ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] Just A Little Bit of Us | yugmark (SF/OS)

    ลำดับตอนที่ #2 : [Roommate AU] 01. It's No Secret (2/2) -end-

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 58


    01. it's no secret


    two

     

    มาร์คและยูคยอมเปลี่ยนจากความสัมพันธ์พี่น้องร่วมห้องไปเป็นคนรักมาได้เกือบสองปี แต่พวกเขาไม่ได้ป่าวประกาศให้ใครรู้นัก ฝั่งคนที่อายุมากกว่าก็ไม่ได้ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้คนที่ทำงานฟังอยู่แล้ว คนที่สนิทกันหน่อยก็รู้แค่ว่ามาร์คมีคนรัก แต่เพื่อนร่วมงานที่อยู่ต่างแผนกกันบางคนก็ยังคิดว่าเขาโสดอยู่    ทางฝั่งคนอายุน้อยกว่านั้น มีเฉพาะเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกันเท่านั้นที่รู้ว่าคนรักของยูคยอมเป็น พี่รูมเมทที่ชื่อมาร์คแต่ก็ไม่เคยได้เจอตัวเป็นๆ เพราะยูคยอมไม่เคยพาไปเปิดตัว

     

    พวกเขาเคยคุยกันหลายครั้งว่าควรจะบอกให้คนที่บ้านรู้ดีหรือไม่  แต่สุดท้ายก็พับความตั้งใจนั้นทิ้งไปด้วยเหตุผลหลักเพียงอย่างเดียวคือ ไม่คิดว่าพวกท่านจะรับความจริงเรื่องนี้ได้ในตอนนี้  เป็นคนอายุมากกว่าอย่างมาร์คเสมอที่คิดมากกว่าและบอกยูคยอมแค่ว่าให้รอไปก่อน

     

    ก่อนหน้านี้เวลาพ่อของใครสักคนจะมาเยี่ยม ทั้งสองคนจะช่วยกัน ทำลายหลักฐานด้วยการขนของใช้ส่วนตัวของยูคยอมที่อยู่ในห้องนอนของมาร์คไปไว้ที่ห้องนอนเล็กห้องเดิมทั้งหมด ส่วนพวก... อุปกรณ์ต่างๆ ทั้งกล่องถุงยางอนามัยและหลอดเจลหล่อลื่นที่พวกเขาวางทิ้งไว้ในห้องนอนรวมถึงในอีกหลายมุมของบ้าน  ‘เพื่อความสะดวกในการหยิบใช้นั้นก็ต้องเก็บเรียบให้หมด  ที่จริงมันไม่ใช่การเตรียมพร้อมที่ใช้เวลานานขนาดนั้น แต่ถ้าได้เก็บของทำลายหลักฐานไว้ล่วงหน้าแล้วก็จะอุ่นใจกว่า ไม่ใช่รีบเก็บรีบอาบน้ำแต่งตัวเพราะผู้ใหญ่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ถึงชั่วโมง

     

    แต่สุดท้ายยูคยอมก็จัดการทำลายหลักฐานได้อย่างเรียบร้อยก่อนที่พ่อของยูคยอมจะมาถึง  ในห้องนอนของมาร์คไม่มีอะไรที่เป็นของยูคยอมหลงเหลืออยู่  อุปกรณ์ทั้งหมดก็เก็บออกไปทุกชิ้น กระทั่งถังขยะทุกใบที่มีอยู่ก็ว่างเปล่า อะไรก็ตามที่เคยอยู่ในนั้นตอนนี้ไปรวมกันอยู่ในถุงดำมัดปากแขวนไว้รอนำออกไปทิ้งภายหลัง ความตื่นเต้นวิตกกังวลเมื่อครู่นี้หายไปหมด  แม้จะฉุกละหุกไปหน่อย แต่ก็คงราบรื่นเหมือนอย่างที่ผ่านมา

     

