ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] Just A Little Bit of Us | yugmark (SF/OS)

    ลำดับตอนที่ #3 : [Roommate AU] 02. A Day Without You

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 58


    02. a day without you

     

    0901 (thu.)

     

    เมื่อมาร์คเพิ่งอาบน้ำเสร็จและเปิดประตูออกมา เขาเห็นกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งเปิดอ้าวางไว้บนเตียง ข้างๆ มีเสื้อผ้าที่เพิ่งหยิบออกมาจากตู้อยู่สี่ห้าชุด เด็กหนุ่มตัวสูงอีกคนในห้องเหลียวซ้ายแลขวาไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับไปยืนหน้าตู้เสื้อผ้า ไล่ดูเสื้อผ้าทีละชุดที่แขวนอยู่ในนั้น การกระทำนั้นบวกกับคิ้วที่มุ่นเข้าหากันเล็กน้อยบอกให้มาร์ครู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหาอะไรบางอย่าง

     

    มาร์คออกไปนอกห้องนอน หายไปครู่หนึ่งแล้วกลับมาพร้อมเสื้อกันลมสีเทาของยูคยอมในมือ “ยืมไปใส่วิ่งเมื่อวานซืน” เขาแขวนทิ้งเอาไว้ตรงที่แขวนใกล้ประตูเพราะตั้งใจว่าจะใช้สวมอีกครั้งเร็วๆ นี้ แต่รู้ว่ายูคยอมกำลังหามันอยู่จึงคืนให้  ยูคยอมชอบเอาเสื้อตัวนี้ติดไปเสมอเวลาเดินทางไปไหนไกลๆ

     

    คนอายุน้อยกว่ากำลังใช้พื้นที่บนเตียงจัดกระเป๋าอยู่ มาร์คเลยต้องยืนพิงประตูในขณะที่มองยูคยอมจัดกระเป๋า  ยูคยอมกำลังจะออกเดินทางไปยังเกาะจินโดกับเพื่อนๆ เพื่อไปทำงานพิเศษในกองถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีขนาดสั้นเรื่องหนึ่ง ตามกำหนดการแล้วจะค้างที่นั่นสองคืน

     

    “เอายาไปยัง” มาร์คเตือนเมื่อไม่เห็นซองยาของยูคยอมบนเตียง ในนั้นบรรจุยาสามัญทั่วๆ ไปที่มาร์คบังคับให้อีกฝ่ายพกติดตัวไปด้วยเวลาเดินทางไปไหน

     

    “ใส่ในช่องนี้แล้วครับ” ยูคยอมหมายถึงช่องซิปเล็กๆ ในกระเป๋าเสื้อผ้า

     

    ยูคยอมใช้เวลาเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าไม่นานนักก่อนจะยกมันออกไปไว้ข้างนอกห้องนอน ใกล้กับกระเป๋ากล้อง DSLR และถุงหิ้วใส่ขาตั้งกล้อง พรุ่งนี้เขาต้องออกจากบ้านแต่เช้ามืดเพื่อไปให้ทันขึ้นเครื่องบินไฟลท์แรกจากกิมโปเพื่อไปลงที่กวางจู แล้วค่อยนั่งรถประจำทางเข้าไปยังเกาะ

     

    ความจริงมาร์คก็ชินแล้วที่บางครั้งยูคยอมจะหายไปค้างที่ห้องเพื่อนหรือนอนที่คณะเพื่อทำงานส่ง เป็นเรื่องธรรมดาของนักศึกษาที่เรียนสาขานี้ เพียงแต่ครั้งนี้ต่างออกไปเพราะยูคยอมไม่อยู่ตอนช่วงใกล้วันเกิดมาร์คพอดี

     

    มาร์คไม่ได้เห่อหรือตื่นเต้นกับวันเกิดตัวเองมากถึงขั้นจัดปาร์ตี้เลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ อย่างสุดเหวี่ยงหรือรอคอยของขวัญจากคนรอบข้างอย่างใจจดใจจ่อ อีกทั้งเขาก็โตเกินกว่าจะแสดงท่าทีหัวเสียหรืองอนยูคยอมด้วยเรื่องแค่นี้ เพียงแต่ลึกๆ ก็รู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ยูคยอมจะไม่ได้อยู่อวยพรวันเกิดเขาเป็นคนแรก  ถึงกระนั้นมาร์คก็ไม่ได้แสดงออกให้ยูคยอมรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร ตอนที่ยูคยอมเล่าแผนการเดินทางของตัวเองให้ฟัง เขาก็ไม่ได้เอ่ยถึงด้วยซ้ำว่า จะกลับมาทันวันเกิดพี่มั้ยเนี่ย เพราะอยากให้ยูคยอมไปทำงานให้เต็มที่มากกว่าจะมากังวลเรื่องนี้

     

    พอยูคยอมตรวจดูของที่ตัวเองเอาไปอีกรอบและมั่นใจว่าเอาทุกอย่างที่จำเป็นไปครบแล้ว พวกเขาก็ปิดไฟเข้านอน เร็วกว่าทุกคืนเพราะยูคยอมต้องตื่นแต่เช้า

     

     
     

    0902 (fri.)

