ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] 'SO LUCKY' (SF/OS)

    ลำดับตอนที่ #4 : [SF] Oil and Water (JB x Mark) [Kingsman AU]

    • อัปเดตล่าสุด 12 เม.ย. 58


    Oil and Water

    JB/Mark

     

     

    ชายหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดในห้องประชุมของบรรดา อัศวินโต๊ะกลมแห่งคิงสแมนจ้องมองสมาชิกใหม่ที่เพิ่งได้มาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาอย่างเป็นทางการเมื่อวาน ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองหน้าจอสีดำและตัวอักษรดิจิตอลสีเขียวที่อยู่ในกรอบรูปเพื่ออ่านประวัติของทั้งสองคนซึ่งเมอร์ลินเปิดทิ้งไว้ให้  

     

    หนุ่มตัวสูงไหล่กว้าง เจ้าของดวงตาเรียวและริมฝีปากบางเฉียบที่เป็นเส้นตรงดูไม่เป็นมิตรชื่อแจบอม อิม หรือ เจบีเจ้าของรหัสลับ เคย์คนใหม่   มาร์ค ต้วน หรือกาเวนมองภาพโฮโลแกรมของแลนสล็อตที่อยู่ตรงเก้าอี้ตรงข้ามกับเขา แลนสล็อตติดภารกิจที่อาร์เจนตินาจึงไม่สามารถมาร่วมประชุมด้วยตัวเองได้ในวันนี้ สายตาของเขาก็ดูภูมิใจที่คนที่เขาเสนอชื่อได้เป็นสมาชิกคนใหม่อย่างถาวร  ส่วนหนุ่มหน้าตาดีวัยเดียวกันอีกคนที่ยืนอยู่ข้างเจบีคือ จินยอง ปาร์ค ที่จะเข้ามาสืบทอดชื่อและภาระหน้าที่ของ เมอร์ลินในอีกสามเดือนข้างหน้า แทนเมอร์ลินคนปัจจุบันที่กำลังจะสละตำแหน่ง

     

    มาร์คไม่มีปัญหากับการสละตำแหน่งน้องใหม่แห่งคิงสแมนให้กับผู้มาใหม่ทั้งสองคนหรอก สิ่งที่กำลังทำให้เขาขุ่นข้องใจก็คือที่มาที่ไปของเจบีมากกว่า  ว่าที่เมอร์ลินคนใหม่เป็นลูกชายผู้บัญชาการทหารระดับสูงที่เกิดและโตที่อังกฤษ จบแพทยศาสตร์จากอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน  ส่วนเจบี...เขาถือสัญชาติอเมริกัน มาจากครอบครัวชนชั้นกลาง เคยเข้าร่วมกับกองทัพของสหรัฐอเมริกาสมัยทำสงครามในตะวันออกกลาง แลนสล็อตรู้จักกับเขาตอนไปทำภารกิจที่นั่น

     

    ว่ากันตามตรง เขาไม่เข้าใจความคิดของแลนสล็อตเท่าไร ทหารอเมริกันเชื้อชาติเกาหลีหน้าตาไม่รับแขกคนนี้น่ะหรือจะมาเป็นสุภาพบุรุษจารชนเช่นเดียวกับพวกเขา  เหล่าผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตสมาชิกที่อยู่ในภาพเขียนติดผนังภายในห้องเห็นแบบนี้แล้วคงไม่ชอบใจ และมาร์คก็ไม่คิดว่าผู้ที่ภาคภูมิใจในความสูงศักดิ์อย่างอาเธอร์จะเห็นดีเห็นงามกับการรับเจบีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร แค่ไม่พูดออกมาเท่านั้น เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วคิงสแมนจะต่างอะไรกับ CIA หรือ MI6

     

    บรรยากาศแวดล้อมในตอนนี้ทำให้มาร์คเลี่ยงที่จะแสดงความรู้สึกออกผ่านทางสีหน้าหรือวาจา เก็บงำความไม่พอใจเอาไว้เงียบๆ  ในเมื่อเจบีได้เป็นเคย์คนใหม่อย่างถูกต้องตามขั้นตอนแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโต้แย้งอะไรกลางที่ประชุม มาร์คไม่อยากแสดงออกโจ่งแจ้งว่าตะขิดตะขวงใจกับผลที่ออกมาเป็นแบบนี้

     

    เจบีจะเป็นหนึ่งในคิงสแมนก็ได้ ตราบใดที่ไม่ต้องทำภารกิจร่วมกันกับเขา

     

    ***

     

    การทำอาชีพนี้ย่อมเจอภารกิจที่เหนือความคาดหมายอยู่บ่อยครั้ง เป็นความเสี่ยงที่แลกมาด้วยผลตอบแทนและสวัสดิการที่ดี อาเธอร์เคยเตือนเขาไว้เช่นนั้น  มาร์คไม่เคยนึกหวั่นอยู่แล้ว เขาชอบความตื่นเต้นท้าทาย และภูมิใจว่างานที่ตัวเองทำส่งผลประโยชน์ต่อวงกว้างอย่างมากแม้ว่าความสำเร็จของเขาจะไม่เคยได้ป่าวประกาศให้คนทั่วไปรับทราบก็ตาม  แต่ในวินาทีที่เขาผลักประตูเข้ามาในห้องประชุมแล้วเจออดีตทหารหนุ่มอเมริกันตาขีดที่เคยหวังไว้สุดใจว่าจะไม่ต้องร่วมงานกันนั่งอยู่ด้วย  ความรู้สึกติดลบต่อภารกิจที่ตัวเองกำลังจะได้รับก็เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

     

    เมอร์ลินและจินยองมาช่วยกันสรุปภารกิจของพวกเขาให้ฟัง ภารกิจนี้เป็นภารกิจจากรัฐบาลอังกฤษมอบหมายมาให้อาเธอร์โดยตรง เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวลือแพร่สะพัดในเว็บไซต์ใต้ดินของกลุ่มต่อต้านอเมริกาจากนานาประเทศว่าจะมีการวางระเบิดที่สถานทูตอังกฤษประจำเกาหลีใต้ เพื่อข่มขู่และประท้วงรัฐบาลอังกฤษที่สนับสนุนนโยบายของสหรัฐอเมริกาในการกดดันให้มีการเลือกตั้งในเกาหลีเหนือและเปลี่ยนระบอบการปกครองไปเป็นแบบประชาธิปไตย หรือก็คือการล้มระบอบและผู้นำเผด็จการคนปัจจุบันนั่นเอง

     

    ข่าวลือนี้ยังถือเป็นข่าวลือโคมลอยที่ยังไม่มีมูล ไม่หนักแน่นพอที่ทางผู้บัญชาการของ MI6 จะสั่งให้ดำเนินการ แต่ทางรัฐบาลก็อยากกันไว้ดีกว่าแก้ จึงมอบภารกิจนี้มาให้ทางคิงสแมนแทน  สิ่งที่คิงสแมนต้องทำก็คือสืบว่าจะมีการวางระเบิดจริงหรือไม่ หากมีก็ให้ยับยั้ง พร้อมทั้งสืบหารายชื่อของผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งให้ทางรัฐบาลอังกฤษต่อไป โดยทุกอย่างต้องเป็นความลับ เพราะหากเรื่องการวางระเบิดนี้เล็ดลอดออกไป อาจเกิดเสียงทักท้วงต่อนโยบายนี้ และการดำเนินการอย่างที่สหรัฐฯ ต้องการก็จะล่าช้าออกไปอีก

