ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] 'SO LUCKY' (SF/OS)

    ลำดับตอนที่ #1 : [SF] Suit (JB x Jackson) [Kingsman AU]

    • อัปเดตล่าสุด 11 เม.ย. 58


    Suit
    JB/Jackson, slight JB/Jr. & Mark/Yugyeom
    Kingsman AU


    Note: ฟิคแก้บนงานมีทกัซค่ะ เคยลงเป็นเรื่องสั้นไปแล้วแต่ย้ายมารวมในบทความนี้แทน


    ----------------------------------------------------------------


     

    “เคย์ กาเวน ขอแสดงความยินดีกับคุณสองคนที่ผู้ที่คุณเสนอชื่อได้ผ่านเข้ามาถึงรอบสุดท้าย  นับตั้งแต่ตอนนี้ พวกคุณมีเวลาอยู่ด้วยกันยี่สิบสี่ชั่วโมงตามธรรมเนียม”

     

    สิ้นเสียงของ เมอร์ลิน แจ็คสัน หวัง ก็เหลือบตามองชายสูงกว่าอีกคนที่ยืนหลังตรงอยู่ข้างๆ  ชั่ว วูบหนึ่งที่เขาหวังว่าเจบีจะหันมาเอ่ยชมเขาหรือยิ้มแสดงความยินดีให้สักนิด หนึ่ง แต่เจบีก็ยังคงเป็นเจบีคนเดิมที่นิ่งสุขุม ปิดขังอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างไว้ในดวงตาเรียวใต้กรอบแว่น  เขาจึงเดาความคิดหรือความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่ได้   เขามองมาร์คหรือเจ้าของรหัสลับ กาเวนเดินออกไปจากห้องพร้อมกับเจ้าเด็กตัวสูงที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาผู้แข่งขันทดสอบทั้งหมดเก้าคน  แต่ฝีมือไม่ธรรมดาเสียจนผ่านมาถึงรอบสุดท้ายด้วยกันกับเขา

     

    อันที่จริง ถึงจะผ่านมาถึงขั้นนี้แล้ว แจ็คสันก็ไม่คิดว่าตัวเองเก่งกาจหรือวิเศษวิโสมาจากไหน  อย่าง เจ้าน้องเล็กยูคยอมนั่นถึงจะอายุยังน้อยแต่ก็เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ ยูคยอมเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีควบปริญญาโทจากเคมบริดจ์ด้วยวัยเพียงยี่สิบปี เพียบพร้อมไปด้วยทักษะในการแก้ปัญหา ทักษะการต่อสู้และการใช้อาวุธที่ยอดเยี่ยม  ส่วนแจ็คสัน จนป่านนี้เขาก็ยังสงสัยอยู่ว่าเจบีมองเห็นอะไรในตัวผู้ชายธรรมดาๆ อย่างเขา นอกจากที่เจบีเคยพูดว่า ฉันเชื่อในความตั้งใจและความสามารถของนายแล้ว ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นมาช่วยให้แจ็คสันมั่นใจกับคำพูดนั้นเลย

     

    กระทั่งในตอนที่เขากับยูคยอมเป็นสองคนสุดท้ายที่จะได้แข่งขันช่วงชิงตำแหน่ง เพอร์ซิวัลแห่ง คิงสแมน เจบีก็ยังคงนิ่งเฉย และแจ็คสันเองก็เป็นคนที่ทนมองความนิ่งเฉยนั้นไม่ได้เสียเอง เขาดึงสายตาตัวเองให้กลับมามองตรงไปข้างหน้าดังเดิม

     

    “แจ็คสัน”

     

    เจ้าของชื่อหันขวับราวกับลูกสุนัขที่หันตามเสียงเรียกของเจ้านาย

     

    “ออกไปรอข้างนอก ฉันมีเรื่องจะคุยกับเมอร์ลินเป็นการส่วนตัว”

     

    ประโยคที่ออกมาจากปากของเจบีอยู่นอกเหนือจากความคาดหมายของแจ็คสันไปมาก เขาสบตาเจบี หันไปมองชายหนุ่มที่ถือกระดานรองเขียนในมือ ก่อนจะรับคำแล้วเดินออกจากห้องไปแต่โดยดี ยังไม่ทันที่ประตูจะปิดสนิท เขาก็ได้ยินเสียงของเจบีเมอร์ลินว่า “จูเนียร์...”