     

    มาร์คตื่นขึ้นมาเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของยูคยอมดังปลุกตามเวลาที่ตั้งไว้ เจ้าของมันรีบกดปิดเสียงทันทีเพราะเกรงว่ามาร์คจะตื่นเต็มตา  มาร์คกึ่งกลับกึ่งตื่น แม้ไม่ได้ลืมตามองแต่ก็รับรู้ความเคลื่อนไหวของคนที่เพิ่งลุกออกไปได้จากเสียงฝีเท้าที่เจ้าตัวพยายามควบคุมให้เบาที่สุด ต่อด้วยเสียงประตูห้องน้ำเปิดปิดและเสียงน้ำไหลจากฝักบัวกระทบพื้นดังเปาะแปะ  เขาเผลอหลับลึกไปครู่หนึ่ง แล้วจึงรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ยูคยอมที่ยืนอยู่ข้างเตียงเขยิบเข้ามาใกล้จนเขาได้กลิ่นสบู่หอมๆ

     

    “ผมไปแล้วนะพี่” ยูคยอมบอกลาเสียงแผ่วเบา แม้ไม่แน่ใจนักว่ามาร์คหลับหรือตื่นอยู่ แล้วจะได้ยินเสียงของเขาหรือไม่  “...จะกลับมาให้ทันนะ”

     

    ความมืดภายในห้องนอนทำให้ยูคยอมไม่เห็นมาร์คกำลังแอบยิ้ม

     

     

     

    เมื่อถึงเวลาที่มาร์คตื่นเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งคาทกไปหายูคยอมว่า ถึงที่พักแล้วบอกด้วย ก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัว ขณะที่กำลังจะออกจากบ้านก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูอีกครั้ง ยูคยอมยังไม่ตอบกลับมา คงกำลังหลับ

     

    พอไปถึงที่ทำงาน มาร์คก็ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูอีกเลยเพราะเร่งทำงานที่ค้างไว้อยู่ให้เสร็จ นอกจากหัวฟูอยู่กับงานของตัวเองแล้วยังต้องคอยถามความคืบหน้าและเร่งงานของฝ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องอีก รู้สึกเหนื่อยใจกับความเอื่อยเฉื่อยของเพื่อนร่วมงานบางคนที่ทำให้งานที่ควรจะเสร็จไปตั้งนานแล้วไม่เสร็จสักที  แถมพองานที่ว่านั่นไม่เสร็จ หัวหน้าของเขาก็ตำหนิทุกคนในฝ่ายอย่างเหมารวม ทุกอย่างเป็นเหมือนกองไฟที่กำลังทำให้เขาใกล้ถึงจุดปรอทแตก จนมาร์คจินตนาการไปแล้วในหัวว่าคงได้ขว้างอะไรสักอย่างแน่หากมีใครสักคนมาบอกกับเขาอีกว่างานส่วนของตัวเองจะไม่เสร็จทันวันนี้

     

    ครืด ครืด

     

    อุปกรณ์สื่อสารที่มาร์ควางทิ้งไว้ในลิ้นชักตั้งแต่มานั่งที่โต๊ะทำงานสั่นกระทบกับสิ่งของอื่นๆ ด้านใน  มันสั่นแค่สองครั้งแล้วหยุดไป มาร์คถือโอกาสที่โดนขัดจังหวะนี้หยิบมันออกมาดู เป็นยูคยอมที่เพิ่งตอบกลับมา

     

    YU_ʕ͡ᴥʔ

    ถึงแล้ว!!!!!!

     

    YU_ʕ͡ᴥʔ has sent a photo.

     

     

    ยูคยอมส่งรูปถ่ายของตัวเองที่ยิ้มกว้างชูสองนิ้วมาให้มาร์ค ดูจากฉากด้านหลังแล้ว ยูคยอมกับเพื่อนๆ คงเพิ่งเข้ามาในห้องพัก  มาร์คเผลอยิ้มตามคนในรูปพร้อมกับกดเซฟ อารมณ์หงุดหงิดโมโหขนาดอยากปาข้าวของใส่ใครสักคนลดลงไปในทันทีอย่างมหัศจรรย์ แต่เขาก็พิมพ์ตอบยูคยอมไปว่า

     

    M.Tuan

    บอกว่าถึงแล้วก็พอ จำเป็นต้องส่งรูปมาด้วย?

     

    YU_ʕ͡ᴥʔ

    พอดีรู้ว่ามีคนคิดถึงผม

     

    ถ้าว่างอยู่มาร์คก็คงตอบกลับไปว่า ใคร? ใครคิดถึงนาย?และบทสนทนาของพวกเขาก็จะดำเนินต่อไปเรื่อย แต่ภาระงานที่ติดพันอยู่ทำให้มาร์คไม่อยากคุยยืดเยื้อ เขาเปลี่ยนเรื่องและพิมพ์ตอบกลับไปแทนว่า ทำงานต่อละนะ วันนี้ยุ่ง ไว้ค่อยคุย

     

    ยูคยอมอ่านแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาทันที มาร์คเลยวางมือถือลงบนโต๊ะและเงยหน้ามองจอคอมพิวเตอร์ต่อ แต่อีกหนึ่งนาทีถัดมา เสียง ครืด ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

     

    YU_ʕ͡ᴥʔ has sent a photo.