     

    ที่จริงภารกิจนี้จะเป็นของมาร์คคนเดียวตั้งแต่แรก แต่อาเธอร์และเมอร์ลินเห็นว่าหากให้เจบีที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่เกาหลีช่วงหนึ่งในวัยเด็กและพูดภาษาเกาหลีได้บ้างไปช่วยน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า

     

    “แล้วทำไมไม่เอาภารกิจนี้ให้เจบีทำคนเดียวไปเลยล่ะครับ” มาร์คอดย้อนถามไม่ได้ทั้งที่รู้ว่าพวกเขาจำต้องรับทุกภารกิจโดยไม่เกี่ยง  เพียงแต่ถ้าพวกเขาคิดว่าเจบีน่าจะกลมกลืนและหาข่าวที่นั่นได้มีประสิทธิภาพมากกว่า เหตุใดจึงต้องพึ่งมาร์คด้วย

     

    จินยองเหลือบตามองเมอร์ลิน ลำพังเขาเองที่ยังเป็น เด็กใหม่ไม่แน่ใจว่าควรตอบอย่างไร ผิดกับเมอร์ลินที่จัดการกับคำถามที่แฝงอารมณ์น้อยใจปนประชดประชันได้อย่างชำนิชำนาญ

     

    “เราแค่คิดว่าน่าจะดีกว่าหากมีผู้ปฏิบัติการสองคน และหนึ่งในนั้นสามารถพูดภาษาเกาหลีได้  กาเวน ถ้าคุณไม่พอใจอะไร เราจะให้คนอื่นมาทำภารกิจนี้แทนคุณก็ได้ แล้วคุณก็ไปบอกอาเธอร์ด้วยตัวเองว่า...”

     

    ใครหลายคนอาจเคารพเชื่อฟังอาเธอร์ในฐานะผู้นำของที่นี่ แต่สำหรับมาร์ค อาเธอร์เป็นคนที่พาเขามาอยู่ในจุดนี้ เขารู้จักกับพ่อของมาร์คและเล็งเห็นความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัว จึงชักชวนมาร์คให้มาเป็นส่วนหนึ่งของคิงสแมน  ฉะนั้นมาร์คจึงมีความเคารพนับถือและความจงรักภักดีต่ออาเธอร์มากยิ่งกว่าใคร  และเลือกที่จะเก็บกักความไม่พอใจส่วนตัวเอาไว้มากกว่ารบกวนอาเธอร์ และทำให้อาเธอร์ผิดหวังในตัวเขา

     

    จินยองแจกจ่ายแฟ้มภารกิจให้แก่ทั้งสองคนก่อนจะอธิบายรายละเอียดต่อ  มาร์คพยายามเพ่งสมาธิของตัวเองไปที่งาน ไม่ใช่ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งร่วมห้องกัน  ไม่อยากเสียเวลามองหน้าเจบีล่วงหน้า เพราะอีกไม่นาน เขาจะได้มองหน้าเจบีจนเบื่อแน่นอน

     

    ***

     

    “ทำไมคุณถึงไม่ชอบผมมากขนาดนั้นครับ กาเวน?”

     

    ได้ยินชื่อรหัสของตัวเองดังมาจากเบาะที่นั่งข้างหลังแล้ว มาร์คก็วางแท็บเล็ตที่อยู่ในมือลงบนตักทันที คิ้วเข้มมุ่นเข้าหากันเล็กน้อยด้วยไม่คิดว่าเจบีจะโพล่งถามเรื่องนี้ขึ้นมาในขณะที่พวกเขาอยู่บนเครื่องบินของคิงสแมนที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเกาหลีใต้

     

    มาร์คนั่งเบาะแถวหน้าสุด เจบีนั่งเบาะแถวหลังถัดไป ส่วนจินยองที่มาเป็นผู้ประสานงานแทนเมอร์ลินนั่งอยู่อีกฝั่งซึ่งมีหน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่และโต๊ะสำหรับวางอุปกรณ์ต่างๆ  เขาเหลือบตามองจินยอง เห็นความพยายามหลบตาของอีกฝ่ายเหมือนไม่อยากมีส่วนร่วมในประเด็นที่เจบียกขึ้นมา  มาร์คพอรู้มาบ้างว่านอกจากจินยองแล้ว เจบีก็ยังไม่สนิทกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น 

     

    “อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น” เขาย้อนถามโดยที่ไม่หันหลังกลับไปมองหน้าเจบี

     

    “ผมว่าคำอธิบายของผมคงไม่จำเป็น คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าที่ผมพูดเป็นเรื่องจริง  ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ผมก็รู้ตัวอยู่หรอกว่าคุณคงไม่ชอบหน้าผม  ผมไม่ได้น้อยใจหรอกนะ ผมไม่สนใจด้วย  แค่อยากรู้ว่าเพราะอะไร  เพราะว่าผม” เขาแกล้งดัดสำเนียงตัวเองเป็นสำเนียงภาษาอังกฤษแบบบริติชอย่างแนบเนียนจนมาร์คยังเผลอตกใจ “เป็นอเมริกัน ไม่ใช่ผู้ดีอังกฤษแบบคุณหรือยังไง”

     

    “เคย์ คุณเองก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจเหมือนกันว่าทำไม  คุณไม่จำเป็นต้องรู้จักประวัติของผมหรือคิงสแมนอย่างละเอียดทุกคนหรอก แค่เทียบตัวคุณเองกับจินยอง เทียบตัวคุณเองกับ คิงสแมน’… ผมเชื่อว่าคุณจะมองเห็นคำตอบ”

     

    เจบีนั่งฟังคำของมาร์คเงียบๆ  เขาเป็นคนช่างสังเกตปฏิกิริยาของคนรอบตัวและคาดเดาความคิดของคนเหล่านั้นได้จากสีหน้าท่าทาง เขาเห็นตั้งแต่วันแรกที่เจอกันแล้วว่ามาร์คหลบเลี่ยงสายตาเขา ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวหรือประหม่า แผ่นหลังที่ตั้งตรง หน้าอกที่ผึ่งผาย ลำคอที่เชิดขึ้นเล็กน้อย รวมทั้งริมฝีปากที่เหยียดตรง แสดงให้เห็นว่ามาร์คมั่นใจในตัวเองและสำคัญตัวเองดีกว่าใครทั้งสิ้น คนอย่างมาร์คไม่มีทางที่จะรู้สึกเหมือนถูกสมาชิกใหม่อย่างเจบีข่มให้กลัว  แต่เป็นเพราะไม่อยากมองและไม่อยากยุ่งมากกว่า  แต่มาร์คมองจินยอง มองอย่างให้ความสำคัญ และชื่นชม น่าจะเป็นเพราะตำแหน่งเมอร์ลินของคิงสแมนไม่ใช่จะให้ใครมาเป็นก็ได้  พ่อมดแห่งคิงสแมนต้องมีความสามารถรอบด้านและปฏิภาณไหวพริบที่เป็นเลิศในการแก้ไขสถานการณ์คับขันที่อาจเกิดขึ้นต่อเหล่าอัศวินได้ทุกเมื่อ  หากจินยองกำลังจะได้มาเป็นเมอร์ลินคนใหม่ นั่นแปลว่าเขาต้องเก่งมาก และแน่นอน ความสามารถนั้นก่อเกิดและได้รับการปลูกฝังมาจากสภาพแวดล้อมในครอบครัวที่ดีและการศึกษาที่ดี

