ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] Just A Little Bit of Us | yugmark (SF/OS)

    ลำดับตอนที่ #10 : [OS] Daydream

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 58


    Daydream

    Inspirational track: Kim Sunggyu feat. Borderline: Tablo & JW - Daydream



     

    수만 있다면

    발은 너를 향해 이미

    팔은 안에 이미

    그리움을 앞장서 앞에 이미

     

     

     

     

    ถ้าเพียงแค่ฉันทำได้

    เท้าคู่นี้คงก้าวไปถึงเธอแล้ว

    แขนคู่นี้คงโอบกอดเธอไว้แล้ว

    ก่อนที่ฉันจะต้องคิดถึงเธอ เธอก็คงอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว

     

     

     

     

    1.

     

     

    "เอาล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกันนะ ทุกคนแยกย้ายได้"

     

    เสียงของครูฝึกสอนเต้นที่อยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องกล่าวเสียงดังเพื่อประกาศยุติการฝึกซ้อมการแสดงในวันนี้หลังจากการคูลดาวน์รอบสุดท้าย ชายหนุ่มห้าคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าใกล้กระจกที่สุดต่างพากันทรุดลงนั่งด้วยความเหน็ดเหนื่อยหรือไม่ก็เดินไปหยิบขวดน้ำดื่มมาซดให้ดับกระหาย เช่นเดียวกับเหล่าแดนเซอร์แบ็คอัพที่ล้วนเป็นเด็กฝึกหัดร่วมค่ายเดียวกันกับห้าคนนั้น

     

    คิม ยูคยอม เด็กหนุ่มตัวสูงผมดำและเด็กฝึกหัดที่อายุน้อยที่สุดเดินไปนั่งอยู่ที่ด้านหลังห้องซ้อมด้วยกันกับแบมแบม เพื่อนรุ่นเดียวกันที่แก่กว่าไม่กี่เดือน ไม่นานนักหนึ่งในสมาชิกวง GOT5 คนหนึ่งก็เดินมาทางพวกเขาสองคน ในมือถือขวดน้ำไม่ต่างจากพวกเขา

     

    เกือบสองปีแล้วที่วง GOT5 เดบิวต์และได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลามทั้งในประเทศและต่างประเทศจนกำลังจะได้จัดคอนเสิร์ตแรกของวงในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า  มาร์ค ต้วน เป็นสมาชิกที่ได้ชื่อว่าเป็นหน้าตาของวงด้วยใบหน้าที่หล่อและโดดเด่น มีแฟนคลับของตัวเองมากเป็นอันดับต้นๆ ของวง แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยเกี่ยวกับมาร์ค ต้วน ก็คือความเอ็นดูที่เขามีให้กับยูคยอม

     

    พวกเขาเข้ามาเป็นเด็กฝึกหัดของค่ายนี้ด้วยกันเมื่อสี่ปีก่อน ยูคยอมเข้ามาก่อนมาร์คสองเดือน ทั้งสองได้ฝึกร้องฝึกเต้นเรียนภาษาต่างประเทศด้วยกันกับเด็กฝึกหัดอีกหลายคน สามคนในกลุ่มนั้นปัจจุบันก็มีเจบี จูเนียร์ และแจ็คสันแห่งวง GOT5 อยู่ด้วย 

     

    อันที่จริง ยูคยอมก็เคยเป็นหนึ่งในเด็กฝึกหัดที่จะถูกวางตัวให้เป็นสมาชิกของ GOT5 เหมือนกัน แต่เพราะเขาได้รับบาดเจ็บที่ขาอย่างรุนแรงในช่วงที่จะเตรียมฟอร์มทีม 'ว่าที่บอยแบนด์วงใหม่ของค่าย' แยกออกมาจากเด็กฝึกหัดคนอื่นๆ ยูคยอมจึงต้องหยุดเต้นไปเกือบปี การแข่งขันทางธุรกิจในวงการบันเทิงไม่มีคำว่ารอ ในช่วงที่ยูคยอมต้องพักการฝึกซ้อมเต้น กลับไปใช้ชีวิตเหมือนนักเรียนปกติ และเข้าบริษัทมาฝึกร้องเพลงบ้างตามตารางนั้น ทีม 'ว่าที่บอยแบนด์วงใหม่' ก็ได้ยองแจ นักร้องหลักของวงมาช่วยเติมเต็มวงก่อนการเดบิวต์อย่างเป็นทางการไม่ถึงปี

     

    ถึงแม้มาร์คจะได้เป็นศิลปินก่อนเขา แต่มาร์คก็ไม่เคยลืมน้องชายที่ฝึกมาด้วยกันอย่างยูคยอม  พวกเขายังคงทักทายกันตอนที่มาร์คเข้ามาใช้ห้องซ้อมในตึก และก็ยังออกไปกินข้าวหลังซ้อมด้วยกันบ้างหากไม่มีใครรีบกลับหอ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงนานๆ ครั้งเท่านั้น

     

    ความสำเร็จของ GOT5 ทำให้ช่องว่างระหว่าง 'ศิลปิน' กับ 'เด็กฝึกหัด' กว้างขึ้น เริ่มตั้งแต่ในโชว์เคสเดบิวต์ของวง GOT5 ยูคยอมได้นั่งรวมอยู่กับเด็กฝึกหัดคนอื่นๆ ด้านล่าง ส่วนมาร์คและสมาชิกคนอื่นๆ เฉิดฉายและเจิดจรัสบนเวที แสงไฟและเลนส์กล้องจากสื่อมวลชนต่างจับภาพของศิลปินหน้าใหม่จากค่ายใหญ่ในวงการ ส่วนยูคยอมกลายเป็นเพียงเด็กฝึกหัดที่ไม่มีใครสนใจนอกจากแฟนคลับเดนตายของค่ายที่ติดตามกระทั่งว่าที่ศิลปินที่ยังไม่ได้เดบิวต์ เขาเคยเจ็บปวดและรู้สึกน้อยอกน้อยใจจากเรื่องนี้อยู่สักพัก ก่อนที่จะเข้าใจได้ในภายหลังว่าการที่เขาไม่ได้เดบิวต์กับมาร์คไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย

     

    แม้ว่าเขาจะหลบฉากมานั่งด้านหลังห้องอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวกับเด็กฝึกหัดที่เพิ่งเข้ามาไม่ถึงปีอย่างแบมแบม มาร์คก็ยังเป็นฝ่ายเข้ามาหาเขาก่อน

     

    "นายต้องรีบกลับหอมั้ย ไปกินบุฟเฟ่ต์หมูย่างกันเถอะ หิวจะตายอยู่แล้ว" มาร์คกำลังพูดถึงร้านตรงหัวมุมถนนที่เดินจากตึกบริษัทไปเพียงนิดเดียวก็ถึง เป็นร้านที่เด็กฝึกหัดที่เคยผ่านการใช้ชีวิตอยู่ในห้องซ้อมและห้องอัดเพลงในตึกบริษัททุกคนต้องเคยไปกิน

     

    "พี่ไม่ต้องรีบกลับหอเหรอครับ"

     

    "ร้านอยู่แค่นี้ หอก็อยู่แค่นี้ กลับเองก็ได้"

     

    "แล้วคนอื่น..."

     

    "แจ็คสันอยากสั่งไก่ไปกินมากกว่า แต่พี่ไม่อยากกิน" มาร์คตอบง่ายๆ ก่อนจะหันไปพูดกับแบมแบม "แบมแบมไปด้วยกันก็ได้นะ พี่เลี้ยงเอง"

     

    "ขอบคุณมากครับพี่ แต่คืนนี้ผมอยากกลับไปนอนที่หอเร็วๆ มากกว่า"

     

    พออีกคนที่เอ่ยปากชวนปฏิเสธ ความกดดันทั้งหมดจึงมาอยู่ที่ยูคยอมผู้ซึงตอบตกลงในใจไปตั้งแต่คำแรกที่มาร์คพูดแล้ว ใบหน้าของพี่ชายตัวเล็กกว่ายื่นเข้ามาใกล้พร้อมกับพูดรบเร้า

     

    "งั้นยูคยอมไปกับพี่นะ"

     

     

     

     

     

    2.

     

    ถ้าถามว่ายูคยอมตกหลุมรักมาร์คที่ตรงไหน ยูคยอมคงตอบว่าตรงรอยยิ้ม

     

    เด็กฝึกหัดร่วมทีมคนใหม่ที่มาจากอเมริกาดึงดูดความสนใจจากเด็กฝึกหัดคนอื่นๆ ได้ไม่ยาก แต่อุปสรรคทางด้านภาษาก็ทำให้เกิดระยะความสนิทสนมที่ต่างกันออกไประหว่างแต่ละคน  แจ็คสันกลายเป็นคนที่มาร์คสนิทและเริ่มไปไหนมาไหนด้วยกันคนแรกเพราะเป็นเด็กต่างชาติเหมือนกัน  ตอนแรกยูคยอมได้แต่แอบมองมาร์คอยู่ห่างๆ พร้อมกับอดเป็นห่วงไม่ได้ว่ามาร์คจะตามพวกเขาทันไหมโดยเฉพาะเรื่องเต้น

     

    เช่นเดียวกับที่เด็กเกาหลีต้องเรียนภาษาอังกฤษและภาษาต่างประเทศที่สามเพิ่ม เด็กอเมริกันอย่างมาร์คก็ต้องเรียนภาษาเกาหลีอย่างหนักด้วยเหมือนกัน แจ็คสันที่อยู่มาก่อนมักจะชอบใช้ยูคยอมที่อายุน้อยกว่ามาช่วยเป็นคู่สนทนาเวลาทำการบ้านหรือเวลาฝึกภาษา เมื่อมาร์คสนิทกับแจ็คสัน ยูคยอมเลยโดนเรียกให้ไปเป็นคู่สนทนาภาษาเกาหลีให้แก่มาร์คด้วย

     

    เสียงหัวเราะต่ำๆ ของมาร์คตอนที่ตัวเองออกเสียงผิด และรอยยิ้มฉีกกว้างจนเห็นเขี้ยวเพื่อแก้เก้อที่ตัวเองนึกคำศัพท์ไม่ออกขับเคลื่อนให้หัวใจของยูคยอมเต้นแรง บางครั้งสิ่งเหล่านั้นก็ช่วยให้ยูคยอมเผลอยิ้มตามออกมาก่อนที่จะพูดอย่างนุ่มนวลว่า 'พี่เอาใหม่นะครับ พูดตามผมแบบนี้นะ...'  ไม่นานนักยูคยอมก็อาสาเป็นคนช่วยฝึกภาษาเกาหลีนอกเวลาเรียนให้มาร์คเองด้วยความเต็มใจจนแจ็คสันถึงกับงอน ('ก็เวลาพี่พูดผิดพี่ชอบโวยวายเสียงดังใส่ผมนี่!' - ยูคยอมเถียงกลับ)

     

    ก่อนหน้านี้ยูคยอมเคยคิดว่ามาร์คเป็นคนเงียบๆ แต่พอได้สนิทกันจริงๆ จึงได้รู้ว่ามาร์คไม่ค่อยพูดเพราะอุปสรรคทางภาษาและเพราะเรื่องที่จะคุยไม่ตรงกันต่างหาก  พอเริ่มชินกับภาษาเกาหลีมาร์คก็พูดได้มากขึ้น ยูคยอมจึงได้ฟังเรื่องราวต่างๆ เกียวกับมาร์คอย่างเพลิดเพลินพร้อมกับที่เขาก็ผลัดคุยเรื่องของตัวเองบ้างเช่นกัน  จากที่เคยสนิทกับแจ็คสันแค่คนเดียว มาร์คก็ใช้เวลากับยูคยอมมากขึ้นจนกลายเป็นน้องตัวโตกับพี่ตัวเล็กที่ตัวติดกันอยู่เสมอ มี inside joke ที่เข้าใจกันเองอยู่สองคน หน้าท้องของมาร์คกลายเป็นหมอนของยูคยอมในยามที่เขานอนแผ่หลาไปกับพื้นห้องซ้อม ไหล่ของยูคยอมคอยรองรับของศีรษะของมาร์คเวลาที่เขาต้องการเอนพิงเพื่อผ่อนคลาย

     

    (และยูคยอมก็ต้องข่มใจตัวเองทุกครั้ง กลัวว่าหัวใจของตัวเองจะเต้นดังเกินไป)

     

     

     

    'ที่นี่เขาซีเรียสเรื่องเดทกันขนาดนั้นเลยเหรอ?'

