ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] Just A Little Bit of Us | yugmark (SF/OS)

    ลำดับตอนที่ #1 : [Roommate AU] 01. It's No Secret (1/2)

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 58


    01. it's no secret


    one

     

    มีหลายครั้ง -- รวมถึงในยามสายวันนี้ที่มาร์คเพิ่งลืมตาตื่น -- ที่มาร์คคิดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบปีก่อนได้ ในวันที่พ่อของเขากำลังจะไปพบคุณคิม 'คู่ค้าคนสำคัญของบริษัท' เขาจะไม่มีทางอ้อนขอตามไปด้วยเพียงเพราะเบื่อที่จะอยู่ที่บ้านเด็ดขาด และต่อให้ท่านต้องการให้มาร์คไปด้วย เขาก็จะยกข้ออ้างทุกอย่างที่คิดได้ขึ้นมา ปวดหัวเพราะนอนไม่พอ ปวดขาเพราะเตะบอลกับไอ้แจบอมและจินยองอย่างหักโหมไป หรือปวดท้องเพราะกินเยอะมาก... อะไรก็ได้ที่จะไม่ต้องให้มาร์คต้องมาเจอกับ...

     

    ไอ้เด็กหมีนี่

     

    ไม่ใช่เรื่องเลยที่เขาจะต้องอารมณ์ขุ่นมัวตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาในเช้าวันใหม่เพียงเพราะยังไม่หายเคืองเรื่องที่ทะเลาะกับยูคยอมเมื่อคืน  ขอโทษเถอะนะ แต่มาร์ค ต้วน คนนี้อายุยี่สิบสี่ปีแล้ว การที่เขาจะกลับบ้านดึกมากไปหน่อย (แค่ตีสามเอง ยังไม่เช้าเลย) โดยไม่ได้โทรศัพท์หรือส่งคาทกมาบอก (ก็ลืม เข้าใจคำว่าลืมรึเปล่า ถ้านึกออกจะเรียกว่าลืมมั้ยเล่า) มันใช่เรื่องมั้ยที่ยูคยอมจะต้องมาทำหน้าถมึงทึงเหมือนหมีอดกินน้ำผึ้งแถมโวยวายเสียงดังใส่เขา

     

    สุดท้ายต่างคนก็ต่างเข้านอนทั้งที่ยังไม่คืนดีกัน เพราะมาร์คก็กลับดึก ส่วนยูคยอมก็ถ่างตารอเขา เลยเวลานอนปกติไปหลายชั่วโมงเหมือนกัน  และทุกครั้งที่พวกเขาทะเลาะกันก่อนนอน ยูคยอมจะต้องระเห็จไปนอนบนพื้นตรงปลายเตียง ต่อให้ดื้อจะนอนกับมาร์คบนเตียงให้ได้ ถ้าไม่ได้เถียงกันต่อจนไม่ต้องหลับต้องนอนกัน ก็ต้องโดนมาร์คถีบลงไปอยู่ดี (เคยมาแล้วถึงพูด)

     

    จำได้ว่าสิ่งสุดท้ายที่มาร์คเห็นก่อนกดปิดสวิตช์ไฟตรงหัวเตียงคือยูคยอมนอนหงาย หน้าบูดเป็นตูดหมี ก่อนจะพลิกตัวฟุบหน้าลงกับหมอน ทุกการกระทำกรีดร้องออกมาว่ายูคยอมกำลังงอนกำลังโกรธ แต่มาร์คง่วงและเซ็งที่โดนหาเรื่องเกินกว่าจะสนใจและง้อ

     

    ฉะนั้นตอนที่มาร์คพลิกตัวจะเปลี่ยนท่านอนเพราะเมื่อย แต่กลับเจอยูคยอมอยู่ข้างๆ แทน เขาจึงนิ่งชะงัก หนึ่ง ยูคยอมนอนเบียดและกินที่เขา สอง ใครให้ยูคยอมขึ้นมานอนบนเตียงนี่ เขาใช้ปลายเท้าสะกิดตรงหน้าแข้งของยูคยอมที่โผล่ออกมานอกกางเกงขาสั้นเบาๆ แต่อีกฝ่ายไม่รู้สึกตัว เขาจึงเพิ่มระดับด้วยการเตะ และเสริมอาวุธอีกชนิดคือมือทั้งสองข้างที่เขย่าตัวยูคยอมแรงๆ

     

    ไม่ตื่นก็คนตายแล้ว

     

    "ฮึ...อืออ..."

     

    "ใครให้มานอนบนนี้ ลงไป!"