    ยูคยอมที่อาบน้ำต่อจากมาร์คเพิ่งออกมาได้ไม่ถึงสิบห้านาทีดีตอนที่เสียงกริ่งดังขึ้น  มาร์ครีบเดินไปเปิดประตูให้คนที่อยู่ข้างนอก ชายวัยใกล้ห้าสิบแต่งกายดูภูมิฐานที่เหลือเค้าความหล่อเหลาในวัยหนุ่มทักทายมาร์คที่โค้งให้อย่างอารมณ์ดี แล้วจึงค่อยหันไปกอดลูกชาย

     

    ถึงจะมีชนักปักหลังอยู่แต่ทั้งสองคนก็ดึงให้บทสนทนาเป็นไปได้อย่างราบรื่นและไม่ติดขัด มาร์คเกือบลืมไปด้วยซ้ำว่าบนคอตัวเองมีรอยที่ยูคยอมทำทิ้งไว้เมื่อคืนอยู่ถ้าไม่ใช่เพราะคนทำลอบมองมายังตำแหน่งนั้นด้วยหน้าตาตื่นๆ  โชคดีที่พ่อของยูคยอมก็ไม่ได้สังเกตเห็นเหมือนกัน  นั่งคุยกันอยู่ที่ห้องสักพักพ่อของยูคยอมก็ขับรถพาพวกเขาไปกินข้าวที่ร้านอาหารใกล้ๆ

     

    หลังจากสั่งอาหารเสร็จ ยูคยอมก็นึกได้ว่าลืมโทรศัพท์มือถือไว้ในรถจึงขอกุญแจรถจากพ่อและลุกออกไปจากโต๊ะ พอลับหลังยูคยอมแล้ว ชายที่สูงวัยสุดในโต๊ะจึงหันมาหามาร์ค

     

    “ลุงถามอะไรหน่อยสิ”

     

    “ครับ?”

     

    “ยูคยอมเขามีแฟนแล้วใช่มั้ย?”

     

    มาร์คเกือบคุมสติไม่อยู่หลังจากฟังคำถามเสร็จ ประเด็นคือพ่อของยูคยอมไม่ได้ถามว่ายูคยอมมีแฟนหรือยังไม่มี แต่ถามว่ายูคยอมมีแฟนแล้วใช่หรือไม่ ราวกับสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของลูกชายตัวเองมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว

     

    “ทำไมคุณลุงคิดอย่างนั้นล่ะครับ?”

     

    “เมื่อก่อนกลับบ้านทุกเดือน เดี๋ยวนี้กลับบ้างไม่กลับบ้าง พอกลับไปทีก็อยู่แต่ในห้อง ติดโทรศัพท์” มาร์คนึกถึงตอนปิดเทอมครั้งล่าสุดที่ยูคยอมเฟซไทม์หรือไม่ก็สไกป์คุยกับเขาหลายชั่วโมง ทั้งในตอนเย็นแล้วก็ตอนดึกๆ... ซึ่งมัน... เอาเป็นว่าเนื้อหาและการกระทำที่ทำระหว่างคุยกันก็ไม่เหมาะสมจะนำมาเปิดเผยเท่าไหร่ “มันเป็นสัญชาตญาณของคนเป็นพ่อแม่มั้ง รู้สึกได้ว่าเขามีอะไรที่กำลังสนใจในชีวิต แต่ก็ไม่อยากไปซักเขามาก รอให้เขาบอกเองดีกว่า แต่ก็อยากรู้จากมาร์คก่อนว่าที่คิดไว้มันจริงรึเปล่า”

     

    ตอนแรกมาร์คตั้งใจจะโกหกไป แต่แล้วก็เปลี่ยนใจตอบตามความจริง “เขาก็...มีคนที่คุยๆ อยู่น่ะครับ” และเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายถามรายละเอียดต่อไปด้วยการบอกว่า “ไว้ถ้าเขาอยากบอกเมื่อไหร่ก็คงบอกเองครับ”

     

    การต้องนั่งกินอาหารร่วมกับพ่อของยูคยอมหลังจากที่โดนถามเรื่องนั้นแล้วทำให้มาร์คกินมื้อนี้อย่างไม่ค่อยเอร็ดอร่อยเท่าไหร่นัก จนยูคยอมถึงกับถามเขาเบาๆ ว่า “สเต็กเขาทำมาให้สุกไปเหรอ เอาของผมไปกินมั้ยพี่?” ซึ่งมาร์คส่ายหน้า แต่ยูคยอมก็ตักกุ้งจากจานตัวเองมาให้มาร์คโดยไม่พูดอะไร

