีว่านายเป็นตายร้ายดียังไงตอนที่ศพกับชื่อนายโผล่มาในข่าว! จะไปแจ้งตำรวจฉันก็แจ้งไม่ได้ แถมยัง...” เขาบีบไหล่ยูคยอมแน่น จิกอุ้งนิ้วอย่างแรงผ่านเนื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างของอีกฝ่าย

     

    “เมื่อวันก่อนผมกับเจบีลอบส่งข่าวให้ตำรวจมาดักจับการล่อซื้ออีกครั้ง มันวุ่นวายกว่าที่คิด พวกเขาเลยต้องจับทั้งผมและเจบีพร้อมกับคนอื่นด้วย พวกนั้นเพิ่งโดนส่งตัวไปที่คุกอื่นเมื่อคืน แล้วก็คงคิดว่าพวกเราโดนจับส่งไปอยู่อีกที่หนึ่ง ส่วนผมกับเจบีเพิ่งโดนปล่อยตัวออกมา”

     

    “ไอ้พวกนั้นมันมาตามหานายถึงที่นี่”

     

    ยูคยอมตกใจ เขาโพล่งถามมาร์คอย่างเป็นห่วง “จริงเหรอ แล้ว...แล้วมันทำอะไรคุณรึเปล่า”

     

    มาร์คปล่อยมือจากคอเสื้อของยูคยอม “นายบอกพวกมันไว้ว่ายังไง”

     

    “คุณพูดถึงอะไร”

     

    “พวกมันนึกว่าฉันเป็น...พวกมันนึกว่าฉันนอนกับนายแลกเงิน นายบอกพวกมันอย่างนั้นเหรอ”

     

    “ก็เพราะพวกมันเคยเห็นหน้าคุณแล้ว ผมเลยต้องโกหกไปแบบนั้น เพราะถ้ามีอะไรเกิดขึ้น... ผมไม่อยากให้มันใช้คุณเป็นเครื่องมือต่อรองกับผม” ยูคยอมอธิบาย และพยายามปลอบมาร์คที่กำลังโมโหให้ใจเย็นลง “นี่ผมพยายามปกป้องคุณนะ”

     

    “เฮอะ ปกป้องเหรอ มันตามฉันมาถึงนี่ได้ งัดห้องฉันได้ และเพราะคำโกหกของนายมันเลยคิดจะลากฉันไปนอนด้วย ช่วยได้มากเลย”

     

    “ก็ผมเคยบอกคุณแต่แรกแล้วว่าไม่ให้ไปที่ทำงานผมยกเว้นตอนเลิกงาน ผมเตือนคุณแล้วคุณไม่ฟังเอง”

     

    พอความผิดโดนโยนกลับมาที่ตัวเอง มาร์คก็ยิ่งไม่พอใจ ยูคยอมไม่รู้หรือว่าเขาขยะแขยงแค่ไหนตอนถูกไอ้พวกนั้นคุกคาม ถึงได้ทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรตอนที่เขาฟ้องว่ามันจะลากเขาไปนอนด้วย และที่เขาตามยูคยอมไปที่นั่นก็เพราะเขาห่วงยูคยอม สนใจทุกเรื่องเกี่ยวกับยูคยอม และเป็นเพราะยูคยอมไม่ยอมบอกความจริงให้เขารู้แต่แรก

     

    ต้นเหตุของทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขามันก็มาจากยูคยอมหมดเลยไม่ใช่หรืออย่างไร

     

    “กลายเป็นว่าฉันผิดเองสินะที่เข้าไปแส่เรื่องของนาย – I’m so, so sorry for that.” มาร์คพูดประชดประชัน และนั่นไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น

     

    “ผมต้องไปติดแหง็กอยู่ในคุกที่สถานีตั้งหลายวัน พอกลับมาคุณก็มาประชดผมแบบนี้น่ะเหรอ”

     

    “และที่ห้องฉันโดนงัด ที่ฉันโดนไอ้คนพวกนั้นมันตามมาถึงนี่ก็ไม่ใช่เพราะนายรึไง” มาร์คย้อนถาม และตัดสินใจพูดสิ่งที่เขาคิดหนักตั้งแต่เมื่อคืนออกไป “นี่เหรอที่นายเคยบอกว่าจะทุกอย่างจะดีขึ้น”

     

    “...”

     

    “นายไม่ใช่ตัวปัญหา แต่สิ่งที่นายทำและคนรอบข้างนายต่างหากที่เป็นปัญหากับฉัน และนายก็คอยปกป้องฉันตลอดไม่ได้ ต่อไปนี้จะเกิดอะไรขึ้นอีกก็ไม่รู้  ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าฉันโง่มากที่ยอมให้นายกลับมาในชีวิตฉันอีกครั้ง”

     

    ยูคยอมรู้แล้วว่ามาร์คกำลังจะพูดอะไร และนั่นเป็นสิ่งที่เขากลัวที่สุด

     

    “มาร์ค ไม่เอาแบบนี้...”

     

    เขายื่นมือออกไปแตะแขนของมาร์ค เพื่อรั้ง เพื่ออ้อนวอน เพื่อขอให้ทบทวน แต่มาร์คปัดมันทิ้ง

     

    “เมื่อก่อนฉันก็อยู่คนเดียวได้

     

    ที่ผ่านมาคุณอยู่กับผมแล้วไม่มีความสุขเลยเหรอ

     

    ใจของมาร์ควูบไหวกับคำถามนั้น แต่ความหวาดกลัวจากคืนก่อนและความหวาดระแวงต่อสิ่งที่อาจเกิดขึ้นนั้นหนักแน่นกว่า

     

    จากนี้ไม่มีนายสักคนก็แค่กลับไปเป็นเหมือนเดิม

     

    ขอร้องล่ะ...”

     

    “อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกได้มั้ย ทั้งนายและพวกของนาย”

     

     

     

    คืนก่อนหน้านั้นที่มาร์คนอนไม่หลับและครุ่นคิดถึงเรื่องนี้จนถึงเช้า เขาเฝ้าบอกตัวเองว่าเขาจะไม่เป็นไร มันก็แค่กลับไปเป็นเหมือนตอนนั้น ตอนที่เขาเพิ่งจากซานฟรานซิสโกและมาอยู่ตัวคนเดียวที่ลอสแอนเจลิส ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรู้จัก มีแค่เพื่อนร่วมงานที่รู้จักกันแค่ผิวเผิน ใช้ชีวิตอยู่ไปแค่ให้รอดวันต่อวัน ไร้ความฝันยิ่งใหญ่ที่โดนคนใจร้ายคนนั้นช่วงชิงไป เป็นเหมือนเปลือกหอยที่ว่างเปล่าและโดดเดี่ยว เขาอยู่แบบนั้นมาได้ตั้งนาน ทำไมแค่ไม่มียูคยอม เขาจะกลับไปมีชีวิตแบบนั้นไม่ได้อีก

     

    สุดท้ายมาร์คก็มาตระหนักได้ในวินาทีที่ยูคยอมหันหลังจากเขาไป ว่าสิ่งที่เขาคิดว่าทำได้และเป็นไปได้นั้นยากกว่าที่คิด ไม่ใช่แค่หัวใจสลาย แต่เหมือนหัวใจทั้งดวงถูกฉีกดึงออกไป  ว่างเปล่า เจ็บร้าว ไม่ต่างอะไรกับในตอนนั้น

     

    และบุหรี่มวนแล้วมวนเล่าที่เผาผลาญไปก็ไม่ช่วยอะไรอีกแล้ว

     

    *

     

    ตลอดทางที่เดินจากเบลลาจิโอกลับมาที่เวเนเชียน มาร์คที่โดนดึงให้กลับไปเผชิญกับความจริงนั้นอารมณ์แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด  ทันทีที่ถึงห้องพักก็พูดแค่ว่าจะขออาบน้ำก่อนโดยไม่สนใจว่ายูคยอมจะได้ยินที่เขาพูดหรือไม่

     

    การพักค้างคืนด้วยกันมาหลายวันและการไปนอนค้างที่ห้องของมาร์คบ่อยๆ ทำให้ยูคยอมกะเวลาที่มาร์คใช้อาบน้ำได้ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องเดิมขึ้นมาพิมพ์อะไรบางอย่างยาวเหยียดก่อนจะเก็บลงกระเป๋าเหมือนเดิม เริ่มรู้สึกว่ามาร์คใช้เวลานานกว่าปกติไปสิบกว่านาทีแล้ว

     

    “มาร์ค” เขาลองเรียกชื่อของอีกฝ่าย “มาร์ค!” และเพิ่มเสียงขึ้นเมื่อไร้การตอบรับ

     

    สถานการณ์ตอนนี้ทำให้ยูคยอมนึกโยงไปถึงสีหน้าแย่ๆ ของมาร์คขณะที่กลับมาจากเบลลาจิโอ  รวมทั้งสิ่งที่เขาเคยเจอมาตลอด

     

    ภาพความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตผุดขึ้นมา เขาจำได้ว่าเขาตะโกนเรียกอีกคนนานเสียจนคอแหบแห้ง เหมือนกับคราบน้ำตาที่เกาะติดอยู่บนผิวแก้ม และกว่าจะมีคนมาถึง ทุกอย่างก็สายเกินไป  ภาพในตอนนั้นกำลังทับซ้อนภาพในปัจจุบัน ความกลัวเกาะกินใจยูคยอมอย่างรวดเร็ว เขารีบลุกจากปลายเตียงและเดินตรงไปยังประตูห้องน้ำ ใช้กำปั้นทุบซ้ำๆ หลายครั้งด้วยความร้อนใจพร้อมกับลองหมุนลูกบิดประตู

     

    โชคดีที่มันไม่ได้ล็อกไว้ คนข้างในคงไม่เห็นความจำเป็นเพราะก็อยู่กันเพียงสองคน

     

    ยูคยอมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจกับภาพที่มองเห็น  ชายหนุ่มอายุมากกว่ากำลังแช่น้ำอยู่ในอ่างสีขาวขนาดใหญ่ ยังอยู่ในสภาพปกติและมีชีวิตอยู่ดี  แสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมที่ติดอยู่ในห้องช่วยขับให้ผิวส่วนที่โผล่พ้นผืนฟองสบู่สีขาวออกมาดูผ่องยิ่งขึ้น เขาผินหน้ามองยูคยอมที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา

     

    “เข้ามาทำไม แล้วเมื่อกี้เคาะซะเสียงดัง”

     

    “ผมเรียกคุณแล้วคุณไม่ตอบ”

     

    “ฉันแค่อยากแช่น้ำอยู่เงียบๆ คนเดียวแล้วทำไมทำหน้าแบบนั้น”

     

    “ผมนึกว่าคุณจะ...”