     

    ยูคยอมในรูปที่เพิ่งส่งมายิ้มกว้างเหมือนรูปที่แล้ว แต่ในรูปนี้เขาชูกำปั้นข้างหนึ่ง แทนความหมายว่า สู้ๆ  มาร์คกดเซฟรูปอีกครั้งโดยไม่ตอบอะไรกลับไป  ก่อนจะจัดการเปลี่ยนล็อกสกรีนจากรูปที่ใช้อยู่ในตอนนี้ (รูปแก้วเซรามิกสีขาวสกรีนโลโก้ร้านกาแฟสองใบวางเคียงกันบนโต๊ะไม้ จากเดทสักครั้งของพวกเขาสองคน) เป็นรูปที่ยูคยอมเพิ่งส่งมา ทดไว้ในใจว่าเลิกงานค่อยเปลี่ยนกลับเป็นรูปเดิม

     

     

     

    ขณะที่นั่งรถไฟกลับบ้าน มาร์คส่งข้อความหายูคยอมบอกว่าตัวเองเลิกงานแล้วกำลังกลับบ้าน เปิดอ่านเมลอื่นๆ อยู่หลายนาทีแล้วกลับมาดูอีกทียูคยอมก็ยังไม่ได้อ่าน เขาลองกดโทรศัพท์หาแต่ก็ไม่มีใครรับสายจนสายหลุดไป ชายหนุ่มจึงคิดว่ายูคยอมคงกำลังติดพันงานที่ไปทำอยู่เลยปล่อยไป ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะส่งข้อความหรือกดโทรศัพท์หารัวๆ เป็นการรบกวน

     

    หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว มาร์คก็จัดการเอาพิซซ่าสามชิ้นที่แช่เก็บไว้ในตู้เย็นเพราะกินเหลือเมื่อวันก่อนออกมาอุ่นกิน วางแก้วน้ำอัดลมไว้ข้างจานพิซซ่า แล้วจึงกดเปิดโทรทัศน์ช่องกีฬาแล้วนั่งดูเทปการแข่งขันบาสเก็ตบอลแมตช์ล่าสุดที่นำมาฉายใหม่อีกรอบ แม้ใจจะไม่ได้จดจ่ออยู่กับการดูนักกีฬาตัวสูงวิ่งแย่งลูกกลมๆ สีส้มในสนามมากนักก็ตาม แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ห้องเงียบไปเฉยๆ

     

    ก่อนหน้านี้มาร์คเคยคิดว่าตัวเองใช้ชีวิตอยู่แบบนี้คนเดียวได้อย่างสบายๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าการเอาชีวิตและใจตัวเองไปผูกไว้กับใคร และเปิดโอกาสให้มันพังไม่เหลือชิ้นดี เพราะการที่คนสองคนรักกันไม่ได้แปลว่าพวกเขาเป็นตัวต่อสองชิ้นที่เข้ากันได้พอดี เสียทั้งใจ เสียทั้งเวลา   เขาชอบที่จะใช้ชีวิตคนเดียวจนเคยคิดต่อต้านเรื่องที่ยูคยอมจะมาอยู่ด้วย และเมื่อเลี่ยงไม่ได้ เขาเลยสร้างกำแพงและระยะห่างจากยูคยอมไว้พอสมควรแม้จะเคยเจอกันเมื่อนานมาแล้ว แต่ยูคยอมเก่งเกินไป  -- จากที่เมื่อก่อนมาร์คไม่ได้สนใจเลยว่ายูคยอมจะไปไหนทำอะไร แค่ถามให้รู้เฉยๆ พอเผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้รายงานพ่อของยูคยอมถูก แต่ตอนนี้เขากำลังกระวนกระวายและดูบาสเก็ตบอลไม่รู้เรื่องเพราะยูคยอมยังไม่ตอบข้อความของเขา

     

    หลังจากจัดการมื้อเย็นง่ายๆ ของตัวเองเสร็จ มาร์คก็หยิบหนังสืออ่านเล่นขึ้นมานอนอ่านบนโซฟา เสียงบรรยายการแข่งขันบาสเก็ตบอลยังคงดำเนินต่อไปแต่เขาไม่ได้ใส่ใจฟังเพราะสมาธิอยู่กับหนังสือตรงหน้า เขาไม่รู้ด้วยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  มาร์คปิดหนังสือโดยใช้นิ้วตัวเองคั่นหน้าที่อ่านค้างเอาไว้พลางเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างๆ ขึ้นมา

     

    ชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้เขายิ้มออกมาพร้อมกับที่กดรับสาย “ว่าไง?”

     

    “เสียงแบบเนี้ย... คิดถึงผมอยู่ใช่ป่าววว?”