     

    แจ็คสันไม่รู้ว่าชื่อจริงของเมอร์ลินคืออะไรและก็ไม่คิดว่ามันคือ จูเนียร์  แต่ตลอดช่วงเวลาหลายเดือนที่เขาอยู่ที่นี่ เจบีเป็นคนเดียวที่เรียกเมอร์ลินว่าจูเนียร์  กระทั่ง อาเธอร์ผู้นำของพวกเขาก็ไม่ได้เรียกเมอร์ลินแบบนั้น  เขาไม่รู้ว่าชื่อเล่นนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับตัวตนที่แท้จริงอันเป็นปริศนาของเมอร์ลินหรือไม่  สิ่ง ที่เขามั่นใจมีเพียงแค่ว่า จารชนทุกคนในองค์กรกับเมอร์ลินย่อมผ่านจุดชี้เป็นชี้ตายมาด้วยกันมายาวนาน และมากมาย เจบีก็เป็นหนึ่งในนั้น   ช่วงเวลานับตั้งแต่เจบีชักชวนเขามาที่นี่จนถึงวันนี้ไม่มีทางจะเทียบกับช่วงเวลาที่เจบีมีกับเมอร์ลินได้

     

    ความคิดที่ว่าเขาเป็นแค่ ผู้ท้าชิงคนหนึ่งที่เจบีเลือกมาและมีสิทธิโดนคัดออกเมื่อไรก็ได้นั้นเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของแจ็คสันมาตลอด  แจ็คสันทำได้แค่พยายามให้เต็มที่เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ตอบแทนที่เจบีเคยพูดว่าเชื่อในตัวเขา แต่ดูเหมือนว่านั่นไม่มีค่าอะไร กระทั่งวันนี้ที่เขาผ่านเข้าไปถึงรอบสุดท้าย คำชื่นชมหรือคำแสดงความยินดีกลับไม่หลุดออกมาจากปากของเจบีเลย กลับกัน เจบีกลับเลือกที่จะไล่เขาออกมาจากห้อง ปล่อยให้รอ ส่วนตัวเองอยู่กับเมอร์ลินข้างในนั้นโดยที่แจ็คสันไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่

     

    แค่เรื่องที่เจอมาตลอดก็ขมขื่นพออยู่แล้ว ตอนนี้เจบียังใช้เวลาอยู่ในห้องนั้นกับเมอร์ลินนานเกินกว่าที่แจ็คสันคิดว่า เป็นแค่การคุยเรื่องงานธรรมดา คนใจร้อนที่มีอะไรบางอย่างรบกวนให้ร้อนใจอยู่ตลอดจึงทนรอไม่ไหว หมุนลูกบิดประตูห้องเข้าไปหวังจะแค่เร่งให้เจบีพาเขาไปยังที่ที่ต้องไปต่อ หรืออะไรแบบนั้น  แต่ภาพที่เขาเห็นคือเจบีหันขวับมาทางเขาอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งอยู่บนแก้มของเมอร์ลิน และอีกข้างอยู่ที่เอว

     

    แจ็คสันรู้โดยไม่ต้องให้ใครสอนว่าภาพที่เขาเห็นมันไม่เหมาะสมเท่าไร และเขาก็ได้แทรกเวลา ส่วนตัวของทั้งคู่ไปแล้วเรียบร้อย  ความเงียบเพียงไม่กี่วินาทีกลับรู้สึกยาวนานเหมือนชั่วโมง เจบีปล่อยมือของตัวเองออกจากร่างของเมอร์ลินก่อนจะพูดว่า

     

    “ไม่มีใครสอนให้เคาะประตูก่อนเหรอ?” เขาใช้น้ำเสียงเรียบ แต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนโดนครูดุ

     

    “ผมแค่นึกว่าคุณลืมไปแล้วว่าตอนนี้...” แจ็คสันยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ “...พวกเรามีเวลาอยู่ด้วยกันอีกแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมง และคุณก็ใช้เวลาไปกับอะไรที่ผมไม่รู้ไปแล้วสักสิบนาทีได้”

     

    “นายไม่...”

     

    “เขาพูดถูกนะ เจบี” เมอร์ลินขัด “เขามีเวลาอยู่ด้วยกันกับคุณอีกแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมง ส่วนเรื่องที่เราคุยค้างไว้ยังมีเวลาให้คุยอีกเยอะ”

     

    “ถ้าคุณว่าอย่างนั้น...” เจบีถอนหายใจนิดหนึ่งก่อนจะหันกลับมาพูดกับแจ็คสัน “ส่วนนาย มากับฉัน”

     

    *

     

    พวกเขาออกจากกองบัญชาการคิงสแมนและกลับมาอยู่ที่ร้านตัดสูทชื่อเดียวกันในเขตเวสต์มินสเตอร์  ข้าง หน้าร้านมีรถแท็กซี่สีดำคันหนึ่งซึ่งแจ็คสันจำได้ว่าเคยเห็นจอดอยู่ที่กอง บัญชาการ เจบีเปิดประตูรถให้เขาเข้าไปนั่งบนเบาะหลังก่อนที่จะตามเข้ามา ตรงหน้าพวกเขามีจอภาพสีดำที่ตอนนี้ไม่ได้เปิดใช้งาน  ร่มสีดำแบบที่แจ็คสันเคยเห็นเจบีใช้ในวันแรกที่พบกัน อาวุธปืนและกระสุนชุดหนึ่ง รวมทั้งแก้วทรงสูงและขวดแชมเปญ 