     

    มาร์คถามเขาในบ่ายวันหนึ่งระหว่างช่วงพักเบรคสิบห้านาที เหมือนทุกครั้ง ใบหน้าของเขาด้านหนึ่งซบอยู่กับไหล่และต้นแขนของเด็กหนุ่มตัวสูง  เด็กฝึกหัดชายคนหนึ่งเพิ่งถูกบริษัทไล่ออกไปเพราะโดนจับได้ว่าแอบมีแฟน  เขารู้อยู่แล้วตั้งแต่ตอนออดิชันติดเข้ามาแล้วว่าวัฒนธรรมนักร้องไอดอลของฝั่งเอเชียไม่ได้เปิดกว้างเหมือนทางฝั่งตะวันตก แต่พอเห็นคนใกล้ตัวโดนปลดออกจากการเป็นเด็กฝึกหัดจริงๆ ก็อดสงสัยไม่ได้

     

    'เขาให้เห็นผลไว้ว่าพอมีแฟนจะพะวงเรื่องแฟนจนไม่เป็นอันซ้อม'

     

    'แล้วถ้าตั้งใจซ้อมล่ะ ก็มีแฟนไม่ได้เหรอ'

     

    มาร์คยังคงถามต่อ นิ้วของเขาเขี่ยกางเกงวอร์มของยูคยอมเล่น

     

    'ไม่ได้หรอก ถ้ามีข่าวลือออกมาก็ดูไม่ดี'

     

    'แต่เรายังไม่ทันได้เดบิวต์เลยนี่ มีตอนนี้ก็ไม่ได้เหรอ'

     

    'ทำไมพี่ถามเหมือนพี่จะมีแฟนเลย'

     

    ยูคยอมถาม พยายามคุมน้ำเสียงของตัวเองไม่ให้ดูเหมือนจับผิดและอยากรู้อยากเห็นเกินไป.. ทั้งที่ใจกลัวอยู่ว่าที่มาร์คถามแบบนี้เพราะอาจกำลังมีใครอยู่หรือเปล่า

     

    มือของมาร์คปล่อยกางเกงของยูคยอมออกพร้อมๆ กับที่เขาร้องเสียงหลงว่า

     

    'No! I was just wondering! ก็แค่สงสัยเฉยๆ'

     

    และมันก็กลายเป็นปริศนาที่ยูคยอมยังหาคำตอบไม่ได้

     

     

     

     

     

    3.

     

    ทันทีที่มาถึงร้าน มาร์คก็สั่งหมูมาคนละสองที่ เพิ่มไส้ของตัวเองหนึ่งจาน พอป้าเจ้าของร้านเอาเครื่องเคียงมาเสิร์ฟก็จัดการหยิบชามเครื่องเคียงที่ตัวเองกินคนเดียวมาไว้ตรงหน้า แยกชามเครื่องเคียงที่ยูคยอมกินคนเดียวไปให้น้อง และวางชามเครื่องเคียงที่ทั้งสองคนกินไว้ตรงกลางข้างๆ เตากลมตรงหน้า เหมือนหลายครั้งที่พวกเขามากินด้วยกันแค่สองคนจนจำได้ว่าใครกินหรือไม่กินอะไร

     

    พอหมูกับเนื้อมาเสิร์ฟ พวกเขาก็คีบเนื้อลงใส่เตา ย่างกินเอาผักห่อไปตามปกติ มาร์คกินเงียบๆ พร้อมกับจดจ่ออยู่กับอุปกรณ์สื่อสารในมือ กดเพลินจนเนื้อเกือบไหม้และยูคยอมต้องจัดการคีบลงจานของมาร์คให้

     

    "คุยกับใครเนี่ยพี่มาร์ค"

     

    "แอนดริว" มาร์คตอบทันทีอย่างไม่มีอะไรต้องปิดบัง ยูคยอมยังไม่เคยเจอแอนดริว เพื่อนของมาร์คที่อเมริกา แต่มาร์คเคยให้เขาเฟซไทม์คุยกับแอนดริวสองสามครั้ง เช่นเดียวกันกับที่ดึงยูคยอมไปนั่งหน้าจอด้วยกันตอนที่สไกป์คุยกับพ่อแม่พี่น้องที่นั่น

     

    "นึกว่าคุยกับ..."

     

    "ทำไม นึกว่าพี่คุยกับใคร"

     

    "ก็ที่พวกแฟนๆ ของ GOT5 คุยกันในเว็บ pann..."