     

    เขาเองก็ไม่ได้อยากให้เรื่องของเขากับยูคยอมเป็นความลับจากผู้ใหญ่เท่าไหร่ เพราะรู้ว่าสักวันก็ต้องเปิดเผยเรื่องนี้ให้คนใกล้ตัวรู้  ยูคยอมเป็นคนคะยั้นคะยอเขาเองด้วยว่าเมื่อไหร่จะได้บอก แล้วมาร์คก็เลี่ยงเสมอว่ายังไม่พร้อมให้รอก่อน  คิดว่าพ่อเราสองคนจะทำหน้ายังไงตอนที่รู้? เป็นเหตุผลที่มาร์คใช้บ่อยๆ แต่อีกเหตุผลที่เขาไม่เคยพูดให้ยูคยอมฟังคือ บางทีเราอาจจะจบกันก่อนที่อะไรจะจริงจังไปมากกว่านี้ก็ได้  สี่ปีไม่ใช่ระยะห่างของอายุที่มาก แต่สำหรับมาร์คที่ทำงานแล้ว ยูคยอมก็ยังถือว่าเป็นเด็กอยู่  และการมีความสุขสลับกับทะเลาะกันในทุกวันนี้ไม่ได้หมายความว่ามันจะยั่งยืนไปอีกนาน ซึ่งมาร์คเคยผ่านช่วงเวลาดีๆ และจุดสิ้นสุดนั้นมาแล้ว เขาอาจไม่เข้าใจมันเท่าคนอื่นๆ บนโลก แต่เข้าใจมันมากกว่ายูคยอมแน่นอน

     

     

     

    พ่อของยูคยอมขับรถกลับมาส่งพวกเขาสองคนถึงห้อง ทันทีที่ถึง มาร์คก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เขาใช้เวลาในนั้นแค่แปบเดียว แต่เมื่อเปิดประตูออกมาแล้วก็กลับไม่เจอใคร ยกเว้นประตูห้องนอนเล็กที่เคยเป็นห้องของยูคยอมเปิดอ้าอยู่ ส่วนอดีตเจ้าของห้องยืนอยู่ตรงกรอบประตู  ทุกอย่างดูไม่ปกติ มาร์คจึงรีบสาวเท้าเข้าไปยืนอยู่ข้างหลังยูคยอม

     

    ภาพที่เขาเห็นตรงหน้าเป็นหนึ่งในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่มาร์คเคยนึกกลัวไว้ ในมือข้างหนึ่งของพ่อยูคยอมมีกระดาษปึกหนึ่งซึ่งเป็นชีทเรียนของยูคยอม ส่วนมืออีกข้างหนึ่งมีสิ่งที่มาร์คคิดว่ายูคยอมซ่อนไว้อย่างมิดชิดแล้ว กล่องถุงยางอนามัย 

     

    ดูจากรูปการแล้ว พ่อของยูคยอมคงเข้ามาในห้องนอนลูกชาย หยิบชีทที่ลูกใช้เรียนอย่างสนใจใคร่รู้ว่าตอนนี้ลูกเรียนอะไรบ้าง แล้วกล่องที่ยูคยอมซ่อนไว้ลวกๆ ก็ร่วงออกมาพร้อมๆ กับที่เขาหยิบกระดาษปึกนั้นออกมาจากชั้นวางของ

     

    ทั้งสามคนยืนตัวแข็งทื่อ มาร์คพยายามหาทางยุติความกระอักกระอ่วนนี้อย่างรวดเร็ว หากพ่อของยูคยอมพบมันที่อื่นเขาจะพูดออกไปโดยไม่ลังเลเลยว่านั่นเป็นของเขาเอง แต่ถ้ายอมรับแบบนั้น เขาก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะอธิบายได้ว่าของของมาร์คมาแอบอยู่ในห้องของยูคยอมได้อย่างไร

     

    “นี่มัน...”