     

    มาร์คสงสัยว่าน้ำเสียงตัวเองเปลี่ยนไปจากปกติจนยูคยอมตั้งข้อสังเกตนั้นได้อย่างไร แต่จะให้ยอมรับตรงๆ ล่ะก็ไม่มีทาง “ไม่อะ อ่านหนังสืออยู่ แล้วนั่นทำอะไรอยู่ ทำไมเสียงดังๆ”

     

    “อ๋อออออ อยู่ร้านอาหาร เพิ่งได้กินเพิ่งได้กินมื้อเย็นเองพี่ วันนี้พี่เขาขับรถไปหลายๆ ที่แล้วให้ช่วยกันเก็บภาพอะ...แล้วก็... เอ่อ... อ้อๆ แล้วก็...”

     

    “นี่ดื่มเหล้าใช่มั้ย?” มาร์คพูดด้วยน้ำเสียงดุกว่าตอนแรก แค่ฟังเสียงยูคยอมและวิธีการพูดที่เปลี่ยนไปก็รู้แล้ว

     

    “นิดเดียวเอ๊ง...”

     

    มาร์คพ่นลมใส่โทรศัพท์กับข้อแก้ตัวว่า ดื่มไปนิดเดียว ทั้งที่ฟังจากเสียงแล้วมันตรงกันข้าม เขาไม่ได้คิดมากหรอกหากยูคยอมจะดื่ม แต่เป็นเพราะยูคยอมไปเมาอยู่ในที่ไกลๆ ต่างหากที่ทำให้เขาเป็นห่วง “แล้วกลับห้องยังไงเนี่ย?”

     

    “มีคนขับรถอะ พี่ห่วงผมเหรอ?”

     

    “แค่กลัวนายเป็นอะไรไปแล้วพ่อนายจะมาหักคอพี่น่ะ”

     

    “เป็นห่วงก็บอก” ยูคยอมคะยั้นคะยอ ส่วนมาร์คก็คงยังคงเป็นมาร์คที่ดื้อแล้วปากหนัก เขาตอบยูคยอมด้วยการจงใจเงียบ จนเด็กหนุ่มเป็นฝ่ายหัวเราะออกมาก่อนเพราะนึกขันในการกระทำของมาร์คเสียเอง “อื้มม ไม่ต้องบอกก็ได้ ผมรู้ เห็นมิสคอลพี่ผมก็รู้แล้ว”

     

    “กลับห้องดีๆ พรุ่งนี้ตั้งใจทำงานนะ” มาร์คพูด พลางนึกภาพว่าหากพวกเขากำลังเฟซไทม์คุยกันอยู่ เขาคงได้เห็นยูคยอมกำลังยิ้มกว้างด้วยความพึงพอใจแน่ๆ

     

    ยูคยอมยื้อบทสนทนาต่อได้แค่อีกแปบเดียวก็วางสายไป มาร์คเปิดหนังสือกลับมาหน้าที่อ่านค้างไว้ เขายังอยู่คนเดียวในห้องเหมือนเดิม แต่รู้สึกอิ่มใจกว่าก่อนหน้านี้

     

     

     

    0903 (sat.)

     

    ตามประสาคนทั่วไปที่โหยหาวันหยุด วันเสาร์สำหรับยูคยอมและมาร์คเป็นวันที่พวกเขาไม่ต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อลุกไปเตรียมตัว ถึงตื่นแล้วก็จะฝังร่างตัวเองอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้านจนกว่าจะทนหิวไม่ไหวและลุกออกไปหาอะไรกิน  แต่ในวันเสาร์บางวัน มาร์คก็จะตื่นก่อนเพื่อไปวิ่งออกกำลังกายแถวบ้าน เสร็จแล้วก็กลับมาปลุกยูคยอมให้ไปกินมื้อเช้าที่โต๊ะอาหาร

     

    วันนี้เป็นอีกวันที่มาร์คตื่นสาย เขาลุกไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนจะจัดการเติมกระเพาะอาหารอันว่างเปล่าของตัวเองด้วยขนมปังปิ้งทาแยมรสส้มกับนูเทลล่าแบบง่ายๆ พลางเช็กโทรศัพท์ไปด้วย ยูคยอมไม่ได้ส่งข้อความอะไรมา

     

    มาร์คชอบอยู่บ้านในวันหยุดมากกว่าออกไปเที่ยวไหน ส่วนใหญ่เวลาจะซื้อของใช้ในบ้านเพิ่มเขาจะไปซื้อหลังเลิกงานมากกว่าจะออกไปในวันหยุด นานๆ ทีถึงจะออกไปตามนัดกับเพื่อนบ้าง และมีนับครั้งได้ที่มาร์คจะเที่ยวจนกลับดึกมากๆ  ส่วนยูคยอมนั้นตรงกันข้าม ช่วงที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่กับมาร์คใหม่ๆ จะไม่ค่อยอยู่บ้านในวันเสาร์อาทิตย์

     