     

    มาร์คหัวเราะพรืด "จินยองเล่าให้ฉันฟังแล้ว ไร้สาระมากเลย ฉันกับเขาเคยเจอกันแค่ครั้งเดียวในงานเดินแบบการกุศลนั่น ก็คิดกันเป็นตุเป็นตะ ที่นายอ่านก็ไม่ต่างจากไอ้ที่เขาเรียกกันว่าแฟนฟิคชั่นหรอก พี่ไม่ได้ฟอลโลวอินสตาแกรมเขาเลยด้วยซ้ำ"

     

    "ตอนที่เขาไปออกรายการวิทยุแล้วดีเจบอกให้โทรหาคนดังที่สนิทเพื่อเล่นเกมทดสอบมิตรภาพ เขาโทรหาพี่นี่"

     

    "ก็เขาไม่รู้จะโทรหาใครมั้ง แล้วพี่ก็ตอบคำถามเกี่ยวกับเขาไม่ได้สักข้อ วันเกิดเขาพี่ยังไม่รู้เลย"

     

    "แต่เขาก็ยังเลือกโทรหาพี่"

     

    "ไม่มีอะไรซะหน่อย"

     

    "มีกระทู้จับผิดด้วยเลยนะ ฟิลเตอร์สีเหมือนกัน รองเท้าคู่..."

     

    คราวนี้คนอายุมากกว่าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิมเมื่อเห็นว่ายูคยอมปักใจเชื่อข่าวลือระหว่างเขากับนายแบบหนุ่มคนนั้นมากเกินไปแล้ว "ก็บอกว่าไม่ใช่ ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย แล้วนี่ทำไมต้องตามข่าวนี้ขนาดนั้น"

     

    "พอผมเดบิวต์แล้วเขาบอกให้แฉรุ่นพี่ร่วมค่าย ผมจะได้มีแอร์ไทม์"

     

    ยูคยอมพูดกลบเกลื่อน แน่นอนว่าเขาต้องตามผลงานของ GOT5 อยู่แล้วในฐานะรุ่นน้องร่วมค่าย แต่เขาจะตามอ่านข่าวซุบซิบหรือข่าวอื่นๆ เกี่ยวกับมาร์คตามเว็บไซต์ทั่วไปอยู่บ่อยๆ เพราะเขาก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะได้รับรู้เรื่องภายในหรือเรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับ 'ศิลปิน GOT5' อย่างใกล้ชิดอีกต่อไปแล้ว ขนาดแจ็คสันเคยทะเลาะกับยองแจจนไม่คุยกันเกือบสองสัปดาห์เขายังไม่รู้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะเจบีไปเล่าแฉไว้ในรายการวิทยุ

     

    มาร์คเข้าใจดีกว่าอีกฝ่ายพูดเล่นและไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นจริงๆ "เออ รีบๆ เดบิวต์ซะล่ะ มายืนด้วยกันบนเวทีคอนฯ รวมสักที"

     

    "แต่เดบิวต์แล้วก็คงเหนื่อยเนอะ ถ้าผมได้เดบิวต์แล้วดังเท่าพวกพี่ต้องเหนื่อยตายแน่เลย ช่วงนี้พี่ซ้อมคอนฯ ก็คงเหนื่อยกว่าเดิมอีก"

     

    "อื้ม สนุกดี แต่ก็เหนื่อย มันก็มีทั้งเรื่องดีและไม่ดีนั่นแหละ"

     

    รอยยิ้มบางและน้ำเสียงของมาร์คทำให้ยูคยอมหวนคิดถึงคืนนั้นที่ริมแม่น้ำฮัน

     

     

     

     

     

    4.

     

    ตอนนั้นมาร์คเดบิวต์กับวง GOT5 ไปแล้วประมาณเกือบหนึ่งปี

     

    เวลาประมาณหนึ่งนาฬิกา ยูคยอมเพิ่งซ้อมกับเพื่อนคนอื่นเสร็จแล้วกำลังจะกลับหอ พร้อมๆ กับที่เห็นมาร์คพุ่งออกมาจากห้องซ้อมอีกห้องพอดี ตอนแรกเขานึกว่ามาร์คจะกลับหอก่อน แต่ก็แปลกใจที่ไม่มีผู้จัดการเดินประกบไปด้วยเหมือนทุกครั้ง  เขามารู้ตอนเดินตามมาร์คไปจนถึงหน้าประตูตึกบริษัทว่ามาร์คไม่ได้จะกลับไปนอน ชายหนุ่มคว้าจักรยานก่อนจะขี่ฝ่ากลุ่มแฟนคลับที่ยืนรอศิลปินออกจากตึกอยู่สิบกว่าคนไปอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจเสียงทักทายหรือความพยายามจะให้จดหมายหรือของขวัญ

     

    ไม่ค่อยมีใครสนใจยูคยอมเท่าไรนัก เด็กหนุ่มจึงคว้าจักรยานของตัวเองที่จอดอยู่ใกล้ๆ แล้วขี่ตามมาร์คไป  เขาได้ยินเสียงผู้จัดการตะโกนดุแฟนๆ ไล่หลังเพราะเหมือนว่ามีแฟนคลับบางคนจะพยายามตามมาร์คมา ยูคยอมเอี้ยวศีรษะไปมองเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมาจริงๆ

     

    พอขี่จักรยานตามมาร์คมาบนถนนเส้นนี้ ยูคยอมจึงเดาได้ว่ามาร์คจะไปที่ใด พวกเขาเคยไปที่นั่นด้วยกันบ่อยๆ สมัยเป็นเด็กฝึกหัด

     

     

     

    "พี่ม้ากกกก..."