     

    “ฉันจะทำไม” แล้วเขาก็เดาความคิดของยูคยอมได้ “นายนึกว่าฉันจะคิดสั้นเหรอ”

     

    ยูคยอมค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ก่อนนั่งลงบนพื้นข้างอ่างอาบน้ำ เขาสบตากับมาร์ค

     

    “คุณทำให้ผมกลัวมากนะรู้มั้ย เพราะ... บางครั้งผมก็ไม่รู้เลยว่าคุณคิดอะไรอยู่ วันก่อนคุณไล่ผม วันนี้คุณยอมมากับผม แต่พรุ่งนี้คุณอาจจะ...”

     

    “ก็ถูกของนาย เพราะเมื่อกี้ฉันกำลังคิดว่าต้องทำยังไงถึงจะหลุดพ้นจากนายได้ ขโมยเงินนายแล้วบินกลับแอลเอหรือไปเมืองหรือประเทศอะไรก็ได้ที่ไม่มีนาย หรือโทรแจ้งตำรวจที่นี่ว่านายกักขังหน่วงเหนี่ยวฉัน... ฉันคิดหลายวิธีมาก ยกเว้นเรื่องตาย” เขายกมือวางลงบนขอบอ่าง ก่อนจะค่อยๆ ประสานนิ้วของยูคยอมเข้าไว้ด้วยกัน 

     

    “ถ้ามันจะทำให้นายสบายใจขึ้นฉันก็ได้แค่คิดเท่านั้นล่ะ”

     

    ผมรู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันโง่มาก แต่ผมอยากให้คุณเชื่อใจผม” ยูคยอมบีบมือของมาร์คไว้แน่น  “ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย”

     

    ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในอ่างขยับตัวเปลี่ยนท่า ก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากของยูคยอมเบาๆ พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะต่ำในลำคอ

     

    You and your bullshit again... ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย” 

     

    ทว่าจูบแผ่วเบาที่หมายเพียงเพื่อปลอบประโลมนั้นกลับค่อยๆ ทวีความร้อนแรง เมื่อกลีบปากของยูคยอมกลับบดเบียดเข้าหาเขาแน่นขึ้น ฝ่ามือหนาที่กดศีรษะของมาร์คลงมาไม่ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระได้อย่างที่ใจคิด จนกระทั่งตอนที่ลมหายใจของทั้งสองคนใกล้หมดลง

     

    “แต่จากนี้เราจะลงนรกหรือขึ้นสวรรค์   

     

    ปลายลิ้นที่สอดแทรกเข้ามาตวัดคำพูดสุดท้ายของมาร์คไปเสียจนเจ้าของสิ้นโอกาสที่จะได้เอ่ยมันออกมา  แต่ยูคยอมรู้สึกว่าเขาเข้าใจสิ่งที่มาร์คกำลังจะพูดได้อย่างดี จากท่อนแขนเปียกลื่นของอีกฝ่ายที่ดึงรั้งเขาเข้าหาตัว และนิ้วมืออีกข้างที่กำลังเลื่อนมาปลดกระดุมเสื้อของเขา  อุณหภูมิในร่างกายของพวกเขาทั้งสองคนเริ่มร้อนขึ้น ขัดกับสัมผัสเย็นเฉียบบนพื้นห้องและภายในอ่าง  

     

    ตรงนี้...หรือที่เตียง” ยูคยอมพึมพำถาม

     

    จะที่ไหน ฉันก็จะไปกับนาย

     

    *

     

    ยูคยอม คิม ไม่เคยได้รู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร 

     

    แม่รักพ่อของลูกคือประโยคที่อีเลน คิม พูดให้เขาฟังเสมอทุกครั้งที่เขาถามถึงพ่อ รู้แค่นั้นก็พอ

     

    ตอนที่ยังเป็นเด็ก เขาไม่เคยรู้แน่ชัดว่าแม่ของเขาทำงานอะไร จำได้ว่าอีเลนจะเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เขาล่วงหน้า ก่อนที่จะออกจากบ้านไปในตอนค่ำ และกลับมาอีกทีในตอนเช้าหรือสาย ผู้ชายอีกคนที่ยูคยอมเห็นหน้าบ่อยๆ คือผู้ชายชาวเอเชียที่ชื่อว่าแอนดี้ ซึ่งอีเลนบอกว่าเป็นเพื่อน 

     

    อย่างไรก็ตาม ยูคยอมก็เติบโตมาเหมือนเด็กคนอื่น เข้าเรียนที่โรงเรียนของรัฐและก็มีเพื่อนอย่างที่เด็กทั่วไปควรจะมี  

     

    เขามารู้ความจริงทุกอย่างเมื่อย่างสิบขวบ  เมื่อเขากลับจากโรงเรียนแล้วเจอแอนดี้กำลังทำร้ายแม่  เสียงตะโกนเกรี้ยวกราดของแอนดี้ดังสลับกับเสียงครางอ้อนวอนของอีเลน เขาพยายามเข้าไปห้าม แต่แรงของเด็กตัวน้อยก็สู้อะไรไม่ได้ หูจับใจความได้แค่ว่าแอนดี้ต้องการเงิน แต่แม่ของเขาไม่ยอม  ด้วยความโกรธจัด แอนดี้เปลี่ยนจากการทำร้ายอีเลน และหันมาทางเขาแทน แกรู้มั้ยว่าแม่แกทำอะไรและไม่ฟังเสียงกรีดร้องของอีเลนที่พยายามห้าม

     

    ตอนนั้นยูคยอมยังไม่ค่อยเข้าใจว่า นอนกับผู้ชายแลกเงินและ พ่อของแกก็เป็นลูกค้าคนนึงหมายความว่าอย่างไร แต่จากสีหน้าของแม่ เขารู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดี และเขาก็สงสัยว่าทำไมแม่ของเขาไม่เคยพูดถึงเรื่องลูกค้าอะไรนี่สักครั้งตอนที่เขาถามถึงพ่อ

     

    หากยูคยอมย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็อยากให้ตัวเองหยุดการเจริญเติบโตไว้แค่นั้น ความใสซื่อบริสุทธิ์ที่สูญหายไปในจังหวะเดียวกันกับที่เวลาเดินหน้าไปทำให้เขาต้องรับรู้และเข้าใจความหมายในคำพูดของแอนดี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในภายหลัง

     

    ยูคยอมรู้สึกรังเกียจตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน ความจริงที่รับรู้ทำให้เขารู้สึกชังแม่ของตนอยู่ทั้งที่ก็ยังรัก แต่คำพูดของอีเลนที่ว่า แม่รักพ่อของลูกก็ช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้นิดหนึ่งว่า... อย่างน้อยมันก็มีความรักเกิดขึ้น แม้ว่าอาจเกิดจากฝ่ายของอีเลนแค่คนเดียวก็ตาม

     

     

     

    หลังจากวันนั้น ยูคยอมสังเกตว่าอีเลนอยู่บ้านบ่อยกว่าก่อน และแทบไม่ออกไปไหน กินอาหารน้อยลงกว่าแต่ก่อน แววตาเศร้าหมองที่สลักอยู่ในดวงตาของอีเลนชัดเจนยิ่งกว่าเดิม เขารู้ว่าอีเลนมักร้องไห้เงียบๆ คนเดียว และทุกครั้งที่เขาถาม หล่อนจะบอกเขาว่าไม่เป็นอะไร

     

    คืนหนึ่ง อีเลนหายเข้าไปในห้องน้ำ นานผิดปกติจนยูคยอมเดินไปตาม ไม่มีเสียงตอบรับใดดังขึ้น เขาทุบประตูซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมือแดงช้ำ แรงเขายังน้อยเกินกว่าจะผลักกลอนประตูให้พังได้ และเขาไม่รู้ว่ากุญแจห้องน้ำอยู่ที่ไหนของบ้าน เขาวิ่งไปที่โทรศัพท์และเรียกตำรวจ ก่อนจะกลับมาทุบประตู ตะโกนเรียกแม่ ด้วยหวังว่าจะได้ยินเสียงตอบรับกลับมา

     

    เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบสองนายมาถึงแล้วจัดการงัดประตูเข้าไปได้ ก็ไม่ทันการแล้ว  ตำรวจคนหนึ่งพยายามกันไม่ให้ยูคยอมเห็นภาพข้างในนั้น แต่เขาช้าไปนิดหนึ่ง เลือดแดงฉานที่ไหลนองเต็มอ่างและหยดบนพื้นกับร่างไร้วิญญาณของอีเลนที่อยู่ในนั้นติดตาเขา เป็นฝันร้ายที่หลอกหลอนยูคยอมอยู่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน

     

    นั่นเป็นครั้งแรกที่ยูคยอมเผชิญกับความสูญเสีย

     

     

     

    แอนดี้ไม่เสี่ยงให้เจ้าหน้าที่เข้ามาวุ่นวายกับตัวเองและธุรกิจในเงามืดที่ทำอยู่ และยูคยอมก็ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก เขาจึงถูกส่งให้ไปอยู่กับครอบครัวที่รับอุปการะเด็กและต้องย้ายโรงเรียน นอกจากเขาแล้ว ที่นั่นมีเด็กเอเชียทั้งชายและหญิงอยู่ด้วยอีกสามคน รวมเขาด้วยเป็นสี่  ทสึคุรุและทสึคุมิเป็นพี่น้องชายหญิงชาวญี่ปุ่น อายุสิบห้าและสิบสี่ปีตามลำดับ ส่วนเด็กชายอีกคนหนึ่งเป็นชาวเกาหลี อายุสิบสี่ปีเท่าทสึคุมิ

     

    นายมาอยู่นี่ได้ไง

     

    แม่ฉันฆ่าตัวตาย และฉันไม่มีญาติที่ไหนอีก

     