    เมื่อยูคยอมไม่อยู่ด้วยแบบนี้แล้ว มาร์คเลยใช้เวลาในช่วงสายจนถึงบ่ายไปกับการอ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้ให้จบ ต่อด้วยการดูหนังญี่ปุ่นที่ฉายในช่องเคเบิ้ล ส่วนอาหารกลางวันก็โทรศัพท์สั่งจากร้านข้างนอกให้มาส่ง ตลอดเวลาหลายชั่วโมงนั้นไม่มีเสียงโทรศัพท์หรือเสียงเตือนใดๆ ดังขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว  แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขากังวลใจมากนัก ยูคยอมคงกำลังยุ่งจนไม่มีเวลาแตะโทรศัพท์  อีกอย่าง ตามกำหนดการคร่าวๆ ที่ยูคยอมบอกเขาไว้ก่อนหน้านี้ ยูคยอมน่าจะกลับมาถึงได้ภายในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ ไม่นานก็จะได้เจอกันแล้ว

     

     

    เสียงโทรศัพท์แรกของวันดังขึ้นในขณะที่มาร์คกำลังรีดเสื้อผ้าของตัวเองกับยูคยอมตอนช่วงเย็น เป็นยูคยอมที่โทรเข้ามา “ว่าไง?”

     

    น้ำเสียงของยูคยอมฟังดูเครียด ต่างจากที่โทรมาเมื่อคืนโดยสิ้นเชิง “พี่มาร์ค ที่ว่าจะกลับพรุ่งนี้อะ...”

     

    “อื้ม? ทำไม?”

     

    “คงกลับไม่ได้แล้วนะครับ วันนี้มีปัญหานิดหน่อย อากาศไม่ดี เลยถ่ายได้ไม่ครบตามที่วางแผนกันเอาไว้ ต้องถ่ายต่อพรุ่งนี้ กลับได้เร็วสุดก็คงวันจันทร์ ช้าสุดก็วันอังคารเลย”

     

    “...อื้ม”

     

    “ออกจากที่นี่เมื่อไหร่ผมจะโทรหานะ”

     

    “อื้ม”

     

    การตอบสนองสั้นๆ ห้วนๆ ของมาร์คทำให้ยูคยอมเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “...ไม่โกรธเนอะ?” ซึ่งมาร์คก็รีบปฏิเสธว่า “เฮ้ย ทำไมต้องโกรธ ก็ไปทำงานนี่” ก่อนจะถามยูคยอมอย่างใส่ใจว่าแล้วที่ต้องไปเรียนวันจันทร์และวันอังคารจะทำอย่างไร เด็กหนุ่มอธิบายว่าค่อยให้เพื่อนจดงานและเลคเชอร์มาให้ทีหลังก็พอ

     

    หลังจากรับรู้สิ่งที่ยูคยอมแจ้งมาและวางสายโทรศัพท์ไปแล้ว มาร์คก็มองเสื้อที่เขากำลังรีดค้างไว้อยู่ตอนที่ยูคยอมโทรเข้ามา มันเป็นหนึ่งในเสื้อยืดตัวโปรดของยูคยอมที่เจ้าของชอบใส่บ่อยๆ พอนึกถึงเจ้าของแล้วมาร์คก็ทอดถอนใจออกมาด้วยความรู้สึกเสียดาย สุดท้ายยูคยอมก็ไม่ได้อยู่กับเขาในวันเกิดจริงๆ อย่างที่เผื่อใจไว้แล้วนิดหนึ่ง

     

    เขารีดเสื้อตัวนี้จนเสร็จแล้วจึงหยิบกางเกงตัวต่อไปมารีดต่อ มันเป็นกางเกงยีนส์สีดำขารัดรูปที่มาร์คจำได้ดีว่ามัน... ถอดลงมาได้ยากขนาดไหนในคืนที่ยูคยอมแอบทำเซอร์ไพรส์ให้เขาในวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา พอนึกถึงเหตุการณ์นั้นแล้วมาร์คก็อดคิดเข้าข้างความต้องการลึกๆ ของตัวเองไม่ได้ว่า การที่จู่ๆ ยูคยอมมาบอกว่ากลับมาไม่ทันวันเกิดเขาอาจจะเป็นหนึ่งในแผนการเซอร์ไพรส์ประหลาดๆ ที่แกล้งให้มาร์คน้อยใจไปเองเหมือนอย่างในตอนนั้นก็เป็นได้  พรุ่งนี้เช้าเขาอาจจะตื่นมาแล้วเห็นยูคยอมนอนรอดูเขาตื่นตกใจ หรือเปิดประตูออกไปแล้วเห็นยูคยอมยืนยิ้มหวานอยู่ข้างนอก อะไรแบบนั้น  ยูคยอมคงไม่ใจร้ายปล่อยให้เขากลับบ้านตัวเองเพื่อไปกินข้าวกับครอบครัวแล้วกลับมาที่ห้อง นอนเฉาอย่างโดดเดี่ยวรอเช้าวันจันทร์ที่กำลังจะมาถึงหรอก

     

    ใช่ไหมนะ

     

     

     

    0904 (sun.)

