ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] 'SO LUCKY' (SF/OS)

    ลำดับตอนที่ #2 : [SF] It's Raining (JB x Jr.)

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 58


    It’s Raining

    JB/Jr.

    Inspirational track: Stella Jang - It's Raining (Feat. Verbal Jint)

     

     

     

    It's raining outside the window

    It's raining just like the day you left me

     

     

     

    1.

     

     

    ฝนตกลงมากลางดึก

     

     

    ชายหนุ่มที่เพิ่งพาตัวเองออกจากความอึกทึกวุ่นวายภายในผับกวาดสายตามองเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมา อุตส่าห์หาข้ออ้างปลีกตัวกลับออกมาได้ก่อนทั้งทีก็ดันเจอกับสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ หากเป็นสมัยยังเรียนอยู่ซึ่งเขายังไม่มีรถยนต์ส่วนตัวขับ อิม แจบอมคงได้อารมณ์เสียกว่านี้แน่นอน

     

    พนักงานเฝ้าประตูหน้าผับเดินมากางร่มให้เขาอย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะเดินไปยังลานจอดรถกว้างด้านหน้าผับด้วยกัน แจบอมกล่าวขอบคุณ เปิดประตูรถยนต์สีเทาของตัวเองเข้าไปนั่งบนเบาะคนขับ  พอเรียนจบทำงานทำการจนมีเงินผ่อนรถขับเองก็ดีแบบนี้ ไม่จำเป็นเสียเงินค่าแท็กซี่กลับบ้าน หรือเดินฝ่าสายฝนให้เปียกปอนเพื่อไปยังสถานีที่ใกล้ที่สุดในกรณีที่รถไฟยังวิ่งอยู่

     

    แจบอมสตาร์ตรถเท้ากำลังจะเหยียบคันเร่งเพื่อขับรถออกไปจากที่นี่ แต่มีมือหนึ่งมาเคาะกระจกรถเขาเสียก่อน เขาหันขวับ สบประสานสายตากับคนข้างนอก

     

    ตอนนั้นเองที่แจบอมรู้สึกว่ารอบตัวเขาเงียบไปหมด กระทั่งเสียงแอร์กระหึ่มที่เปิดอยู่ก็พลันสูญหายไปจากโสตประสาทของเขา

     

     

    เขาได้ยินเพียงเสียงสายฝนกระทบหลังคารถและพื้นดังเปาะแปะ และมองเห็นเพียงใบหน้าของพัค จินยอง

     

     

     

    2.

     

     

    แจบอมพบกับจินยองครั้งแรกในคืนฝนตก

     

     

    คืนนั้นอยู่ในช่วงสอบกลางภาค เขาก็เหมือนกับนักศึกษาคนอื่นๆ ที่มักตระเวนหาที่อ่านหนังสือสอบข้างนอก ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่บ้านหรือห้องของตัวเองซึ่งมีสิ่งเย้ายวนใจให้เสียสมาธิ หลายคนเลือกที่จะไปอ่านตามร้านกาแฟหรือร้านฟาสต์ฟู้ดที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่แจบอมโปรดปรานการอ่านหนังสือในห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัยที่ก็เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนกันในช่วงสอบ  แม้ว่าบนชั้นสองไปจนถึงชั้นหกที่มีที่นั่งอ่านหนังสือจะไม่อนุญาตให้นำอาหารหรือเครื่องดื่มขึ้นไปรับประทานได้ตามใจ แต่หากลงมาที่ชั้นล่างสุดก็มีทั้งมุมกาแฟและเบเกอรี่ไว้ให้บริการ ข้อดีคือราคาถูกกว่ากาแฟแพงๆ ในร้านข้างนอก

     

    เขานั่งอ่านหนังสือและชีทจนถึงเที่ยงคืนกว่า กำลังจะออกจากตึกห้องสมุดเพื่อกลับบ้านเหมือนปกติทุกวัน แต่อุปสรรคจากท้องฟ้ากลับขวางกั้นเขาไว้  แจบอมได้แต่ยืนมองสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา ลมพัดกรรโชกแรงจนต่อให้แจบอมพกร่มมาก็คงไม่ช่วยอะไร เสี่ยงจะปลิวไปกับแรงลมที่รุนแรงนี้อีกต่างหาก ต่อให้ฝนซากว่านี้ เขาก็ไม่อยากให้ตำราที่ยืมมากับชีททั้งหมดนี่เสียหาย

     

    เขาถอนหายใจ และเปิดประตูกลับเข้าไปในตึก

     

    จะทำอะไรได้นอกจากรอให้ฝนหยุด

     

    นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์เดินไปสั่งเอสเปรสโซ่ร้อนจากเคาน์เตอร์เครื่องดื่มหนึ่งที่ ก่อนจะเดินรับแก้วกาแฟพลาสติกร้อนๆ แล้วไปนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง ไหนๆ ก็ต้องติดแหง็กอยู่ที่นี่แล้วก็ว่าจะอ่านเนื้อหาทั้งหมดทวนอีกรอบเพื่อเตรียมสอบตอนเก้าโมงเช้าพรุ่งนี้  ใกล้ๆ โต๊ะที่เขานั่งอยู่มีนักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่เหมือนกัน ได้ยินเสียงบ่นงึมงำเรื่องฝนตกลอยเข้าหูมา แต่เขาไม่ได้ใส่ใจอะไร หยิบชีทของตัวเองขึ้นมาพลิกอ่านอีกครั้ง สมาธิเปลี่ยนไปจดจ่ออยู่กับตัวอักษรและตัวเลขบนนั้น

     

    ฝนตกหนักขนาดนี้ คงอีกสักพักกว่าจะหยุด

     

     

     

    "มึง ฝนเบาลงแล้ว กลับกันเลยมั้ย"

     

    ประโยคนั้นที่หลุดออกมาจากนักศึกษาแปลกหน้าคนหนึ่งดึงแจบอมให้หลุดจากสิ่งที่กำลังอ่านอยู่ เขาล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ตีหนึ่งกว่าแล้ว หากฝนซาลงในระดับที่จะไม่ทำให้ข้าวของเขาเสียหายตอนที่เดินออกจากห้องสมุดไปยังประตูทางเข้าเพื่อเรียกแท็กซี่ล่ะก็ เขาก็อยากจะรีบกลับไปนอนเก็บแรงเพื่อเตรียมสอบในเช้าวันรุ่งขึ้นเหมือนกัน

     

    ระหว่างที่นักศึกษากลุ่มนั้นเก็บของ แจบอมที่มาตัวคนเดียวจึงสอดชีทลงในหนังสือของตัวเอง โยนแก้วกาแฟทิ้งลงถังขยะก่อนจะก้าวผ่านประตูออกไปอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง เพราะฝนก็ยังคงตกอยู่ เพียงแต่ไม่มีลมสาดเหมือนก่อนหน้านี้แล้วเท่านั้น พอหันไปเห็นนักศึกษากลุ่มนั้นเดินออกมาพร้อมกับร่มสองคันสำหรับคนสี่คน แจบอมก็เข้าใจ

     

    ฝนแค่เบาลงพอที่จะเดินกางร่มไปได้ ส่วนคนไม่มีร่มอย่างเขาก็หันหลังกลับไปนั่งที่เดิมเสียเถอะ

     

    แจบอมถอนหายใจ กำลังจะเดินกลับเข้าไปในห้องสมุดเหมือนเดิมอย่างเซ็งๆ แล้วตอนที่ได้ยินเสียงหนึ่งเรียกเขา

     

    "คุณ... กลับด้วยกันมั้ยครับ"

     

     

    ฝนยังไม่หยุดตก แต่แจบอมไม่เปียก เหนือศีรษะของเขาคือร่มคันหนึ่ง ข้างกายเขาคือเจ้าของร่มคันนั้น

     

     

     

    3.