     

    “ของผมเองแหละ” ยูคยอมยอมรับ คว้ากล่องถุงยางที่พ่อถือไว้ในมือมาใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง “ผมยี่สิบแล้วนะพ่อ”

     

    ปฏิกิริยาของผู้ใหญ่คนเดียวในห้องนั้นดีกว่าที่มาร์คนึกกลัวไว้ เขาดูกังวลและเป็นห่วงตามประสาพ่อคน แต่ก็มีท่าทางเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปตามวัย ไม่ได้ตีโพยตีพายเหมือนยูคยอมทำเรื่องเลวร้ายมากลงไปเหมือนพ่อแม่หัวโบราณบางคน  เขาหันมาทางมาร์คเหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง (คงจะจับได้แล้วว่าตอนอยู่ที่ร้านอาหาร มาร์คบอกความจริงไม่หมด) ก่อนจะถามยูคยอมอย่างจริงจัง

     

    “บอกได้มั้ยว่าใคร? พามาให้รู้จัก...”

     

    มือของยูคยอมที่ยกขึ้นโอบเอวมาร์คไว้แทบจะทันทีเป็นคำตอบที่ชัดเจน พ่อของยูคยอมเงียบไปโดยไม่พูดให้จบ ส่วนมาร์คก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะเจ้าเด็กนี่มันกำลังบอกพ่ออยู่เห็นๆ ว่าใช้ถุงยางนั่นกับใคร จะเดินหนีไปดื้อๆ ก็ทำไม่ได้ เพราะยูคยอมล็อกตัวเขาไว้แน่น และสายตาของยูคยอมที่มองลงมาทางมาร์คก็เหมือนจะบอกว่า มา อยู่สารภาพด้วยกันนี่แหละ!  หัวใจของมาร์คเต้นโครมครามด้วยความตึงเครียด กลัวปฏิกิริยาหรือคำพูดของพ่อยูคยอมที่ไม่รู้จะเป็นอย่างไร

     

    ตามคาด พ่อของยูคยอมอึ้งไม่น้อยกับคำตอบของลูกชาย เขาจ้องหน้ายูคยอมและมาร์คสลับกันไป

     

    “พ่อจำที่ผมเคยพูดไม่ได้เหรอ”

     

    จู่ๆ ยูคยอมก็โพล่งประโยคนั้นออกมา มาร์คงง อะไร พูดอะไรตอนไหนวะ ทำไมไม่เห็นรู้เรื่อง  ตอนแรกคนโดนถามก็เหมือนจะไม่รู้เหมือนกันว่ายูคยอมพูดถึงอะไร แต่พอเขาจ้องหน้ามาร์คแล้วก็เหมือนจะนึกออก  นี่ อย่ารู้เรื่องกันแค่สองคนสิ!

     

    “นานแค่ไหนแล้ว?”

     

    ยูคยอมรั้งเอวของมาร์คให้เข้าใกล้ตัวยิ่งกว่าเดิม “ก็เกือบสองปีแล้วครับ”

     

    ตอนนั้นเองที่พ่อของยูคยอมหันมาสบตากับมาร์ค เขาเริ่มรู้สึกผิดที่ปล่อยให้ผู้ใหญ่ต้องมารู้เรื่องด้วยเหตุนี้ ทั้งที่ตัวเองอายุมากกว่ายูคยอมและควรจะทำอะไรให้มันถูกต้องแต่เนิ่นๆ เขากำลังจะพูดขอโทษ แต่อีกฝ่ายกลับพูดขึ้นก่อนว่า “ขอลุงคุยกับยูคยอมสองคนนะ” แล้วยูคยอมก็จำต้องปล่อยมือออกจากตัวมาร์คและให้เขาออกจากห้องไป

     