     

    อย่างไรก็ตาม เจบีไม่สนใจ ที่เขาถามมาร์คเช่นนั้นก็แค่อยากยืนยันว่าตัวเองเข้าใจไม่ผิด  แลนสล็อตเคยเตือนเขาไว้แล้วว่าอาจมีคนอื่นในคิงสแมนคิดกับเขาอย่างที่มาร์คคิด ไม่เหมาะสม ไม่คู่ควร   ซึ่งเจบีไม่สนใจหรอกว่าคนอื่นในคิงสแมนจะมองเขาอย่างไร ตราบใดที่เขายังมีจินยอง คนเดียวในคิงสแมนที่เข้าใจเขาอยู่ข้างๆ อย่างตอนนี้เขาก็มองเห็นว่าจินยองหันศีรษะมาสบประสานตากับเขาอย่างเป็นห่วง เขายกยิ้มให้เพื่อบอกกับจินยองว่าเขาไม่เป็นไร

     

    “เอาเถอะ กาเวน ผมหวังว่าคุณจะมืออาชีพมากพอที่จะไม่ทำให้อคติของคุณทำให้งานเราล้มเหลว”

     

    “ผมเป็นมืออาชีพ เคย์” มาร์คโต้กลับทันทีที่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสบประมาท “ไม่ต้องห่วงหรอก ห่วงตัวคุณเองเถอะ”

     

    ***

     

    หน่วยข่าวกรองของคิงสแมนรายงานมาว่าเบาะแสหนึ่งที่จะโยงไปหากลุ่มที่อยู่เบื้องหลังแผนการวางระเบิดสถานทูตได้คือรองศาสตราจารย์พัค แจอิน  อาจารย์จากภาควิชาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโซล  ผู้ซึ่งออกมาคัดค้านนโยบายของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่มีข่าวออกมาในช่วงแรก เขาเห็นว่าการกดดันให้เกาหลีเหนือเปลี่ยนระบอบการปกครองภายในเร็ววันนี้ เพื่อหยุดความขัดแย้ง และเพื่อให้รัฐเผด็จการเปลี่ยนมาดำเนินตามแนวทางเสรีประชาธิปไตยอย่างที่สหรัฐอเมริกาชื่นชมจะส่งผลเสียต่อเกาหลีใต้ในระยะยาวมากกว่า  เพราะนั่นอาจทำให้สหรัฐอเมริกามีข้ออ้างในการรวมเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้เข้าด้วยกันในอนาคต หากเป็นเช่นนั้น เกาหลีใต้ที่เจริญรุดหน้ากว่าจะต้องสูญเสียทรัพยากรสำคัญในการอุ้มชูเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือ และยังไม่นับปัญหาทางสังคมที่จะเกิดขึ้นมากมาย หรือเลวร้ายที่สุดก็คือสงครามเกาหลีที่อาจปะทุขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง

     

    การเข้าถึงตัวรองศาสตราจารย์พัคมีอยู่สองหนทาง หนึ่งคือไปที่คณะมนุษยศาสตร์ สองคือบุกไปหาที่บ้าน  การให้ชายแปลกหน้าสองคนบุกไปหาตัวรองศาสตราจารย์พัคถึงบ้านดูจะสุ่มเสี่ยงเกินไปและอาจทำให้กลุ่มมือวางระเบิดรู้ตัวว่ากำลังโดนจับตามอง  พวกเขาจึงตัดสินใจว่าจะไปหารองศาสตราจารย์พัคที่ที่ทำงานก่อน

     

    “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามาพบใครคะ”

     

    เจ้าหน้าที่ต้อนรับสาวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานชั้นล่างสุดของตึกคณะเอ่ยทักทันทีที่เห็นชายหนุ่มสวมชุดสูทเรียบกริบและแว่นตาถือกระเป๋าเอกสารสองคนกำลังจะเดินไปขึ้นลิฟท์ เป็นหน้าที่ของหล่อนที่ต้องอำนวยความสะดวกให้แก่นักศึกษาหรือผู้มาเยือน รวมไปถึงบรรดาอาจารย์ที่ทำงานอยู่ในตึกนี้เช่นกัน

     

    เจบีกำลังจะขยับปากตอบ แต่มาร์คกลับแทรกขึ้นก่อนพร้อมกับขยับเท้าไปยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะของเจ้าหน้าที่ เขาเอ่ยคำทักทายภาษาเกาหลี โปรยยิ้มให้หล่อน ก่อนจะพูดเป็นภาษาอังกฤษต่อว่า “พวกเรามาพบรองศาสตราจารย์พัคแจอินที่อยู่ภาคประวัติศาสตร์ครับ นัดไว้แล้วตอนบ่ายโมง”

     

    “ขอดิฉันโทรสอบถามข้างบนก่อนนะคะ” หล่อนยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมา กดปุ่มสองสามปุ่มและแจ้งรายละเอียดที่มาร์คบอกให้แก่ปลายสายฟัง “คุณบ๊อบบี้ คิม กับคุณเดวิด หลิวนะคะ เชิญขึ้นไปนั่งรอที่ห้องประชุมชั้นแปดได้เลยค่ะ”

     

    “ขอบคุณครับ”

     

    เมื่อขึ้นลิฟท์ไปถึงชั้นแปดซึ่งเป็นชั้นของภาควิชาประวัติศาสตร์ เจบีและมาร์คก็หันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาตำแหน่งห้องทำงานของรองศาสตราจารย์พัค และพบว่าอยู่ถัดจากห้องประชุมของภาคไปสองห้อง  เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพาพวกเขาไปนั่งให้ห้องประชุมที่อยู่ด้านในสุดของทางเดินพร้อมกับเสิร์ฟกาแฟและของว่างให้ 

     

    “อาจารย์น่าจะกลับมาตอนบ่ายโมงพอดี ยังไงรบกวนรอหน่อยนะคะ”

     

    “ไม่เป็นไรครับ  พวกผมมาก่อนเวลาอยู่แล้ว รอได้ครับ”

     