     

     

    ฝนยังคงไม่หยุดตก

     

     

    "พี่เป็นไงบ้าง ไม่ได้เจอกันนานเลย" จินยองเอ่ยถามพร้อมๆ กับที่เปิดประตูเข้ามานั่งข้างแจบอม

     

    "ก็สบายดี มากินเหล้ากับเพื่อนเหรอ"

     

    จินยองหัวเราะแห้งๆ ไม่ได้รู้สึกภูมิใจเท่าไรนักที่โดนแจบอมทักเรื่องนี้้ทันทีที่ได้เจอกันอีก ก็สมควรอยู่ มาเจอกันที่ไหนไม่เจอ มาเจอกันที่หน้าผับ และเขาไม่ปฏิเสธหรอกว่าตอนนี้คงมีกลิ่นเหล้าติดตัวเขาอยู่บ้าง  ชายหนุ่มยกมือขยี้ผมตัวเองเบาๆ แก้เก้อพร้อมกับเม้มริมฝีปากแน่นเหมือนพยายามอดกลั้นอยู่

     

    อากัปกิริยาที่คุ้นเคยทำให้แจบอมรีบพูดว่า “พี่แซวเล่น”

     

    “รู้ครับ ผมก็ไม่ได้คิดอะไร”

     

    ...ก็ไม่เสียทีเดียวหรอก เขาอดนึกย้อนไม่ได้ว่าเมื่อก่อน เรื่องนี้และทุกๆ เรื่องของจินยองเคยเป็นเรื่องใหญ่มากแค่ไหนสำหรับแจบอม แม้แต่เรื่องที่ทำให้พวกเขาทะเลาะกันใหญ่โตก็กลายเป็นแค่เรื่องที่แจบอมหยิบมาล้อเขาเล่นได้โดยไม่คิดอะไร  ตอนนี้เขาคงไม่มีค่ามากขนาดนั้นสำหรับแจบอมแล้ว

     

    เขากลืนความขมขื่นที่จุกแน่นอยู่ในลำคอกลับลงไป ย้อนถามแจบอมกลับด้วยน้ำเสียงที่บังคับให้ราบเรียบว่า “แล้วพี่มาทำอะไรที่นี่ล่ะ”

     

    “ปาร์ตี้วันเกิดเพื่อนที่ทำงาน ไม่ได้อยากมาหรอก นี่พี่ก็ขอเขากลับก่อน”

     

    “ว่าแล้วเชียว”

     

    แจบอมยังคงเป็นแจบอมคนเดิม ยังคงเป็นหนุ่มที่รักความสงบเงียบอยู่คนเดียวมากกว่าการได้สรวลเสเฮฮากับเพื่อนฝูง หวงแหนโลกส่วนตัวของตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใด จนมีหลายครั้งที่จินยองไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ก้าวผ่านกำแพงนั้นไปแล้วได้รู้จักกับตัวตนของคนที่ชื่ออิม แจบอมจริงหรือไม่  ยังไม่นับเครื่องหน้าทุกส่วนบนผิวเข้มที่มักดูขรึมจนเกือบดุ ปราศจากร่องรอยของความใจดีและความเป็นมิตร  จินยองจึงมักชอบคิดว่าแจบอมกำลังโกรธเขาอยู่ ทั้งที่แจบอมแค่ทำหน้าตามอารมณ์ปกติของตัวเอง

     

    หากจะมีอะไรที่เปลี่ยนไป ก็คงเป็นภาพของแจบอมที่กำลังขับรถอยู่นี่กระมัง จินยองเคยเป็นตุ๊กตาหน้ารถติดรถเพื่อนไปไหนต่อไหนมามากมาย แต่เขาไม่เคยเห็นใครขับรถแล้วดูดีได้เหมือนอิม แจบอม  เขาอยู่ในท่วงท่าสบายๆ แผ่นหลังตั้งตรงเอนติดไปกับเบาะ เข็มขัดนิรภัยพาดทับไหล่ข้างหนึ่งเฉียงลงไปตรงที่ล็อกด้านตรงข้าม มือทั้งสองข้างจับแน่นอยู่ที่พวงมาลัย

     

    “ให้ไปส่งที่ไหน”

     

    แจบอมถาม จริงๆ แล้วจินยองแค่มาเคาะหน้าต่างกระจกทักเขาเฉยๆ ในฐานะคนคุ้นเคยและกำลังจะนั่งแท็กซี่กลับเอง เป็นเขาเองที่ชวนให้จินยองติดรถมาด้วยกันโดยไม่ถามก่อนสักคำว่าจินยองจะกลับไปที่ไหนหรือกลับไปหาใคร  ความเคยชินทำให้เขาคิดอะไรตื้นเขิน ใช่ว่าจินยองจะบอกให้เขากลับไปที่หอเดิมเหมือนอย่างเคยเสียเมื่อไร  แจบอมรู้ว่าจินยองย้ายออกจากหอเก่าไปตั้งแต่เรียนจบ

     

    “อพาร์ตเมนท์ AAA แถว...” จินยองตอบ ย่านนั้นอยู่ห่างจากหอของแจบอมไปหลายสถานีรถไฟเหมือนกัน ไม่ไกลมากเกินไปแต่ก็ไม่ถือว่าใกล้  พอแจบอมนึกภาพจินยองกลับถึงอพาร์ตเมนท์ของตัวเอง ใจเขาก็เผลอหวนประหวัดถึงใบหน้าและชื่อ มาร์ค ต้วนที่เคยเห็น ก่อนที่เสียงของจินยองจะเรียกเขากลับมาว่า “พี่ยังอยู่ที่เดิมรึเปล่า”

     

    “อืม ก็ยังอยู่ที่เดิม”

     

    “ตอนนี้พี่ทำงานที่ไหนนะ”

     

    แจบอมตอบไปว่าเขาทำงานเป็นนักวิจัยอยู่ในหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง และกำลังเก็บเงินเรียนต่อปริญญาโท เมื่อเรียนจบแล้วจะได้สมัครบรรจุเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยตามความตั้งใจเดิมของตัวเอง “อย่างที่พี่เคยเล่าให้ฟังไง”

     

    “ดีจังนะครับ อาจารย์อิม”

     

    “จินยองล่ะ ตอนนี้ทำอะไร” เขารู้แค่ว่าจินยองทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่มีสาขาอยู่ในหลายประเทศ แต่ไม่รู้ว่าทำตำแหน่งอะไร หรือบริษัทแห่งนั้นทำธุรกิจด้านไหน

     

    “ทำอยู่บริษัทพีอาร์น่ะครับ”

     

    “ก็ดี สมเป็นจินยองดี”

     

    แจบอมขับรถผ่านแถวหอของตัวเองมาแล้ว เขาเลี้ยวเพื่อเข้าถนนเส้นที่จะพาตรงไปยังอพาร์ตเมนท์ของจินยอง  ปรากฏว่ามีอุบัติเหตุรถสิบล้อประสานงาเข้ากับรถยนต์คันหนึ่ง ตำรวจจราจรเข้าปิดถนนทั้งสองด้านเอาไว้  แจบอมลดกระจกลง สอบถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่าฝนตกจนถนนลื่น ทำให้รถยนต์ที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงเบรกไม่ทัน

     

    ที่จริงมีถนนอีกเส้นที่ไปอพาร์ตเมนท์ของจินยองได้ แต่ต้องเสียเวลาขับอ้อมค่อนข้างไกล เขาเกรงใจแจบอม แค่อาสามาส่งเขาทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องทำเหมือนเก่าก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว  ชายหนุ่มกำลังจะอ้าปากให้แจบอมวนรถกลับไปเพื่อที่เขาจะได้เรียกแท็กซี่แล้วนั่งต่อไปที่บ้านเพื่อนอีกคนเอง แต่แจบอมกลับเสนอขึ้นมาก่อนว่า

     

    “เอางี้ จินยองไปค้างห้องพี่ก่อนมั้ย จะได้ไม่เสียเวลากันทั้งคู่”

     

    จินยองสบตากับแจบอม เกือบคิดว่าตัวเองหูฝาดไปที่ได้ยินข้อเสนออันน่าเหลือเชื่อนั้น

     

     

    เม็ดฝนยังคงหล่นกระทบลงมาด้วยความเร็วสูง ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงในเร็วๆ นี้

     

     

     

    4.