     

    ยูคยอมคงเพิ่งตื่นและงัวเงีย สมองขาดประสิทธิภาพประมวลผลคำว่า 'ลงไป' เขายังคงนอนนิ่งอยู่

     

    "ลงไป! ขึ้นมานอนนี่ทำไม" คราวนี้มาร์คผลักไหล่ยูคยอมด้วย

     

    "ผมหนาว"

     

    "หนาวบ้าอะไร นี่มันเดือนกรกฎาแล้ว"

     

    "ก็ผมไม่ได้นอนกอดพี่นี่"

     

    ...หยอดไม่รู้จักเวล่ำเวลา เกลียดไอ้เด็กนี่ที่สุดก็ตอนที่ทำอะไรแบบนี้ เพราะมันทำให้มาร์คใจเต้นจนโต้ตอบไม่ถูก ยังไม่ทันจะตั้งสติสวนกลับไปได้ทัน ท่อนแขนหนักๆ ของยูคยอมก็พาดทับลงมาที่เอว และรั้งตัวมาร์คให้เข้าไปใกล้

     

    "ถ้าพี่ไม่กลับมาให้ผมกอดแบบนี้จะทำยังไง?"

     

    "...ปล่อย!"

     

    "วันหลังจะกลับดึกก็บอกด้วยนะครับ ผมแค่เป็นห่วง"

     

    "เออๆๆ รู้แล้ว จะปล่อยได้ยัง!"

     

    ยูคยอมกลับทำตรงกันข้ามด้วยการกระชับกอดให้แน่นขึ้นจนมาร์คเริ่มอึดอัด "งั้นหายกันแล้วนะ"

     

    พอยูคยอมเห็นมาร์คที่สงบลงพยักหน้าหงึกๆ และเลิกไล่เขาลงไปนอนบนพื้นแล้วเขาก็ยอมปล่อยมาร์คให้เป็นอิสระ ก่อนจะลุกออกจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวเพราะวันนี้มีเรียนชดเชยในช่วงบ่าย ลับหลังยูคยอมไปแล้ว มาร์คก็ได้แต่บ่นอุบอิบ

     

    "ทีอย่างนี้ล่ะทำมาพูดดี..."

     

     

    มาร์คยังคงนอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียง ไม่จำเป็นต้องรีบลุกไปไหนเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ แล้วจู่ๆ ยูคยอมที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จแล้วและออกมาแต่งตัวอยู่ตรงหน้ากระจกก็พูดขึ้นมาว่า

     

    "จริงๆ แล้วที่ผมอยู่รอพี่เมื่อคืนเพราะผมมีอะไรจะบอกพี่แหละ"

     

    "เรื่อง?"

     

    "แต่นึกไม่ออกแล้วอะ ผมนั่งรอพี่จนหงุดหงิด ง่วงก็ง่วง พอพี่กลับมาก็ทะเลาะกันอีก ลืมไปแล้ว"

     

    ยูคยอมเหมือนแค่พูดถึงมันด้วยความสงสัย น้ำเสียงไม่ได้จริงจังหรือเคร่งเครียด และไม่ได้มีท่าทางอยากเค้นความจำของตัวเองมาก มาร์คจึงไม่คิดว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร เลยแค่ฟังคำพูดนั้นของยูคยอมผ่านๆ สมาธิจดจ่ออยู่กับข่าวที่ตัวเองอ่านในมือถืออยู่มากกว่า

     

    "งั้นผมไปเรียนละนะครับ"

     

    "อื้ม ตั้งใจเรียนนะครับ"

     

    ***

     

    อพาร์ตเมนท์ที่มาร์คกับยูคยอมอยู่ด้วยกันในปัจจุบันนี้เป็นของมาร์ค ซึ่งมาร์คย้ายเข้ามาอยู่หลังจากเรียนจบและเพิ่งเริ่มต้นทำงานได้ไม่นาน เขาใช้ชีวิตอย่างคนโสดที่อยู่ตามลำพังได้เพียงแปบเดียวเท่านั้น คุณเรย์มอนด์ ต้วน พ่อของเขาก็มาหาเขาถึงที่ด้วยสีหน้ากังวลใจอย่างมากราวกับว่าบ้านของพวกเขากำลังจะถูกยึด

     

    'พ่อรู้ว่าลูกย้ายมาอยู่ตัวคนเดียวเนี่ยก็อยากอยู่สงบๆ... แต่มีเรื่องอยากรบกวนนิดหน่อย'

     

    'นิดหน่อย' ของคุณเรย์มอนด์คือเด็กหนุ่มขนาดตัวไม่นิดหน่อยและสมบัติทุกชิ้นของเขา หรือคิมยูคยอม เด็กอ้วนที่ติดเขาแจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเมื่อหลายปีก่อน 

     