    เจบีและมาร์คจงใจมาถึงที่คณะก่อนเวลานัดเกือบหนึ่งชั่วโมง  ในช่วงเวลาพักเที่ยงนี้ อาจารย์ส่วนใหญ่และเจ้าหน้าที่ประจำภาควิชาน่าจะกำลังกินข้าวกลางวันกันที่โรงอาหารข้างล่างหรือไม่ก็ห้องแพนทรี  เมื่อกี้นี้ตอนที่เดินมายังห้องประชุม ก็แทบไม่เห็นใครอยู่ในห้องทำงานของตัวเองเลยสักคน

     

    ช่วงเวลานี้จึงเป็นเหมาะสมที่พวกเขาจะแอบเข้าไปค้นหาเบาะแสในห้องทำงานของรองศาสตราจารย์พัคก่อนที่เจ้าตัวจะมา พอเปิดประตูออกไปแล้วไม่พบใครบนทางเดิน  เขาสองคนจึงเดินตรงเข้าไปยังประตูห้องทำงานของเป้าหมาย ถึงจะล็อกอยู่แต่ก็ใช้เวลาไม่นานในการปลดล็อก

     

    ในห้องมีเพียงโต๊ะทำงานและชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยตำรามากมาย  มาร์ครีบตรงไปที่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คบนโต๊ะซึ่งเปิดโหมดสลีปทิ้งเอาไว้ คอมพิวเตอร์ติดรหัสผ่าน เขาจึงหยิบยูเอสบีที่มีโปรแกรมเจาะระบบที่ล็อกรหัสผ่านไว้ได้เสียบเข้าไป  ก่อนจะเริ่มใช้โปรแกรมคัดลอกไฟล์ข้อมูล และโปรแกรมตรวจจับการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพื่อดึงข้อมูลการเข้าเว็บไซต์ต่างๆ รวมถึงการรับส่งอีเมล ถ่ายโอนข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดมาในยูเอสบีตัวเล็กของเขา

     

    “นี่ ดูนี่สิ”

     

    เจบีทักมาร์คที่กำลังง่วนอยู่กับการเฝ้าดูสถานะของการถ่ายโอนบนหน้าจอ  เขาชี้ให้มาร์คเห็นตู้เซฟอิเล็กทรอนิกส์ที่ตั้งอยู่ในชั้นล่างสุดของชั้นวางตำรา ใช้อุปกรณ์แว่นตาพิเศษของตัวเองสแกนตรงแผงปุ่มกดรหัสหน้าประตูตู้เซฟและส่งข้อมูลให้จินยอง “จูเนียร์ จัดการที”

     

    “ทำไมเรียกเขาว่าจูเนียร์”  มาร์คถามเมื่อได้ยินเจบีเรียกบุคคลที่สามด้วยชื่อที่เขาไม่คุ้นหู แต่กลับโดนอีกฝ่ายย้อนมาว่า

     

    “ผมนึกว่าคุณไม่สนใจอะไรเกี่ยวกับตัวผมเสียอีก”

     

    มาร์คฉุนกึก “ผมแค่อยากรู้ว่าชื่อจูเนียร์เกี่ยวอะไรกับจินยอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ”

     

    “อีกไม่นานคุณก็ต้องเรียกเขาว่าเมอร์ลินอยู่แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าทำไมผมเรียกเขาว่าจูเนียร์ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณเหมือนกัน”

     

    คนโดนตอกกลับยังไม่ทันได้พูดอะไร  เจบีก็ได้รับการติดต่อกลับจากจินยองก่อน  [รหัสคือ 3827]  เขากดปุ่มรหัสตัวเลขตามลำดับที่จินยองบอก ได้ยินเสียงกริ๊กเบาๆ ที่บอกให้รู้ว่าปลดล็อกแล้วเรียบร้อย เขารีบดึงประตูตู้เซฟเปิดออกเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ข้างใน  ข้างในตู้มีซองเอกสารอยู่หนึ่งซอง เจบีหยิบปึกกระดาษที่อยู่ในนั้นออกมากรีดดูเนื้อหา  ส่วนใหญ่เป็นต้นฉบับของงานค้นคว้าวิจัย แต่กระดาษแผ่นที่สอดแทรกอยู่ในส่วนท้ายมีภาพแผนผังวงจรระเบิดและแผนที่เส้นทางการเดินรถพับซ่อนไว้อยู่อย่างแนบเนียน เส้นทึบหนาสีดำลากยาวลวกๆ จากตำแหน่งหนึ่งที่เจบียังดูไม่ออกว่าเป็นที่ใด เลี้ยววกวนไปจนถึงรูปสี่เหลี่ยมกาทับด้วยเครื่องหมายกากบาทซึ่งคงเป็นสัญลักษณ์แทนสถาตทูตอังกฤษ จากเส้นดำนั้นยังมีเส้นแดงหลายเส้นแตกแขนงออกมาและลากยาวออกไปยังจุดหมายอื่นๆ ที่กระจัดกระจายอยู่เต็มแผนที่

     

    เจบีหยิบเอกสารที่น่าจะเป็นข้อมูลสำคัญต่อภารกิจมาวางเรียงบนพื้น แล้วจึงใช้แว่นตาอันเดิมกดถ่ายรูปส่งไปให้จินยองเก็บไว้ จะได้ไม่ต้องขโมยเอกสารซึ่งอาจทำให้แผนการของพวกเขาแตก  เสร็จแล้วจึงเรียงเอกสารใส่ซองเก็บและปิดตู้เซฟกลับไปเป็นเหมือนเดิม

     

    “ผมว่าผมได้ของสำคัญแล้ว ข่าวลือเรื่องระเบิดน่าจะเป็นจริง และอาจารย์คนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องแน่ๆ  ทางคุณถึงไหนแล้ว”

     

    “เจ็ดสิบแปดเปอร์เซ็นต์ อีเมลของเขาเยอะมาก”

     

    เจบีดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือของตัวเอง “ไม่เป็นไร เรายังเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าเขาจะมา...”

     

    จู่ๆ ทั้งเจบีและมาร์คก็หันหน้าไปทางประตูห้อง ทั้งคู่ได้ยินเสียงกุกกักและเสียงกุญแจกระทบกันมาจากตรงนั้น ใครบางคนกำลังจะไขกุญแจเข้ามาในห้องนี้ อาจเป็นได้ทั้งรองศาสตราจารย์พัคหรือเจ้าหน้าที่คนอื่นที่มาเอาของ แต่นั่นไม่สำคัญเท่าว่าคนคนนั้นจะต้องไม่เห็นว่ามาร์คกำลังเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของเจ้าของห้อง และจะพับฝาปิดไปทันทีเลยก็ไม่ได้ เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาต้องเริ่มต้นคัดลอกข้อมูลใหม่อีกครั้ง และจะฉุกละหุกมากกว่าเดิม

     

    ชายหนุ่มชาวอเมริกันรีบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาดึงให้มาร์คมายืนตรงหน้าโต๊ะทำงาน ส่วนตัวเองยืนประจันหน้ากับมาร์ค หันหลังให้กับประตูห้องและใครบางคนที่กำลังจะผลักประตูเข้ามา  เจบีไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ส่วนมาร์คตะลึงจนไม่มีโอกาสได้ใช้สมองคิดอะไรเพราะเจบีโน้มใบหน้าเข้าใกล้และฉกฉวยริมฝีปากของเขาไป