    คำตอบที่รุนแรงกว่าที่คิดทำเอาคนถามอ้าปากค้าง โอ้ เสียใจด้วยนะ

     

    แล้วนายล่ะ

     

    พ่อฉันซ้อมแม่จนตาย เขาเข้าคุก และญาติคนอื่นก็ไม่ต้องการภาระเพิ่ม

     

    ข้อเท็จจริงหนึ่งที่ยูคยอมปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ความเป็นอยู่ของเขาในบ้านของพ่อแม่อุปถัมภ์นั้นดีขึ้นกว่าตอนที่เขายังอยู่กับอีเลน พวกเขามีอาหารดีๆ ให้กินอิ่มทุกมื้อ แต่ยูคยอมรู้สึกได้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปว่าบรรยากาศในบ้านหลังนี้แปลกและดูไม่สวยงามอย่างที่ควรจะเป็น ทสึคุรุกับทสึคุมิดูเงียบๆ และชอบมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัว เมื่อลองเลียบเคียงคุยเรื่องนี้กับยองแจที่มาอยู่ในบ้านหลังนี้ก่อนหน้าเขาไม่กี่เดือน ก็ได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกไม่ต่างกัน  สองคนนั้นแทบไม่คุยกับฉันเลยยองแจเล่า เวลาอยู่ด้วยกันสามคนแล้วอึดอัดเป็นบ้า ฉันคุยกับเขาเขาก็ไม่ตอบอะไร รู้สึกเหมือนคุยกับกำแพง

     

    ครั้งหนึ่งยองแจพูดกับเขาไว้ว่า ฉันรู้นะว่าเรื่องที่ทำให้นายต้องมาอยู่ที่นี่มันเลวร้ายมาก และฉันไม่รู้ต้องใช้คำพูดยังไงถึงจะเหมาะสม แต่...ฉันดีใจนะที่ฉันมีนายเป็นเพื่อนอยู่ด้วยกันที่นี่

     

    ยูคยอมอาศัยอยู่ที่นั่นได้เกือบปีโดยมียองแจเป็นทั้งเพื่อนและพี่ชาย และเขาสัมผัสได้ว่าความเอาใจใส่ ความห่วงใย และมิตรภาพจากยองแจนั้นเป็นของจริง แตกต่างจากพ่อแม่อุปถัมภ์ของพวกเขาที่เหมือนดูแลเด็กทุกคนตามหน้าที่ไปวันๆ เท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง ยองแจก็เปลี่ยนไปโดยที่เขาไม่รู้สาเหตุและไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้นมาก่อน  จากที่ยองแจเคยบอกว่าเขาไม่สนิทกับพวกทสึคุรุและทสึคุมิ จู่ๆ เขาก็กลับขลุกอยู่แต่กับสองพี่น้องชาวญี่ปุ่นคนนั้น และแทบไม่สุงสิงกับยูคยอมอีก 

     

    เมื่อยูคยอมพยายามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เขาได้รับตอบแทนกลับคือคำพูดว่า นายไม่ต้องยุ่งหรอก ใช้ชีวิตของนายไปเถอะ 

     

    ตั้งแต่ยองแจเปลี่ยนไป ยูคยอมก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกลอยแพ จากที่เคยมีเพื่อนให้พูดคุยและปรึกษาได้ทุกอย่าง ตอนนี้เขากลับกลายเป็นเหมือนหมาหัวเน่าในบ้านที่เด็กคนอื่นไม่ยุ่งด้วย โดยที่เขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น หรือเขาทำอะไรผิดไป

     

    กระทั่งคืนหนึ่ง เสียงกรีดร้องของแม่อุปถัมภ์ของเขาดังขึ้นจนปลุกเขาตื่น  ยูคยอมรีบวิ่งไปตามต้นเสียงตามสัญชาตญาณ เขามองเห็นหล่อนยืนเอามืดปิดปาก ดวงตาเบิกโพลง ตื่นตระหนกอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน  และเมื่อมองเข้าไปในห้องนอน เขาก็ตกใจกับภาพที่เห็นเช่นกัน

     

    ยองแจสวมเสื้อยืดเพียงตัวเดียว ท่อนล่างเปลือยเปล่าเผยให้เห็นขาขาว เขากำลังนั่งคร่อมอยู่บนร่างของพ่ออุปถัมภ์ หากนั่นก็ไม่น่าตกใจไปมากกว่าคราบเลือดที่ยังไม่แห้งดีบนเสื้อและผิวกายของยองแจ รวมไปถึงบนมีดปลายแหลมในมือของยองแจซึ่งยูคยอมจำได้ว่ามาจากในห้องครัว  ส่วนร่างไร้วิญญาณของชายที่นอนอยู่ด้านล่างนั้นเปลือยท่อนบน แขนทั้งสองข้างถูกมัดไว้กับหัวเตียงด้วยผ้าเช็ดหน้าและเข็มขัด  บนหน้าอกจนถึงหน้าท้องมีรอยมีดแทงอยู่เกือบสิบแผล

     

    ทสึคุรุกับทสึคุมิวิ่งตามเสียงร้องมาหลังยูคยอมไม่ถึงนาที ปฏิกิริยาของพวกเขาไม่ต่างกัน

     

    แกทำอะไรลงไป!’ แม่อุปถัมภ์ของพวกเขากรีดร้อง

     

    สายตาของยองแจว่างเปล่า เขายกมือข้างที่ถือมีดขึ้นและชี้ปลายแหลมของมันมาทางภรรยาของชายคนที่เขาเพิ่งฆ่า

     

    คุณต่างหาก…’ เขาเหลือบตามองสองพี่น้องนิดหนึ่ง ‘…ที่ควรจะทำอะไรสักอย่างตั้งแต่แรก

     

    เมื่อเรื่องนี้ถึงตำรวจ ครอบครัวอุปถัมภ์ของพวกเขาก็ถึงคราวแตกสลาย  ในฐานะเหยื่อจากการล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ทสึคุรุ ทสึคุมิ และยองแจถูกส่งไปรักษาและฟื้นฟูสภาพจิตใจที่อื่น

     

    ก่อนที่จะต้องจากกัน ยูคยอมถามยองแจว่า ทำไมนายต้องทำถึงขนาดนั้นด้วย

     

    เพราะฉันไม่อยากให้เขาทำอะไรนายเหมือนที่ทำกับฉันฉันเป็นห่วงนาย

     

    นั่นเป็นครั้งที่สองที่เขาสูญเสียคนดีๆ ในชีวิตไปจากชีวิต

     

     

     

    จากนั้นยูคยอมก็ย้ายเข้าไปอยู่ในครอบครัวอุปถัมภ์แห่งใหม่ บ้านหลังใหม่ โรงเรียนใหม่ และชุมชนแห่งใหม่ ซึ่งก็ไม่ได้ดีกว่าก่อนหน้านี้เลยสักนิด  เขาเริ่มคบกับเพื่อนที่ปูมหลังทางครอบครัวมีปัญหาคล้ายๆ กัน แรงกดดันจากคนรอบข้างทำให้ยูคยอมเดินเข้าไปในเส้นทางของพวกที่ท้าทายกฎหมาย และกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกระดับชั้นปลายแถวในแก๊งของเอสพิวโดที่ลอสแอนเจลิส  ก่อนที่จะโดนตำรวจจับในเวลาต่อมา ความต้องการเอาตัวรอดทำให้ยูคยอมยอมรับข้อเสนอของทางนั้น คิดเสียแค่ว่าไม่ต้องติดคุกก็พอ

     

    และในคืนหนึ่ง เขาก็ได้พบกับมาร์ค

     

    *

     

    ยูคยอมรีบปลุกมาร์คแต่เช้าตรู่เพื่อจะได้เก็บของ เช็กเอาท์และออกเดินทางไปสนามบินและซื้อตั๋วไปเรโนไฟลท์ที่เร็วที่สุด  คนตัวเล็กลืมตาตื่นตั้งแต่ตอนที่โดนปลุก แต่กลับนอนกอดผ้าห่มไม่ยอมลุกราวกับทำใจไม่ได้ที่จะต้องจากลาสเวกัสใหม่ตั้งแต่ตอนนี้  เขาเลยจำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายหยุดทำให้เขาเสียเวลา

     

    “ถ้าคุณชอบ ไว้ผมค่อยพาคุณมาที่นี่อีก”

    “เราขับรถไปเรื่อยๆ คุณอาจจะเจอเมืองอื่นที่ชอบกว่านี้ก็ได้ เรายังไปไม่ถึงครึ่งทวีปเลย”

    “เราไม่มีเวลาแล้วนะ”

    “นี่ เมื่อคืนผมรุนแรงกับคุณไป --  

     

    คนที่นอนอยู่บนเตียงสะบัดผ้าห่มใส่ ก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวแต่โดยดี

     

     

    เมื่อกลับมาอยู่บนทางหลวงหมายเลข 50 อีกครั้ง ลาสเวกัสก็เปรียบเหมือนความฝันซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นจริง  พวกเขากลับมาอยู่ในรถกระบะคันเดิมที่จอดทิ้งไว้ในสนามบิน และยูคยอมก็ขับรถออกจากคาร์สันซิตี้ไปตามถนนเส้นเดิมที่อ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว แห้งแล้ง มองไปทางไหนก็เห็นแต่พุ่มไม้เตี้ยๆ บนผืนทรายและหินสีซีด ทั้งที่พวกเขายังไม่ถึงเขตทะเลทรายในเนวาดาเสียด้วยซ้ำ

     

    พวกเขาออกเดินทางจากจุดเริ่มต้นไปได้ประมาณสิบห้านาทีและกำลังจะถึงเมืองเดย์ตัน ก็เจอกับรถตำรวจคันหนึ่งที่จอดโดดเด่นอยู่ริมถนน ออกจะแปลกอยู่สักหน่อยเพราะบนถนนสายนี้แทบไม่มีรถวิ่งผ่านจนไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องมาตรวจตราอะไร และที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจกว่านั้นคือเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบผู้เปิดประตูรถออกมา แล้วโบกมือเรียกให้พวกเขาหยุดจอด

     

    “ขอดูใบขับขี่ด้วยครับ”

     

    มาร์คกำลังจะโพล่งถามว่าตำรวจมาดักตรวจหรือดักจับอะไรตรงนี้ แต่ยูคยอมกลับล้วงกระเป๋าแล้วยื่นใบขับขี่ของตัวเองให้แต่โดยดี  ตำรวจคนนั้นมองยูคยอม มองมาร์ค และมองรถที่พวกเขานั่งอยู่ ก่อนจะคืนใบขับขี่ให้แก่ยูคยอมโดยไม่ถามอะไรเพิ่มหรือชี้แจงว่าขอดูใบขับขี่ทำไม

     

    Welcome to the loneliest road in America. Enjoy your trip.”