    เรื่องมันมีอยู่ว่าตอนแรกคิมยูคยอมยื่นคะแนนสอบเอ็นทรานซ์ติดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งไปแล้ว แต่ระหว่างรอเปิดเทอมเกิดเปลี่ยนใจอยากย้ายคณะขึ้นมา รู้สึกว่าคณะเศรษฐศาสตร์ที่ตัวเองเพิ่งสอบติดนี่มันไม่ใช่แนวทางจริงๆ เลยเดือดร้อนต้องวิ่งวุ่นหาที่เรียนใหม่ไม่อย่างนั้นจะต้องเสียเวลาไปอีกหนึ่งปี สุดท้ายก็มายื่นคะแนนสอบได้ที่คณะนิเทศศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเอกชนอีกแห่ง ทางบ้านของยูคยอมไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่ ตามใจลูกสุดๆ ลูกอยากเรียนอะไรก็เรียนไป ทางบ้านมีกิจการและตำแหน่งงานรองรับอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือมหาวิทยาลัยที่สอบได้มันอยู่คนละจังหวัด แถมหอพักของมหาวิทยาลัยก็เต็มไปตั้งนานแล้วเพราะยูคยอมอยู่ในกลุ่มนักศึกษาที่มาสมัครเรียนรอบหลัง

     

    ตอนแรกครอบครัวคิมแก้ปัญหาด้วยการให้คนขับรถอีกคนไปรับไปส่งยูคยอมข้ามจังหวัดนั่นแหละ ก็ไม่เห็นจะยาก ไม่ต้องอยู่หอไกลหูไกลตาพ่อแม่ให้เป็นห่วงด้วย แต่ผ่านไปแค่เทอมเดียว ทั้งการเรียนและกิจกรรมบวกกับการนั่งรถไปกลับวันละหลายชั่วโมงกำลังทำให้ชีวิตของยูคยอมพัง พูดคุยปรึกษากับที่บ้านแล้วก็ได้ข้อสรุปว่ายอมอยู่หอพักจะดีกว่า

     

    ตอนนั้นเองที่คุณคิมเกิดนึกขึ้นมาได้ว่า คุณเรย์มอนด์เพิ่งเล่าให้ฟังหยกๆ ว่าตอนนี้ลูกชายที่ชื่อมาร์คย้ายออกไปอยู่คนเดียวแล้ว  อพาร์ตเมนท์ของมาร์คอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยของยูคยอม นั่งรถประจำทางประมาณ 30 นาทีก็ถึง แถมเขาก็รู้จักหน้าค่าตามาร์คดี ยูคยอมเองก็เคยเจอมาร์ค ถ้าลูกชายคนเดียวของเขาอยู่กับมาร์คก็ไม่น่ามีอะไรต้องเป็นห่วง ดีกว่าไปเช่าหออยู่กับคนอื่นที่ไม่รู้จะเป็นคนแบบไหน

     

    มาร์คอยากปฏิเสธใจจะขาดเพราะอยากอยู่คนเดียว แต่เพราะเกรงใจคุณคิมที่ให้ความช่วยเหลือพ่อของเขาและครอบครัวตัวเองเป็นอย่างดีมาตลอดจึงไม่กล้าบอกปัดเต็มปากเต็มคำ เลยพยายามมองในแง่ดีว่ามีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระค่าเช่าห้องและงานบ้านต่างๆ ก็น่าจะดี ส่วนยูคยอม...โตขึ้นก็คงทำตัวน่ารำคาญน้อยลง...แหละมั้ง

     

    หลังจากยอมและต้อนรับให้ยูคยอมเข้ามาใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองได้ไม่นาน มาร์คก็ได้รู้ซึ้งทันทีว่าตัวเองคิดผิดถนัด

     

     

     

    เค้าลางของความวุ่นวายปรากฏให้มาร์คเห็นตั้งแต่วันที่ยูคยอมและสมบัติทุกชิ้นของเขามาอยู่ที่หน้าห้องพร้อมคุณพ่อกับผู้ติดตามที่มาช่วยขนของอีกสองคน

     