     

     

    นับตั้งแต่วันที่แจบอมติดฝนในวันนั้น ชีวิตของเขาก็ไม่เหมือนเดิม

     

     

    นักศึกษาใจดีที่เอ่ยเรียกเขาหน้าห้องสมุดวันนั้นชื่อพัค จินยอง นักศึกษาคณะอักษรศาสตร์ปีสอง พูดก็พูดเถอะ เรียนที่นี่มาสามปีแล้ว แจบอมยังไม่เคยไปเหยียบตึกคณะอักษรฯ เลยสักครั้งเพราะไม่เคยคิดจะลงเรียนวิชาของคณะนี้ เขาเลี่ยงไปลงวิชาของคณะนิติศาสตร์แทนตอนที่ต้องเก็บวิชาสายมนุษยศาสตร์หนึ่งตัวตามหลักสูตร  และภาพของผู้ชายคณะอักษรฯ ก็เป็นอะไรที่ไกลตัวเขาจนเกินไป

     

    จินยองมีร่มคันหนึ่งและเลือกที่จะแบ่งมันให้กับเขา ตอนที่แจบอมถามว่าแล้วเพื่อนอีกสามคนไม่เป็นไรหรือ จินยองก็ตอบอย่างร่าเริงว่า พวกนั้นเปียกนิดเปียกหน่อย ไม่เป็นไรหรอก แต่ผมเห็นคุณไม่มีกระเป๋าน่ะ…’

     

    แจบอมมาตัวเปล่า เพราะหลังจากเลิกเรียนตอนเย็น เขาก็แวะกลับหอไปเปลี่ยนเสื้อผ้า หยิบแค่กระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือ กับปากกาหนึ่งด้ามใส่กระเป๋ากางเกง หอบหนังสือและชีทไว้กับแขน แล้วขึ้นรถประจำทางกลับมาที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย  นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงไม่มีร่มและวิ่งฝ่าฝนออกไปขึ้นรถไม่ได้

     

    ตอนแรกจินยองจะแค่อาสาเป็นร่มให้เขาจนกว่าแจบอมจะเรียกแท็กซี่กลับบ้านได้ แต่ตอนที่คุยกันระหว่างทางเดินไปประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัย จึงได้รู้ว่าจินยองและแจบอมพักอยู่ที่หอเดียวกันแต่คนละชั้น  สุดท้ายคนแปลกหน้าสองคนภายใต้ร่มคันใหญ่สีฟ้าก็ได้ขึ้นแท็กซี่กลับบ้านด้วยกันเป็นครั้งแรก 

     

    จินยองเป็นคนคุยเก่ง เขาชวนแจบอมคุยเหมือนอยากรู้จักและเป็นเพื่อนกันจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ละลาบละล้วง คนไม่ค่อยพูดอย่างแจบอมจึงไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป  ปกติเวลาแจบอมนั่งรถกลับบ้านคนเดียวแล้วฝนตกอย่างนี้ แจบอมจะชอบเสียบหูฟังฟังเพลง มองดูหยาดฝนไหลจากด้านบนลงมาเชื่องช้า รวมตัวกับหยดน้ำอีกหยด แล้วค่อยแตกกระจายไปจนมีหยาดน้ำเล็กๆ เกาะทั่วเต็มกระจก แต่วันนี้เขาได้แต่นั่งเก็บรายละเอียดทุกอย่างบนใบหน้าของผู้ชายหน้าตาน่ารักที่เพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก  องค์ประกอบทุกอย่างทำให้แจบอมมองจินยองแล้วคิดถึงลูกแมว ไม่ว่าจะเป็นดวงตากลมโตใสแป๋ว ปลายจมูกมน และริมฝีปากอิ่มสวย  เขายิ่งน่าเอ็นดูมากขึ้นไปอีกเวลาที่ยิ้มหรือหัวเราะจนตาหยี จนแจบอมเผลอยกยิ้มขึ้นที่มุมปากตามอย่างไม่รู้ตัว ทั้งที่ไม่รู้และไม่ได้ตั้งใจฟังว่าจินยองกำลังอารมณ์ดีหรือขำเรื่องอะไรอยู่ก็ตาม

     

    เมื่อแท็กซี่มาถึงหน้าหอของพวกเขา จินยองก็ลงจากรถไปก่อน ฝนยังไม่หยุดตก เขาเลยกางร่มรอแจบอมที่ลงทีหลังเพื่อที่จะได้เข้าไปในอาคารด้วยกันโดยไม่มีใครต้องเปียก

     

    พวกเขาแยกจากกันที่ลิฟต์ จินยองลงที่ชั้นหก แจบอมไปต่อที่ชั้นสิบเอ็ด หนุ่มรุ่นน้องไม่ลืมหันมายกมือบ๊ายบายเขาตอนที่จะไป เสียงใสเอ่ยอย่างคนมองโลกในแง่ดีว่า

     

    “ไว้เจอกันอีกนะพี่แจบอม”

     

     

     

    หนึ่งวันหลังจากนั้น แจบอมคนที่ไม่เคยไปเหยียบคณะอักษรศาสตร์มาก่อนก็บากบั่นเดินไปที่นั่นในช่วงพักเที่ยงหลังจากสอบเสร็จ คิดว่าคงมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะได้เจอจินยองในช่วงนี้  นักศึกษาส่วนใหญ่ก็น่าจะลงมากินข้าวกันที่นี่อยู่แล้วถ้าไม่ได้ออกไปไหน  คนแปลกหน้าสำหรับเด็กอักษรฯ กวาดสายตามองหารุ่นน้องที่เคยเจอกันเพียงแค่ครั้งเดียว แล้วเขาก็มองเห็นนักศึกษาคนหนึ่งที่จำได้ว่าอยู่กับจินยองที่ห้องสมุดเมื่อคืน

     

    “ขอโทษนะครับ เอ่อ เพื่อนจินยองใช่มั้ย”

     

    “ใช่ครับ นี่พวกเราเจอกันเมื่อคืนใช่รึเปล่า” เด็กหนุ่มถามให้แน่ใจเพราะคุ้นหน้าแจบอมว่าเพิ่งเจอกันไปเมื่อคืน พอแจบอมพยักหน้าว่าใช่ เขาก็พูดต่อ “จินยองไปซื้อข้าวอยู่ครับ เดี๋ยวก็มาละ... นั่นไงๆ จินยอง!”

     

    เจ้าของชื่อเดินตรงมา อ้าปากค้างเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างสูงที่ไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่ยืนอยู่ตรงโต๊ะของกลุ่มตัวเอง เขาวางจานข้าวลงก่อนแล้วจึงหันมาถามแจบอมว่า “มีอะไรเหรอครับ มาถึงนี่เลย”

     

    แจบอมยื่นถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อที่ตัวเองหิ้วมาด้วยให้แก่จินยอง “พี่ซื้อขนมมาฝาก ขอบคุณที่จินยองช่วยพี่เมื่อคืน” เขารีบกล่าวเสริมเมื่ออีกฝ่ายรับถุงไปแล้วดูว่ามีอะไรข้างใน “พี่ไม่รู้ว่าจินยองชอบอะไรบ้าง ก็เลยซื้อมาหลายอย่าง...”

     

    “ขอบคุณครับ จริงๆ ไม่ต้องก็ได้นะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

     

    “แล้วก็...”

     

    “ครับ?”

     

    “เย็นนี้จินยองว่างมั้ย สอบเสร็จรึยัง” สิ่งที่แจบอมอยากพูดไม่ใช่ประโยคที่ยาก การคาดหวังปฏิกิริยาของอีกฝ่ายและบุคคลที่สามสี่ห้าที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ต่างหากที่ทำให้เขาเอ่ยประโยคถัดมาได้อย่างยากเย็น “จะชวนไปกินข้าว”

     

    ยังไม่ทันที่จินยองจะตอบอะไร เสียงโห่แซวก็ดังมาจากอีกสามหน่อที่นั่งข้างๆ เสียก่อน

     

    “หูยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

    “เฮ่ย ไรเนี่ยๆๆๆๆ เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นวะจินยอง”

     

    จินยองอ้ำอึ้ง ยิ่งได้ยินเสียงร้องแซวจากเพื่อนในกลุ่มยิ่งทำให้เขาทำตัวไม่ถูก อยากสวนพวกมันกลับไปเหมือนกันว่าพี่แค่เขาชวนไปกินข้าวไม่ได้ชวนไปเข้าโรงแรมโว้ย พวกมึงจะรีบตื่นเต้นกันไปทำไม แต่ที่แย่ที่สุดคือสายตาที่ไม่ปิดบังความคาดหวังและความตื่นเต้นของแจบอม มันทำให้จินยองไม่กล้าปฏิเสธ แต่ก็ยังลังเลที่จะตอบรับเพราะไม่แน่ใจในเจตนา

     

    “ก็... ไม่รู้เย็นนี้ฝนจะตกรึเปล่า ถ้าฝนไม่ตก...”