     

    ยูคยอมร้องเรียกพี่ชายคนสนิทพร้อมๆ กับที่จอดจักรยานเคียงใกล้กันกับจักรยานของอีกคน ร่างสูงก้าวเดินไปหาคนตัวเล็กที่นอนอยู่บนพื้นหญ้าริมแม่น้ำฮัน เจ้าของชื่อยกตัวขึ้นแล้วหันศีรษะมาตามเสียงเรียก พอเห็นว่าเป็นยูคยอมก็หันกลับไปทางเดิมโดยไม่ลุกหนี

     

    "มาทำอะไรคนเดียว" เขาหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ มาร์คที่ยังคงนอนอยู่แบบไม่สนใจอะไร แม้ว่าเขาจะสวมฮู้ดสีเทาอยู่เพื่ออำพรางตัวไม่ให้ใครสังเกตเห็น แต่ยูคยอมคิดว่าการที่พวกเขาปลีกวิเวกออกมาอยู่แถวนี้ไม่น่าดึงดูดความสนใจของคนที่เดินผ่านไปมาเท่าไร ตอนนี้พวกเขาไม่ต่างอะไรจากวัยรุ่นชายสองคนธรรมดาที่ออกมากินลมชมวิวริมแม่น้ำ

     

    "...แค่...มีเรื่องอะไรต้องคิดนิดหน่อย" และมาร์คก็สนิทใจกับยูคยอมมากพอที่จะเล่าออกมา "วันนี้ไปอัดรายการวิทยุมา ก็...โดนทั้งผู้จัดการทั้งโปรดิวเซอร์ทางโน้นบ่นๆ ว่าพี่ไม่ค่อยพูดเลย ทำให้รายการเขาไม่สนุก ดีเจไปต่อได้ยาก เจบีก็บอกให้ปรับปรุงตัวหน่อย"

     

    "อ้อ..."

     

    "พี่ก็อยากตลกได้เหมือนแจ็คสันนะ แต่จะให้ทำยังไงล่ะ พี่ไม่ใช่คนตลกหรือทำให้ทุกอย่างสนุกได้เหมือนมันสักหน่อย บางอย่างยังฟังเขาพูดไม่รู้เรื่องเลย" เขาถอนหายใจเมื่อคิดถึงเสียงตำหนิจริงจังจากคนรอบตัวที่ได้รับมาเมื่อตอนกลางวัน "มันไม่ใช่ครั้งแรกด้วย... ไม่รู้สิยูคยอม ไม่คิดว่าเป็นไอดอลจะยากขนาดนี้ รู้สึกเฉยๆ ก็ต้องทำเป็นตลกด้วย"

     

    ยูคยอมเปลี่ยนท่า ลงไปนอนบนพื้นหญ้าด้วยกันข้างๆ มาร์ค เขาผินหน้ามองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย นานมาแล้วที่ไม่ได้เห็นใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางของมาร์คใกล้ขนาดนี้  ทั้งที่เวลาผ่านไปแค่หนึ่งปีตั้งแต่ที่มาร์คเดบิวต์ เป็นแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งปีที่ยูคยอมไม่ได้มาที่ตึกบริษัทบ่อยๆ เพราะบาดเจ็บจนไม่ได้ซ้อมตลอดเหมือนเดิม แต่เขากลับรู้สึกว่ามันนานเหลือเกิน

     

    "แต่ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ได้อยู่บนเวที มีคนรักคนชอบ"

     

    "หลายครั้งที่พี่คิดว่า ถ้าเรารอจนนายหายแล้วได้อยู่ด้วยกันก็คงจะดี พี่อาจจะสนุกกับมันได้มากขึ้นก็ได้"

     

    พอพูดถึงเรื่องนี้ ยูคยอมก็รู้สึกเจ็บหน่วงขึ้นมาเล็กน้อย ถึงจะดีใจที่รุ่นพี่ที่ฝึกมาด้วยกันได้เดบิวต์เป็นศิลปิน แต่เขาก็เป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งที่รู้สึกน้อยอกน้อยใจเป็น เคยเกลียดชังตัวเองที่พลาดท่าล้มจนบาดเจ็บหนัก เคยแค้นคำสั่งห้ามเต้นหรือเคลื่อนไหวร่างกายมากๆ ของหมอจนทำให้เขาเต้นไม่ได้ไปเกือบปี เพราะเขารู้ว่าเขากำลังจะได้เป็นศิลปินวงเดียวกันกับมาร์ค แต่ทุกอย่างดันมาเปลี่ยนไปเพราะการบาดเจ็บครั้งนั้นเพียงครั้งเดียว

     

    จากที่เคยจะได้เป็นดาวด้วยกัน ตอนนี้เขายังคงเป็นแค่เด็กฝึกหัดที่ได้แต่ฝันถึงเสียงปรบมือกราวเกรียวจากคนดูและเวทีอันกว้างใหญ่ที่ได้ยืนร่วมกันกับพี่ๆ ที่ฝ่าฟันความยากลำบากด้วยกันมา... เด็กฝึกหัดที่ได้แต่ซ้อม ซ้อม ซ้อมต่อไปพร้อมกับที่ฝันเฟื่องต่อ

     

    "พี่ได้เดบิวต์ไปเลยก็ดีแล้ว...อยู่แบบนี้น่าอึดอัดจะตาย ไม่รู้ต้องรออีกกี่ปีกว่าเขาจะให้เดบิวต์ โชคร้ายคงไม่มีวัน"

     

    "..."

     

    "ผมเคยน้อยใจนะ ทั้งที่เราก็ฝึกมาด้วยกัน ทำไมพี่ได้ไปก่อนวะ ไม่ยุติธรรมเลย -- ตอนแรกก็คิดว่าไม่เป็นไรหรอก พี่ก็ยังเป็นพี่มาร์คเหมือนเดิม แต่พอนานๆ ไปมันก็ไม่ใช่... พี่ต้องทำงาน ต้องอยู่กับพี่ๆ ในวงคนอื่น อยู่กับแฟนๆ ซ้อมก็ซ้อมคนละห้อง คนละเวลา ตารางพี่แน่นเอียด เดี๋ยวไปญี่ปุ่น เดี๋ยวไปไทย เดี๋ยวไปอเมริกา พี่ไปไกลจนผมที่ยังอยู่ตรงนี้ไม่รู้แล้วมันเหมือนเดิมรึเปล่า... "

     

    ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเดินสวนกันหน้าตึกบริษัท มาร์คกับ GOT5 คนอื่นกำลังเดินเข้า ส่วนยูคยอมกำลังเดินออก แต่เพราะมีแฟนๆ รุมล้อมอยู่ข้างหน้ามากเกินไป จึงต้องมีผู้จัดการคอยกันและไล่ให้สมาชิกทุกคนเดินเข้าตึกไปเร็วๆ โดยห้ามคุยหรือห้ามรับของจากแฟนคลับ พวกเขาอยู่ห่างกันแค่เพียงนิดเดียว แต่กระทั่งจะเงยหน้ามาผงกหัวทักทายกันก็ยังทำไม่ได้  ยูคยอมเคยคิดว่าการที่ตัวเองยังเป็นเด็กฝึกของค่ายนี้อยู่ก็ยังถือว่าได้อยู่ใกล้มาร์ค แต่วันนั้นเขารู้ซึ้งแล้วว่ามันไม่ใช่

     

    ขนาดอยู่ใกล้กันแค่นี้ มาร์คก็ยังไกลเกินไปสำหรับเขา

     

    มาร์คพลิกตัวเปลี่ยนมานอนตะแคง เขาสบตากับยูคยอม "แต่พี่ไม่เคยคิดแบบนั้น"

     

    ชายอายุมากกว่าอยู่ใกล้มากจนยูคยอมนึกถึงวันที่พวกเขาอยู่บนเตียงเดียวกัน นอนฮัมเพลงที่ฝึกด้วยกันมาตลอดทั้งวันนั้นจนผล็อยหลับไป ไออุ่นนั้นจางหายไปนานมากแล้วนับตั้งแต่วันที่มาร์ค ต้วน กลายเป็นมาร์ควง GOT5

     

    "พี่รู้สึกกับยูคยอมเหมือนเดิมตลอด ต่อให้จะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ ก็ยังคิดถึงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน" มือขาวเลื่อนมากุมมือของยูคยอมเอาไว้แทนการเน้นย้ำความหมาย "ไม่รู้ว่านายจะน้อยใจแบบนี้ ขอโทษ อย่าคิดแบบนั้นอีกเลยนะ อย่าคิดว่าพี่ไม่เหมือนเดิมเลย"

     

    ก่อนที่จะต้องกลั้นหายใจไปนานจนขาดใจ ยูคยอมก็รีบดึงมือออกมาก่อน

     

    ทั้งสองคนคุยปรับทุกข์กันต่อไปอีกเรื่อยๆ อย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดราวกับเวลาที่เหลือบนโลกนี้ทั้งหมดเป็นของพวกเขา ส่วนใหญ่เป็นมาร์คมากกว่าที่เล่าเรื่องของตัวเอง ทั้งเรื่องในแง่ลบอย่างเช่นแฟนคลับบางคนที่เขาถึงตัวจนอึดอัด ของขวัญประหลาด ตารางงานที่ทำให้เขาได้นอนแค่สองหรือสามชั่วโมงต่อวันก่อนที่จะต้องตื่นมาแต่งหน้า การพยายามหัดแฟนเซอร์วิส รวมไปถึงเรื่องดีๆ เรื่องตลกๆ อย่างอีเวนท์ที่แฟนคลับทำให้ ตอนบินไปรับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ที่จีน ความพยายามฟิตหุ่นของแจ็คสันหลังจากที่รู้ว่าจะต้องไปเต้นโชว์ซิกส์แพ็คบนเวทีในงานแฟนมีทติ้งที่ประเทศไทย

     

    "นานๆ ทีได้คุยกับนายเหมือนเดิมแบบนี้ก็ดี" มาร์คพูด "บางอย่างมันก็คุยให้กับคนที่ทำงานด้วยกันฟังไม่ได้เนอะ"

     

    "พี่เล่าจนผมเลยไม่มีอะไรจะเล่าเลย รอผมเดบิวต์ก่อนนะ แล้วจะเล่าให้ฟังจนพี่รำคาญไปเลย"

     

    "ได้ จะรอฟัง"

     

    มาร์คลุกขึ้นนั่ง กำลังจะกลับเพราะคุยกับยูคยอมจนสบายใจแล้ว เด็กหนุ่มที่นอนอยู่ข้างๆ จึงลุกขึ้นพร้อมกันด้วย

     

    วินาทีนั้นเองเขาจึงรู้สึกตัวว่าเวลาของเขากำลังจะหมดลง พรุ่งนี้ มะรืนนี้ และคืนถัดๆ ไปมาร์คคงไม่ได้ออกมาเตร็ดเตร่ที่ริมแม่น้ำฮันคนเดียวอย่างในคืนนี้ได้ตามใจชอบอีกแน่ๆ และการคุยกับมาร์คผ่านคาทกหรือผ่านโทรศัพท์ที่นานๆ จะเกิดขึ้นทีก็เทียบอะไรไม่ได้กับช่วงเวลานี้ เขาหวงแหนห้วงเวลานี้ที่เหมือนกับในอดีตก่อนที่มาร์คจะห่างเขาไปไกลเหลือเกิน

     

    "พี่มาร์คครับ..."

     

    จะเป็นอะไรไหมถ้ายูคยอมจะขอบอกรักมาร์คในตอนนี้ อย่างน้อยถ้ามาร์คไม่ได้อยู่ใกล้ๆ เขาอย่างที่ใจหวังได้เหมือนแต่ก่อน เขาก็อยากให้มาร์ครับรู้ว่าเขารักเขาหวงแหนเขาต้องการมาร์คแค่ไหน... และความรู้สึกนี้เกิดขึ้นอัดแน่นมาแล้วนานเพียงใด

     

    "หืม...?"

     

    แต่คำว่ารักที่ยูคยอมอยากพูดออกไปจะทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน ในใจยูคยอมมีแต่ความกล้า แต่ริมฝีปากของยูคยอมกลับสั่นเทาด้วยความกลัว

     

    "ผม..."

     

    "มีอะไรรึเปล่า...?"

     

     

     

    "..."

     

     

     

    "..."

     

     

     

     

     

    "...เรากลับกันเถอะเนอะ คนอื่นคงเป็นห่วงแย่แล้ว"

     

    ยูคยอมเปลี่ยนใจ เขาเห็นความวูบไหวในดวงตาของมาร์คตอนที่เขาเอ่ยพูดประโยคนั้น

     

     

     

     

     

    5.