     

    ในเช้าวันเกิดปีที่ยี่สิบสี่ของมาร์ค เขาลืมตาตื่นขึ้นแล้วพบว่าตัวเองยังคงครองพื้นที่บนเตียงหลังใหญ่นี่คนเดียว ตัดความเป็นไปได้ที่เขาแอบหวังออกไปได้แล้วหนึ่งข้อ ยูคยอมไม่ได้มารอเซอร์ไพรส์เขาตอนตื่นนอนแล้ว  หลังจากลุกไปล้างหน้าแปรงฟันเหมือนทุกวัน เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมาเช็ก มีแจ้งเตือนข้อความอวยพรวันเกิดที่ส่งมาทางโปรแกรมแชทและทางโซเชียลต่างๆ มากมายเต็มไปหมด  ส่วนใหญ่ส่งมาตอนเที่ยงคืนพอดีเป๊ะ  มาร์คมองหาอีโมติคอนรูปหมีที่อยู่หลังชื่อยูคยอมเป็นอย่างแรก

     

    YU_ʕ͡ᴥʔ

    สุขสันต์วันเกิด รู้ใช่ไหมว่าผมรู้สึกขอบคุณแค่ไหนที่พี่เกิดมาให้ผมรู้จัก

     

    ข้อความของยูคยอมส่งเข้ามาตอนตีสองกว่าๆ มาร์คนึกภาพยูคยอมที่ยุ่งอยู่กับงานในกองถ่ายจนดึกดื่นแล้วเพิ่งว่างหยิบโทรศัพท์มือถือมาส่งข้อความเขาในเวลานั้น  ที่ยูคยอมบอกว่ามีปัญหาจนกลับตามกำหนดเดิมไม่ได้คงเป็นเรื่องจริง  หัวใจที่ควรจะพองโตกลับแห้งเหี่ยวลงในทันใด 

     

    มาร์คพยายามปลอบตัวเองว่าไม่เป็นไร การที่ยูคยอมไม่ได้อยู่กับเขาในวันเกิดมันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงต่อหัวใจขนาดนั้นหรอก เขาพิมพ์แค่อีโมติคอนหน้ายิ้ม J กลับไปหายูคยอม ก่อนจะหันเหความสนใจของตัวเองไปยังข้อความของทุกคนที่ส่งมาอวยพรวันเกิด ใช้เวลาในช่วงเช้าไล่ตอบมันทั้งหมด  เสร็จแล้วจึงโทรศัพท์หาพ่อเพื่อนให้ท่านเลือกร้านอาหารที่จะไปกินฉลองกันในช่วงกลางวันนี้และนัดเจอกันที่นั่น

     

    ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าออกมากินข้าวกับพ่อก็คงทำให้ลืมคิดเรื่องยูคยอมไปได้ แต่กลับเป็นพ่อของเขาเองที่พอเห็นเขาเดินเข้าร้านมาคนเดียวก็ถามทันทีโดยไม่รอให้เขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ก่อนเลยว่า “ทำไมมาคนเดียว ทำไมไม่ชวนยูคยอมมาด้วยล่ะ?”

     

    “ยูคยอมไม่มาหรอกครับ ผมมาคนเดียว”

     

    “อ้าว แล้วทำไมไม่มา?”

     

    “ไปทำงานพิเศษตั้งแต่วันศุกร์แล้วครับ ยังไม่กลับเลย กลับมาไม่ทัน”

     

    “เสียดายนะ น่าจะมากินด้วยกัน”

     

    มาร์คแกล้งทำเป็นน้อยใจ “โหพ่อ นี่วันเกิดผมนะ ยังไม่ถามถึงผมซักคำ ถามถึงแต่ยูคยอมอะ”

     

    คุณต้วนหัวเราะร่า “ฮ่าๆๆ ก็นึกว่าจะมาด้วยกัน ช่วงนี้เวลาโทรหาพ่อลูกก็ชอบพูดถึงแต่ยูคยอมเหมือนกันนี่”

     

    พอโดนตอกกลับมาแบบนี้มาร์คเลยพูดแก้ตัวอุบอิบว่า “ก็มันอยู่ด้วยกัน เห็นหน้ากันทุกวัน จะให้พูดถึงใครล่ะพ่อ?” ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องด้วยการหยิบเมนูที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาเปิดพลิกแล้วเลือกอาหาร

     

     

    เมื่อกลับมาถึงห้องในช่วงเย็น ยูคยอมยังคงไม่กลับมา

     

    มาร์คได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากพัคจินยอง เพื่อนที่คบกันตั้งแต่สมัยเด็กของเขาที่ตอนนี้ใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษ และเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้เรื่องของเขากับยูคยอม หลังจากจินยองอวยพรวันเกิดแล้ว ก็ไม่รอช้าที่จะแซวว่า “วันนี้ฉลองกับยูคยอมกันหนักเลยล่ะสิ”

     

    “ฉลองอะไรกันล่ะ มันไม่อยู่”

     

    ปฏิกิริยาของจินยองแทบไม่ต่างกับของพ่อเขาเท่าไหร่นัก มาร์คอธิบายเหมือนกับก่อนหน้านี้ว่ายูคยอมไปทำอะไร แตกต่างกันตรงที่ว่ามาร์คเลือกที่จะคุยเรื่องที่รบกวนจิตใจเขาอยู่ไม่น้อยกับจินยอง “แม่*รู้สึกแปลกๆ ว่ะ เข้าใจนะว่าไปทำงาน ไม่โกรธเลยด้วย แต่เสียดายที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เสียดายว่าทำไมต้องเป็นวันนี้”

     

    “ก็ปกตินี่”

     

    “เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้ อีกอย่าง......”