     

    *

     

    นานมาแล้วที่ยูคยอมไม่ได้รับความอ่อนโยนแบบนี้ โดยเฉพาะจากคนแปลกหน้า  ยูคยอมรู้ตัวว่ากำลังตกลงไปในห้วงภวังค์อะไรสักอย่างตอนที่จ้องมองใบหน้าของชายอีกคนที่กำลังทำแผลให้เขา จดจำและบันทึกทุกรายละเอียดไว้ในสมอง จนลืมความเจ็บปวดจากการโดนทำร้ายก่อนหน้านี้ไปชั่วขณะ ลืมว่าตัวเองเป็นใคร ควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร

     

    คุณชื่ออะไรเขาหลุดปากถามไป ใจคิดแค่ว่าอยากรู้จักและอยากเจอคนคนนี้อีก ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายไม่ให้คำตอบ ยูคยอมจึงโดนดึงกลับมาในโลกแห่งความเป็นจริง เขาไม่ควรทำความรู้จักกับคนที่ดีแบบนี้ เขาเลยยอมปล่อยให้ชายแปลกหน้านิรนามคนนั้นขึ้นรถประจำทางไปโดยไม่พูดอะไรอีก

     

     

    การยอมตัดใจและปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นหายไปล้มเหลวอย่างมหันต์

     

    ทุกชั่วขณะที่สมองของยูคยอมไม่มีเรื่องอื่นต้องคิด เขาพะวงคิดถึงป้ายรถประจำทางหน้าซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนั้นเสมอ จนทุกครั้งที่ปลีกตัวไปได้ เขาจะไปนั่งอยู่ที่ป้ายรถประจำทาง ไม่ก็แวะเข้าออกซูเปอร์มาร์เก็ต ซื้อของเล็กๆ น้อยๆ แล้วยืนรอใครบางคนอยู่แถวนั้น  ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินผ่านยูคยอมไปโดยไม่สนใจ บางชั่วโมงก็มีคนพลุกพล่านแถวนั้นเสียจนยูคยอมแทบมองหาคนคนนั้นไม่ทัน  แต่เขาไม่เคยเจอชายคนนั้นเลย  ยูคยอมเกือบจะตัดใจเป็นครั้งที่สองแล้ว จนกระทั่งอีกเกือบสองเดือนถัดมา เขาก็ได้เจอคนที่เขารอคอย

     

    ตอนแรกเขาเชื่อสนิทใจว่าชายคนนี้ชื่อแจ็คสัน และเมื่อรู้ความจริงในภายหลังว่านั่นเป็นชื่อปลอม ยูคยอมจึงรู้แล้วว่าสิ่งที่เขาต้องการคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเป็นไปไม่ได้  การที่มาร์คยอมให้เขาเลี้ยงกาแฟแก้วหนึ่งก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี และนั่นคงเป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ตามในอุดมคติของทุกคู่  หากยูคยอมเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาทั่วไป  เขาเลือกจะปิดบังความจริงเกี่ยวกับตัวเองไว้ เพราะความจริงจะไม่มีวันทำให้เขาได้เข้าใกล้มาร์คได้อย่างที่เป็นอยู่

     

    ยูคยอมพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของมาร์คทุกวัน เขารู้สึกได้ว่ามาร์คมีอะไรบางอย่างในใจที่คอยปิดกั้นเขา ไม่ให้เขาได้เป็นมากกว่าคนรู้จักหรือเพื่อนคนหนึ่งเร็วเกินไป แต่เขาก็มองข้ามอุปสรรคนั้น  จนวันหนึ่ง มาร์คก็เป็นฝ่ายยิ้มให้เขาก่อนเมื่อได้เจอหน้ากัน และยูคยอมถือว่านั่นเป็นรางวัลให้แก่ความพยายามของตัวเอง จูบกับมาร์คสร้างความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งกาย ร่างเล็กบางของมาร์คก็เหมือนสร้างขึ้นมาเพื่อให้อยู่ในอ้อมกอดของเขาได้พอดิบพอดี

     

    เมื่อถึงจุดนั้น ยูคยอมก็ทิ้งเหตุผลทุกอย่างไปสิ้น ถ้าแค่มาร์คไม่รู้ความจริง ถ้าแค่สิ่งที่ยูคยอมกำลังทำอยู่ไม่ไปข้องเกี่ยวอะไรกับชีวิตของมาร์ค ทุกอย่างก็จะราบรื่น

     

    ...แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น และยูคยอมไม่โกรธมาร์คเลยที่ต้องการให้เขาออกไปจากชีวิต  เป็นเขาเองต่างหากที่ปล่อยมาร์คไปไม่ได้ กลับไปขอโอกาสอีกครั้ง และก็สูญเสียมันไปอีกครั้ง  เขาทำให้ทุกอย่างดีขึ้นอย่างที่พูดไว้ไม่ได้ ตราบใดที่เขายังสลัดตัวตนและภาระจากฝั่งนี้ไปไม่พ้น

     

    ยูคยอมทำใจไม่ได้ เพราะเขายอมเสียมาร์คไปไม่ได้อีกแล้ว

     

     

     

    “ผมอยากเลิก”

     

    ยูคยอมตัดสินใจสารภาพกับเจบี  ดวงตาเรียวของอีกฝ่ายหรี่ลงพร้อมกับที่คิ้วย่นเข้าหากันเล็กน้อย  ไม่พยายามปิดบังว่าตัวเองไม่พอใจที่ได้ยินคำนั้น  สีหน้าของเขาแสดงออกชัดเจนอย่างไร น้ำเสียงและคำที่เอ่ยก็ไม่ต่างกัน  วูบหนึ่งที่ยูคยอมคิดขึ้นมาว่าตัวเองคิดผิดที่พูดเรื่องนี้ให้เจบีฟัง แทนที่จะโทรศัพท์หาจินยอง

     

    “แล้วยังไงต่อ จะทิ้งให้ฉันจัดการคนพวกนี้คนเดียวรึไง” เจบีย้อนกลับเสียงแข็ง ถึงเขาจะแฝงตัวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งได้แล้ว แต่ในสายตาคนอื่นๆ เขาก็ยังเป็นสมาชิกที่ยัง ใหม่อยู่ ยังไม่ได้รับความไว้ใจมากพอและเข้าถึงพวกคนที่สำคัญกว่านี้ได้ยาก

     

    “คุณเป็นตำรวจ คุณน่าจะ...”

     

    “ถ้าแค่เป็นตำรวจแล้วจัดการอะไรได้ง่ายๆ ฉันลากพวกมันเข้าคุกได้ตั้งแต่วันแรกแล้ว และถ้านายไม่ช่วยฉันจนถึงที่สุด ก็ถือว่านายผิดข้อตกลง และนายก็คงรู้ว่าจะต้องไปจบเห่ที่ไหน”

     

    เขารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากทำสิ่งที่ค้างคาไว้อยู่ให้จบ การหนีปัญหาเป็นทางออกที่ง่ายที่สุดแต่ทำให้เขาลำบากที่สุดในภายหลัง  การหนีไปให้พ้นจากสายตาของเอสพิวโดนั้นไม่เท่าไร แต่หนีจากตำรวจนั้นลำบากกว่า  แล้วเขาตั้งใจไว้ว่าถ้าเขาจะหนีไปจากสิ่งที่เป็นอยู่และเริ่มต้นใหม่ เขาอยากพามาร์คไปด้วย  เขาจึงไม่อยากให้มาร์คต้องมาเดือดร้อนเพราะเขาอีก

     

    เจบีเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ ครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่หลายนาที

     

    แผนนี้อาจจะใช้ได้ผลนะ ถ้านายคิดจะหนีจริงๆ”

     

    *

     

    ระหว่างทางไปเดย์ตัน บนถนนหมายเลข 50 ยังคงพอมองเห็นรถหลายคันแล่นตามหลังหรือแซงหน้าไปบนฝั่งเดียวกัน และอีกหลายคันที่ขับสวนมา  แต่ทันทีที่ออกมาจากตัวเมืองหลังจากแวะเติมน้ำมัน คำจำกัดความที่ว่าถนนสายนี้เป็นถนนที่เดียวดายที่สุดก็ใกล้เคียงกับความจริงทีเดียว  รถกระบะสีแดงที่มาร์คและยูคยอมนั่งอยู่เหมือนจะเป็นพาหนะเพียงคันเดียวที่กำลังจะออกจากตัวเมือง มุ่งหน้าไปยังพื้นที่อ้างว้างและเปล่าเปลี่ยวกว่านี้  นานๆ ทีจึงจะเห็นพาหนะอีกคันในถนนอีกฝั่ง ส่วนใหญ่เป็นรถสิบล้อคันใหญ่หรือรถพ่วง

     

    หากความเดียวดายและความทุรกันดารที่โอบล้อมพวกเขาอยู่ก็มีความงดงาม เมื่อไร้ตึกระฟ้าเรียงรายกันเป็นทิวแถว ก็ไม่มีอะไรบดบังผืนนภาสีฟ้าสวยและเมฆเบาบางสีขาวที่แต่งแต้มอยู่เบื้องบนราวกับฝีพู่กันจากจิตรกรชั้นเอก  ท้องฟ้าที่มองเห็นได้ชัดเจนเต็มตาเป็นดั่งผ้าผืนใหญ่ที่กำลังห่มพวกเขาไว้ ทั้งที่ความจริงแล้วอยู่ห่างออกไปแสนไกลอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด  อย่างที่คุยกันเอาไว้ พวกเขาไม่มีจุดหมายที่แน่ชัด รู้แค่ว่ากำลังจะไปทางตะวันออก ไปอีกด้านของโลกที่พวกเขาจากมา

     

    “ถ้าเกิดว่า...”