    สารภาพตรงๆ เลยว่ามาร์คแทบจำยูคยอมไม่ได้ เพราะครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเจอกันก็เมื่อสี่ปีก่อน ยูคยอมยังเป็นเด็กชายอายุสิบสามสิบสี่ ตัวกลมๆ หน้ากลมดิ๊กจนน่ากลัวว่าถ้ากินอะไรเข้าไปแล้วแก้มป่องๆ นั่นจะแตกปริออกมา แถมยังสูงไม่พ้นไหล่ของมาร์คดีด้วยซ้ำ แต่เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขากลับเป็นเด็กหนุ่มร่างสูง สูงกว่ามาร์คหลายเซนติเมตรจนเขาต้องแหงนมอง แก้มที่เคยป่องเรียวลงดูดีรับกับคาง แม้จะสูงขึ้นและผอมลงมากเมื่อเทียบกับแต่ก่อน แต่ยูคยอมก็ไม่ได้ผอมเก้งก้าง เขาหุ่นดี...ดีมากๆ ด้วยจนมาร์คเผลอจ้องตั้งแต่หัวจรดเท้า ยังไม่รวมการแต่งกายที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเด็กนี่รสนิยมดี ใช้ของราคาแพงที่เสริมรูปลักษณ์และบุคลิกของตัวเองให้ดีขึ้น ลบภาพเด็กชายสวมเสื้อยืดตัวโคร่งๆ ที่วิ่งวุ่นในสนามหน้าบ้านไปพลางดึงเชือกกางเกงไม่ให้หลุดออกจากเอวที่เขาเคยเห็นไปได้เลย

     

    นี่คงเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบที่สุดของคำว่า Puberty done right -- very f**king right.

     

     

    'สวัสดีครับพี่มาร์ค ไม่ได้เจอกันนานเลย'  ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นจนตาหยี

     

    มาร์คเดินนำคุณคิมและยูคยอมไปยังห้องนอนเล็กอีกห้อง ซึ่งคุณคิมเคยแวะมาสำรวจดูแล้วก่อนหน้านี้  หากเทียบกับห้องนอนใหญ่ของมาร์คแล้ว ห้องนอนเล็กซึ่งปกติมีไว้สำหรับแขกจะเล็กกว่าประมาณครึ่งหนึ่ง มีตู้เสื้อผ้าบิลท์อินขนาดไม่กว้างมากเอาไว้แขวนเสื้อผ้า โดยรวมก็พออาศัยได้แต่ก็ไม่มีพื้นที่ทำอะไรมากมายนัก

     

    'ไง อยู่ได้มั้ย? แล้วเดี๋ยวค่อยเอาโต๊ะคอมมาตั้ง พ่อว่าตรงนั้นน่าจะมีที่พอ'

     

    ยูคยอมเดินเข้าไปในห้อง มองไปรอบๆ ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงบนเตียง ทุบฟูกเบาๆ สองสามครั้ง 'เล็กไปอะ' เขาหันไปพูดกับพ่อ 'แต่ก็อยู่ได้แหละ'

     

    หลังจากนั้นก็เป็นการขนสมบัติทุกชิ้นของยูคยอมเข้ามาไว้ในอพาร์ตเมนท์ของมาร์ค มีทั้งกระเป๋ากับกล่องที่บรรจุเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว ตำราและชีทที่ใช้เรียน หนังสืออ่านเล่นอีกห้าหกเล่ม รวมไปถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่นแมคบุ๊กโปร กล้อง DSLR พร้อมเลนส์และอุปกรณ์ครบชุด  ตอนนั้นเองที่จู่ๆ ยูคยอมก็หันมาถามมาร์คว่าที่่นี่มีเครื่องเล่น xbox 360 หรือเปล่า พอมาร์คตอบว่าไม่ เขาก็หันไปบอกกับผู้ติดตามคนหนึ่งว่า 'เอากล่อง xbox ขึ้นมาให้ผมด้วยนะครับ!' แล้วอุปกรณ์เล่นเกมที่ว่านั่นก็ขึ้นมาอยู่ในห้องของเขาพร้อมกับแผ่นเกมของแท้อีกเป็นสิบ

     

    พอขนของทั้งหมดขึ้นมาได้แล้ว ยูคยอมก็บอกให้พ่อและผู้ติดตามอีกสองคนกลับบ้าน เพราะเหลือแค่จัดเก็บของให้เข้าที่เรียบร้อย แค่มาร์คกับยูคยอมสองคนก็น่าจะจัดการได้

     

    'มาอยู่กับพี่เขาแล้วก็ทำตัวดีๆ พี่เขาพูดอะไรก็ต้องฟัง อย่าทำให้พี่เขาเดือดร้อน เข้าใจนะยูคยอม' กำชับลูกชายเสร็จก็หันไปพูดกับมาร์ค 'ลุงฝากลูกชายด้วยนะมาร์ค ไม่ต้องตามติดทุกฝีก้าวก็ได้ แค่ช่วยดูๆ ก็พอ ถ้ามันดื้อ พฤติกรรมน่าสงสัย ไม่สนใจเรียน ติดแฟน โทรมาบอกลุงได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ'

     

    มาร์คเหล่มองยูคยอมตอนที่ได้ยินคุณคิมพูดคำว่า 'ติดแฟน' เขารอจนกระทั่งคนที่เหลือกลับออกไป จึงหันไปแกล้งถามยูคยอมว่า

     

    'ไม่เจอกันนานจนโตเป็นหนุ่มละ มีแฟนแล้วเหรอเนี่ย?'