     

    “...ทำไมอะ พูดมาดิ”

     

    “กูโตกว่าเขาอะ พอมาเสียดายน้อยใจกับไอ้เรื่องแบบนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าว่ะ”

     

    สิ่งที่มาร์คได้ยินเป็นอย่างแรกหลังจากพูดจบคือเสียงแค่นหัวเราะของจินยอง “ก็ปกติไม่ใช่เหรอวะ เมื่อก่อนมึงไม่สนใจเรื่องแบบนี้เพราะนอกจากเพื่อนสนิทมากๆ ระดับพวกกูและพ่อ มึงก็ไม่สนใจใครเลย แต่ตอนนี้มึงมียูคยอม และมึงเป็นแบบนี้ก็เพราะมึงแคร์ไง ซึ่งกูดีใจนะที่เห็นมึงกลับมาเป็นแบบนี้ได้ หลังจากเรื่องนั้นอะ”

     

    “...เหรอวะ?”

     

    “อื้อ ถ้าไม่สนใจกันก็คงไม่คิดมากกับเรื่องแบบนี้หรอก”

     

     

    พอวางสายจากจินยองไปแล้ว มาร์คจึงเปิดโปรแกรมแชทขึ้นมาดูข้อความอวยพรวันเกิดที่ยูคยอมส่งมาให้เมื่อคืนอีกครั้ง ตอนที่ยูคยอมโทรมาบอกว่ากลับมาหาเขาไม่ทัน มาร์คเพียงแค่ส่งเสียงตอบ อื้มๆสั้นๆ ห้วนๆ พยายามแสดงออกว่าตัวเองไม่เป็นไร รวมไปถึงการตอบข้อความเมื่อเช้าที่มีแค่อีโมติคอนรูปหน้ายิ้ม  เขารู้อยู่แก่ใจว่าไม่ได้รู้สึกตามนั้น

     

    ห้องที่เคยคิดว่าเหมาะสำหรับการอยู่คนเดียวกลับกว้างและโล่งไปอย่างน่าใจหาย วันพิเศษที่เขาควรจะมีความสุขที่สุดก็กลับสุขได้ไม่สุด เพียงเพราะคนคนหนึ่งที่เขาเปิดใจต้อนรับเข้ามาในชีวิตเขาหายไปในวันนี้

     

    เขาถือโทรศัพท์ในมือ ลังเลอยู่สักพักว่าจะกดโทรศัพท์ไปหาดีหรือไม่ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจว่าจะส่งข้อความไปแทนเพราะไม่รู้ว่ายูคยอมสะดวกคุยหรือไม่

     

    YU_ʕ͡ᴥʔ

    สุขสันต์วันเกิด รู้ใช่ไหมว่าผมรู้สึกขอบคุณแค่ไหนที่พี่เกิดมาให้ผมรู้จัก

     

    M.Tuan

    J

     

    M.Tuan

    จะหมดวันละ กลับมาไม่ทันจริงๆ ด้วย แต่ช่างมันเถอะ

     

    M.Tuan

    วันนี้ไปกินข้าวกับพ่อมา สเต็กแซลมอนร้านนี้ทำอร่อยมาก กินแล้วนึกถึง

     

    M.Tuan

    ไว้วันหลังค่อยไปกินด้วยกัน

     

    ข้อความสุดท้ายที่ง่ายและสั้นที่สุด แต่มาร์คกลับพิมพ์ๆ ลบๆ อยู่หลายครั้งกว่าจะกดส่งไปได้

     

    M.Tuan

    คิดถึงมากๆ นะ ถ้าตอนนี้ได้อยู่ด้วยกันก็คงดี

     

     

     

    0905 (mon.)

     

    สิ่งแรกที่มาร์คทำหลังจากลืมตาในเช้าวันจันทร์ที่ต้องไปทำงานคือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูว่ายูคยอมตอบกลับมาหรือเปล่า หน้าต่างสนทนายังคงแสดงเพียงข้อความล่าสุดของมาร์ค แต่ยูคยอมได้อ่านมันแล้วเรียบร้อย

     

    มาร์คไปทำงานตามปกติ เพื่อนร่วมงานในฝ่ายเดียวกันเข้ามาอวยพรวันเกิดเขาถึงโต๊ะ บางคนมีการ์ดหรือของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้  เขารอการติดต่อจากยูคยอมตลอดในช่วงเช้า จนกระทั่งช่วงเที่ยงยูคยอมจึงส่งข้อความมาบอกว่ากำลังเดินทางกลับ แต่คงใช้เวลานานมากเพราะนั่งรถไฟ ไม่ได้นั่งเครื่องบินไปเหมือนตอนขามา น่าจะถึงสักช่วงเย็น

     

     