    ไม่รู้ว่าระหว่างการได้ยืนอยู่ต่อหน้าพ่อยูคยอม กับการออกมานั่งคนเดียวโดยไม่รับรู้ว่าคนในห้องคุยอะไรกัน  อย่างไหนมันน่าอึดอัดมากกว่า มาร์คกระสับกระส่าย เดินวนไปวนมารอบห้องสลับกับนั่งครุ่นคิดหลายสิ่งวนเวียนกันไปอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง จนกระทั่งยูคยอมและพ่อของเขาเปิดประตูออกมาจากห้องนั้น คาดเดาจากสีหน้าไม่ได้ว่าสถานการณ์ดีขึ้นหรือแย่ลง แต่ดูจากท่าทีนิ่งสงบของทั้งสองคน...ก็คงจะดีขึ้น  มาร์ครีบฉวยโอกาสนี้ลุกขึ้นยืนและโค้งต่อหน้าผู้อาวุโส

     

    “ผม...ขอโทษจริงๆ นะครับ ทั้งที่คุณลุงไว้ใจเสนอให้ยูคยอมมาอยู่กับผมแท้ๆ แต่เราสองคนกลับ...”

     

    ชายอีกคนส่ายหน้า “นี่มันน่าตกใจแต่ก็ไม่จำเป็นต้องซีเรียสขนาดนั้นหรอก” เขาพูดให้มาร์คสบายใจขึ้น “อีกอย่างไม่ใช่ลุงซักหน่อยที่นึกถึงเธอ”

     

    อ้าว? มาร์คทำหน้าเหลอหลา มั่นใจว่าตัวเองจำคำพูดของพ่อไม่ผิด คุณลุงเขานึกถึงมาร์ค จำได้ว่าอยู่แถวนั้นพอดี เลยให้พ่อมาถามมาร์คดูว่าโอเคมั้ยแต่ก็ไม่กล้าทักท้วง เขาหันไปมองยูคยอมที่กำลังยืนเพ่งมองเท้าตัวเองบนพื้นอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ

     

    พ่อของยูคยอมตบไหล่มาร์คเบาๆ “ยังไงก็อย่าลืมบอกพ่อเธอให้เรียบร้อยล่ะ อย่าให้เขามาเจอแบบนี้เหมือนลุง ถึงจะยอมรับได้แต่มันก็...คงต้องใช้เวลาหน่อย”

     

    “ครับ ไว้ผมจะบอกท่านเองอีกที... ขอโทษและขอบคุณอีกครั้งครับ”

     

    สองพ่อลูกกอดล่ำลากันอีกครั้งก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะเดินจากออกไป มาร์คถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ทันทีที่ประตูปิดสนิท รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกไปจากอก เขาหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟา ยูคยอมตามมานั่งเบียดเขา เลื่อนแขนมาโอบเอวมาร์คไว้อย่างที่ทำประจำก่อนจะค่อยๆ ดึงตัวอีกฝ่ายขึ้นมานั่งบนตักอย่างคุ้นเคย

     

    “ไม่เอาแบบนี้แล้วนะยูคยอม รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าเลย” ยูคยอมใช้นิ้วเกลี่ยและลูบผมมาร์คแทนการปลอบใจ ชายหนุ่มอายุมากกว่ารู้สึกใจเย็นลงได้เล็กน้อย เขาถามยูคยอมต่อ “บอกได้มั้ยว่าเมื่อกี้คุยอะไรกัน”

     

    “ก็...เห็นนิ่งๆ ไม่โวยวายแบบนั้น ตอนแรกก็ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่หรอก บอกว่าผมเพิ่งอายุเท่านี้ทำไมถึงมาขั้นนี้แล้ว ผมก็บอกว่าถึงเราจะเป็นแบบนี้...” เขากอดมาร์คแน่นขึ้นจนคนโดนกอดรู้สึกได้ “...แต่พี่เป็นหนึ่งในคนที่ทำให้ผมรู้ว่าผมใช้ชีวิตทุกวันนี้ไปเพื่ออะไร และผมจะทำตัวเองให้ดีขึ้นกว่านี้เพื่อพี่ ผมอธิบายพ่อไปแบบนั้น ใช้เวลานานกว่าที่คิดเหมือนกัน แต่สุดท้ายเขาก็เข้าใจ”

     

    “อื้ม ก็ดีแล้ว...” และจู่ๆ มาร์คก็นึกถึงบทสนทนาที่ตัวเองสะดุดเมื่อกี้ “นี่ ที่คุณลุงบอกว่าไม่ได้เป็นคนแนะนำให้นายมาอยู่ที่นี่หมายความว่ายังไง?”