     

    ยูคยอมปฏิเสธแทบจะทันที 'มีที่ไหนกันล่ะครับ พ่อก็พูดไปเรื่อย'

     

    เมื่อเหลือกันแค่สองคนแล้วจึงพบว่าปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่กำลังคนที่น้อยลงกว่าก่อนหน้านี้หรอก แต่เป็นปริมาณของที่เยอะกว่าที่มาร์คคิดนี่แหละ มองปราดเดียวก็รู้ว่ายูคยอมไม่มีทางเก็บของทั้งหมดนั่นไว้ในห้องนอนเล็กๆ ได้แน่ เข้าใจเลยว่าทำไมยูคยอมถึงบอกว่า 'เล็กไปแค่เสื้อผ้าก็น่าจะเกินกว่าที่ตู้บิลท์อินเล็กๆ ในนั้นรับได้หมด สุดท้ายเสื้อผ้าส่วนหนึ่งของยูคยอมจึงต้องนำมาเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าห้องมาร์ค หนังสืออ่านเล่น เครื่องเล่นเกม และแผ่นเกมทั้งหมดต้องไปอยู่บนชั้นวางของในบริเวณที่เป็นที่นั่งพักผ่อน ส่วนสมบัติที่เหลืออื่นๆ ก็คงต้องรอซื้อชั้นวางของเล็กๆ มาตั้งเพิ่มอยู่ดี ไม่อย่างนั้นกล่องลังของยูคยอมก็คงกองเต็มบ้าน ยังไม่รวมโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่พ่อของยูคยอมบอกว่าจะนำมาให้ทีหลัง

     

    แค่เพิ่งย้ายเข้ามาวันแรก ยูคยอมก็ใช้พื้นที่ที่เคยเป็นของเขาคนเดียวไปมากกว่าที่คิดไว้แล้ว  เมื่อได้ผ่านช่วงเวลาปรับตัวในการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่เต็มไปด้วยความน่ารำคาญ หงุดหงิดในตัวกันและกัน และเสียงบ่นไปได้นั้น  มาร์คก็ไม่ได้คิดหรอกว่าอีกไม่กี่เดือนถัดมา ยูคยอมจะยึดพื้นที่มาถึงในห้องนอนและบนเตียงของเขา เสื้อผ้าในตู้ของมาร์คกลายเป็นของยูคยอมไปเสียครึ่ง บนหัวเตียงของมาร์คมีชีทและสมุดโน้ตของยูคยอมซึ่งเขาโหมอ่านก่อนนอนในช่วงสอบ ขนมปังและนูเทลล่าบนโต๊ะกินข้าวพร่องเร็วลงไปกว่าเดิมสองเท่า โหลบรรจุผงกาแฟมีโหลบรรจุผงช็อกโกแลตยี่ห้อโปรดของยูคยอมวางอยู่เคียงข้าง แปรงสีฟันของยูคยอมที่เคยวางอยู่บนชั้นในห้องน้ำอีกห้อง ตอนนี้อยู่ในถ้วยน้ำสีฟ้าเคียงคู่กับถ้วยน้ำสีเขียวของมาร์ค  และมีความเปลี่ยนแปลงอีกมากมายที่สามารถสรุปได้สั้นๆ ว่า ยูคยอมกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมาร์คไปแล้ว

     

    ***

     

    ยูคยอมกลับมาถึงห้องประมาณหนึ่งทุ่มพร้อมกับเค้กกาแฟและเค้กช็อกโกแลตจากร้านประจำ หลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นมาร์คกำลังนั่งอยู่บนพื้น มือกำคอนโทรลเลอร์แน่น นิ้วกดรัวไปบนปุ่มที่อยู่บนนั้นไม่หยุด สายตาจับจ้องจอโทรทัศน์ เพ่งสมาธิอยู่กับการกดยิงฝ่ายตรงข้ามอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่สนใจคนที่เพิ่งกลับมาเลยสักนิด

     

    "กลับมาแล้ว เค้กอยู่บนโต๊ะนะ"

     

    "อื้มๆๆ"

     

    ยูคยอมเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนใหญ่เพื่ออาบน้ำ ตอนที่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เขาใช้ห้องน้ำอีกห้องที่อยู่ข้างนอก มีขนาดเล็กกว่าและไม่มีอ่างอาบน้ำให้ลงไปแช่  เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงตอนที่มาร์คยึด xbox ของเขาไปเล่นทุกวันหยุดได้โดยไม่ต้องขออนุญาตก่อน ยูคยอมก็ขนหมอนและผ้าห่มเข้าไปนอนในห้องนอนของมาร์ค รวมทั้งใช้ห้องน้ำใหญ่ในนั้นได้โดยไม่ต้องขอเช่นกัน

     

    กลับออกมาอีกที คนที่ยังนั่งเล่นเกมอยู่ก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนราวกับแช่แข็งตัวเองเอาไว้ตรงนั้น เค้กสองชิ้นในถุงพลาสติกใสที่ยูคยอมวางทิ้งไว้บนโต๊ะก็ยังอยู่แบบเดิม  เด็กหนุ่มเดินลงไปนั่งข้างๆ มาร์ค แต่ความสนใจที่มาร์คมีต่อยูคยอมก็ยังคงเป็นติดลบเหมือนเดิม

     

    "นี่"

     

    "หือ?"

     

    "กินข้าวยัง"

     

    "กินแล้ว"

     

    "ผมก็กินมาแล้ว กินเค้กกัน"

     

    "ไปกินก่อนก็ได้... เดี๋ยว...พี่... -- ไอ้เชี่ยแม่*รุม!! -- เคลียร์ตรงนี้แล้วเดี๋ยวไป"

     

    ยูคยอมไม่ตอบ แต่ก็ไม่ได้ลุกไปอย่างที่มาร์คบอกให้ทำ นั่งรอมาร์คอยู่อย่างนั้นเพราะคิดว่าคงใช้เวลาอีกไม่นาน เขาเองก็ชอบเล่นเกมจนถึงขั้นติดไม่เป็นอันทำอะไรเหมือนกัน เลยเข้าใจว่ามาร์คกำลังติดลมอยู่จนไม่อยากพอสไปทำอย่างอื่น ถึงช่วงหลังมานี้งานจะยุ่ง และโดนมาร์คยึดเครื่องเล่นเกมไปอย่างสมบูรณ์จนแทบไม่ได้เล่นเลยก็ตาม

     

    พอผ่านไปนานกว่าที่คิด การนั่งรอเฉยๆ ก็ชักไม่สนุก

     

    "พี่มาร์ค"

     

    "ฮะ...? อ้าวยังไม่ไปกินอีกอะ?"

     

    "จะกินพร้อมพี่นี่ไง"

     

    "แปบนะ..."

     

    "พี่ม้ากกกกกกกกกกก" ยูคยอมลากเสียงชื่ออีกฝ่ายยาวเหยียด พร้อมจงใจเอนตัวพิงอีกฝ่าย ทิ้งน้ำหนักทับร่างผอมบางของมาร์คเต็มที่ "สนใจผมบ้างดิ้"

     

    พอโดนเด็กร่างหมีแถมตัวใหญ่กว่าเขาเบียดลงมาแบบไม่สนใจ นิ้วที่คอยกดปุ่มเพื่อโหลดกระสุนเป็นจังหวะมาตลอดก็เลื่อนหลุดออกจากคอนโทรลเลอร์ เขาเสียจังหวะแค่นิดเดียวเท่านั้นจริงๆ แล้วฝ่ายตรงข้ามที่เข้ามารุมมาร์คสามสี่คนก็สาดกระสุนใส่จน HP ลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักหน้าจอก็ขึ้นตัวอักษรสีแดง 'GAME OVER' พร้อมๆ กับมีเสียงพากย์ที่เอ่ยประโยคเดียวกันดังขึ้น

     

    มาร์คแทบขว้างคอนโทรลเลอร์ทิ้ง แต่สุดท้ายก็แค่กดออกจากเกมแล้ววางมันลงพื้นอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก ผิดกับยูคยอมที่ตอนนี้หน้าระรื่นเหมือนโปรเจคที่อดตาหลับขับตานอนทำจนเสร็จได้เกรด A

     

    "อ้ะ ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเลย ผมไม่ทำแบบที่พี่ทำกับผมก็ดีแค่ไหนแล้ว" ยูคยอมมองหน้ามาร์คแบบจับผิด "หรือที่จริงแล้วที่พี่เล่นเกมแล้วทำเมินผมเนี่ยเพราะ..."