     

    “ดื่มอะไรก่อนไหม” เจบีเอื้อมมือไปจะหยิบแก้วให้

     

    “ไม่เอา”

     

    แจ็คสันปฏิเสธ รู้ตัวว่าเผลอใช้น้ำเสียงแข็งกระด้างกว่าที่เคย  เจบีชะงักนิดหนึ่งแต่ก็ดึงมือกลับ เขาไม่พูดอะไรกับแจ็คสันอีกเลยจนกระทั่งรถแท็กซี่มาจอดที่บ้านของเจบี  

     

    แจ็คสันไม่รู้ว่าตอนนี้หัวใจของเขากำลังลิงโลดด้วยสาเหตุอะไรมากกว่ากัน ระหว่างการได้มาเปิดหูเปิดตาในสถานที่ใหม่ๆ หลังจากที่เก็บตัวฝึกซ้อมทดสอบอยู่ในกองบัญชาการมาเป็นเวลานาน กับการที่เขาได้มาเห็นบ้านของเจบี หรือนัยหนึ่งก็คือชีวิตส่วนตัวของเจบีที่แจ็คสันไม่เคยได้รับรู้มากนัก  เจ้า ของบ้านเดินนำแจ็คสันขึ้นไปยังห้องทำงานของตัวเองที่ชั้นสอง กำแพงห้องทำงานทั้งสี่ด้านทาด้วยสีเทาเข้ม ไม่มีกรอบรูปหรือโปสเตอร์ใดๆ แขวนอยู่ มีเพียงชั้นวางแผ่นเสียงและซีดีเพลง เครื่องเล่นแผ่นเสียง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กบนโต๊ะทำงานที่เรียบโล่งจนดูน่าเบื่อ และลำโพงตั้งวางอยู่ในมุมห้องทั้งสองด้าน  สิ่งที่น่าสนใจพอสำหรับแจ็คสันมีเพียงแผ่นเสียงเก่าๆ ที่อยู่บนชั้น หยิบแผ่นหนึ่งออกมาดูอย่างสนใจ

     

    “ความอยากรู้อยากเห็นเป็นสิ่งดี ถ้ามีอย่างเหมาะสมและถูกกาลเทศะ” เจบีที่มายืนอยู่ข้างหลังแจ็คสันอย่างไม่ให้เขารู้ตัวพูดขึ้น พร้อมกับหยิบแผ่นเสียงออกจากมือแจ็คสัน “อย่างน้อยก็ควรขออนุญาตกันก่อน” เขาเสียบแผ่นเสียงแผ่นนั้นกลับเข้าไปที่เดิม “และคำขอโทษสักคำก็ไม่เสียหาย”

     

    แจ็คสันหันหลังกลับไป เจบียังคงยืนอยู่ที่เดิมและไม่ยอมก้าวถอยไปไหน เขาชายตาขึ้นมองเจบี พยายามไม่รู้สึกสะทกสะท้าน  ความอาวุโสหรือความสูงที่มากกว่าไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เจบีดูน่าเกรงขาม แต่เป็นสายตาที่มองลงมากับไหล่กว้างใต้สูทเข้ารูปต่างหากที่ทำให้แจ็คสัน รู้สึกว่าตัวเองกำลังประจันหน้าอยู่กับกำแพงที่พร้อมจะถล่มใส่เขาได้ทุกเวลา

     

    “เป็นอะไร”

     

    “คุณพูดถึงเรื่องอะไร”

     

    “นายทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่ตอนที่เราอยู่ที่กองบัญชาการ มีปัญหาอะไรกันแน่ ฉันไม่คิดว่าครั้งนี้เมอร์ลินจะเอาแต่เคี่ยวเข็ญเรื่องการต่อสู้จนลืมอบรม เรื่องมารยาทที่ควรจะมีหรอกนะ”

     

    อารมณ์ของคนโดนดุขุ่นมัวลงทันที

     

    “ใช่ จูเนียร์คนเก่งของคุณสอน แต่ผมมันแย่ที่ไม่จำเอง”

     

    แจ็คสันขยับเท้าข้างหนึ่งหวังจะเดินออกไปจากที่ที่ยืนอยู่ แต่เจบีกลับหยุดเขาไว้ได้อย่างรวดเร็วด้วยการใช้มือข้างหนึ่งตรึงไหล่ของ แจ็คสันไว้กับชั้นวางแผ่นเสียง

     

    “ข้อแรก การประชดประชันเป็นการกระทำของคนที่เอาแต่อารมณ์เป็นหลัก ไม่มีเหตุผล ไม่ใช้สมองไตร่ตรอง และเป็นการกระทำที่ไม่สร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ใดๆ รังแต่จะทำให้ปัญหาแย่ลง  ข้อสอง ถ้านายมีปัญหาอะไรกับฉัน หรือใครก็ตามในคิงสแมน ก็บอกกันตรงๆ อย่างลูกผู้ชาย และข้อสาม อย่าเรียกเมอร์ลินด้วยชื่อนั้น -- ฉันพูดชัดเจนพอหรือยัง”