     

    “อ๋อ... เรื่องนั้นน่ะ ผมเป็นคนบอกพ่อเองแหละ”

     

    “หา???”

     

    “ตอนนั้นผมเคยได้ยินพ่อพี่คุยกับพ่อผม ว่าพี่น่ะไม่อยู่บ้านแล้วและย้ายมาอยู่แถวนี้ ผมก็จำเก็บไว้ พอช่วงจะหาหอพักก็นึกขึ้นมาได้ เลยลองถามพ่อเล่นๆ ว่าให้ผมไปอยู่กับพี่มาร์คดีมั้ย พ่อก็เลยไปคุยกับพ่อพี่ ผมก็เลยได้มาอยู่กับพี่สมใจ”

     

    มาร์คอ้าปากค้างกับความจริงที่เพิ่งได้รับรู้ครั้งแรก “พี่ไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลย”

     

    “ก็ไม่เคยถามเอง”

     

    “แล้วที่คุยกับคุณลุงอะ ที่ถามว่า จำที่ผมเคยพูดไม่ได้เหรอ อันนั้นมันหมายถึงอะไร” ยูคยอมไม่ตอบทันทีเหมือนคำถามเมื่อกี้ มาร์คเลยเร่งรัดเอาคำตอบอีกครั้ง “หมายถึงอะไร”

     

    ยูคยอมตอบไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำเท่าไหร่ มีท่าทีอ้ำอึ้งผิดปกติจนมาร์คต้องหันกลับไปมอง ผิวขาวของยูคยอมบริเวณต้นคอและแก้มเป็นสีชมพูจางๆ ยิ่งดูมีพิรุธไปกันใหญ่ มาร์คเรียกชื่อเต็มอีกฝ่ายเสียงแข็ง “คิม ยู คยอม!”

     

    “ไม่เล่าได้ปะพี่...น่าอายอะ”

     

    ยิ่งขอไม่เล่าและพูดว่ามันน่าอายนี่แหละยิ่งทำให้มาร์คอยากรู้ เขายกตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วทิ้งน้ำหนักลงไปบนต้นขาของยูคยอมจนคนด้านล่างร้องโอดโอย “บอกมาเดี๋ยวนี้”

     

    “เอ้อ! พี่จำครั้งแรกตอนที่เจอกันได้รึเปล่าล่ะ?”

     

    “ทำไมจะจำไม่ได้”

     

    “นั่นแหละ พอพี่กลับบ้านไป ผมก็เอาแต่ถามพ่อว่า...” ยูคยอมกระแอมไอเล็กน้อย หน้าแดงก่ำกว่าก่อนหน้านี้มาก “...ให้พี่เอินมาเล่นกับผมอีกได้มั้ย พี่เอินน่ารักเหมือนตุ๊กตาเลย…”

     

    ได้ยินเสียงยูคยอมในวัยหนุ่มเรียกชื่อต้วนอี๋เอินของตัวเองและได้ฟังเรื่องที่ตัวเองไม่เคยรู้แบบนี้แล้ว มาร์คก็อดใจสั่นไม่ได้   

     

    ครั้งแรกที่เจอกัน เด็กชายยูคยอมที่รู้จากพ่อว่ามาร์คเป็นชาวไต้หวันไม่ยอมเรียกเขาว่ามาร์ค มาร์คมันชื่อคนอเมริกา ไม่ใช่ชื่อคนไต้หวันซักหน่อย เอาชื่อไต้หวันสิ จนมาร์คต้องบอกชื่อภาษาจีนของตัวเองที่แทบไม่มีคนเรียกแล้วให้เด็กชายได้รู้ และยูคยอมก็เรียกมาร์คว่า พี่เอินตลอดทั้งวัน  แต่พอได้เจอกันอีกทีหลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้เรียกมาร์คด้วยชื่อนั้นอีกแล้ว แต่เรียกว่ามาร์คเหมือนคนอื่นๆ