     

    เจบีไม่ได้แค่เอาปากแตะเพื่อแกล้งจัดฉาก แต่เขากำลังจูบมาร์คจริงๆ  กลีบปากนุ่มบดเบียดเต็มที่ราวกับว่าการจูบกับมาร์คคือสิ่งสุดท้ายที่เจบีจะได้ทำ มือของเจบีจับไหล่ของเขาไว้แน่นเพื่อไม่ให้มาร์คดิ้นหนี  ใช้แรงเดียวกันกดร่างของมาร์คให้ค่อยๆ โน้มเอนไปด้านหลัง

     

    มาร์คได้ยินเสียงผู้มาเยือนหลุดเสียงหวีดร้องก่อนจะรีบเอ่ยว่า “ขอโทษค่ะ!” ตามด้วยเสียงปิดประตูอย่างรวดเร็ว แต่จากเสียงส้นสูงที่กระทบพื้นเพียงสองสามครั้ง ทั้งเจบีและมาร์ครู้ว่าเจ้าหล่อนยังคงรออยู่หน้าห้อง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา  คนตัวเล็กกว่าทุบอกเจบีเบาๆ เพื่อให้เขาปล่อย  เจบียอมถอนจูบ แต่ไม่ยอมให้มาร์คเป็นอิสระ 

     

    “เขาคงจะเข้ามาเอาของ เขายืนรอจนกว่าเราจะออกไปแน่ๆ” เขากระซิบบอก

     

    “ก็ให้ผมดูสิว่ามันเสร็จรึยัง”

     

    “ร้องเสียงดังๆ ซิ”

     

    เจบีสั่ง และเมื่อมาร์คมัวแต่อ้ำอึ้งไม่ทำตาม เขาก็จูบมาร์คอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ไล้ริมฝีปากลงมาบนลำคอขาว จับต้นขาของมาร์คให้แยกออกแล้วขยับสะโพกของตัวเอง บดเบียดส่วนสำคัญของพวกเขาเข้าด้วยกัน  สัมผัสเสียวซ่านทั้งจากริมฝีปากและลมหายใจอุ่นร้อนบนผิวกายกับแรงเสียดสีทางด้านล่างกระตุ้นให้มาร์คหลุดเสียงครางอือออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  แทนที่เจบีจะหยุดเมื่อมาร์คทำตามที่เขาต้องการ เขากลับยิ่งกระทำหนักหน่วงขึ้น  ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วแกะปมเนกไทของมาร์คออกจนหลวมพอ ปลดกระดุมด้านบนออกสองสามเม็ดและฝังใบหน้าลงไปบนแผ่นอกขาวที่ซ่อนอยู่ข้างใต้  ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปงับติ่งหูเบาๆ อย่างหยอกล้อ ส่วนมืออีกข้างลูบไล้ส่วนกลางลำตัวของคนที่อยู่ด้านล่าง รับรู้ได้ว่ามันเริ่มแข็งขืน และขยายตัวอย่างอึดอัดอยู่ภายใต้กางเกงสูทเนื้อผ้าดี  

     

    Fuckอื้มมม เจ...บ๊อบบี้ หยุดได้แล้วน่า...”

     

    คราวนี้พวกเขาได้ยินเสียงส้นสูงกระทบพื้นอีกครั้ง นานกว่าเดิมและค่อยๆ หายไปเมื่อเจ้าของมันเดินจากไปไกลเพราะทนฟังเสียงจากในห้องไม่ได้   เจบีจึงผละตัวเองออกมาจากมาร์คทันทีราวกับว่าเมื่อกี้พวกเขาไม่ได้ทำอะไรกัน  ผิดกับมาร์คที่ยังคงใจเต้นแรงและหายใจหอบถี่ ริมฝีปากบวมเห่อจากจูบของเจบีเมื่อครู่นี้ ปกและสาบเสื้อเชิ้ตขาวยับยู่ยี่  เจบีพยายามไม่หัวเราะเมื่อเห็นร่องรอยโป่งนูนเล็กน้อยตรงกลางกางเกงของอีกฝ่าย แต่พอนึกถึงเสียงครวญครางที่เกิดจากการปลุกเร้าอารมณ์ของตัวเองแล้วก็หลุดขำออกมา

     

    “ผมบอกให้คุณร้องเองแล้วนะ คุณไม่ยอมทำเอง”

     

    “คนอย่างคุณคิดออกแต่เรื่องแบบนี้รึไง” มาร์คพูดอย่างหงุดหงิด ไม่อยากนึกถึงเรื่องน่าอายที่ได้ทำลงไปและความรู้สึกคั่งค้างที่อยู่ด้านล่าง เขาเดินกลับไปดูคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างไว้ ตัวเลข ‘100%’ บนหน้าจอทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาได้นิดหนึ่ง อย่างน้อยเขาก็ไม่เสียงาน

     

    เจบียักไหล่ “นั่นเป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจแบบได้ผลที่สุด เขาไม่มองและไม่กล้าถามด้วยซ้ำว่าเราเข้ามาทำอะไรที่นี่ และจะไม่ถามถึงด้วย ถ้าเมื่อกี้เราใช้เข็มลบความทรงจำก็ต้องลำบากเอาร่างเขาไปซ่อนอีก”

     

    มาร์คเปิดโหมดสลีปให้กับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของรองศาสตราจารย์พัคเหมือนเดิมและพับปิด  ทั้งเขาและเจบีได้ข้อมูลสำคัญที่น่าจะเพียงพอแล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จดี ที่เหลือก็แค่กลับไปนั่งรอรองศาตราจารย์พัค พูดคุยกับเขาภายใต้หน้ากากนักวิชาการทางด้านประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกจากอเมริกาและอังกฤษที่พวกเขากำลังจะสวม

     

    ตอนที่พวกเขากำลังจะออกจากห้องทำงาน เจบีก็พูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนว่า

     

    “ลุยแต่งานจนไม่ได้นอนกับใครมานานแล้วหรือไง แค่นี้ก็...”