     

    ถ้าเกิดฝนตกเขาก็ขอเผ่นกลับหอก่อนล่ะ แถวนี้เวลาฝนตกแล้วรถยิ่งแน่นอยู่ ไม่อยากไปเถลไถลที่ไหนต่อให้เสียเวลา

     

    “ถ้าฝนไม่ตก พี่จะมารอจินยองที่นี่ตอนสี่โมงนะครับ” แจบอมตอบอย่างรวบรัด “หวังว่าเราจะได้เจอกัน”

     

    จินยองพยายามกลั้นยิ้ม รอจนกระทั่งแจบอมเดินออกไปจากโรงอาหารแล้วจึงค่อยหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ของตัวเอง แสร้งทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินคำถามและคำพูดหยอกแซวจากเพื่อนในกลุ่ม ถึงใบหูของเขามันจะเริ่มแดงขึ้นแล้วก็เถอะ...

     

     

    เย็นวันนั้นท้องฟ้าแจ่มใส แปรเปลี่ยนจากสีฟ้าอ่อนเป็นสีครามแล้วค่อยๆ มืดลงตามการจากลาของดวงตะวัน ปราศจากเมฆฝนอึมครึมแม้เพียงสักก้อนเดียว

     

     

     

    5.

     

     

    วิทยุที่แจบอมเปิดฟังระหว่างขับรถกลับมาที่หอตัวเองรายงานว่าพายุฝนจะกระหน่ำจนถึงรุ่งเช้า อาจลากยาวไปจนถึงช่วงสาย

     

     

    จินยองไม่ได้มาที่ห้องนี้ประมาณสองปีแล้ว แต่เขาแทบไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงภายในห้องของเจบีเลยสักนิด  ยกเว้นบริเวณโต๊ะหนังสือที่เรียบร้อยและเป็นระเบียบกว่าเดิม เขาจำได้ว่ามันเคยรกมากกว่านี้และเต็มไปด้วยกองกระดาษที่ไม่เป็นระเบียบ แต่แจบอมก็ย้ำจินยองนักหนาว่าไม่ต้องไปยุ่ง วางเละเทะแบบนั้นนั่นแหละที่ทำให้เขาหาเจอ  กำแพงด้านหนึ่งของห้องยังคงมีชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยตำราและหนังสืออ้างอิง ภาษาอังกฤษบนสันหนังสือเป็นคำที่จินยองไม่เคยได้ยิน ไม่รู้ความหมาย และไม่คิดจะไปค้นว่ามันแปลว่าอะไร

     

    แจบอมไม่เคยมีรูปของตัวเองหรือรูปของใครตั้งวางในห้อง ฉะนั้นจินยองจึงไม่คิดจะค้นหาคำตอบที่ตัวเองอยากรู้อยู่ลึกๆ จากสิ่งนั้น เขาเพียงแค่ปรายตามองไปที่เตียงของแจบอม บนนั้นมีหมอนและผ้าห่มเพียงชุดเดียว ผ้าห่มผืนหนาวางพับไว้อย่างลวกๆ ปลายผ้าทบไม่เสมอกัน ปลอกหมอนยังคงยับยู่ยี่  ไม่มีใครอยู่ร่วมกับแจบอมที่นี่ และไม่มีใครใกล้ชิดกับเขาพอที่จะมาดูแลเตียงนอนให้เหมือนอย่างที่จินยองเคยทำ เมื่อก่อนจินยองจะชอบขึ้นมาหาแจบอมที่ห้องตอนเช้าก่อนตัวเองออกไปเรียน หากแจบอมตื่นแล้ว จินยองก็จะจัดผ้าปูที่นอนและผ้าห่มให้เรียบร้อยเสมอกัน จัดปลอกหมอนให้ตึงเปรี๊ยะ คิดแค่ว่าอยากให้แจบอมกลับมาถึงห้องแล้วมีเตียงเรียบร้อยน่ามองคอยอยู่ แม้ว่าแจบอมจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าไม่ต้องลำบากขนาดนั้น แต่จินยองก็อยากทำให้อยู่ดี

     

    ชายหนุ่มเจ้าของห้องเปิดตู้เสื้อผ้าของตัวเอง มองหาเสื้อผ้าสักชุดที่จะให้จินยองสวมนอนในคืนนี้ และเสนอให้คนที่เป็นแขกได้เป็นคนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน  ทันทีที่ประตูห้องน้ำปิดสนิท แจบอมก็นั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของตัวเอง

     

    ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่หลุดปากชวนจินยองมาที่ห้อง ตอนนั้นแค่คิดว่าไม่อยากให้จินยองลำบาก ไหนๆ จินยองก็คุ้นเคยกับห้องของเขาดีอยู่แล้ว  แต่เพราะจินยองมีร่องรอยอยู่ในห้องนี้มากเกินไปนี่เองที่กำลังทำให้แจบอมตกที่นั่งลำบาก  การได้เห็นจินยองอยู่ที่นี่อีกครั้งทำให้เขานึกถึงวันเวลาที่เคยมีน้องเคยมานอนเล่นในห้อง มีน้องมาดูแลเขาอย่างใกล้ชิด มีน้องโผเข้ามาสวมกอดเขาอย่างต้องการกำลังใจตอนที่เครียดกับคะแนนสอบ และก็...

     

    คืนนี้เขาคงไม่ใจร้ายให้จินยองนอนกับพื้น แต่แค่นึกว่าร่างนุ่มนิ่มของจินยองกำลังจะมาอยู่บนเตียงของเขาเหมือนเมื่อก่อน มันก็อดคิดถึงอะไรๆ ที่เคยเกิดขึ้นไม่ได้  ความจริงที่ว่าทุกอย่างเป็นแค่อดีตและเขาไม่มีสิทธิอะไรในตัวจินยองเหมือนเดิมทำให้หัวใจของเขากลวงเปล่า ได้แต่โหยหาโดยไม่มีสิทธิแม้แต่จะคิดแตะต้อง

     

    จินยองไม่ใช่คนของเขาแล้ว

     

     

    เสียงสายน้ำไหลจากฝักบัวในห้องน้ำกับเสียงหยาดฝนจุมพิตหลังคาและพื้นดังตีกันกระทบหู  อุณหภูมิทั้งภายนอกและภายในห้องเริ่มลดต่ำลง แต่ใจของแจบอมร้อนรน พยายามข่มกลั้นความรู้สึกคะนึงหาที่ก่อตัวขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่

     

     

     

    6.

     

     

    จินยองทำให้แจบอมได้เจอทั้งวันที่ฟ้ากระจ่างใส อึมครึม และมืดมนเหมือนวันที่มีฝนห่าใหญ่กระหน่ำซัดลงมาบนผืนดิน

     

     

    ความสัมพันธ์ของพวกเขารุดหน้าอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยก็เร็วกว่าตอนที่แจบอมเพียรจีบรุ่นพี่คนหนึ่งสมัยมัธยมเพราะฝ่ายนั้นไม่ได้มีใจให้ด้วยตั้งแต่แรกจึงต้องลงทุนลงแรงมากหน่อย  หลังจากการไปกินข้าวด้วยกันในเย็นวันนั้น เหมือนจินยองเองก็รู้ว่าเจตนาของแจบอมคืออะไร และเขาก็ไม่รอช้าที่จะตอบสนองเพื่อบอกให้รู้ว่าเขาก็รู้สึกเหมือนกัน  การที่แจบอมซึ่งเป็นคนไม่ค่อยพูดกลับลงมือจีบเขาตรงๆ ทำให้เขาดูน่าค้นหา และความอบอุ่นที่จินยองได้สัมผัสหลังจากนั้นที่ทำให้เขาตกหลุมรักแจบอมอย่างโงหัวไม่ขึ้น

     