     

    “ถ้าเกิดว่าอะไร”

     

    “สมมติว่าเราขับไปจนถึงแมรี่แลนด์แล้ว เราจะเอายังไงกันต่อ” เขามองกระเป๋าสัมภาระของทั้งสองคนที่วางอยู่ในเบาะด้านหลังผ่านกระจก “เราจำเป็นต้องไปไกลถึงขนาดนั้นมั้ย หรือเราต้องไปไกลกว่านั้นอีก”

     

    ในคืนนั้น ยูคยอมกลับมาหาเขาที่ห้องพร้อมกระเป๋าเงินใบใหญ่ เราหนีไปด้วยกันเถอะนะ ผมจะไม่ให้คนพวกนั้นมายุ่งกับคุณอีก เขาพยายามเค้นความจริงจากอีกฝ่ายว่าไปเอาเงินสดจำนวนมากขนาดนั้นมาจากไหน แต่ยูคยอมไม่ยอมบอกที่มาจนเขาต้องขู่ว่าถ้าไม่บอกจะไม่ยอมตอบตกลงหรือปฏิเสธทั้งนั้น

     

    ยูคยอมบอกว่านั่นเป็นเงินส่วนแบ่งจากเอสพิวโดที่เขาเก็บเอาไว้  มาร์คไม่คิดว่ามันจะมากได้ถึงขนาดนั้นเมื่อเทียบกับที่ยูคยอมบอกเสมอว่าเขาเป็นแค่พวกปลายแถว

     

    แล้วพวกตำรวจ…’

     

    ผมช่วยให้ตำรวจคนนึงเข้าไปอยู่กับเอสพิวโดได้แล้ว ถ้ายังไม่มีปัญญาทำอะไรได้อีกก็เป็นปัญหาของพวกมันแล้วล่ะ

     

    ข้อเสนอของยูคยอมบ้าระห่ำอย่างยิ่ง  มาร์คลังเล เขาควรจะผลักไสความวุ่นวายออกไปให้พ้นจากชีวิตพร้อมกับผู้ชายที่ชื่อยูคยอม หรือจะยอมก้าวขาขึ้นรถไปกับยูคยอมโดยที่ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายภาคหน้า  ทว่ายูคยอมที่เอาแต่พูดว่า ถ้าเราหนีไปกันได้ เราจะได้อยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องมีเรื่องพวกนี้เข้ามาวุ่นวายอีก ก็ไม่ช่วยให้การตัดสินใจของเขาเป็นไปตามหลักเหตุและผลเลย 

     

    'นายทำถึงขนาดนี้...จะไม่ให้ฉันปฏิเสธนายเลยสินะ

     

    ช่วงแรกมันก็น่าตื่นเต้นดีแม้จะต้องคอยระวัง และบรรยากาศใหม่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนก็ทำให้ลืมๆ ไปได้บ้างว่าพวกเขากำลังอยู่ระหว่างการหลบหนี แค่ไม่คิดถึงว่าเงินที่พวกเขากำลังใช้อยู่มีที่มาจากไหนก็ทำให้เที่ยวได้อย่างสบายใจ  จนกระทั่งแบมแบมบังเอิญมาเจอพวกเขา ทั้งสองคนจึงตระหนักแล้วว่าเนวาดายังไกลไม่พอ  ยูคยอมยืนกรานให้พวกเขากลับมาที่ถนนเส้นนี้ตามแผนการเดิม เพราะกว่าคนอื่นจะรู้ข่าวนี้จากแบมแบม พวกเขาก็ออกจากเวกัสไปไกลโข คงไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะเลือกหลบหนีไปทางรถยนต์ที่ใช้เวลาเดินทางนาน และไปโดยถนนเส้นยาวข้ามทวีปนี้ที่ตัดผ่านเมืองนับไม่ถ้วน  พวกเขาอาจหยุดพักที่ใดที่หนึ่ง ถาวรหรือชั่วคราวก็ได้  หากไม่รู้ล่วงหน้าก็ไม่สามารถดักรอ และหากตามมาทีหลัง ก็ไม่มีทางตามได้ทันหรือหยั่งรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน

     

    ทางเลือกที่มีมากมายทำให้มาร์คถามยูคยอมว่าพวกเขาจะทำอย่างไรกันต่อไป  อย่างไรเสียสักวันพวกเขาก็ต้องหยุดอยู่ที่ใดที่หนึ่ง

     

    ยูคยอมไม่มีคำตอบให้เขา ยังไม่มี

     

     

     

    เกือบสี่สิบนาทีถัดมา อีกเขตหนึ่งที่พวกเขาขับผ่านคือเขตที่อยู่อาศัยซิลเวอร์สปริงส์  ยูคยอมแวะจอดรถเพื่อให้ทั้งเครื่องยนต์และคนได้พักสักครู่หนึ่งก่อนออกเดินทางต่อ  อาคารในเขตนี้ส่วนใหญ่เป็นอาคารชั้นเดียวแต่กว้างและกระจายตัวออกไปทั่วผืนดินทรายที่กว้างใหญ่ ดูห่างไกลความเจริญก้าวหน้าแบบในตัวเมือง

     

    “นี่ ไปกันเถอะ เราควรถึงอิลีภายในเย็นนี้”

     

    ยูคยอมเรียกมาร์คที่เดินยืดเส้นยืดสายอยู่ข้างนอกให้กลับเข้ามา ก่อนจะเคลื่อนพาหนะสีแดงของพวกเขาออกไป 

     

    มีเหตุผลหนึ่งที่ยูคยอมเลือกรถสีแดง ต่อให้ฝุ่นจากถนนหรือทรายเกาะเต็มรถ มันก็ยังมองหาได้ง่าย

     

     

     

    พอขับออกมาจากซิลเวอร์สปริงส์ พวกเขาก็ไม่เห็นพาหนะคันอื่นแล้ว ถนนเส้นยาวที่ทอดออกไปไกลราวกับไม่มีจุดสิ้นสุดและขนาบข้างด้วยผืนทรายอันแห้งแล้งทั้งสองด้านกลายเป็นของพวกเขาโดยสมบูรณ์แบบ  ทิวทัศน์ทั้งสองด้านเหมือนกันไปหมดราวกับว่าพวกเขาไม่เคยขับเคลื่อนไปข้างหน้าเลยสักนิดเดียว  อีกประมาณห้าชั่วโมงพวกเขาจะถึงอิลี เมืองสุดท้ายที่อยู่ในเขตรัฐของเนวาดา และเมื่อเลยผ่านอิลีไป พวกเขาจะถึงเมืองเดลตาในรัฐยูทาห์

     

    ผ่านไปได้สักสิบนาที  มาร์คที่มองกระจกข้างริมหน้าต่างอยู่ก็สังเกตเห็นรถซีอาร์วีสีดำสนิทคันหนึ่งแล่นตามหลังพวกเขามาติดๆ  ทั้งที่ถนนโล่งและกว้างพอที่รถคันนั้นจะแซงผ่านไปได้เหมือนกับพาหนะคันอื่นที่พวกเขาเจอมา แต่มันกลับขับไล่หลังรถกระบะสีแดงของพวกเขาตลอดโดยไม่ยอมให้หลุด  ราวกับผู้ล่าที่ไม่ต้องการปล่อยให้เหยื่อรอดไปไหนได้

     

    “นี่... รถคันนั้นแปลกๆ มั้ย”

     

    มาร์คพูดขึ้นมา แต่อีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันกลับไม่โต้ตอบใดๆ จนเขาต้องหันหน้าไปมอง  ยูคยอมก็กำลังจ้องรถสีดำคันนั้นเขม็งผ่านกระจกมองหลังเช่นกัน และเขาก็เข้าใจทุกอย่างจากการกระทำของยูคยอม

     

    พวกมันตามมาถึงนี่แล้ว

     

    ยังไม่ทันที่มาร์คจะได้ร้องโวยวายหรือแสดงอาการตื่นกลัว คนที่ขับรถอยู่ก็พูดสั่งเขา

     

    “ช่องเก็บของข้างหน้าคุณมีปืนอยู่ เอามันให้ผม อ้อ มันโหลดกระสุนไว้แล้วนะ ระวังด้วย”

     

    ได้ยินอย่างนั้นแล้ว มาร์คก็ไม่รู้ว่าควรจะตกใจกับอะไรก่อน ระหว่างรถข้างหลังที่เป็นของผู้ไล่ล่ากำลังขับไล่ตามพวกเขามา อาวุธปืนที่ซ่อนอยู่ในรถแต่เขาไม่เคยรู้ หรือสีหน้าของยูคยอมที่ดูไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด ราวกับคาดการณ์ทุกอย่างไว้แล้ว   เขายื่นอาวุธสีดำจากช่องเก็บของหน้ารถให้กับคนขับก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่กระจกข้างรถอีกครั้ง

     

    “ไหนนายบอกว่ามันจะตามมาไม่ถูกไง”

     

    “ก็ใช่ ถ้าผมไม่ได้จงใจล่อให้พวกมันออกมาที่นี่”

     

    “หา”

     

    “คุณมาขับรถแทนผมที ผมไม่รู้ว่ามันจะใช้ปืน…”

     

    เปรี้ยง!  กระสุนนัดหนึ่งพุ่งมาจากทางด้านหลัง แต่พลาดรถของพวกเขาไปอย่างฉิวเฉียด  ยูคยอมสบถออกมา “ไอ้ห่าเอ๊ย ใจร้อนฉิบ” ก่อนจะคว้าปืนมาจากมือของมาร์ค เขาเหยียบคันเร่งค้างไว้ กดปรับเบาะให้เอนไปข้างหลังเพื่อให้มาร์คแทรกตัวเข้ามานั่งในที่ของตัวเองได้  ทุลักทุเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาก็เข้าไปนั่งในเบาะด้านข้างคนขับได้

     