     

    "ไม่ใช่!" มาร์ครีบตัดบทก่อนยูคยอมจะเอาเรื่องนั้นขึ้นมาพูดอีก ผิดกับยูคยอมที่ยิ้มกระหยิ่มใจกับอาการร้อนตัวนั่น แค่นึกถึงเรื่องที่ตัวเองทำไปตอนนั้นมาร์คก็หน้าร้อนผ่าวแล้ว ไม่รู้ตอนนั้นผีตัวไหนเข้าสิงถึงได้ทำไป เขารีบลุกขึ้นจากพื้นแล้วไปนั่งกินเค้กกับยูคยอมที่โต๊ะอาหารแต่โดยดี

     

    เหตุการณ์ที่ยูคยอมพูดถึงและคงจะนำมาล้อหรือใช้ต่อรองเขาไปอีกนานนั้นเกิดขึ้นเมื่อเกือบหกเดือนก่อน คล้ายกับที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้นี้ แต่สลับตรงที่ยูคยอมเป็นฝ่ายเล่นเกม และมาร์คเป็นฝ่ายที่อยากให้ยูคยอมหยุดเล่นก่อน  เมื่อเรียกชื่อจนปากเปียกปากแฉะ สะกิดเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่ท่านเรียก มาร์คก็ยิ่งอารมณ์เสีย คิดแต่จะทำอะไรก็ได้ให้ยูคยอมเลิกเมินตัวเองเสียที ในที่สุดก็เลยทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำมาก่อน ลงเอยที่ยูคยอมยอมทิ้งคอนโทรลเลอร์ ปล่อยให้ตัวเองในเกมตายไปแบบไม่สนใจเสียง 'GAME OVER' ที่ดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     

    'พี่แม่*...' ยูคยอมกัดปาก เผลอลงแรงกดศีรษะของมาร์คให้ลงมาต่ำกว่าเดิม '...จำเป็นต้องทำขนาดนี้มั้ยอะ'

     

    แล้วนับตั้งแต่นั้นมา มาร์คก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งกับยูคยอมตอนเล่นเกมอีกแม้แต่ครั้งเดียว

     

     

     

    เตียงสำหรับสองคนหลังนี้เป็นหนึ่งในฟอร์นิเจอร์ที่มีไว้ให้อยู่แล้ว แน่นอนว่ามันกว้างเกินไปสำหรับมาร์คที่อาศัยอยู่คนเดียว แต่มาร์คก็ไม่ได้ใส่ใจตรงนั้น คิดแค่ว่านอนบนเตียงกว้างๆ นุ่มๆ นี่คนเดียวก็สบายดีเหมือนกัน

     

    ถ้าต้องไล่ย้อนกันอย่างจริงจัง ครั้งแรกที่ยูคยอมได้มานอนบนเตียงของมาร์คคือคืนหนึ่งในฤดูหนาวที่ฮีทเตอร์ห้องยูคยอมมีปัญหา ใครจะใจดำทนให้น้องนุ่งนอนตากอากาศหนาวๆ ได้ลง มาร์คเลยให้ยูคยอมมานอนที่ห้องเขาชั่วคราวระหว่างรอให้ช่างซ่อมมาในเช้าวันถัดไป  พอซ่อมฮีทเตอร์เสร็จยูคยอมก็กลับไปนอนห้องตัวเองเหมือนเดิม

     

    หลังจากนั้น ยูคยอมก็ย้ายมานอนที่ห้องมาร์คถาวรด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า 'แค่อยากอยู่ใกล้พี่ทั้งคืนตอนแรกมาร์คก็อึดอัดนิดหน่อยที่นอนพลิกตัวกางแขนกางขาสบายๆ ไม่ได้เหมือนก่อน เพราะเดี๋ยวแขนก็ไปฟาดยูคยอมที เดี๋ยวขาก็ไปเขี่ยโดนยูคยอมที วันดีคืนดียูคยอมนึกอยากจะใช้เขาแทนหมอนข้างขึ้นมาก็กอดเสียจนมาร์คดิ้นไปไหนไม่ได้ แต่ถ้าเป็นในคืนที่หนาวเป็นพิเศษ การที่ยูคยอมกอดเขาไว้ใต้ผ้าห่มแบบนันมันก็อุ่นดี

     

    จนถึงตอนนี้มาร์คก็รู้สึกชินแล้วกับการนอนร่วมเตียงกับยูคยอมเกือบทุกคืน ยกเว้นคืนที่พวกเขาทะเลาะกัน  ในครั้งแรกที่มาร์คโกรธยูคยอมจนไล่เขาไปนอนบนพื้น เขานอนหลับไปด้วยความสบายกายเพราะได้พื้นที่บนเตียงทั้งหมดเป็นของตัวเอง รวมทั้งสะใจที่ได้ลงโทษยูคยอมโทษฐานที่ขัดใจเขา  แต่เมื่อเขาตื่นมาในตอนเช้าและพบกับความว่างเปล่าที่เคยมีคิมยูคยอมอยู่ เขาก็รู้สึกโหวงเหวงขึ้นมาเสียเฉยๆ จนต้องไปปลุกยูคยอมให้ขึ้นมานอนที่เดิม