     

    ยูคยอมและมาร์คเดินออกจากร้านบุฟเฟ่ต์หมูย่างหลังจากเติมกระเพาะอาหารตัวเองจนเสร็จเรียบร้อย  หอพักของมาร์คกับยูคยอมอยู่ไม่ห่างจากตึกบริษัทที่ต้องเข้าไปซ้อมมากนัก โดยถ้าเดินจากตึกจะถึงหอของมาร์คซึ่งเป็นหอพักที่ศิลปินที่เดบิวต์แล้วของค่ายพักอาศัยอยู่ก่อน จากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณห้านาทีจึงจะถึงหอของเด็กฝึกอย่างยูคยอม

     

    ตอนนี้ด้านหน้าตึกบริษัทแทบไม่มีแฟนคลับอยู่แล้วเพราะกลับไปกันหมดตอนที่เห็น GOT5 อีกสี่คนออกจากตึกหลังจากซ้อมเสร็จ พวกเขาจึงเดินผ่านหน้าตึกและไปยังหอพักของมาร์คได้อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องรีบหลบหรือกันใคร

     

    ระหว่างทาง เสียงโทรศัพท์มือถือของมาร์คก็ดังขึ้น ชายหนุ่มล้วงหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง พ่นลมออกมาเล็กน้อยอย่างรำคาญใจเมื่อเห็นชื่อบนหน้าจอแต่ก็กดรับสาย

     

    "ทำไมชอบโทรมาตอนดึกๆ"

    "อื้อ เพิ่งซ้อมเสร็จ จริงๆ เสร็จนานแล้วแต่ออกไปกินข้าวมา จะถึงหอแล้ว"

    "อยู่กับน้องเด็กเทรน" เขาเหลือบตามองยูคยอมนิดหนึ่ง

    "ไม่ล่ะ ทำไมผมต้องสนใจเรื่องของคุณด้วยล่ะ"

    "แค่นี้นะ"

     

    "ใครน่ะพี่"

     

    "ก็ไอ้คนนั้นน่ะสิ..." ใบหน้าของเขามีแววหงุดหงิดเล็กน้อย ดูจะอารมณ์เสียมากจากที่โดนคนไม่พึงประสงค์รบกวน "โทรมาทำไมก็ไม่รู้ แค่นี้เขาก็ลือกันจะแย่แล้ว"

     

    "เขาโทรหาพี่บ่อยมากเลยเหรอ"

     

    "ก็สองสามวันครั้ง..."

     

    มาร์คตอบเสร็จก็ยัดโทรศัพท์มือถือกลับลงไปเหมือนเดิม

     

     

     

     

     

    6.

     

    "แล้วสเปคของคุณมาร์คล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง"

     

    "อืม...คนที่ผมอยากอยู่ด้วยตลอดเวลาครับ"

     

    มาร์คตอบเป็นภาษาอังกฤษซึ่งยูคยอมฟังเข้าใจดี  ทั้งที่ยูคยอมรู้ว่าคำตอบเรื่องนี้โดนบังคับให้ตอบแบบกว้างๆ ไม่ระบุรายละเอียดที่ชัดเจน แต่เขาก็ยังคงตามอ่านตามฟังเสมอว่ามาร์คตอบว่าอะไร มาร์คมักจะตอบแนวๆ คนที่เขาอยากอยู่ด้วยกันตลอดเวลา คนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุข คนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ  ในครั้งแรกและอีกหลายๆ ครั้งที่ได้ยินมาร์คตอบเช่นนี้ ยูคยอมนึกฝันถึงวันที่พวกเขานอนเอนซบกันบนพื้นเหนียวเหนอะหนะในหอพักช่วงฤดูร้อน จ้วงตักไอศกรีมรสช็อกโกแลตจากกล่องไอศกรีมกล่องใหญ่เย็นเฉียบ นั่งดูรายการเพลงฝั่งอเมริกันในช่องเคเบิล  ยูคยอมลุกขึ้นเต้นตามนักร้องผิวสีในนั้น ส่วนมาร์คถ่ายคลิปเก็บไว้พร้อมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเพราะเห็นว่าตลกดีที่น้องเต้นอย่างจริงจังทั้งที่สวมชุดนอนและมัดผมข้างหน้าขึ้นไปเป็นจุกอยู่

     

    ยูคยอมได้แต่ฝันว่า วันที่เขาได้เป็นศิลปินที่คนสนใจทุกสิ่งอย่างตั้งแต่วันเกิด ราศี ไซส์รองเท้า ไปจนถึงสเปคคนที่รัก ยูคยอมจะตอบว่าคนที่ยิ้มแล้วเห็นฟันเขี้ยวสวย คนที่ยิ้มแล้วโลกสดใส คนที่ยิ้มแล้วทำให้เขายิ้มตาม หรือหากเป็นไปได้...ก็อยากจะนึกสนุกตอบว่าคนที่จำได้ว่าเขาไม่กินผักนึ่งกับเต้าหู้ในชุดเครื่องเคียง คนที่รู้ว่าเขาคลั่งไคล้ช็อกโกแลตปั่นแค่ไหนแต่ตอนนี้ก็กำลังเริ่มติดชาเขียวนมใส่กุหลาบ ซึ่งคนนอกที่ไม่รู้ก็คงงงว่าใคร แต่คนเดียวที่รู้ก็จะมั่นใจว่าหมายถึงตัวเอง

     