    หากพวกเขาอยู่ในเขตชุมชนที่พอมีถนนเล็กๆ สายอื่นให้เลี้ยวหนีไปได้ก็คงดีกว่านี้ แต่ตอนนี้รอบๆ พวกเขามีแต่ผืนทรายที่เปิดโล่ง ต่อให้ทิ้งรถแล้ววิ่งหลบหนีไปก็ไม่มีที่หลบซ่อนอยู่ดี  มาร์คไม่เคยต้องการเค้นความจริงจากปากยูคยอมมากเท่านี้มาก่อน เอาไว้ถ้ารอดไปได้ เขาได้มีเรื่องสะสางกับยูคยอมชุดใหญ่แน่  

     

    ลมตีเข้ามาในห้องคนขับพร้อมๆ กับที่ยูคยอมลดกระจกฝั่งที่นั่งของตัวเองลง ดันร่างกายท่อนบนของตัวเองออกไปข้างนอกก่อนจะยิงโต้ตอบกลับไปเหมือนกัน  รถคันนั้นพยายามหักหลบจากวิถีกระสุนทำให้เสียหลักและความเร็วถอยร่นลงไปนิดหนึ่ง  อะดรีนาลินที่หลั่งเต็มที่ทำให้มาร์คไม่ปล่อยมือออกจากพวงมาลัยและปล่อยเท้าออกจากคันเร่ง เขาเหยียบจนมิด เร่งความเร็วที่สุดเท่าที่รถคันนี้จะเร็วได้

     

    “This is fucking bullshit… ถ้าเรารอดจากเอสพิวโดได้ ฉันเองนี่แหละที่จะฆ่านาย”

     

    “อย่าเลยที่รัก คุณได้ร้องไห้ไปตลอดชีวิตแน่”

     

    คนในรถคันหลังยิงกระสุนใส่พวกเขาอีกสามนัด สองนัดเหมือนจะเจาะเข้าที่ด้านหลัง อีกนัดหนึ่งพลาดเป้า ยูคยอมยื่นตัวออกไปนอกหน้าต่าง และยิงโต้ตอบกลับไปอีกสองนัด  กระสุนของยูคยอมเจาะกระจกหน้ารถพอดี ไม่รู้ว่าโดนใครในนั้นบ้าง แต่รถคันดังกล่าวก็เสียการควบคุมจนเกือบหลุดออกไปข้างทาง ก่อนจะกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง  มือปืนในรถคันนั้นไม่ปล่อยให้ยูคยอมได้พักหายใจนาน เขายื่นตัวออกมาเล็กน้อยเพื่อเตรียมโจมตียูคยอมอีกครั้ง ชายคนนั้นคือเอสพิวโดตามคาด ส่วนคนขับรถอีกคนนั้น ยูคยอมพอเดาออกว่าเป็นใคร แต่ก็ไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซนต์

     

    ในช่องเก็บของหน้ารถมีกระสุนสำรองอีกแค่ชุดเดียว ฉะนั้นยูคยอมจึงไม่อยากยิงกราด เพราะถ้าพลาดเป้าจนกระสุนหมด ทุกอย่างเป็นอันจบ แต่เขาก็กลัวเหลือเกินว่าเอสพิวโดอาจจะยิงโดนยางรถยนต์ของเขาได้ก่อน ถ้าพวกเขากลายเป็นเป้านิ่งเมื่อไร ทุกอย่างก็จบเห่เช่นกัน  ไม่ใช่ชีวิตตัวเองที่เขาห่วง แต่เป็นชีวิตของมาร์คต่างหาก  หากเป็นไปตามแผน พวกเขาสองคนควรจะปลอดภัย แต่ก็นั่นแหละ เขาไม่รู้ว่าเอสพิวโดยิงปืนแม่นมากน้อยแค่ไหน และเขาก็ไม่รู้ว่าจะถ่วงเวลาตรงนี้ไปได้อีกนานเท่าไร ทุกวินาทีที่ผ่านไปยิ่งทำให้เขาร้อนใจมากขึ้น

     

    บ้าฉิบ ทำไมยังไม่มา

     

    เอสพิวโดกำลังเล็งปืนมาทางเขา และยูคยอมก็ตัดสินใจยิงจู่โจมกลับไปก่อน กระสุนนัดนั้นเฉี่ยวเข้าที่มือของเอสพิวโดพอดี ยูคยอมจึงใจชื้นขึ้น เอสพิวโดไม่ถึงขั้นทำปืนหลุดจากมือ แต่เลือดที่ไหลออกจากแผลก็ทำให้มือของเขาลื่นจนคุมปืนได้ไม่นิ่ง  ยูคยอมรีบฉวยโอกาสนี้ยิงใส่รถคันนั้นไปอีกสองนัด แต่ก็ไม่โชคดีเหมือนเมื่อกี้นี้

     

    เอสพิวโดยิงโต้ตอบกลับมาจนยูคยอมต้องรีบหลบเข้ามาภายใน  เขาสั่งให้มาร์คขับรถต่อไปก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องที่ซ่อนจากมาร์คไว้ออกมา ตอนนี้อุปกรณ์สื่อสารนั้นไร้ประโยชน์อย่างที่เขาคิดไว้ แถวนี้ไม่มีสัญญาณเพียงพอ  เขาก่นด่าเจบีกับจินยองในใจ พร้อมกับมองมาร์คที่ตอนนี้ทุ่มเทพลังและสมาธิไปกับการควบคุมรถให้นิ่งที่สุด และคงกำลังเกลียดยูคยอมจับใจ  

     

    จะมาพังเพราะแบบนี้ไม่ได้นะ

     

    สถานการณ์ปัจจุบันกำลังกดดันยูคยอมอย่างยิ่งยวด ตอนนั้นเองที่ทั้งเขาและมาร์คได้ยินเสียงไซเรนดังมาด้านหลัง  รถตำรวจสองคันกำลังขับไล่ตามหลังรถของเอสพิวโดมาติดๆ และเมื่อละสายตาจากกระจกหลังมามองถนนข้างหน้า พวกเขาก็เห็นรถตำรวจอีกหนึ่งคันและรถยนต์สีดำติดไซเรนตำรวจอีกหนึ่งคันแล่นมาจากถนนอีกฝั่ง

     

    ยูคยอมยิ้มกว้าง

     

    รถสองคันข้างหน้าพวกเขาจอดขวางถนนทั้งสี่เลนเอาไว้  บีบให้พาหนะทั้งสองคันที่ขับไล่ล่ากันอยู่ต้องรีบเบรกเอี๊ยด ทันทีที่รถของพวกเขาจอดสนิท ยูคยอมก็รีบไล่ให้มาร์คออกไปจากรถแล้วย่อตัวหลบอยู่ด้านหลัง ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของตำรวจที่เพิ่งมาถึง

     

    ตำรวจในเครื่องแบบทั้งสี่นายลงมาจากรถ ชี้ปากกระบอกปืนไปทางรถซีอาร์วีที่จอดอยู่ตรงกลาง ไปไหนไม่ได้เพราะโดนรถตำรวจล้อมหน้าหลังทั้งสองด้าน เจ้าหน้าที่ชาวเอเชียคนหนึ่งตะโกนสั่งให้เอสพิวโดทิ้งอาวุธลงแล้วประสานมือไว้ที่หลังศีรษะ ตั้งท่าเตรียมยิงป้องกันหากเอสพิวโดคิดโต้ตอบด้วยความรุนแรง เขาตะโกนย้ำอีกครั้งเมื่อเอสพิวโดไม่ยอมทำตาม “ทิ้งปืนเดี๋ยวนี้!

     

    เอสพิวโดขยับตัวแต่ไม่ได้ทิ้งปืนลง ตำรวจคนนั้นจึงยิงเข้าที่แขนของเอสพิวโดทันทีเพื่อป้องกันเหตุ คราวนี้กระบอกปืนจึงร่วงหล่นลงพื้นถนนจริงๆ  เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งแปดนายพุ่งเข้าหารถคันนั้น คนหนึ่งเปิดประตูรถและลากเอสพิวโดออกมาใส่กุญแจมือเอาไว้  อีกคนหนึ่งเปิดท้ายรถและตะโกนออกมาว่าพบอาวุธปืนขนาดใหญ่รวมถึงโคเคนบริสุทธิ์ 

     

    มั่นใจว่าสถานการณ์ปลอดภัยแล้ว ทั้งมาร์คและยูคยอมจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน  ทันทีที่เอสพิวโดเห็นหน้าอดีตลูกน้องที่เขาตามล่า เขาก็ตะโกนด่าอย่างรุนแรงจนกระทั่งโดนจับเข้าไปอยู่ในรถตำรวจคันหนึ่ง

     

    ยูคยอมถอนหายใจอย่างโล่งอก  ทุกอย่างจบลงแล้ว

     

    ตำรวจชาวเอเชียคนนั้นค่อยๆ พาร่างของคนขับรถของเอสพิวโดออกมาจากในรถ ชายคนนั้นคือเจบี  กระสุนที่ยูคยอมยิงทะลุกระจกหน้ารถเจาะเข้าตรงบริเวณต้นแขนของเขา ซึ่งตอนนี้มีผ้าเช็ดหน้าพันเอาไว้เพื่อห้ามเลือด  คนโดนยิงหันมายักคิ้วใส่ยูคยอมอย่างหาเรื่อง เขาหันไปพูดกับตำรวจที่ยืนข้างๆ

     

    “เดี๋ยว จินยอง ขอฉันด่ามันก่อน”

     

    “ไม่เอาน่า เจบี...”