     

    แจ็คสันพยักหน้าตอบรับช้าๆ เจบีจึงปล่อยมือออกจากตัวแจ็คสัน

     

    “บอกฉันมาได้หรือยังว่ามีเรื่องอะไร”

     

    “ผมฝึกหนัก และเอาชนะคนอื่นมาจนถึงรอบสุดท้ายได้ ซึ่งคุณคงรู้อยู่แล้วว่าพวกเด็กฝึกหัดอย่างผมต้องเจออะไรบ้าง ผมเกือบจมน้ำตายเป็นศพอยู่ในห้องพัก เกือบร่วงลงมาหัวแบะบนพื้นเพราะเมอร์ลินหลอกผมว่าผมไม่มีร่มชูชีพ  ผมทำทั้งหมดเพื่อให้คุณพอใจ เพื่อให้คุณภูมิใจที่เลือกคนไม่ผิด  แต่ดูเหมือนคุณแม่ งไม่แคร์อะไรเลย” แจ็คสันพูดเสียงดังและรัวเร็ว ไม่สนใจว่าเจบีจะทันฟังหมดครบถ้วนหรือไม่ “สำหรับคุณ ผมอาจจะเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่เอาออกจากกระดานไปก็ไม่มีผลอะไร ผมจะแพ้หรือชนะพวกคุณก็จะมีเพอร์ซิวัลคนใหม่ แต่สำหรับผม นี่มันเป็นโอกาสที่มากกว่านั้น คุณก็น่าจะรู้ดี”

     

    เจบีเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง ดูไม่ได้ไม่พอใจกับคำสบถที่แจ็คสันเผลอหลุดออกมา เขานึกทบทวนคำพูดของแจ็คสันและการกระทำของตัวเองก่อนหน้านี้ ก่อนจะถามแจ็คสันให้แน่ใจอีกครั้งว่า

     

    “สรุปก็คือ... นายไม่พอใจที่ฉันไม่ได้ชื่นชมนายทั้งที่ผ่านมาถึงรอบสุดท้ายแล้ว”

     

    ความเงียบคือคำตอบว่าใช่ ซึ่งเจบีเข้าใจดี แล้วจู่ๆ เขาก็เม้มปากแน่นพร้อมกับที่ตัวของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ชายหนุ่มหลบสายตาจับผิดของแจ็คสันด้วยการเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ยกแขนขึ้นใช้หลังฝ่ามือบังใบหน้าส่วนล่างของตัวเองเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเห็น ว่าเขากำลังพยายามกลั้นหัวเราะมากแค่ไหน และเมื่อข่มอารมณ์ขันของตัวเองได้แล้ว เขาก็หันกลับไปทางแจ็คสันเหมือนเดิม

     

    “นี่เป็นโอกาสหนึ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของนาย แล้วฉันก็อยากทำให้นายทำให้เต็มที่เพื่อตัวเองมากกว่าจะทำเพื่อตอบสนองความ คาดหวังของคนอื่น รวมถึงฉันด้วย ฉันจึงไม่อยากกดดันและก็ไม่อยากทำให้นายเหลิง  แลนสล็อตคนเก่าที่เสนอชื่อฉันก็ทำแบบนี้ เพียงแต่...” เจบีหยุดไปนิดหนึ่ง สายตาและน้ำเสียงของเขาดูอ่อนโยนลงกว่าก่อนหน้านี้ “ฉันอาจจะลืมคิดไปว่าคนเราไม่เหมือนกัน นายไม่ใช่ฉัน  ขอโทษด้วยที่ทำให้นายต้องไม่สบายใจ”

     

    เจบียกมือขึ้นลูบศีรษะของแจ็คสันไปมาสองสามที สัมผัสใกล้ชิดอย่างกะทันหันทำให้แจ็คสันเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว และเหมือนเจบีจะรับรู้ถึงปฏิกิริยาของแจ็คสัน หรืออาจจะเพิ่งรู้ตัวว่ากิริยาของตัวเองเหมือนเจ้านายที่กำลังลูบหัวสัตว์เลี้ยงมากเกินไป เขารีบเปลี่ยนมาบีบไหล่แทน

     

    “นายทำได้ดีมาก หวังว่าครั้งต่อไปฉันจะได้เจอนายภายใต้รหัสลับเพอร์ซิวัล” เขากล่าวชมอย่างที่แจ็คสันต้องการ “แล้วก็...ถ้านายรู้สึกดีขึ้นแล้ว คืนนี้ฉันมีเรื่องต้องสอนนายอีกเยอะ”

     

     

     