     

    “เงียบน่ะ”

     

    “นี่ถ้าอึดอัด คุณจะไปเข้าห้องน้ำก่อนก็ได้นะ เรายังพอมีเวลา”

     

    มาร์คหันขวับไปมองอีกฝ่ายตาขวาง ตัดสินใจว่าไม่ตอบโต้อะไรจะดีที่สุด

     

    การต้องทำภารกิจร่วมกับเจบีแย่กว่าที่เขาคิดไว้จริงๆ

     

    ***

     

    อีเมลที่มาร์คดึงข้อมูลมาได้เป็นหลักฐานที่ดีว่ารองศาสตราจารย์พัคเคยติดต่อกับหนึ่งในขบวนการต่อต้านอเมริกาอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนไปสนทนากันด้วยช่องทางอื่นแทน  จินยองเทียบแผนที่ที่เจบีได้มาเข้ากับฐานข้อมูลแผนที่ที่คิงสแมนมีอยู่  ตอนแรกพวกเขาสามคนคิดเหมือนกันว่าเครื่องหมายกากบาทนั้นแทนสถานทูตอังกฤษที่เป็นเป้าหมายวางระเบิด แต่พอเทียบแล้วเส้นที่แทนถนนกลับไม่ตรงถนนบนแผนที่จริงเลยสักนิด กว่าจะรู้ว่าเครื่องหมายนั้นคือโบสถ์ที่อยู่ใกล้ๆ กับสถานทูตก็ใช้เวลาพอสมควร พวกเขาคิดตรงกันว่าเส้นทางบนแผนที่คงเป็นเส้นทางลำเลียงระเบิดรอบแรก ก่อนที่คนที่โบสถ์จะนำระเบิดลูกนั้นเข้าไปในสถานทูตอีกที

     

    การตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเป็นหนทางที่ดีที่สุด เมื่อเทียบจุดหมายได้แล้วการเทียบต้นทางก็ไม่ยาก ต้นทางของเส้นทางลำเลียงระเบิดคือร้านอาหารเกาหลีเล็กๆ ร้านหนึ่งในย่านชุมชนนอกเขตตัวเมือง ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว ที่น่าสนใจคือเมื่อหลายปีก่อน เจ้าของร้านนี้เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับลูกค้าต่างชาติที่พยายามจะเข้ามาใช้บริการจนกลายเป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์อยู่สองสามวัน เมื่อสืบข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับตัวจอง มินชอล เจ้าของร้าน ถึงรู้ว่าครอบครัวของเขาเป็นคนเก่าคนแก่ของชุมชนแห่งนั้น และหลายคนรู้กิตติศัพท์ความเกลียดและความระแวงคนต่างชาติของเขาดี ถ้าคนแบบนี้จะให้ความร่วมมือกับขบวนการนี้ก็ไม่น่าแปลกใจ

     

    ในวันถัดไป เจบีกับมาร์คจึงขับรถไปยังร้านอาหารแห่งนั้นด้วยกัน แต่เจบีกลับบอกมาร์คที่กำลังจะลงจากรถว่าเขาจะเข้าไปคนเดียว และมีหรือว่าคนอย่างมาร์คจะยอม

     

    “นี่มันภารกิจคู่นะ ทำไมผมต้องนั่งรออยู่เฉยๆ ด้วย”

     

    “มินชอลไม่ชอบชาวต่างชาติ ผมไม่มั่นใจว่าเขาจะวางใจและปล่อยให้พวกเราอยู่ในร้านได้นานถ้าเขาได้ยินเราคุยภาษาอังกฤษกัน ถ้าผมเข้าไปคนเดียวเหมือนลูกค้าชาวเกาหลีคนอื่นๆ น่าจะง่ายกว่า”

     

    ได้ฟังเหตุผลของเจบีแล้วก็เข้าใจขึ้นมาได้บ้าง เจบีเป็นคนเดียวที่พูดภาษาเกาหลีได้ แต่พอคิดว่า รุ่นพี่อย่างตัวเองต้องนั่งรออยู่ข้างนอกคนเดียว ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ ก็อดไม่ได้ที่จะประชดออกมา

     

    “ถ้าคิดว่าตัวเองเก่งจนถึงขั้นจะลุยเดี่ยว ก็ไม่น่าลากผมออกมาด้วยตั้งแต่แรก”

     

    “ผมไม่เก่งพอที่จะลุยเดี่ยวหรอก ผมต้องพึ่งคุณ  หากเกิดอะไรขึ้นกับผมในนั้น...” เขายกนิ้วขึ้นแตะขาแว่นของมาร์คเบาๆ เพื่อบอกให้เจ้าของมันตั้งใจฟังทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากที่เจบีเข้าไปในร้านนั้น “ผมจะรอให้คุณมาช่วย”

     

    มาร์คหันหน้าหนีทันควัน ได้ยินเสียงคนข้างตัวหัวเราะในลำคอออกมานิดหนึ่งตามด้วยเสียงเปิดและปิดประตู ถึงความหงุดหงิดจะพุ่งสูงขึ้นมากกว่าเดิมแต่หน้าที่การงานก็ต้องมาก่อน เขาเปิดลำโพงตรงขาแว่นที่เชื่อมกับไมค์ขนาดจิ๋วบนตัวของเจบีเพื่อเตรียมฟังเสียงข้างใน

     

    พวกเขาจงใจมาถึงร้านที่นี่ตั้งแต่ร้านเพิ่งเปิดเพื่อหลีกเลี่ยงผู้คน เจบีน่าจะเป็นลูกค้าคนแรกที่เข้าไปใช้บริการ ฉะนั้นเสียงของชายอีกคนที่พูดภาษาที่มาร์คฟังไม่ออกสักคำน่าจะเป็นเสียงของมินชอลเจ้าของร้าน ฟังจากบทสนทนาที่ค่อนข้างยืดยาวเป็นพิเศษ มาร์คเดาว่าเจบีคงหาทางชวนอีกฝ่ายคุยเพื่อสร้างความไว้วางใจได้อย่างแนบเนียน  ต่อให้ไม่เข้าใจบทสนทนา แต่น้ำเสียงของทั้งสองคนช่วยทำให้มาร์ครู้ว่าต่างฝ่ายต่างอยู่ในอารมณ์แบบใด ทั้งสองคนคุยกันอย่างลื่นไหลอยู่สักพักก่อนที่เสียงของมินชอลจะหายไป

     

    ตอนนั้นเองที่มาร์คได้ยินเสียงขาเก้าอี้เลื่อนครูดกับพื้น เจบีตะโกนถามอะไรสักอย่าง ตามด้วยเสียงของมินชอลตอบคำถามของเจบีสั้นๆ  “คุณจะทำอะไร” เขาถาม แต่เจบีไม่ตอบเขาจนกระทั่งมาร์คได้ยินเสียงประตูปิด

     

    “หาอะไรก็ได้ที่จะโยงเขากับระเบิด”

     

    “เขาอยู่คนเดียวรึเปล่า คุณจัดการเขาเลยก็ได้นี่”

     

    “นั่นน่ะ ผมยังไม่แน่ใจ ผมกำลังจะออกจากห้องน้ำและไปทางหลังร้านนะ”

     

    เพราะยังไม่รู้นอกจากมินชอลแล้วอาจมี ศัตรูในร้านกี่คน และยังไม่ต้องการให้เกิดการต่อสู้ปะทะกันโดยไม่จำเป็น เจบีจึงพยายามหาเบาะแสจากภายในร้านอย่างเงียบเชียบ เขาแกล้งคุยกับมินชอลอย่างเป็นกันเองเหมือนว่าเป็นคนในพื้นที่ที่มาอุดหนุน ก่อนจะถามหาห้องน้ำแล้วแว่บออกมาทางหลังร้าน หลบหลีกไม่ให้เห็นมินชอลเห็นตอนที่เขาเดินผ่านส่วนที่เป็นห้องครัว

     

    ด้านในสุดของร้านไม่มีอะไรนอกจากห้องเก็บของที่ไม่ได้ล็อก และบันไดที่ขึ้นไปยังชั้นสอง ข้างในมีแค่อุปกรณ์ครัวเก่าๆ กับอุปกรณ์ทำความสะอาดอย่างไม้กวาดกับไม้ถูพื้น ไม่มีอะไรที่ดูน่าสงสัย แต่ชั้นสองนี่สิที่น่าสนใจ... เจบีหันหลังกลับ กำลังคิดว่าจะจัดการมินชอลตั้งแต่ตอนนี้แล้วเรียกให้มาร์คเข้ามาสำรวจชั้นสองด้วยกัน ก็สะดุดเห็นกับอะไรบางอย่างบนพื้นทางเดินเสียก่อน...