     

    “นี่แกคิดว่าแกเป็นแจ็ก บาวเออร์หรือยังไงถึงยิงมั่วแบบนั้น ยิงไอ้คนที่ยิงแกสิวะ จะมายิงฉันทำไม”

     

    “ถ้านายเป็นยูคยอม นายยิงมั่วกว่านี้อีก เจบี ทำเป็นพูด” นายตำรวจที่ชื่อจินยองแตะแขนเจบีเบาๆ ให้เขาใจเย็นลง ก่อนที่เขาจะหันมาทางมาร์คที่กำลังยืนทำหน้างุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

     

    “คุณคือมาร์คใช่มั้ยครับ”

     

    “ค...ครับ”

     

    เขายื่นมือมาทำความรู้จักกับมาร์คอย่างเป็นมิตร “ผมชื่อจินยอง ปาร์ค เป็นตำรวจที่ทำงานกับยูคยอม ส่วนนี่แจบอม อิม หรือเจบี เป็นตำรวจเหมือนกัน” เขาผายมือไปทางชายอีกคนที่บาดเจ็บ “ตอนนี้คุณคงตกใจมาก ไว้ถ้าอยากรู้อะไร...” เขาเบนสายตาไปทางยูคยอม “ก็ถามยูคยอมระหว่างที่นั่งรถไปสถานีก็แล้วกันครับ เราจะกลับคาร์สันซิตี้กัน”

     

    “ครับ” มาร์ครับคำ ปรายตาไปทางคนตัวสูงที่ยืนข้างๆ “ผมมีเรื่องต้องคุยกับเขาแน่นอน

     

     

     

    ทุกอย่างเป็นแผนการที่เจบีเสนอขึ้นมา เขานึกขึ้นได้ว่าเมื่อเร็วๆ นี้ มีลูกน้องคนหนึ่งของเอสพิวโดลักลอบนำโคเคนบางส่วนที่ควรจะขายให้ลูกค้าที่ตกลงกันไปขายให้คนอื่นที่ให้ราคาแพงกว่าเพื่อเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง  เมื่อเอสพิวโดจับได้ เขาจึงออกไป สั่งสอนลูกน้องคนนั้นด้วยตัวเองจนปางตาย ทั้งที่จะให้คนอื่นทำก็ได้ แต่เอสพิวโดเกลียดคนทรยศ และเขาต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู

     

    เจบีสังเกตและจดจำนิสัยนี้ของเอสพิวโดเอาไว้ ประจวบเหมาะกับที่ยูคยอมมาสารภาพว่าเขาต้องการจะหนีไปจากเอสพิวโด ฉะนั้นนี่จึงเป็นโอกาสที่จะล่อเอสพิวโดออกมาจากมุมมืด  ทุกครั้งที่เตรียมจำหน่ายโคเคนให้กับลูกค้ารายย่อย โคเคนในรูปแบบต่างๆ จะถูกนำมาเก็บไว้ที่โกดังในอู่ซ่อมรถที่เปิดขึ้นมาบังหน้า เจบีหาทางลักลอบนำโคเคนบริสุทธิ์ไปเก็บไว้ที่อื่น ก่อนจะติดต่อกับทางจินยองเพื่อให้เขาหาเงินสดก้อนใหญ่มาให้ยูคยอมนำไปใช้จ่ายในการ หนีครั้งนี้  และทันทีที่ยูคยอมกับมาร์คออกเดินทาง เจบีก็หาทางทำให้คนอื่นรู้ว่ามีของบางส่วนหายไปและไม่ตรงกับยอดคงเหลือที่ควรมี  เมื่อไม่มีใครติดต่อยูคยอมได้ จึงมีสมาชิกบางคนที่เคยบุกไปตามหายูคยอมที่ห้องของมาร์ค ความว่างเปล่าภายในห้องช่วยทำให้พวกเขาจึงปะติดปะต่อเรื่องราวที่เจบีกับยูคยอมจงใจสร้างขึ้นมาได้ -- ยูคยอมลักลอบขโมยของส่วนหนึ่งไปขาย แล้วนำเงินก้อนนั้นหนีไปกับมาร์ค ผู้ชายที่ยูคยอมซื้อบริการเป็นประจำ 

     

    กุญแจสำคัญของแผนนี้คือการล่อให้เอสพิวโดออกไปยังถนนหมายเลข 50  นายจะพามาร์คไปไหนก็ได้ แต่ต้องกลับมาที่ถนนเส้นนี้ให้เร็วที่สุด ถ้าเป็นไปได้ เราจะปิดเกมภายในเนวาดาเจบีย้ำ หนึ่ง ถนนเส้นนี้คนน้อย โดยเฉพาะในเขตรัฐเนวาดา ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เราควบคุมความเสียหายได้ สอง ในแง่ของการหลบหนี การไปตามถนนเส้นนั้นก็สมเหตุสมผลดี ระยะทางยาว มีจุดแวะพักมากมาย นายอธิบายมาร์คได้ สาม แต่ในขณะเดียวกัน  นอกจากการตรงไปตามถนนแล้ว มันก็ไม่มีที่ให้หนีไปอีกเลยนอกจากทะเลทรายแห้งๆ เปิดโล่งที่พวกเราเล่นงานมันได้ถ้ามันแหกโค้งออกไปนอกถนน

     

    นอกจากนี้ เจบียังรับหน้าที่เป็นคนคอยตามติดยูคยอมให้เอสพิวโด เขาใช้วิธีจับตาดูตำแหน่งของโทรศัพท์สมาร์ตโฟนที่ให้ยูคยอมไปทางจีพีเอส เพื่อคอยรายงานให้เอสพิวโดรู้ว่ายูคยอมอยู่ที่ไหนบ้าง  เมื่อให้ความช่วยเหลือเต็มที่ เอสพิวโดก็เริ่มไว้ใจสมาชิกหน้าใหม่อย่างเขา  เขารู้ว่ายูคยอมอยู่ที่ลาสเวกัสหลายวัน  ในคืนที่ยูคยอมเจอแบมแบม เขาส่งข้อความหาเจบีเพื่อบอกว่าพวกเขากำลังจะกลับไปทางถนนหมายเลข 50 เหมือนเดิม  เจบีจึงรายงานให้เอสพิวโดฟังตามนั้น และบึ่งรถพาเอสพิวโดไปดักรอยูคยอมกับมาร์คล่วงหน้าที่ซิลเวอร์สปริงส์ตั้งแต่ตอนกลางคืน และไม่ลืมแจ้งจินยองกับเจ้าหน้าที่ตำรวจของเนวาดา  เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ขอดูใบขับขี่ของยูคยอมตอนออกจากคาร์สันซิตี้ไปเมืองเดย์ตันก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมปฏิบัติการ  พอยูคยอมขับผ่านไปแล้ว เขาก็ใช้วิทยุสื่อสารเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นให้เตรียมพร้อม

     

    เมื่อรถกระบะสีแดงของยูคยอมโผล่มาที่ซิลเวอร์สปริงส์  เจบีก็แค่ขับรถตามยูคยอมไปเท่านั้น  สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือการยิงปะทะกันที่เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด รวมทั้งกระสุนจากปืนของยูคยอมที่เจาะเข้ามาในแขนของเขา  และเมื่อเอสพิวโดโผล่ออกมาจากเงามืด เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้าควบคุมตัวเขาได้ นอกจากเรื่องการยิงไล่ล่ากันกลางถนนแล้ว โคเคนจำนวนมากที่เอสพิวโดเพิ่งไปรับมาจากสายส่งในคืนที่ออกจากลอสแอนเจลิสและเก็บไว้ท้ายรถก็กลายเป็นหลักฐานมัดตัวเขาอย่างดี

     

     

     

    แผนการของยูคยอมและเจบีสำเร็จลุล่วงไปได้ แต่ที่ไม่ค่อยสำเร็จเท่าไรนักคือการทำให้มาร์คยิ้มได้หลังจากผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมา  สีหน้าเขานิ่งเฉยทั้งก่อนและหลังฟังคำอธิบายของยูคยอม  ซึ่งนั่นหมายความว่ามาร์คกำลังไม่พอใจอย่างรุนแรง  ความเงียบที่เกิดขึ้นหลังจากยูคยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังทำให้บรรยากาศภายในรถอึดอัด จนจินยองที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับต้องพูดแทรกขึ้น พยายามเป็นกาวประสานรอยที่เริ่มจะร้าวนิดๆ ระหว่างอีกสองคนที่นั่งบนเบาะหลัง

     

    “คุณมาร์ค...ไม่พอใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

     

    “...อย่างน้อยเขาก็น่าจะบอกผมบ้างว่าเขาคิดจะทำอะไร” มาร์คอธิบายเหตุผลของตัวเอง “ผมรู้ว่าพวกเรากำลังหนีจากไอ้คนพวกนั้น และผมรับความเสี่ยงตรงนั้นได้ตั้งแต่ตอนที่ขึ้นรถมากับเขา แต่เรื่องนี้น่ะ...”

     

    “มาร์ค...”

     

    เขาเบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่างรถ “ตอนนี้ฉันไม่อยากคุยอะไรทั้งนั้น”

     

     

     

    พวกเขากลับมายังคาร์สันซิตี้  รถตำรวจคันที่มีเอสพิวโดกับเจบีขับแยกออกไปเพื่อพาสองคนนั้นที่ได้รับบาดเจ็บไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลก่อน  ที่นั่นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นคอยดูแลและเฝ้าเอสพิวโดอีกสามสี่คน ส่วนจินยองกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนหนึ่งที่นั่งรถมากับมาร์คและยูคยอมตรงไปที่สถานีตำรวจ

     

    “เดี๋ยวเราจะหาที่พักให้พวกคุณสำหรับคืนนี้”

     

    จินยองพูดแล้วเดินหายไปทำอย่างอื่นกับตำรวจอีกคนหนึ่ง ทิ้งให้มาร์คกับยูคยอมนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้กับโต๊ะของตำรวจนายนั้นพร้อมกับแก้วน้ำในมือ  ชายหนุ่มอายุมากกว่ายื่นมือไปทางยูคยอม

     

    “อะไร”

     

    “ยังเก็บไว้ไม่ใช่เหรอ เอามา”

     

    เพราะมาร์คยังอารมณ์ไม่ดีอยู่ ยูคยอมจึงไม่กล้าขัดและยอมล้วงกระเป๋ากางเกง คืนบุหรี่และไฟแช็กที่ยึดมาตั้งแต่วันแรกที่ออกเดินทางคืนให้แต่โดยดี เขาเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงตัวที่ใส่อยู่เสมอเพื่อให้แน่ใจว่ามาร์คจะไม่แอบหยิบมันไป  มาร์คฉวยของที่ต้องการออกไปจากมือก่อนจะก้าวออกไปทางประตู  เขาจุดบุหรี่สูบแทบจะทันทีที่หาตำแหน่งยืนข้างนอกที่ทำให้รู้สึกสบายใจได้

     

    “ผมขอโทษ” ยูคยอมที่เดินตามมาเอ่ยขึ้น “แต่ทุกอย่างก็จบลงแล้วนะ”

     

    มาร์คพ่นควันออกมา

     