    ยูคยอมกลับมาถึงในช่วงเวลาเดียวกับที่บอกไว้ สภาพดูไม่จืดจากการนั่งๆ นอนๆ ในรถมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง เด็กหนุ่มร่างสูงโถมกอดมาร์คทันทีที่เขาเปิดประตูให้ ไม่สนใจกระเป๋าที่หลุดร่วงจากบ่าหรือสัมภาระอื่นๆ เลยสักนิด เขาจูบผมของมาร์ค เอ่ยประโยคแรกด้วยเสียงนุ่มว่า “คิดถึงพี่เหมือนกัน”

     

    “แล้วทำไมไม่ตอบมา”

     

    “อยากกลับมาพูดให้ฟังเอง”  

     

    ฟังที่ยูคยอมตอบแล้วก็รู้สึกชื่นใจอยู่ แต่น้ำเสียงอ่อนเพลียและแววตาที่อ่อนล้ากว่าปกติของอีกฝ่ายทำให้มาร์คเป็นห่วงมากกว่า เขารีบผลักไหล่ของยูคยอมและดันเด็กตัวสูงไปทางประตูห้องนอน “เหนื่อยล่ะสิ เข้าไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวของตรงนี้พี่จัดการให้”

     

    ยูคยอมชะงักไปนิดหนึ่ง “อ๊ะ ไม่ต้องหรอกครับ...”

     

    มาร์คตบไหล่ยูคยอมเบาๆ “เพิ่งกลับมาก็จะเถียงกันแล้วเหรอ บอกให้ไปอาบน้ำก็ไปสิ” มองหน้าอีกคนก็พอรู้ว่ามีอะไรจะเถียง แต่คงเพราะเหนื่อยและคงเพราะไม่อยากมีเรื่องขัดใจกันตั้งแต่ตอนนี้ จึงยอมเปิดประตูห้องนอนของพวกเขาแล้วเดินเข้าไปอาบน้ำแต่โดยดี

     

    ชายหนุ่มมองกระเป๋าเสื้อผ้าและกระเป๋ากล้องของยูคยอมที่วางอยู่บริเวณหน้าประตูทางเข้า เขากำลังจะรูดซิปเปิดกระเป๋าใบใหญ่ที่สุดเพื่อจัดการเก็บเสื้อผ้าใช้แล้วของยูคยอมไปลงตะกร้าผ้าเตรียมซักตอนที่สะดุดเข้ากับถุงสีดำทึบใบหนึ่งที่เขาจำได้ว่ายูคยอมไม่ได้นำไปด้วยตั้งแต่แรก  มาร์คถือวิสาสะแกะปมที่มัดอยู่แล้วเปิดปากถุงออกเพื่อดูว่าอะไรอยู่ข้างใน

     

    ข้างในถุงนั้นเป็นกล่องพลาสติกบรรจุคัพเค้กช็อกโกแลตสีน้ำตาลเข้มหกชิ้น บนเค้กแต่ละชิ้นมีน้ำตาลแต่งหน้าเค้กเป็นรูปทรงอักษรภาษาอังกฤษและตัวเลขสีสันต่างกันไป รวมกันเป็น ‘MARK’ และ ‘24’ นอกจากนี้ยังมีเทียนไขขนาดสั้นสีฟ้าหนึ่งเล่มด้วย  มาร์คดูชื่อร้านที่สกรีนอยู่บนฝากล่องพลาสติก จำได้ว่าเป็นร้านเค้กเล็กๆ ที่ใช้เวลาเดินจากสถานีรถไฟไปประมาณสิบนาทีถึง พร้อมกับรู้สึกขอบคุณยูคยอมขึ้นมาทั้งใจเมื่อนึกภาพยูคยอมที่เพิ่งลงจากรถไฟอุตส่าห์เดินออกจากสถานีไปซื้อเค้กหกชิ้นนี้มาสำหรับวันเกิดของเขา  หลายวันที่ผ่านมายูคยอมคงยุ่งและเหนื่อยจนไม่มีเวลาเตรียมอะไรที่ดีกว่านี้ แต่เท่านี้มาร์คก็รู้สึกดีใจจนความรู้สึกเสียดายและน้อยใจในวันก่อนๆ หายทิ้งไปหมดสิ้น

     

    พร้อมกันนั้น มาร์คก็เข้าใจท่าทีของยูคยอมเมื่อครู่ เขามัดปากถุงไว้ให้อยู่ในสภาพเดิมราวกับไม่เคยมีใครไปแตะต้องมัน

     

     


    ยูคยอมอุตส่าห์ตั้งใจทำเพื่อเขาขนาดนี้ จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ยูคยอมตั้งใจไว้ก็แล้วกัน  โดยลำดับแรก มาร์คต้องห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มกว้างไปมากกว่านี้แล้ว

     

    end.


     



    AU เดียวกับเรื่องที่แล้ว (It's No Secret) นะคะ แต่เกิดขึ้นก่อนหน้านิดนึง

    ฟิคตอนนี้เกิดขึ้นมาเพราะแค่อยากเขียนฉากพี่มาร์คถามน้องอย่างเป็นห่วงว่า...เอายาใส่กระเป๋าหรือยัง แค่นั้นค่ะ ๕๕๕๕ 



    ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ


     


     

    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×