    การอยู่หอเดียวกันทำให้ความใกล้ชิดกันระหว่างพวกเขาก้าวหน้าไปได้ไว  จินยองไม่ถึงกับขนของใช้ส่วนตัวขึ้นไปอยู่กับแจบอมที่ชั้นสิบเอ็ด แต่เขาก็ชอบไปนอนเล่นที่ห้องของแจบอมมากกว่าจะให้แจบอมลงมาอยู่ที่ห้องตัวเอง โดยเฉพาะในคืนวันศุกร์ที่เป็นอันรู้กันว่าจินยองจะมานอนค้างด้วยเสมอหากไม่ติดนัดที่ไหน 

     

    ในช่วงที่ยังหวานชื่นอะไรก็ดีงามไปหมด แม้ว่าแจบอมจะดูเงียบๆ และแข็งๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไรตอนอยู่ด้วยกัน แต่จินยองก็มองว่ามันเป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของแจบอม ซึ่งตรงกันข้ามกับจินยองที่มนุษยสัมพันธ์ดีและรู้จักคนเขาไปทั่ว และชอบที่จะแสดงออกความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับแจบอมให้คนรอบตัวได้รับรู้  พลังงานในการเข้าหาคนอื่นของจินยองทำให้บางครั้งแจบอมรู้สึกเหนื่อยแทน แต่เขาก็มองว่านั่นเป็นความสดใสที่เติมเต็มชีวิตเขาได้

     

    แต่เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่จินยองเคยมองว่าดีกลับกลายเป็นอุปสรรคของความสุขตามอุดมคติของตัวเอง  จินยองมักจะนัดกินข้าวหรือเที่ยวกับเพื่อนทั้งในและนอกคณะ เพื่อนสมัยมัธยม และกระทั่งเพื่อนสมัยประถมอยู่บ่อยๆ  หลายครั้งที่เขาอยากให้แจบอมตามไปด้วย แต่แจบอมก็มักจะเลี่ยงเพราะเหนื่อยกับการเผชิญหน้าหรืออยู่ท่ามกลางคนที่ไม่คุ้นเคย  จนวันหนึ่งเขาก็ทะเลาะกับจินยองอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรกเพราะเขาไม่ยอมตามใจเหมือนเคย

     

    แค่ไปเจอเพื่อนผมแค่นี้มันเหนื่อยมากนักเหรอ

     

    นานๆ ทีมันก็ไม่เป็นไร แต่ใจคอจินยองจะพาพี่ไปด้วยทุกที่เลยหรือไง ไปเจอเพื่อนก็ไปสนุกกับเพื่อนสิ

     

    แต่ผมอยากให้พี่ไปด้วยนี่ จินยองทำปากยื่น แคร์ความสุขผมบ้างได้มั้ยล่ะ หรือพี่แม่ งไม่แคร์ผมแต่แรกแล้ววะ

     

    พวกเขากลับมาคืนดีกันได้โดยไม่ต้องใช้เวลานาน แต่ความบาดหมางครั้งนั้นก็ทำให้แจบอมรับรู้ว่ามีอะไรที่ไม่เหมือนเดิม  จากที่ปกติจินยองก็ติดเขามากอยู่แล้ว เจ้าตัวก็กลับพยายามทำตัวติดกับเขามากกว่าเดิมจนเขารู้สึกได้  ทั้งไลน์หาบ่อยๆ ว่าอยู่ที่ไหน ทำอะไร ไปหาได้ไหม หรือให้แจบอมไปหาได้ไหม  เหมือนต้องการจะทดสอบว่าแจบอมจะรับมือจินยองโหมดนี้อย่างไร

     

    เสาหินอย่างแจบอมก็แค่...ทำตัวเหมือนเดิม  แจบอมมีโลกส่วนตัวของตัวเองที่เขาเปิดให้จินยองเข้ามาได้มากกว่าคนอื่นก็จริง แต่ก็มีระยะห่างอยู่นิดหนึ่งที่เขาหวังว่าจินยองจะรักษาไว้  ยิ่งจินยองพยายามดึง แจบอมยิ่งขืนตัวไม่โอนอ่อนผ่อนตาม เขาแค่อยากให้จินยองกลับไปเป็นเหมือนช่วงแรกที่เพิ่งคบกัน  มิหนำซ้ำปีนั้นเขายังวุ่นอยู่กับการทำเปเปอร์และการเตรียมงานวิจัยที่เป็นโปรเจคจบ จึงไม่มีเวลามาคอยเอาใจจินยองอย่างเต็มที่เหมือนก่อน

     

    มีคืนหนึ่งที่จินยองมาหาเขา อ้อนให้เขากกกอดเหมือนที่เคยๆ แต่แจบอมปฏิเสธเพราะเห็นว่าจินยองกำลังเมามาก เขาก็แค่ไม่อยากทำอะไรไม่ดีตอนที่อีกฝ่ายไม่ได้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เขาคว้ามือจินยองแล้วไปส่งที่ห้อง กล่อมและปลอบจนแน่ใจแล้วว่าจินยองหลับสนิทจึงค่อยกลับห้องตัวเอง

     

    หลังจากคืนนั้น จินยองก็มาหาและคุยกับเขาน้อยลง  แต่ออกไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนกลุ่มใหม่ที่แจบอมไม่รู้จักบ่อยขึ้น  ที่แจบอมมั่นใจแน่นอนก็คือจินยองดื่มหนักกว่าเดิม จากที่เมื่อก่อนจะแค่ออกไปดื่มเวลามีงานพิเศษเท่านั้น  แถมจินยองมักไม่ยอมบอกว่าไปที่ไหนจนแจบอมต้องหมั่นเช็กเฟสบุ๊กและดูจากรูปที่ถูกแท็กมาแบบเรียลไทม์เอง  ถ้าออกไปรอรับจินยองได้แจบอมก็จะไปรับ  บางทีสภาพจินยองตอนเมาแอ๋ออกมาจากร้านก็ไม่ได้น่ารักเอาเสียเลย

     

    ที่จริงแจบอมไม่อยากจะก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของจินยองมากนัก แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้  เขาไม่ห้ามแต่ก็คอยปรามๆ ว่าลดเสียบ้าง อย่างน้อยก็ดีกับสุขภาพตัวเอง

     

    พี่ไม่ต้องมายุ่งกับผมหรอกจินยองกลับประชดใส่ ผมก็ไม่ยุ่งเรื่องของพี่แล้วไง ชอบไม่ใช่เหรอ

     

    แจบอมไม่รู้ว่าอยู่ๆ ทำไมจินยองถึงดื้อจนไม่ยอมบอกเขาตรงๆ ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในชีวิตเขา เขาทะเลาะกับจินยองอีกหลายครั้งด้วยสาเหตุนี้  เขายังรักจินยองอยู่ ยังคงเห็นเป็นคนใจดีที่ยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่นเป็นมิตรในคืนฝนตกคืนนั้น เป็นคนที่แจบอมอยากกอดไว้ให้แนบอกเวลาที่จินยองต้องการไออุ่น แต่จะให้พูดว่าจินยองที่เปลี่ยนไปไม่ทำให้เขาเหนื่อยใจเลยก็คงจะเป็นการโกหก

     

     

     

    คืนหนึ่ง แจบอมออกไปรับจินยองที่ร้านเหล้าเจ้าประจำตามเคย เขาพาจินยองที่วันนี้เมาจนเกือบสลบและแทบยืนด้วยขาตัวเองไม่ไหวกลับมาถึงหอ  ร่างกายของพวกเขาเปียกปอนทั้งคู่ระหว่างออกจากรถแท็กซี่จนมาถึงประตูทางเข้าเพราะสายฝนที่สาดกระหน่ำลงมา  เขาหยิบกุญแจห้องของจินยองออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเจ้าตัว พาร่างที่หึ่งกลิ่นเหล้าของจินยองไปไว้บนเตียง  เขากำลังจะไปเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมผ้าเช็ดตัว ก็ได้ยินเสียงงึมงำดังขึ้นเสียก่อน

     

    ‘…แจบอม

    เกลียด

     

    ไม่รู้ว่าคนพูดรู้ตัวหรือเปล่า แต่ดูจากสภาพแล้วแจบอมไม่คิดว่าจินยองรู้  ชายหนุ่มบนเตียงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เขายกมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง

     

    ‘…ไม่เอาแล้วได้มั้ย ไม่เอาอีกแล้ว 

     