     

    คืนนี้ยูคยอมเข้านอนก่อนมาร์ค เพราะมาร์คยังติดพันอยู่กับซีรี่ส์อเมริกันเรื่องหนึ่งที่กำลังฉายย้อนหลังอยู่ในช่องเคเบิล  กว่ามาร์คจะพาตัวเองมานอนบนเตียงก็หลังจากยูคยอมเข้านอนไปแล้วประมาณชั่วโมงเศษ  ได้ยินเสียงยูคยอมขยับตัวนิดหน่อยตอนที่เขามุดลงไปใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ที่ยูคยอมห่มอยู่ ไม่ติดใจอะไรเพราะคงแค่นอนดิ้น  แต่ไม่นานนักคนที่มาร์คคิดว่าหลับไปแล้วก็ยื่นแขนมากอดเอวมาร์คเอาไว้ ซุกไซ้ใบหน้าและพรมจูบบนต้นคอ  และมาร์คก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร เขาปล่อยให้ยูคยอมประกบจูบเขาที่ริมฝีปากได้ตามใจ

     

    ยูคยอมดึงชายเสื้อของมาร์คขึ้นไปจนถึงคาง

     

    “นอนดึกอีกแล้ว พี่ชอบปล่อยให้ผมรอจัง”

     

    มาร์คแกล้งงับนิ้วของอีกฝ่ายที่ไล้วนอยู่บนหน้าเขาพอดี

     

    “แล้วใครใช้ให้รอ?”

     

    ***

     

    สิ่งที่หลงเหลืออยู่บนตัวมาร์คแทบทุกครั้งหลังจากกิจกรรมบนเตียงกับยูคยอมก็คือความเจ็บปวดรวดร้าว... มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อคืนพวกเขาออกแรงกันไปมากแค่ไหน หรือถ้าครั้งไหนสถานที่ทำกิจกรรมมันแหวกไปหน่อย อย่างเช่นตรงเคาน์เตอร์ครัวที่แสนจะแข็งและคับแคบ ก็จะมีรอยฟกช้ำดำเขียวเล็กๆ น้อยๆ แถมมา

     

    เช้าวันนี้มาร์คตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวตุบๆ เพราะเขาไม่ได้ตื่นจากการได้นอนเต็มอิ่ม แต่ตื่นจากเสียงโทรศัพท์มือถือของยูคยอมที่แผดดังไปทั่วห้อง  เป็นเสียงริงโทน ‘Old Telephone’ ที่น่ารำคาญและยูคยอมไม่ยอมเปลี่ยนเพราะว่ามันเรียกร้องความสนใจได้ดี  โชคดีที่ยูคยอมตื่นแทบจะพร้อมๆ กันกับเขา เพราะเสียงปวดหูนั่นดังแค่เพียงไม่กี่วินาที ยูคยอมก็รีบควานหาเครื่องแล้วกดรับสาย  ส่วนมาร์คที่ยังนอนเปลือยอยู่ใต้ผ้าห่มก็นอนมองอีกฝ่ายคุยโทรศัพท์ อยากรู้เหมือนกันว่าใครโทรมาหายูคยอมแต่เช้า

     

    “สวัสดีครับ? อ้อ...อ้อออออ ครับ...” ยูคยอมเหลือบตามาทางมาร์ค เขาดูตื่นเต็มตาจากบทสนทนาทางโทรศัพท์ “...ครับ ครับ...ได้ครับ เจอกันครับ...”

     

    ท่าทางของยูคยอมทำให้มาร์คสงสัยทันที “ใครโทรมาแต่เช้า?”

     

    “พี่จำได้มั้ยที่ผมบอกว่า ผมมีเรื่องจะบอกพี่ แต่ผมนึกไม่ออก”

     

    “อือ จำได้”

     

    “ผมนึกออกแล้ว วันนี้พ่อผมจะมาหา”

     

    ทั้งสองคนสบตากัน มองดูอีกฝ่ายที่ตอนนี้อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าแม้ว่าร่างกายส่วนใหญ่จะซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่ม นึกถึงเรื่องที่ทำไปเมื่อคืน และทำไปหลายครั้งก่อนหน้านี้ รวมไปถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาที่ตอนนี้ยังไม่มีคนในครอบครัวล่วงรู้

     

    เป็นอีกครั้งที่มาร์คคิดว่าเขาไม่น่าได้รู้จักกับไอ้เด็กหมีขี้ลืมแบบนี้เลย

     


     

     tbc in part two

     


    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×