     

    “กาเวน ผมเจอบันไดขึ้นไปชั้นสอง และประตูลงไปใต้ดิน คุณคิดว่า...”

     

    มาร์คยังไม่ทันฟังประโยคของเจบีจนจบ เขาก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของผู้ชายดังแทรกขึ้นมาหลายเสียงเป็นภาษาที่เขาฟังไม่เข้าใจ มาร์ครีบคว้าอาวุธปืนของตัวเองแล้วเปิดประตูรถออกไปโดยไม่รีรอ เขาไม่รู้ว่า ศัตรูออกมากี่คนแล้วเจบีจะรับมือไหวหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ เจบีกำลังอยู่ในสถานการณ์อันตราย

     

    ทันทีที่มาร์คเข้าไป เขาก็เห็นว่าเจบีกำลังต่อสู้อยู่กับผู้ชายชาวเกาหลีสามคน ต่างคนต่างแลกกันประเคนหมัดอย่างไม่มีใครยอมใคร ส่วนมินชอลที่มาร์คจำหน้าได้เพราะเคยเห็นรูปอยู่จากตอนประชุมวางแผนเมื่อคืนหันขวับมาทางมาร์คอย่างทันควัน ชายหนุ่มรีบจัดการยิงปืนที่อยู่ในโหมด ‘STUN’ ไปทางมินชอล ชายคนหนึ่งพอเห็นว่านายตัวเองโดนยิงจนสลบก็กำลังจะพุ่งตัวมาทางมาร์ค แต่จะไวแค่ไหนก็ไม่ทันมาร์คที่จัดการยิงเป้าหมายจนสลบไปอีกราย  เมื่อหันไปทางเจบีอีกที ก็เห็นว่าฝ่ายนั้นจัดการเหวี่ยงร่างของศัตรูเข้ากับกำแพงจนทรุดลงไปกองที่พื้น ก่อนที่จะโดนเท้าของเจบีเตะเปรี้ยงเข้าที่กกหูอีกครั้งและหมดสติไป

     

    คนร้ายคนสุดท้ายที่เหลืออยู่รุดเข้าไปในส่วนครัว หยิบมีดเล่มใหญ่ออกมาและกำลังจะแทงเจบีจากข้างหลัง แต่เจบีรู้ตัวเสียก่อน กำลังจะหันไปจัดการ แต่มาร์คที่ยืนอยู่ในระยะไกลก็แย่งคะแนนของเขาไปด้วยการยิงคนร้ายนั้นให้ล้มลง

     

    มาร์คก้าวเท้าเดินข้ามร่างของคนร้ายที่นอนสลบอยู่แล้วตรงไปทางเจบี อดไม่ได้ที่จะเหยียดยิ้มเยาะ

     

    “ให้ผมเข้ามาด้วยแต่แรกก็หมดเรื่อง”

     

    จู่ๆ ประตูร้านก็เปิดขึ้นอีกครั้ง มาร์ครีบหันหลังขวับ ระยะห่างจากเขากับคนร้ายที่เพิ่งพุ่งตัวเข้ามาจากด้านหน้าร้านใกล้กันเกินไปจนเขายกปืนขึ้นยิงโจมตีเหมือนเมื่อกี้ไม่ทัน สมองสั่งการอย่างรวดเร็วว่าควรใช้อาวุธที่จัดการได้ในระยะประชิดอย่างแหวนช็อตไฟฟ้า แต่ร่างกายของเขากลับตอบสนองช้าไปเพียงเสี้ยววินาที มีดทำครัวปลายแหลมที่เกือบได้ชิมเลือดเจบีเมื่อกี้นี้บินฉิวมาจากทางด้านหลังของมาร์คอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนู ปักลงตรงกลางหน้าอกของศัตรูพอดิบพอดีเสียก่อนจนมันเสียจังหวะและล้มลงไป

     

    เจบีมองผลงานที่พิสูจน์ความแม่นยำของตัวเองอย่างพึงพอใจ สวนกลับให้อีกฝ่ายรู้สึกหมั่นไส้เล่นว่า

     

    “ต่อให้คุณไม่เข้ามา ผมก็จัดการได้น่า”

     

    “ลองเจอเป็นสิบคนแล้วจะหนาว อย่าอวดดีให้มันมาก”

     

    ยังไงก็ขอบคุณที่เข้ามาช่วยนะ”

     

    คำขอบคุณจากปากของคนที่ชังทำให้มาร์ครู้สึกดีขึ้นแค่นิดเดียวเท่านั้น

     

     

     

    จากการที่มีสมุนวิ่งลงมาจากชั้นสองและตะโกนโหวกเหวกโวยวายตอนที่เห็นเจบียืนอยู่ตรงประตูทางเข้าชั้นใต้ดิน ทำให้เจบีและมาร์คไม่สงสัยแล้วว่าที่นี่จะต้องมีอะไรสำคัญซ่อนอยู่แน่นอน พวกเขาแยกย้ายกันไปหาเบาะแสเพิ่มเติม จึงพบว่าชั้นสองเป็นเหมือนที่อยู่อาศัยของพวกลูกสมุนที่เจบีกับมาร์คช่วยกันจัดการไปเมื่อกี้นี้ ส่วนในชั้นใต้ดินมีของสำคัญอย่างที่พวกเขาคิดไว้ นั่นก็คือระเบิดเวลาที่ใช้โทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งเป็นตัวจุดชนวน  มาร์คจัดการตัดสายชนวนระเบิดทิ้ง ดูจากการประกอบระเบิดที่ยังไม่เนี้ยบขนาดนั้น เจบีคิดว่ากลุ่มของมินชอลคงจะประกอบกันเอง

     

    นอกจากนี้พวกเขายังพบเอกสารเกี่ยวกับสถานทูตของประเทศอื่นๆ ในเกาหลีใต้ ซึ่งล้วนเป็นประเทศที่ผู้นำออกมาแสดงเจตจำนงชัดเจนว่าสนับสนุนนโยบายของสหรัฐอเมริกา มีทั้งข้อมูลตำแหน่งที่ตั้ง การเดินทาง ประตูทางเข้าออก นั่นหมายความว่าสถาตทูตอังกฤษไม่ใช่เป้าหมายเดียวของกลุ่มนี้ แต่สถานทูตของประเทศอื่นๆ ก็กำลังจะโดนวางระเบิดด้วยเหมือนกันหากพวกเขาไม่เข้ามาลงมือจัดการเสียก่อน