    พูดด้วยน้ำเสียงเจ็บร้าวจนจบแล้วจินยองก็ร้องไห้ออกมาจริงๆ จนได้ นั่นเป็นครั้งแรกที่แจบอมได้เห็นจินยองร้องไห้ตั้งแต่รู้จักกันมา ก่อนหน้านี้ไม่ว่าน้องจะเจอเรื่องเครียดหรือทะเลาะกับเขาเรื่องอะไรก็ตาม ก็ไม่เคยร้องไห้ให้เขาเห็น  น้ำตาของจินยองที่ไหลออกมาปะปนกับเม็ดฝนที่เกาะพราวบนใบหน้าทำให้แจบอมเจ็บปวดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

     

    เขาอยู่เช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้จินยองจนเสร็จ เขียนข้อความบนกระดาษโน้ตทิ้งไว้ หยิบโทรศัพท์ของจินยองออกมาแล้วลบเบอร์และช่องทางการติดต่อของตัวเองทุกอย่างทิ้ง

     

    คนที่ทำให้จินยองต้องร้องไห้คือเขา

    คนที่ทำให้จินยองไม่มีความสุขคือเขา

    และแจบอมก็ไม่เห็นแก่ตัวพอที่จะยื้อความสัมพันธ์ที่ทำให้อีกฝ่ายต้องทุกข์ทรมานต่อไป

     

    เราเลิกกันเถอะ

     

     

    คืนนั้นฝนตกยาวจนถึงช่วงเช้าตรู่ กว่าแจบอมจะข่มตาหลับได้ ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ฝนหยุดลง แต่ไม่ว่าวันต่อๆ มาท้องฟ้าจะแจ่มใสเพียงใด แจบอมยังคงคิดถึงเสียงฝนตกในคืนนั้น และรอยน้ำตาชื้นแฉะบนใบหน้าของคนที่เขารักยิ่งกว่าใคร

     

     

     

    7.

     

     

    ท้องฟ้าร้องดังครืนจนได้ยินมาถึงในห้องน้ำ คืนนี้พายุฝนโหมกระหน่ำ แต่แจบอมรู้ว่าเดี๋ยวมันจะผ่านไป

     

    แจบอมที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเปิดประตูออกมา เห็นจินยองกำลังนอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงของเขา พอเห็นว่าเจ้าของห้องออกมาจากห้องน้ำแล้วก็รีบดีดตัวขึ้นนั่งเหมือนกลัวว่าแจบอมจะมาทวงที่นอนของตัวเองคืน  ชายหนุ่มเกือบหลุดขำกับท่าทางเกรงใจนั้น ใช่ว่าจินยองเพิ่งมาห้องนี้เป็นครั้งแรกจนต้องเกร็งขนาดนั้น

     

    “นอนไปเถอะ ตามสบาย”

     

    ได้ยินอย่างนั้นแล้วจินยองเลยเอนกายลงไปนอนท่าเดิม ส่วนแจบอมก็เปิดตู้เสื้อผ้าของตัวเอง หยิบหมอนอีกใบหนึ่งที่เก็บไว้อยู่ด้านล่างออกมาเพื่อให้จินยองใช้หนุนนอนคืนนี้ นึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีผ้าห่มแค่ผืนเดียวซึ่งเมื่อก่อนมันไม่เป็นปัญหา แต่ตอนนี้...

     

    ช่างมันแล้วกัน จินยองคงไม่ถือ...

     

    “อ้ะ” เขายื่นหมอนให้จินยอง ผู้จำได้ทันทีว่ามันเป็นหมอนใบเดิมใบเดียวที่เขาเคยใช้ตลอดในช่วงที่ยังคบกับแจบอม

     

    “พี่ยังเก็บไว้อยู่อีกเหรอ”

     

    “เสียดายนี่ ไม่อยากเอาไปทิ้ง”

     

    “เสียดายหมอนหรือเสียดาย...” จินยองรีบหยุดปากตัวเองไม่ให้พูดสิ่งที่กำลังคิดอยู่ได้ทัน แต่นั่นไม่น่าเป็นประโยชน์ แจบอมน่าจะเดาออกว่าคำพูดที่เขากำลังจะพูดคืออะไร เขารีบตัดสถานการณ์ที่เริ่มจะกระอักกระอ่วนให้จบลงไปทันทีด้วยการพูดว่า “ช่างมันเถอะ”

     

    คำถามที่จินยองถามไม่ครบทำให้ใจของแจบอมวูบไหวไปเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงปั้นสีหน้านิ่งเรียบได้อยู่  แจบอมเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ตั้งใจว่าจะรอจนจินยองหลับไปก่อนแล้วค่อยพาตัวเองเข้านอน

     

    นั่งดูรูปของเพื่อนร่วมงานที่คงยังอยู่ที่ผับไปพลางๆ จินยองก็ถามขึ้นมาว่า

     

    “ผมถามอะไรพี่อย่างนึงได้มั้ย”

     

    “อื้อ”

     

    “เรื่องนั้นน่ะ... ทำไมไม่ยอมพูดกับผมตรงๆ”

     

    จินยองอยากถามคำถามนี้มานานแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีแล้วพบข้อความ เราเลิกกันเถอะที่เขาจำได้ว่าเป็นลายมือของแจบอมเขียนทิ้งไว้ วินาทีแรกที่เห็นจุดจบนั้น เขาแทบเป็นบ้า อยากพุ่งตัวออกจากห้องแล้วขึ้นไปที่ห้องของแจบอม วิ่งไปที่คณะของแจบอม ตามหาตัวเขา เพื่อถามว่าแจบอมทำแบบนี้ทำไม แจบอมไม่รักเขาแล้วหรือ แต่พอก้มลงมองเสื้อผ้าลำลองชุดใหม่ที่ตัวเองสวมอยู่ ซึ่งมั่นใจว่าแจบอมเป็นคนเปลี่ยนให้แน่นอนเหมือนอย่างที่ทำให้เสมอ เขาก็ไลน์ไปถามเพื่อนว่าเมื่อคืนพี่แจบอมไปรับเขากลับห้องใช่หรือไม่  เมื่อได้คำตอบยืนยันแล้วว่าใช่ จินยองก็จมอยู่กับความเป็นจริงและความคิดของตัวเอง

     

    แจบอมเหนื่อยเพราะเขามากเกินไปแล้ว

    เขาทั้งเอาแต่ใจ ทั้งดื้อ ทั้งขี้เมา ไม่มีอะไรดีเลย

    และเขาก็ไม่หน้าด้านพอที่จะไปวิ่งขอความรักกลับคืนมาจากคนที่แสนดีอย่างแจบอม

     

    จินยองแค่ไม่ชอบที่แจบอมไม่ยอมเอ่ยตัดความสัมพันธ์ให้เขาได้ฟัง แต่เลือกที่จะเขียนข้อความทิ้งไว้แทน  แจบอมคงไม่รู้ว่าจินยองยังเก็บมันเอาไว้ ทั้งที่ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องถนอมกระดาษแผ่นนั้นที่ทำให้เขาเจ็บปวด 

     

    ไหนๆ คืนนี้เขาก็บังเอิญได้กลับมาเจอกับแจบอมอีกครั้ง เขาก็อยากจะขจัดอะไรที่ค้างคาอยู่ในใจให้หมดไป

     

    (แม้ว่ามันดูเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม)

     

    “พี่แค่... ไม่อยากพูดออกมา มันเจ็บไป” แจบอมเอ่ยตอบ เสียงทุ้มของเขาสั่นเล็กน้อย

     

    “ผลมันก็ออกมาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

     

    “พี่ทนมองหน้าจินยองไม่ได้หรอก”

     

    “คิดจะทิ้งผมไปก็กล้าพูดให้ผมฟังสิ”

     

    “พี่ไม่เคยคิดว่าพี่ทิ้งจินยอง... พี่ปล่อยจินยองไปต่างหาก”

     

    คำพูดนั้นตามมาด้วยเสียงถอนหายใจยาว  จากบนเตียง จินยองได้แต่มองแผ่นหลังของแจบอมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

     

    “ทำไมพี่จะไม่รู้ว่าจินยองหันไปดื่มเหล้าหนักเพราะอะไร”

     