    คืนนั้น พวกเขานั่งดื่มบรั่นดีและคุยกันที่โต๊ะทำงานของเจบี  เจบีเล่าเรื่องราวของตัวเองตั้งแต่สมัยยังเป็นทหารจนถึงตอนที่ตัวเองได้พบกับแลนสล็อตและโดนชักชวนให้มาทดสอบเพื่อชิงตำแหน่งของเคย์ในองค์กรคิงสแมนแห่งนี้   การที่แจ็คสันได้รู้เรื่องราวของเจบีบ้างทำให้เขารู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยก็ดีกว่าตอนที่เจบีรู้ประวัติของเขาอย่างละเอียดยิบเสียอยู่เพียงฝ่ายเดียว  อีกเรื่องหนึ่งที่เจบีเน้นย้ำเป็นพิเศษคือ ความเป็นสุภาพบุรุษหรือก็คือบรรดามารยาท สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำที่แจ็คสันเห็นว่าน่ารำคาญ

     

    “นี่คุณเอาแต่พูดเรื่องนี้เพราะผมไม่เหมือนคนอื่นใช่มั้ย?” แจ็คสันสวนไป “ถ้าผมจบจากเคมบริดจ์หรือเป็นพวกผู้รากมากดีสมกับเป็นอัศวินของกษัตริย์ คุณคงพูดอะไรที่น่าสนใจกว่านี้”

     

    “ต่อให้นายเป็นลูกหลานท่านเซอร์หรือจบอ็อกซ์ฟอร์ดมา ทุกคนที่ผ่านการฝึกที่คิงสแมนก็ต้องได้รับการอบรมเรื่องนี้  ถ้าปัญหาของคนธรรมดาอย่างนายคือไม่เคยรับรู้ข้อปฏิบัติเหล่านี้มาก่อน  ปัญหาของพวกสูงส่งคือคิดว่าตัวเองสูงกว่าคนอื่นจนละเลยมารยาท พวกเขาปฏิบัติสูงส่งต่อคนระดับเดียวกัน แต่ทำตัวกักขฬะกับคนที่พวกเขาเห็นว่าต่ำกว่าหรือไม่มีประโยชน์ และคนที่มีความคิดอย่างนี้ไม่สมควรจะเป็นหนึ่งในคิงสแมน”

     

    ชายหนุ่มรินของเหลวในขวดลงในแก้วของแจ็คสัน “พวกลูกเศรษฐีอีกหลายคนที่ฉันเคยเจอมาในระหว่างการทดสอบแทบทุกคนคิดถึงแต่ ตัวเอง พร้อมขายคิงสแมนให้กับศัตรูเพื่อเอาตัวรอด ไร้สัตย์ ไร้ศักดิ์ศรี  แจ็คสัน หวัง” เขาเน้นชื่ออีกฝ่าย “...นายเป็นแค่อดีตโจรลักรถ แต่นายดีกว่าพวกนั้นมากนัก”

     

    นอกจากนี้แจ็คสันยังพยายามตะล่อมให้เจบีหลุดบอกความลับเกี่ยวกับการทดสอบรอบสุดท้ายออกมาให้ได้ “บอกผมเถอะน่า คุณเจบี คุณไม่อยากให้ผมชนะเหรอ?” แต่ต่อให้แจ็คสันจะใช้วิธีไหน เจบีก็จิตแกร่งและใจแข็งพอที่จะไม่พูดมันออกมา เขาได้แต่ผลักศีรษะของแจ็คสันที่อยู่ดีๆ ก็มาเอนซบเกาะแขนเขาไว้ (นี่อาจเป็นผลจากบรั่นดี เจบีพยายามคิดเช่นนั้น) ให้ออกไปไกลๆ แล้วบอกแค่ว่า “แน่วแน่กับการกระทำและเป้าหมายของตัวเองก็พอ”

     

    หลังจากดื่มกันจนหมดขวดแล้ว พวกเขาก็อาบน้ำเปลี่ยนชุดและเตรียมเข้านอนในเวลาเกือบเที่ยงคืน เจบีนอนบนเตียงของตัวเอง ส่วนแจ็คสันนอนบนโซฟาที่อยู่ในห้อง  เจบีปิดสวิตช์ไฟ ภายในห้องนอนเงียบสงบเป็นเวลาหลายนาที จนกระทั่งแจ็คสันที่ยังคงนอนไม่หลับโพล่งขึ้นมาว่า

     

    “ถ้าผมทดสอบไม่ผ่านผมจะได้เจอคุณอีกมั้ย?”