     

    “...ตอนนั้นพ่อก็ชอบล้อผมว่าเอาแต่เรียกหาพี่เอิน เมื่อกี้ผมเลยจะบอกพ่อว่าเนี่ย ผมก็ชอบของผมมาตั้งนานแล้วไง จำไม่ได้เหรอ จะแปลกใจทำไมที่ผมเอาพี่เป็นแฟน”

     

    มาร์คฟังแล้วก็ทั้งขำทั้งปลื้ม ยูคยอมเคยเล่าให้เขาฟังก่อนหน้านี้แค่ว่า เขาชอบมาร์คมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่คิดว่า ตั้งนานของยูคยอมจะย้อนไปไกลถึงขนาดนั้น ได้แต่ว่ายูคยอมแก้เขินแทนว่า “ไอ้เด็กแก่แดดเอ๊ย...”

     

    พอฟังคำอธิบายของยูคยอมจนหายคาใจแล้ว มาร์คก็กลับมาครุ่นคิดเรื่องที่ต้องบอกความจริงกับพ่อตัวเองต่อว่าควรจะเริ่มหรือเกริ่นอย่างไร เพราะอยู่ดีๆ ก็สถานการณ์ปัจจุบันก็บีบบังคับให้ต้องเล่าความจริงทั้งหมดให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนฟังโดยไม่ทันตั้งตัวหรือวางแผนมาก่อน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยพลาด...

     

    ใช่ ไม่เคยพลาด... จริงๆ ต่อให้ฉุกละหุกแค่ไหนยูคยอมไม่น่าเผอเรอมากถึงขั้นเอากล่องถุงยางอนามัยไปไว้รวมกับปึกกระดาษชีทในห้องนอนของตัวเอง เพราะก่อนหน้านี้ยูคยอมมักจะซ่อนมันไว้ตามกระเป๋าเสื้อโค้ทที่แขวนทิ้งไว้ในตู้ หรือในช่องระหว่างกำแพงกับกองแผ่นเกมที่ตั้งเรียงอยู่สูงซึ่งคงไม่มีใครไปสนใจคุ้ยหยิบดู เขาไม่น่าพลาดขนาดนั้น และไม่น่าจะลืมแต่แรกด้วยว่าพ่อตัวเองจะมาเยี่ยม เว้นเสียแต่ว่า...

     

    ‘…ผมก็จำเก็บไว้ / เลยลองถามพ่อเล่นๆ ว่าให้ผมไปอยู่กับพี่มาร์คดีมั้ย / ผมก็เลยได้มาอยู่กับพี่สมใจ…’

     

    “คิมยูคยอม”

     

    เจ้าของชื่อรู้ตัวดีว่าถ้ามาร์คเรียกชื่อเขาเต็มยศด้วยน้ำเสียงขึงขังแบบนี้ คงไม่ได้อยากจะชวนกินขนม ชวนเล่นเกม หรือบอกรักแน่ๆ “คร้าบ”

     

    “เรื่องวันนี้อะ ตั้งใจใช่มั้ย”

     

    “อะไรเหรอ?” ฟังจากเสียงก็รู้แล้วว่าเรื่องที่เขาคิดไว้เป็นจริง

     

    “ไม่ต้องมาทำเป็นไม่รู้เรื่องเลย!

     

    นิทานเรื่องนี้สอนให้มาร์คได้รู้(อีกครั้ง)แล้วว่าคิมยูคยอมใสๆ ซื่อๆ ไม่มีอยู่จริงบนโลก เขาคอยเก็บข้อมูลเกี่ยวกับมาร์คจนหาทางมาอยู่กับเขาและได้เขาเป็นแฟนอย่างไร เขาก็แผนสูงจงใจหาทางความจริงให้พ่อตัวเองรับรู้อย่างนั้น

     