    “นายรู้มั้ยว่าข้อเสียของนายคืออะไร  นายน่ะชอบคิดอะไรตื้นๆ หุนหันพลันแล่น คิดแต่ว่าจะทำอย่างนั้นเพื่อให้ได้ผลแบบนี้โดยไม่ไตร่ตรอง พูดนั่นพูดนี่ให้ฉันสบายใจทั้งที่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น นายรู้ตัวว่านายมันอันตราย แต่นายก็พาตัวเองเข้ามาอยู่ใกล้ฉันแค่เพราะว่าชอบ นายกล้าขอโอกาสกลับมาหาฉันอีกรอบ โดยที่ไม่ได้คิดว่าจะปกป้องฉันยังไง นายพยายามทำเพื่อเราสองคนด้วยวิธีอันตรายแบบนี้ แต่ไม่บอกอะไรฉันสักคำ นายคิดจะให้ฉันดูนายโดนยิงตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่รู้อะไรเลยน่ะเหรอ คิดบ้างมั้ยว่าฉันจะรู้สึกยังไง”

     

    ยูคยอมไม่กล้าโต้ตอบอะไร เพราะสิ่งที่มาร์คกำลังพูดกับเขาเป็นความจริงหมดทุกอย่าง  เขาฟังมาร์คทอดถอนใจออกมาเฮือกใหญ่

     

    “นายคิดว่านายเป็นใคร ถึงได้กล้ามาทำให้ฉันรักนายจนขาดนายไม่ได้ทั้งที่อยากตัดให้ขาด แล้วก็มาทำเล่นๆ กับจิตใจฉันแบบนี้”

     

    คนตัวสูงก้าวเท้าไปยืนอยู่ตรงหน้าหน้ามาร์ค เอื้อมมือไปจับมือของมาร์คมากุมเอาไว้แน่น

     

    “ผมรู้ว่าผมทำให้คุณเหนื่อยใจมาเยอะเพราะผม แต่ตอนนี้ทุกอย่างจบแล้วจริงๆ นะครับมาร์ค พวกเขาจะปล่อยตัวผมไปเพราะผมทำตามที่ตกลงไว้ ผมช่วยเขาจับเอสพิวโดได้ พอเสร็จจากวันนี้ พวกเขาก็จะไปตามจับคนอื่นที่เหลือ อัล กอนโซ ทุกคนที่คุณกลัว แล้วเราก็กลับบ้านกัน” เขายกมืออีกข้างแล้วประคองแก้มมาร์คไว้ ค่อยๆ คีบบุหรี่ออกจากริมฝีปากของมาร์คอย่างเบามือ “ตอนนี้ผมขอแค่ให้คุณหายโกรธผมก็พอ...นะ”

     

    มาร์คจ้องตายูคยอมเขม็งจนคนโดนมองเดาความรู้สึกไม่ถูก เขาแบมือและพูดเสียงเย็น

     

    “เอาคืนมา”

     

    ยูคยอมยอมคืนมวนบุหรี่ที่จุดแล้วให้แก่มาร์ค  การที่มาร์คไม่ได้ไล่ออกปากไล่หรือตัดความสัมพันธ์กับเขาตรงๆ เหมือนครั้งก่อนที่ผ่านมาถือเป็นสัญญาณที่ดี  เสร็จธุระที่สถานีตำรวจแล้วกลับที่พักคืนนี้ก็อาจจะเลิกโกรธเขาแล้ว 

     

    เขายืนนิ่ง มองมาร์คยืนสูบบุหรี่เงียบๆ  ในหัวคิดว่าภารกิจต่อไปของเขาคือการทำให้มาร์คเลิกสูบบุหรี่เสียที

     

     

     

    “แล้วพวกคุณจะไปไหนต่อล่ะ หลังจากนี้”

     

    จินยองถามหลังจากมาส่งมาร์คกับยูคยอมที่โรงแรมขนาดเล็กแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่พักของพวกเขาสำหรับค่ำคืนนี้  คนตัวสูงเหลือบมองชายร่างเล็กข้างตัว กว่าจะออกมาจากสถานีตำรวจได้ก็ให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่อยู่นาน พวกเขายังไม่ได้คุยกันจริงจังว่าหลังจากนี้จะทำอย่างกันต่อ จะกลับลอสแอนเจลิสแล้วไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเหมือนเดิม หรือจะกลับซานฟรานซิสโก หรือจะไปไหนต่อ

     

    “ยังไม่รู้เลยครับ”

     

    “วันนี้คงเป็นวันที่...ระทึกสำหรับพวกคุณสองคนมาก หวังว่าพรุ่งนี้จะดีขึ้นนะครับ”

     

    “ขอบคุณมากครับ”

     

    ลับหลังจินยองแล้ว ยูคยอมก็หันไปถามมาร์คด้วยคำถามเดียวกัน  เปิดโอกาสให้มาร์คได้ตัดสินใจอนาคตของพวกเขาจริงๆ เสียที หลังจากที่ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนของยูคยอมกับเจบีมาตลอดระยะเวลาหลายวัน  แค่มีมาร์คอยู่ ยูคยอมไม่สนใจว่าจะต้องไปไหนต่อ ก็เหมือนกับที่มาร์คยอมตามเขามาทั้งที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง

     

     

     

     

     

    รถกระบะสีแดงเปื้อนฝุ่นทรายคันเดิมแล่นออกจากคาร์สันซิตี้  มุ่งหน้าไปตามถนนสาย 50 เส้นเดิมที่พวกเขาขับผ่านแล้วเมื่อวาน ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจขอตรวจใบขับขี่และกล่าวต้อนรับพวกเขาสู่ถนนสายที่เดียวดายที่สุดในอเมริกา และต่อให้ขับไปไกลกว่านี้ก็คงไม่มีรถซีอาร์วีสีดำขับไล่ตามพวกเขามาอีกแล้ว  พวกเขาเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์

     

    มาร์คได้ให้คำตอบกับยูคยอมเมื่อคืนนี้ เขาเลือกที่จะเดินทางต่อ

     

    ก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่มาร์คเกลียดชีวิตของตัวเอง เกลียดที่เขาต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายจนทำให้แทบตั้งตัวไม่ถูก  แต่ถ้าเขาไม่เจอเรื่องร้ายเหล่านั้น เขาก็คงไม่ได้มาอยู่ที่ลอสแอนเจลิสแล้วได้เจอยูคยอม  ซึ่งดันเป็นคนที่ทำให้ชีวิตเขาไม่สงบพร้อมๆ กับที่ทำให้ชีวิตเขากลับมามีความสุขอีกครั้ง และเขาเชื่อว่ายูคยอมก็คงคิดแบบเดียวกัน   หากเขาไม่ได้เป็นคนของแก๊งเอสพิวโดแล้วมีเรื่องชกต่อยกับพวกคนที่เขาขายยาให้ เขาก็คงไม่ได้พบกับผู้ชายใจดีที่ป้ายรถประจำทางในคืนนั้น

     

    อดีตที่เลวร้ายของทั้งสองคนพาให้พวกเขามาเจอกันและกัน และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่จะโยนทุกอย่างทิ้งไว้เบื้องหลัง  พวกเขาจะเดินหน้า ไปตามถนนเส้นนี้ที่แสนยาวไกลและมีอะไรให้พบเจออีกมากระหว่างทาง กว่าจะขับไปจนถึงสุดปลายทวีปที่ชายฝั่งด้านตะวันออกก็คงใช้เวลาอีกหลายวัน  ซึ่งพวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ไปถึงหรือไม่ หรือพวกเขาจะหลงรักเมืองไหนจนปักหลักอยู่ที่นั่น  หรือเงินเก็บที่มาร์คมีอยู่อาจจะหมดไปกับค่าน้ำมันเสียก่อนจนต้องแวะหางานทำที่เมืองใดเมืองหนึ่ง  มาร์คอาจจะนั่งอยู่ข้างทางและรับวาดภาพเหมือนให้กับพวกนักท่องเที่ยวก็ได้

     

    พวกเขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น แต่การเดินทางไปข้างหน้าย่อมมีอะไรดีๆ รออยู่เสมอ

     

    ใช่ว่าทะเลทรายที่แห้งแล้งแห่งเนวาดาจะทอดยาวไปจนถึงมิสซูรี โอไฮโอ หรือแมรี่แลนด์เสียเมื่อไร

     

     

    END.

    15.01.26 – 15.02.20


     

    น้ำตาจะไหลเมื่อได้พิมพ์คำว่า END T-T ปกติกว่าจะเขียนจบแต่ละเรื่อง…

    ฟิคแนว roadtrip เป็นแนวหนึ่งที่อยากเขียนมานานมากแล้วค่ะ
    แต่เพราะไม่มีพล็อตและขี้เกียจหาข้อมูล (โถ) ก็เลยได้แต่อยาก เวลาผ่านไปก็ไม่คิดอยากเขียนแบบจริงจังอีกเลย
    จนกระทั่งป๊าต๊วนอัพทวิตรูปเหล่านี้ช่วงทริปอเมริกาของยูคมาร์ค...





    *ร้องไห้หนักมาก*
    เพราะรูปเซ็ตนี้เลยตั้งใจไว้ว่าจะต้องเขียนฟิค roadtrip ของยูคมาร์คให้ได้ แต่ไปๆ มาๆ พล็อตก็ออกนอกทะเลจนยาวกว่าที่คิดเอาไว้มาก แถมเปลี่ยนพล็อตกลางทางไปสองรอบ ยาวและรายละเอียดเยอะจนคิดว่าตัวเองต้องเขียนไม่จบแน่ๆ แต่ก็กัดฟันเขียนจนได้ค่ะ T-T (ด้วยแรงติ่ง)  ปกติไม่ค่อยเขียนฟิคที่มีอะไรเยอะแยะขนาดนี้ นี่ต้องเปิดกูเกิ้ลแม็ปเปิดยูทูปเปิดรีวิวพันทิปไปเขียนไปเลยทีเดียวถถถ  ฉะนั้นถ้ามีรายละเอียดอะไรผิดพลาดไปก็...มองๆ ข้ามไปได้นะคะ แหะๆ

    ขอบคุณที่คนที่เข้ามาอ่านจนจบนะคะ

    - สมสน.




     

    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×