    หลังจากที่จินยองเริ่มเปลี่ยนไป ใช่ว่าแจบอมจะไม่สนใจอะไรเลย  ทีแรกเขานึกว่าจินยองคงแค่เบื่อที่ต้องอยู่กับเสาหินอย่างเขาและอยากไปเที่ยวผ่อนคลายอารมณ์กับเพื่อน  เฟสบุ๊กจึงกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่ช่วยให้แจบอมพอติดตามได้ว่าจินยองคบหากับเพื่อนกลุ่มไหนอยู่ ไปเที่ยวกับใครบ้าง ไปเที่ยวที่ไหน  หรือมีปัญหาอะไรอยู่  และจากการกดส่องโปรไฟล์ของเพื่อนจินยองคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย แจบอมก็ได้เห็นบทสนทนาทางคอมเมนต์ระหว่างจินยองกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งใต้รูปกลุ่มที่พวกเขาถ่ายจากภายในร้านเหล้าแห่งหนึ่ง

     

     

    Haewon Shin: เมาทุกวันเลยนะมึงอะ สัส

    David Shoo: ก็ไอ้เหี้ยนี่ชวน @Jinyoung Park

    Haewon Shin: @Jinyoung Park เพลาๆ บ้างมะ แดกไรนักหนา เมาทีก็เมาเหมือนหมา ไม่สบายใจไรก็บอกกูดิ

    Jinyoung Park: @Haewon Shin ㅋㅋㅋㅋกูทำขนาดนี้แล้วพี่แม่ งยังไม่สนกูเล้ย ก็เมาต่อไปเถอะ

     

     

    แจบอมเห็นบทสนทนานี้ในคืนก่อนหน้าที่จะไปรับจินยองกลับห้องเป็นครั้งสุดท้าย ทีแรกเขากะจะรอจนจินยองตื่นขึ้นมาก่อนเพื่อที่จะได้คุยเปิดใจกันว่าพวกเขาควรทำอย่างไรกันต่อไป แต่คำพูดที่หลุดออกมาจากจิตใต้สำนึกของจินยองทำให้แจบอมไม่อยากฝืน ในเมื่อมันมาถึงจุดที่น้องต้องประชดเขาและเสียใจอยู่ลึกๆ ขนาดนี้แล้ว เขาก็อยากจะปล่อยจินยองไป

     

    เขาแค่อยากให้จินยองมีความสุขกว่านี้

     

    ชายหนุ่มอายุน้อยกว่านิ่งไปหลังจากได้ฟังเหตุผลที่แท้จริงจากปากของแจบอม... เหตุผลที่เขาไม่เคยคิดอธิบายและไม่มีโอกาสได้อธิบาย แต่แจบอมล่วงรู้ทั้งหมด เขาย้อนนึกถึงตอนที่ตัวเองบ่นกับเพื่อนว่าพอคบๆ กันไปแล้วพี่แจบอมสนใจเขาน้อยกว่าเดิม ขนาดว่าเขาหนีเที่ยวเมาแอ๋คืนเว้นคืนยังไม่สนใจ แจบอมเมินเขา มีเวลาให้เขาไม่เยอะเหมือนก่อน แจบอมรักเขาน้อยลง

     

    เป็นจินยองต่างหากที่เรียกร้องมากไป มากเกินกว่าคนนิสัยอย่างแจบอมจะให้ได้

     

    “...จินยองได้คำตอบที่ต้องการแล้วใช่ไหม?”

     

    เขาพยักหน้าช้าๆ แล้วเบือนหน้าไปทางหน้าต่าง

     

    สายฝนข้างนอกทำให้จินยองคิดถึงวันที่ได้พบกับแจบอมเป็นครั้งแรก รวมไปถึงทุกวันหลังจากนั้น  กระทั่งหลังจากที่แจบอมออกไปจากชีวิตเขา ความทรงจำและความรู้สึกทั้งหมดเกี่ยวกับแจบอมก็ไม่เคยสลายไปไหน มันแค่ระเหยหายไปชั่วคราว ใช้เวลาช่วงนั้นก่อตัวเป็นเมฆครึ้มทำให้เขาอึมครึมและหน่วงหนักในใจ ก่อนจะกลายเป็นละอองฝนค่อยๆ โปรยปรายลงมาให้จินยองต้องนึกถึงแจบอมทุกครั้งที่เขาเห็นฝนตก ว่าพวกเขาเคยมีความสุขกันมากแค่ไหน และเคยรักกันได้ดีเพียงใดก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง

     

     

     

    ทั้งสองคนปิดไฟเข้านอนประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น  เพราะดึกแล้วและฝนยังคงตกไม่หยุด อากาศภายในห้องเย็นกว่าปกติ  ผ้าห่มหนาๆ กลายเป็นสิ่งที่จำเป็น  แจบอมจำได้ดีว่าผู้ชายสองคนนอนด้วยกันบนเตียงแคบๆ ของเขาแล้วต้องเบียดกันเพียงใด เพราะเขาเคยนอนเบียดกับจินยองและใช้อีกคนแทนหมอนข้างมานับครั้งไม่ถ้วน  จึงตั้งใจว่าหากต้องห่มผ้าผืนเดียวกันแล้วจะ ใกล้ชิดกันเกินไป เขาอาจจะต้องยอมเสียสละผ้าห่มทั้งผืนให้  แต่ปรากฏว่าพอจงใจรักษาระยะห่างให้จริงๆ ก็มีช่องว่างระหว่างตัวพวกเขาในขอบเขตที่พอรับได้อยู่

     

    แจบอมจะไม่ระมัดระวังขนาดนี้เลย  หากไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้นอกจากจินยองจะกำลังอยู่บนเตียงของเขาแล้ว ตามร่างกายของจินยองก็มีกลิ่นอ่อนๆ ของแชมพูกับสบู่ที่แจบอมใช้ประจำด้วย  ไออุ่นที่แผ่ออกจากกายที่มีเลือดเนื้อของน้องยากที่จะทำให้คนที่เคยเชยชมร่างนั้นข่มตาหลับได้อย่างง่ายดาย  เขานอนฟังเสียงหายใจและเสียงขยับตัวของจินยองอยู่เกือบสิบนาที  แน่ใจว่าจินยองน่าจะหลับแล้วจึงค่อยๆ พลิกตัว เขยิบเข้าใกล้จนได้กลิ่นแชมพูของตัวเองจากร่างของอีกคนชัดกว่าเดิม แล้วกดปลายจมูกลงไปบนกลุ่มผมนุ่มนั้นอย่างแผ่วเบาด้วยกลัวว่าจะปลุกให้คนโดนกระทำตื่น

     

    ...เขาพลาดตรงที่จินยองยังไม่หลับ คนข้างกายเขาขยับตัวทันทีที่แจบอมสัมผัส

     

    “พี่คิดถึงจินยอง” แจบอมชิงสารภาพก่อน ไม่รอให้จินยองถามว่าเมื่อกี้เขาทำอะไร “...คิดถึง”

     

    จินยองเงียบไปหลายวินาทีก่อนจะเปล่งเสียงออกมาว่า “ผมก็เหมือนกัน”

     

    อะไรบางอย่างในน้ำเสียงของจินยองบอกให้แจบอมรู้ว่า คิดถึงในความหมายของพวกเขาสองคนนั้นตรงกัน ในเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการเหมือนกันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรีรออะไร  แต่แจบอมก็อดถามเพื่อความแน่ใจไม่ได้ว่า

     

    “แล้วเราจะไม่เสียใจกันทีหลังใช่มั้ย?”

     

    คนที่เลิกรากันไปแล้วควรจะทำสิ่งที่พวกเขาต้องการจริงหรือ?

    ถ้าแจบอมได้กอดจินยองในคืนนี้แล้ว... พรุ่งนี้เขาจะทำใจแล้วยอมปล่อยจินยองไปเหมือนอย่างตอนนั้นได้หรือไร

     

    “...พี่นี่คิดมากชะมัด”

     

    มือนุ่มของจินยองเอื้อมมาลูบใบหน้าของแจบอม ปลายนิ้ววนหาตำแหน่งริมฝีปากได้อย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะประกบจูบไป  กลีบปากนุ่มหยุ่นของทั้งสองคนคลึงเคล้ากันอยู่เช่นนั้น  ฝ่ามือหนาของแจบอมเลื่อนต่ำลงไปสัมผัสสะโพกนิ่มและบั้นท้ายอิ่มของจินยองด้วยความคุ้นเคย กำลังบีบเฟ้นเนื้อก้อนนั้นช้าๆ อย่างเพลินมือ แล้วจู่ๆ เขาก็ผละริมฝีปากออก

     

    “...ดะ เดี๋ยว แล้วเขาล่ะ?”