    เด็กหนุ่มเกยคางตัวเองไว้บนไหล่ของมาร์ค พูดเสียงอ่อนให้อีกฝ่ายเย็นลง “ก็ถ้าผมไม่ทำอย่างนี้พี่จะยอมบอกเรื่องของเราให้ทุกคนรู้เมื่อไหร่ เพื่อนน่ะผมไม่สนใจหรอก แต่ผมอยากให้ครั้งหน้าที่พ่อมาที่นี่ พ่อจะเห็นพี่เป็นแฟนลูกชายตัวเอง ไม่ใช่แค่ลูกชายของเพื่อน”

     

    “อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันหน่อย รู้มั้ยว่าเมื่อกี้พี่ช็อกแทบตาย”

     

    “ผมรู้ว่าถ้าผมบอกพี่ พี่ก็จะบอกว่ามันเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่า เอาไว้ก่อน รอก่อน ผมไม่รู้ว่าต้องรอไปถึงไหน ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่กลัวอะไรกันแน่ ผมก็เป็นแบบนี้แหละ เด็ก ไม่ได้คิดอะไรมากเหมือนพี่” ยูคยอมบีบมือมาร์คแน่น พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม “ผมแค่ไม่อยากให้เราคบกันแบบกลัวนู่นกลัวนี่ ต้องคอยระวังว่าคนจะมาเจอเราเมื่อไหร่ เรารักกันอยู่ของเราแบบนี้ มีความสุขดี ไม่ได้เดือดร้อนใครตรงไหนนี่นา”

     

    ที่จริงที่ยูคยอมพูดมันก็ถูก แต่อารมณ์หมั่นไส้เด็กแผนสูงยังคุกรุ่นอยู่ เขาแค่นเสียงหัวเราะแล้วประชดเล่นๆ กลับไป แม้ว่าในใจจะรู้สึกขอบคุณที่ยูคยอมให้คุณค่าความสัมพันธ์ของพวกเขามากถึงเพียงนั้นอยู่ก็ตาม

     

    “วางแผนมาขนาดนี้ ก็เก็บที่พูดมานั่นไปอธิบายกับพ่อพี่เองแล้วกันนะ”

     

    ยูคยอมหัวเราะร่าอย่างยินดีราวกับจะบอกว่าได้เลย... จะให้เขาไปอธิบายความสัมพันธ์ของพวกเขาอย่างละเอียดแค่ไหนก็เชิญ  ดูอารมณ์ดีผิดกับมาร์คที่ทั้งเครียดทั้งโดนหลอก และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาเผลอคิดขึ้นมาว่าถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบปีก่อนได้ เขาจะขอทำอะไรก็ได้ที่จะไม่ต้องให้ตัวเองมาเจอกับไอ้เด็กหมีแผนสูงที่ทำให้เขาหัวปั่นนี่  

     

     

     

    ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอีกหลายครั้งกว่ามากๆ มากๆ ที่มาร์คตื่นมาเห็นหน้ายูคยอม โดนยูคยอมกอดไว้แบบนี้ แล้วบอกตัวเองว่า เขาตัดสินใจถูกเหลือเกินที่พาตัวเองไปพบคิมยูคยอมในวันนั้น 



     

    end.
     





    เข็นออกมาจนได้ค่ะกับฟิคยูคมาร์ค TTvTT จริงๆ มีอีกเรื่องนึงที่เขียนไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วแต่มัน angst มากจนไปต่อไม่ถูก (เอ๊ะ) เลยลัดคิวเรื่องนี้มาก่อน ซึ่งก็ไม่ได้มีสาระอะไรเท่าไหร่เพราะพล็อตชั่ววูบมาก...OTL ขอบคุณโมเม้นที่อเมริกาล้วนๆ ค่ะ ไม่งั้นคงไม่ได้กลับไปอินคู่นี้อีกและคลอดฟิคคู่นี้ออกมาได้จริงๆ ฮื่ออออ

    ถ้ามีไฟอาจจะมีเรื่องอื่นใน AU นี้ตามมาอีกนะคะ ไม่สัญญา เพราะเราเอาแน่เอานอนไม่ได้ OTL



    และก็ ถ้าใครหลงเข้ามาอ่าน ไม่สะดวกเม้น หรืออะไรยังไง สครีมได้ในแท็ก #smsngot7 ได้นะคะ ;w; *กราบงามๆ* 


     



    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×