     

    เจบีนึกถึงผู้ทดสอบทุกคนจากครั้งก่อนๆ  ตามกฎแล้ว ผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวคือผู้ที่อยู่รอดและได้เป็นสายลับของคิงสแมน ส่วนคนที่ตกรอบไปก่อนนั้นเขาไม่เคยได้พบกับคนเหล่านั้นอีกเลยสักครั้ง แม้จะเป็นผู้ที่เขาเสนอชื่อเองก็ตาม เพราะทั้งสองฝ่ายต่างต้องรักษาความลับตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลาของผู้ทดสอบแต่ละคนหมดลง พวกเขาก็ไม่มีสิทธิที่จะแสดงออกให้ใครรู้ว่ารู้จักคิงสแมนและคนในนั้น ได้แต่ใช้ชีวิตของตัวเองต่อไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน  ฝ่ายคิงสแมนก็เช่นกัน ใช่ว่าพวกเขาจะโผล่หน้าไปเยี่ยมคนที่ตัวเองเสนอชื่อได้บ่อยๆ อย่างสนิทสนมได้เสียเมื่อไรในเมื่อพวกเขาเป็นบุคคลที่ต้องปฏิบัติการอย่างเงียบเชียบ

     

    การบอกความจริงนั้นแสนยาก และการโกหกก็เจ็บปวดเกินไป 

     

    เจบีเลือกที่จะเงียบเฉย หายใจสม่ำเสมอราวกับว่าตัวเองหลับไปแล้วและไม่ได้ยินคำถามของแจ็คสัน

     

    ***

     

    เจบีลืมตาตื่นขึ้นมา เขารู้สึกว่าเขาฝันเห็นแจ็คสันและคืนที่พวกเขาอยู่ด้วยกันในบ้านหลังนั้น และเขาควรจะลืมตาขึ้นมาแล้วมองเห็นแจ็คสันกำลังหลับสนิทไม่ยอมตื่นเหมือนในเช้าวันถัดมา แต่เพดานสีขาวโล่งด้านบน เตียงที่ไม่นุ่มเหมือนที่บ้าน และเสียงเครื่องอะไรสักอย่างที่ทำงานอยู่ข้างตัวบอกให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้กำลังอยู่ในห้องนอน แต่กำลังอยู่ในห้องพยาบาลของกองบัญชาการคิงสแมน  ชายหนุ่มเลื่อนมือควานหารีโมตเพื่อกดปุ่มสีแดงส่งสัญญาณเรียกให้คนอื่นเข้ามา พร้อมๆ กับที่พยายามนึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เช้าวันนั้นเขาพาแจ็คสันออกไปที่ร้านคิงสแมนเพื่อตัดสูท  ได้ชื่นชมแจ็คสันในชุดสูทที่เพิ่งออกมาจากห้องลองได้ไม่ถึงนาที เขาก็ต้องปลีกตัวออกมาอย่างรวดเร็วเพราะคนร้ายในภารกิจที่เขากำลังทำอยู่เริ่มเคลื่อนไหว  เขาตามชายคนที่เป็นเบาะแสสำคัญไป  เสียงระเบิดดังสนั่น  และความทรงจำของเขาก็สิ้นสุดลงแค่นั้น

     

    เขารอไม่นานนัก เมอร์ลินก็เข้ามาในห้อง

     

    “ผมหลับไปนานแค่ไหน”

     

    “เกือบสองเดือน”

     

    เจบียกมือขึ้นลูบใบหน้าของตัวเอง แปลกใจที่มันเกลี้ยงเกลา ปลายนิ้วโป้งสะดุดเข้ากับสะเก็ดแผลบางๆ บนคางที่เขาเดาได้ว่าคงเกิดจากมีดโกนหนวดบาด  เขาปล่อยให้เมอร์ลินตรวจสภาพร่างกายของเขาตามขั้นตอนปกติไปก่อนจะถามว่า “ผมนึกว่าคุณจะยุ่งอยู่กับการให้อาหารหมามากกว่านี้เสียอีก”

     

    “ถ้าคุณกำลังพูดถึงเรื่องที่มีคนโกนหนวดตัดผมให้ล่ะก็ ไปขอบคุณแจ็คสันเถอะ”

     

    “แจ็คสันยังอยู่ที่นี่เหรอ”

     

    “ใช่ แล้วผมจะบอกเขาเองว่าคุณฟื้นแล้ว”

     

     

     

    เจบีรอแจ็คสันอยู่ในห้องพยาบาลเป็นเวลาหลายชั่วโมง นานเสียจนระหว่างนั้นเขาพยายามขยับขาที่อ่อนแรงและใช้เครื่องช่วยเดินทำให้ตัวเองได้ขยับไปไหนมาไหนได้บ้างโดยไม่ต้องนอนอยู่นิ่งๆ บนเตียง คนที่เปิดประตูห้องเข้ามามีแต่เมอร์ลินที่เข้ามาดูสภาพเขาเป็นระยะและเข้ามาช่วยเขาเปลี่ยนชุด เป็นเสื้อคลุมทับชุดนอนตัวเก่งที่เจบีใส่เป็นประจำ

     

    ในที่สุดแจ็คสันก็มาถึงในช่วงหัวค่ำ เจบีแปลกใจเล็กน้อยที่เขายังอยู่ในชุดเสื้อฮู้ดลวดลายสีสันแสบตาเหมือนก่อนหน้านี้  เพราะเขาก็สั่งตัดสูทตัวนั้นให้กับแจ็คสันตั้งแต่วันนั้นไปแล้ว  ทีแรกแจ็คสันเหมือนจะพุ่งตัวเข้ามากอด แต่นึกขึ้นได้ว่าเจบียังอยู่ในช่วงพักฟื้นและยังนอนอยู่บนเตียงพยาบาล