    พอมาจนถึงตอนนี้ ยูคยอมได้แต่นึกเสียดายว่าที่ปอดแหกและไม่ได้พูดความรู้สึกของตัวเองออกไป ความน้อยอกน้อยใจในโชคชะตาที่ไม่ได้เดบิวต์ด้วยกันแล้วต้องห่างกันเทียบอะไรไม่ได้เลยกับความอึดอัดตอนนี้ อย่างน้อยการพูดออกไปก็ยังดีกว่าเก็บเอาไว้แล้วได้แต่เห็นหน้ามาร์คผ่านจอโทรศัพท์หรือจอคอมพิวเตอร์ พร้อมกับนึกสงสัยครุ่นคิดว่ามาร์คกำลังพูดถึงใครกันแน่อย่างทุกวันนี้

     

    ดีกว่าได้แต่ฝันอยู่แบบนี้

     

    สุดท้ายโอกาสนั้นก็ไม่หวนกลับคืนมา และยูคยอมก็ไม่รู้ว่าโอกาสนั้นจะกลับมาอีกเมื่อไร เพราะนับวันดวงดาวอย่างมาร์คยิ่งลอยสูงขึ้นไปบนฟ้า นั่งจากตรงนี้ยกมือขึ้นทาบทับดูเหมือนจับคว้าไว้ได้ แต่จริงๆ กลับอยู่ห่างไกลเกินกว่าคนธรรมดาอย่างเขาจะไปถึง

     

    ถ้าเพียงแค่ยูคยอมพูดออกไปได้ตั้งแต่แรก...  

     

    ถึงกระนั้น ก็เพราะมาร์คเป็นดาวที่จับต้องไม่ได้ต่างหากเขาถึงลังเลที่จะพูด หากมาร์คลำบากใจกับคำสารภาพของเขาแล้วถอยห่างออกไป ยูคยอมจะทำใจได้จริงๆ หรือ หรือหากพวกเขาคบกัน... ความเสียหายจะเกิดขึ้นกับมาร์คมากแค่ไหนถ้าผู้ใหญ่ในค่ายและแฟนคลับรับรู้เรื่องนี้ แล้วถ้ามันจบไม่สวย สุดท้ายก็คงเป็นยูคยอมเองที่ทำใจไม่ได้

     

    หากต้องเป็นเช่นนั้นแล้ว บางทีการฝันเอาแบบนี้อาจจะทำให้มีความสุขมากกว่าเสียอีก

     

     

     

     

     

    7.

     

    หลังจากมาร์คเก็บโทรศัพท์ลงไปได้ไม่นาน พวกเขาก็เดินมาถึงหน้าหอพักของมาร์ค บรรยากาศตอนนี้เหมือนกับคืนที่พวกเขาปั่นจักรยานกลับจากริมแม่น้ำฮันด้วยกัน จำได้ว่าต้องปั่นหลบแฟนคลับที่ยังรออยู่แถวๆ หน้าตึกบริษัทอย่างรีบเร่งเพียงไหน

     

    "ขอบใจที่มาส่ง กลับบ้านดีๆ นะ"

     

    พรุ่งนี้และอีกหลายวันถัดจากนี้ ยูคยอมจะได้เจอกับมาร์คเหมือนเดิมในฐานะแดนเซอร์แบ็คอัพที่ต้องแสดงร่วมกันในคอนเสิร์ตเดี่ยวของ GOT5 นั่นเป็นเรื่องหนึ่งที่เขามั่นใจ

     

    เมื่อจบคอนเสิร์ตนี้แล้ว เขาไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น อีกสองปีหลังจากนี้ยูคยอมอาจจะได้เป็นศิลปินรุ่นน้องของ GOT5 แล้วได้ยืนจับมือกันกับมาร์คบนเวทีคอนเสิร์ตรวมศิลปินของค่าย  อีกหนึ่งปีหลังจากนี้ยูคยอมอาจจะทนรอการเดบิวต์ที่ดูห่างไกลออกไปทุกวันไม่ไหวแล้วออกจากบริษัทไปแล้ว  อีกสามเดือนหลังจากนี้อาจมีข่าวว่ามาร์คกับนายแบบหนุ่มคนนั้นคบหาดูใจกันอยู่จริงๆ จนสะเทือนไปทั้งวงการ

     

    ไม่มีอะไรแน่นอนเลย ยกเว้นความรู้สึกที่ยูคยอมมีต่อมาร์ค

     

    มาร์คกำลังจะหันหลังไปเพื่อสแกนคีย์การ์ดเปิดประตูเข้าหอ

     

     

    "พี่มาร์คครับ..."

     

     

    "หืม..."

     

     

    มาร์คหันหน้ากลับมา สีหน้าเขาดูตั้งใจฟัง ยิ่งยูคยอมอึกอักลังเลจนเกิดช่องว่างของความเงียบ

     

    ในห้วงที่ไม่มีเสียงใดนอกจากลมหายใจของคนสองคน แววตาวูบไหวของมาร์คที่ยูคยอมจำได้ไม่ลืมกลับมาอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงหัวใจของใครสักคนเต้นแรง อาจเป็นของเขาคนเดียว หรือทั้งของเขาและมาร์ค -- การเดินกลับหอทำให้เหนื่อยจนใจเต้นแรงเพียงนั้นเชียวหรือ?

     

     

    "..."

     

     

    "มีอะไรรึเปล่า?"

     

     

     

     

     

    "ผม..."

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

    .

     

     

     

     

     

     

    {

     

    "ผมชอบพี่อะ..."

     

    มาร์คคลี่ยิ้มกว้าง

    กว้างจนเห็นเขี้ยวขาวเล็กที่เป็นเอกลักษณ์

    ยิ้มแบบที่ยูคยอมตกหลุมรัก

    สว่างวาบจนยูคยอมรู้สึกเหมือนตัวเองมองอะไรไม่เห็น

     

    มาร์คพูดอะไรบางอย่าง

    แต่ยูคยอมสุขใจเกินจะรับฟัง

     

    ท่ามกลางความมืดมิดและแสงไฟสีนวลดั่งดวงจันทร์

    พวกเขาจุมพิตกัน

    อ่อนหวานและงดงาม

    จนยูคยอมคิดว่าเขากำลังฝันไป

     

     

    }

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

    .

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×