     

    น้ำเสียงของจินยองฟังดูไม่สบอารมณ์เพราะโดนขัดจังหวะ “เขาไหน?”

     

    “คนที่ชื่อมาร์ค ต้วน...”

     

    จินยองพ่นลม “ก็แค่พนักงานใหม่ย้ายมาจากสาขาไต้หวันที่ผมต้องดูแล คิดว่าเป็นใคร” เขาเลื่อนตัวขึ้นมานั่งคร่อมแจบอมเอาไว้ ดึงดันให้อีกฝ่ายลุกขึ้นเปลี่ยนเป็นท่านั่ง จากนั้นจึงเอียงตัวไปเปิดสวิตช์โคมไฟตรงหัวเตียงฝั่งของแจบอม เขายังคงจำตำแหน่งนั้นได้ดี

     

    “นึกว่าแฟนใหม่”

     

    ถึงจะลบชื่อตัวเองออกจากเพื่อนในเฟสบุ๊กของจินยองไปแล้ว แต่เพราะยังมีเพื่อนร่วมกันอยู่บางคนจึงทำให้แจบอมเข้าไปดูความเคลื่อนไหวของจินยองได้บ้าง และเจ้าของชื่อมาร์ค ต้วนก็เป็นชื่อที่โผล่มาในเฟสบุ๊กของจินยองบ่อยมากนะระยะหลังมานี้

     

    จินยองใช้ปลายนิ้วเชยคางของแจบอมขึ้นมาช้าๆ  ดวงตากลมสบมองดวงตาเรียวอย่างแน่วแน่ 

     

    “อย่าเพิ่งพูดถึงคนอื่นเถอะ” พูดจบเขาก็โน้มหน้าลงไปประกบเรียวปากตัวเองกับปากของแจบอมเหมือนอย่างเมื่อกี้ ไม่รอช้าที่จะแทรกลิ้นดุนดันเข้าไปภายใน  เขาเป็นฝ่ายคุมเกมได้แค่ไม่นานก็เสียท่าให้กับแจบอม ผู้ที่คว้าเอวของจินยองไว้ก่อนจะโถมเหวี่ยงร่างของน้องลงไปนอนราบบนเตียง แม้จินยองจะพยายามขืนตัวไว้เพราะยังอยากอยู่ด้านบนก็ไม่เป็นผล

     

    “ใช้กำลัง!

     

    แจบอมกระตุกยิ้ม ขัดกับภาพลักษณ์ในยามปกติที่จินยองหรือคนอื่นๆ ได้เห็น “เก็บปากไว้ร้องทีหลังดีกว่านะ”

     

    CUT  ]

     

    “พี่แจบอม / จินยองอา”

     

    พวกเขาสองคนเอ่ยเรียกอีกฝ่ายขึ้นมาพร้อมกันจนหลุดขำออกมาทั้งคู่ จินยองอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ตัวเองสวมเมื่อวานเสร็จแล้ว เขาเอ่ยเรียกแจบอมที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำและกำลังสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ต่อหน้า ไม่คิดว่าอยู่ดีๆ แจบอมจะเรียกชื่อเขาเหมือนกัน

     

    “จินยองพูดก่อนก็ได้”

     

    จินยองถูมือไปมา รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะเสนอจนหัวใจสั่นโครมคราม “ผม...”

     

    “อะไรครับจินยอง?”

     

    เสียงที่จงใจเรียกเขาอย่างอ่อนโยนและสุภาพกว่าปกติยิ่งทำให้จินยองทำตัวไม่ถูกหนักกว่าเมื่อกี้ เขานึกถึงช่วงที่แจบอมจีบเขาใหม่ๆ เกือบจะอมยิ้มออกมาแล้วหากไม่ใช่เพราะเรื่องที่จะพูดค้ำคอเอาไว้อยู่

     

    “จะเห็นแก่ตัวไปไหมถ้าผม...อยากให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม”

     

    แจบอมตัวแข็งทื่อจากประโยคที่ไม่คิดว่าจะหลุดมาจากปากของจินยองก่อน มือที่กำลังติดกระดุมเสื้อเชิ้ตอยู่หยุดชะงัก

     

    “ผมอยากขอร้องให้พี่ให้โอกาสผมอีกครั้งตั้งแต่วันที่ผมตื่นมาแล้วไม่เจอพี่นั่นแหละ แต่เพราะผมรู้ว่าผมว่าผมทำตัวไม่ดีกับพี่ ผมเลยยอม... คิดจะตัดใจ... แต่ แม่ ง...” เขาหลุดสบถออกมาอย่างอัดอั้น “พอผมเห็นพี่เดินออกมาจากผับเมื่อคืน แทนที่ผมจะหนีเหมือนเมื่อก่อน ขามันดันก้าวไปหาพี่เองเฉยเลย อยากเจอหน้าพี่ อยากได้ยินเสียงพี่ อยากเห็นพี่ยิ้มให้ผมเหมือนตอนที่เรายัง...”

     

    ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่แสดงอารมณ์อ่อนไหวของตัวเองออกมา และทั้งที่ปกติจินยองไม่ใช่คนที่เสียน้ำตาได้ง่ายๆ แต่พอนึกถึงช่วงเวลาที่ทุกอย่างยังดีแล้วน้ำตาก็รื้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขากำลังจะยกมือขึ้นเช็ด แต่กลับเป็นปลายนิ้วของแจบอมเองที่ปาดน้ำตาของเขาแทน เขาโน้มศีรษะเข้ามาใกล้จนหน้าผากของพวกเขาแตะกัน

     

    “ผมจะไม่ดื้ออีกแล้ว จะไม่เอาแต่ใจ จะไม่บังคับพี่ จะไม่ดื่มเหล้า... ผมจะทำตัวดีกว่านี้”

     

    “พี่ก็อยากรักจินยองให้ดีขึ้นกว่าเดิมเหมือนกัน” เขาพูดพลางลูบแก้มของจินยองเบาๆ อย่างทะนุถนอม “พี่รักจินยองมาก แต่ที่ผ่านมาพี่รักจินยองได้ไม่ดี... พี่ไม่เคยรู้ว่าจินยองต้องการอะไรมากแค่ไหน ถึงรู้ก็ไม่ยอมปรับตัวตาม และแทนที่พี่จะคุยกับจินยอง…”

     

    คราวนี้เขารั้งตัวน้องมากอดไว้แนบอก

     

    “...พี่ดันยอมปล่อยจินยองไป พี่ต่างหากต้องเป็นคนถาม ว่าจะเห็นแก่ตัวเกินไปไหม ถ้าพี่อยากให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะพี่ก็ยังรักจินยองเหมือนเดิม”

     

    จินยองส่ายหน้ารวดเร็ว เขายกแขนขึ้นกระชับกอดแจบอมตอบ และตอกย้ำการตัดสินใจของด้วยคำพูดด้วยว่า

     

    “ไม่... ไม่เลย” เขาพูดพลางยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกตื้นตัน “ขอบคุณครับ...”

     

    แจบอมรับฟังคำตอบนั้นทั้งรอยยิ้มเช่นกัน

     

     

    เช้าวันใหม่ของแจบอมกับจินยองเป็นเช้าที่ท้องฟ้าสดใส ในผืนฟ้าไร้เมฆสักก้อนบดบัง แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจนผืนดินที่ชุ่มน้ำเริ่มแห้งเหือดได้อย่างเต็มที่

     

    ฝนหยุดตกไปแล้ว

     

     

     

    END.






    ปิ๊งฟิคนี้ขึ้นมาเพราะเพลงและเนื้อเพลงที่แปะไปด้านบนค่ะ เพลงใสมากแต่ฟิคของข้าพเจ้านั้น... *ลูบหน้า*



    /ดอลลี่จากไป


    - สมสน.

     

    (c) Chess theme
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×