     

    “เมอร์ลินบอกว่านายเข้ามาดูแลฉันตลอด”

     

    “ผมแค่ทนเห็นคุณผมยาวมีหนวดไม่ได้น่ะ คุณก็น่าจะรู้ว่าคุณดูเป็นยังไง”

     

    เจบีหัวเราะ “ยังไงก็ช่างเถอะ ขอบใจมากนะ แจ็คสัน ไม่สิ คงต้องเรียกว่าเพอร์ซิวัลแล้วใช่มั้ย”

     

    รอยยิ้มของแจ็คสันหุบลงไปทันทีจนเจบีสังเกตเห็นได้ ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถามอะไรต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เจบีกล่าวอนุญาตให้คนข้างนอกเข้ามา  ยูคยอมกล่าวทักทายเจบีก่อนเป็นอย่างแรก ก่อนจะหันไปทางแจ็คสันแล้วบอกว่า

     

    “อาเธอร์บอกว่าคุณมีเวลาอีกยี่สิบนาที รถจอดอยู่ที่ทางเข้านะ”

     

    ยูคยอมแจ้งข่าวเพียงสั้นๆ แล้วก็ปิดประตูจากไป ทิ้งให้ภายในห้องเหลือแต่ความเงียบ ไม่ต่างอะไรจากตอนที่แจ็คสันถามเจบีในคืนนั้นว่าถ้าเขาทดสอบไม่ผ่านแล้วจะเกิดอะไรขึ้น  เจบีจ้องหน้าแจ็คสัน นึกถึงยูคยอมที่เพิ่งโผล่มาให้เขาเห็นเมื่อกี้  ผู้ชนะในรอบสุดท้ายและผู้ที่ได้รับตำแหน่งเพอร์ซิวัลคนใหม่มีได้เพียงคนเดียวเท่านั้น  เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่ทั้งแจ็คสันและยูคยอมจะยังอยู่ที่กองบัญชาการ  และจากสีหน้าของแจ็คสันนั้น...

     

    “ผมทดสอบไม่ผ่าน” แจ็คสันพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น แต่ก็พยายามกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก “พวกคุณนี่โหดกันชะมัด ให้ผมยิงหมาตัวเองเนี่ย จิตใจทำด้วยอะไร…”

     

    “แจ็คสัน...”

     

    “ผมไม่ได้หน้าใสใจอำมหิตเหมือนยูคยอมหรอกนะ”

     

    เจบีไม่รู้ว่าความรู้สึกแย่ที่กำลังลุกลามอยู่ในใจของเขามันเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่  ระหว่างความเจ็บใจที่แจ็คสันไม่สนใจคำพูดของเขาที่บอกให้แน่วแน่กับการกระทำและเป้าหมาย และใจอ่อนสงสารสุนัขจนพลาดการทดสอบ กับความกลัวการลาจาก  เวลายี่สิบนาทีที่ยูคยอมพูดถึงเมื่อกี้คงเป็นเวลาที่แจ็คสันเหลืออยู่ เวลาที่เขาเหลืออยู่  สั้นเสียจนเวลาแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมงที่เรียกคืนมาไม่ได้อีกแล้วกลายเป็นเวลาที่ยาวนานไปเลย

     

    ...แล้วทำไมนายถึงยังอยู่ที่นี่”

     

    “ผมต้องเดินทางไปกลับทุกวัน ไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดหรอก พวกเขาไม่อนุญาต ผมขอร้องอาเธอร์กับเมอร์ลิน ขอให้ผมได้เข้ามาหาคุณที่นี่จนกว่าคุณจะฟื้น ผมไม่อยากให้คุณตื่นมาแล้วรู้ว่าผมหายไปเฉยๆ  ผมอยากบอกลาคุณด้วยตัวเอง ถึงเหตุผลมันจะเหมือนกันก็เถอะ”

     

    คนฟังคำอธิบายเงียบไป ไม่รู้ควรจะพูดหรือรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน  หากแจ็คสันหายไปจากชีวิตเขาเฉยๆ โดยไม่ต้องบอกลากันแบบนี้มันจะเจ็บปวดน้อยกว่านี้หรือเปล่า?  ตอนนี้เองที่เจบีรู้ตัวว่าเขากำลังพยายามเลี่ยงไม่มองหน้าแจ็คสัน แต่กำลังก้มหน้าลงมองผ้าห่มที่คลุมร่างกายส่วนล่างของตัวเองแทน

     

    “แล้วก็...ผมไม่รู้ว่าผมต้องคืนสูทตัวนั้นหรือเปล่า แต่ถ้าต้องคืน ผมจะ...”

     

    “เก็บไว้เถอะ ของที่ระลึก”

     

    “...บ้าชะมัด นี่มันหดหู่เกินไปแล้ว  ผมควรบอกข่าวดีคุณบ้างสินะ ผมได้งานประจำทำแล้ว คงไม่กลับไปขโมยรถให้คุณจับได้เหมือนวันนั้นแล้วล่ะ และชีวิตผมก็คงจะดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เยอะ...เลย...”

     

    แจ็คสันพยายามทำให้บรรยากาศในห้องดีขึ้น แต่ไม่เป็นผลนัก เขาถอนหายใจ

     

    “ผมขอโทษ”

     

    “นายเคยพูดกับฉันอย่างน้อยอกน้อยใจว่า สำหรับฉัน นายก็คงเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่เอาออกจากกระดานไปก็ไม่มีผลอะไร ตอนนั้นฉันมัวแต่คิดว่าฉันทำอะไรผิดไป เลยไม่ได้แก้ไขความเข้าใจผิดนี้ของนาย” เจบีเงยหน้าขึ้น สบตาแจ็คสัน “นายไม่เคยเป็นแค่หมากตัวหนึ่งของฉัน  นายคือแจ็คสัน หวัง นายเป็นคนที่ฉันเลือก นายสำคัญกับฉัน...มาก”

     

    “แต่ผมก็ทำให้คุณผิดหวังอยู่ดี”

     

    “ฉันไม่เคยผิดหวังในตัวนาย ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ถ้าในอนาคตฉันเสนอชื่อผู้เข้าชิงซ้ำได้ ฉันก็จะเลือกนาย บางทีนี่อาจยังไม่ใช่เวลาสำหรับนายไม่ใช่เวลาสำหรับเรา”

     

    พวกเขาปล่อยให้ในห้องเงียบอีกครั้ง ราวกับกลัวว่าสุ้มเสียงที่ปล่อยออกมาอาจทำให้ช่วงเวลาสุดท้ายที่มีอยู่ด้วย กันผ่านไปเร็วขึ้นหลายนาที เจบีลังเลว่าควรทำอะไรอย่างอื่นอย่างการกอดหรือจูบลาหรือไม่ แต่ก็เกรงใจกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่บนมุมเพดานนั่น เขาได้แต่ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งแจ็คสันยกแขนขึ้นดูนาฬิกาบนข้อมือ เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองนาที

     

    “มีอีกคำถามที่คุณยังไม่เคยตอบผม”

     

    “...”

     

    “คืนนั้นผมเคยถามคุณว่า ถ้าผมทดสอบไม่ผ่านผมจะได้เจอคุณอีกมั้ย แต่คุณหลับไปแล้ว คงจะไม่ได้ยิน ตอนนี้คุณได้ยินแล้ว คุณให้คำตอบผมได้หรือเปล่า”

     

    “ฉันไม่รู้”

     

    นั่นแปลว่าเราอาจมีโอกาสได้เจอกัน”

     

    “ฉันไม่อยากรับปาก”

     

    “หรืออาจไม่ได้เจอกันอีกเลย...”

     

    “และไม่อยากสัญญาอะไร”

     

    แจ็คสันยิ้มออกมาก่อนจะโถมตัวลงมากอดเจบีเอาไว้  เป็นรอยยิ้มที่เศร้าที่สุดที่เจบีเคยเห็น

     

    “Anyway, goodbye.”

     

    คนโดนกอดบีบแขนของแจ็คสันไว้แน่น

     

    Goodbye.”

     

     

     

    เจบีกอดตัวเอง ปลายนิ้วเกี่ยวเสื้อคลุมสีแดงที่ตัวเองสวมอยู่ไว้แน่น  คืน นั้นเขาตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วเห็นว่าผ้าห่มผืนสำรองไม่พอที่ให้ความอบอุ่น แก่ร่างกายที่สั่นเทาจากอากาศหนาวเย็นของแจ็คสัน เขาเลยเสียสละเสื้อคลุมสีแดงนี้ของตัวเองให้แจ็คสันห่มนอนถึงรุ่งเช้า และแจ็คสันก็สวมมันตลอดจนกระทั่งพวกเขาออกไปที่ร้านคิงสแมนในช่วงสาย  ถ้าเพียงแต่เขารู้ว่าแจ็คสันจะไปจากเขาแบบนี้ เขาคงพยายามให้แจ็คสันหลงเหลือร่องรอยอะไรอย่างอื่นเอาไว้ให้คิดถึงมากกว่านี้  ไม่ใช่แค่เสื้อคลุมที่แจ็คสันใส่เพียงแค่ไม่นาน   เขาพยายามมองในแง่บวกว่า อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ระหว่างพวกเขาเลย 

     

    เจบีหวังว่าทุกครั้งที่แจ็คสันมองเห็นและได้สวมชุดสูทสีดำตัวนั้นที่เขาสั่งตัดให้เมื่อมีโอกาส แจ็คสันก็จะคิดถึงเขาเหมือนกัน  

     

     

    END.


     


     

    (c) Chess theme

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×