     

    หลังจากนี้พวกเขาก็คงจะส่งตัวมินชอลกับพรรคพวกให้กับทางรัฐบาลของอังกฤษอย่างเงียบเชียบต่อไปตามที่ตกลงกันไว้ รวมถึงให้ชื่อและหลักฐานมัดตัวรองศาสตราจารย์พัคกับหนึ่งในขบวนการต่อต้านอเมริกาที่เขาติดต่อด้วย

     

    เป็นอีกครั้งที่คิงสแมนช่วยกู้โลกเอาไว้ได้โดยไม่มีใครรับรู้

     

    ***

     

    เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว มาร์ค เจบี และจินยองก็นั่งเครื่องบินเพื่อกลับกองบัญชาการที่อังกฤษ แม้ว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยด้วยดี ยกเว้นรอยฟกช้ำบนใบหน้าของเจบี แต่สีหน้าไม่สบายใจของเขาก็ทำให้จินยองผิดสังเกต

     

    “คุณคิดอะไรอยู่เหรอ เจบี”

     

    ดวงตาเรียวเหลือบมองคนถามนิดหนึ่ง ก่อนจะเผยสิ่งที่ทำให้ตัวเองอึดอัดใจออกมา

     

    “ที่จริงผมติดใจเรื่องนี้ตั้งแต่ได้ฟังภารกิจแล้ว แต่อยากทำงานให้เสร็จอย่างสบายใจเลยไม่พูดอะไร แลนสล็อตเคยบอกผมว่าคิงสแมนเป็นองค์กรอิสระ ไม่ขึ้นกับใคร เน้นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่า... คุณว่าภารกิจนี้มันไม่แปลกๆ เหรอ”

     

    จินยองทราบคำตอบโดยที่เจบีไม่ต้องเฉลย “มันเป็นภารกิจที่มาจากรัฐบาลโดยตรง” และเป็นภารกิจที่เอื้อประโยชน์ต่อสหรัฐอเมริกาด้วย  

     

    “เมอร์ลินบอกอะไรคุณบ้างหรือเปล่า อาเธอร์เป็นคนรับภารกิจนี้มาจากคนของรัฐบาล”

     

    พอได้ยินชื่อคนที่ตัวเองเคารพ มาร์คก็ขัดขึ้น “อาเธอร์อาจแค่ต้องการความมั่นคงในคิงสแมน ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว เรายืนหยัดอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ได้หรอก”

     

    “ความมั่นคงหรืออำนาจกันแน่”

     

    พอโดนเจบีย้อนถามกลับมาแบบนั้น มาร์คเลยเลือกที่จะนิ่งเฉย เขารู้ว่าระยะหลังมานี้คิงสแมนเปลี่ยนไปมาก การรับคนอย่างเจบีเข้ามาก็เป็นเรื่องหนึ่ง การที่เมอร์ลินผู้ทำงานที่นี่มาหลายสิบปีกำลังจะสละตำแหน่งและมีจินยองเข้ามารับช่วงต่อแทนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การที่อาเธอร์เริ่มรับงานจากรัฐบาลหรือหน่วยข่าวกรองของประเทศต่างๆ มากขึ้นทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำมาก่อนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และคงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดด้วย เพียงแต่เขาเชื่อในตัวอาเธอร์เกินกว่าจะตั้งคำถาม เขาเชื่อว่าสิ่งที่อาเธอร์ทำไปทุกอย่างย่อมเกิดจากความหวังดีต่อคิงสแมน

     

    คิงสแมนผ่านความเปลี่ยนแปลงมามากมายตั้งแต่ยุคสงครามโลกมาจนถึงยุคปัจจุบัน การที่จุดยืนของอาเธอร์ที่ก็ไม่ใช่คนเดิมกับเมื่อเกือบร้อยปีก่อนก็ย่อมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่ใช่หรอกหรือ บางทีในอีกหลายปีข้างหน้า อาจจะมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขององค์กรนี้เกิดขึ้นก็ได้  

     

    เมื่อคร้านจะต่อปากต่อคำกับเจบีต่อ มาร์คจึงไม่ใส่ใจและกำลังจะหลับตาลงเพื่อพักผ่อน แต่สายตาแปลกๆ ของจินยองที่มองมาทางเขาทำให้มาร์คสงสัย

     

    “คุณมีอะไรหรือเปล่า จินยอง”

     

    “ปะ...เปล่าครับ” ว่าที่เมอร์ลินหลบสายตา

     

    เขานึกย้อนไปตั้งแต่วันที่เขากับเจบีกลับมาจากมหาวิทยาลัย จินยองก็เอาแต่พูดอธิบายข้อมูลกับเจบีโดยไม่ยอมสบตากับเขา ตอนแรกเขานึกว่ามันไม่มีอะไร แต่การที่จินยองยังหลบตาเขาอยู่มาจนถึงตอนนี้ย่อมมีอะไรผิดปกติแน่นอน  ปกติจินยองไม่เป็นแบบนี้

     

    กลายเป็นคนที่นั่งเบาะด้านหลังของเขาเองที่ให้คำตอบ

     

    “ตอนที่เราอยู่ด้วยกันในห้องทำงานอาจารย์พัคน่ะ... ผมใส่แว่นอยู่ แล้วจินยองก็...”

     

    คนที่มองเห็นทุกอย่างในวันนั้นยังคงไม่กล้าสบตามาร์ค ซ้ำยังก้มหน้างุดกว่าเดิมพลางพึมพำขอโทษ ผิดกับคนเฉลยที่พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนคุยเรื่องทั่วไป มาร์คเริ่มเดือดปุดๆ สำหรับคนทำอย่างเจบีมันคงไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร แต่สำหรับมาร์คที่โดนจู่โจมแบบนั้น ซ้ำยังโดนบุคคลที่สามเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจนี่มันเป็นเรื่องที่น่าอับอาย เขานึกอยากย้อนเวลาไปบีบคอไอ้คนที่ประดิษฐ์แว่นนี่ขึ้นมาเหลือเกิน

     

    มาร์คสัญญากับตัวเองในใจทันทีว่าต่อให้เป็นอาเธอร์ร้องขอ เขาก็จะไม่มีวันทำงานร่วมกับเจบีอีกเป็นอันขาด!เขาพยายามไม่สนใจใบหน้าที่เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมานิดหนึ่งของตัวเอง พยายามสลัดสัมผัสของเจบีที่ย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้งทั้งที่อุตส่าห์ลืมไปได้แล้วแท้ๆ  ชายหนุ่มเอนหลังพิงกับเบาะ ยกขาขึ้นไขว่ห้าง หวังว่าการได้จิบแชมเปญรสดีจากแก้วตรงหน้าและการหลับพักผ่อนให้สบายจนกว่าจะถึงอังกฤษคงช่วยให้ลืมอะไรบ้าๆ นั่นทิ้งไป และไม่ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆ จากคนด้านหลังอีก

     

    เอาเถอะ มาร์ค ต้วน อะไรน่าอายแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองหรอก

     

     

    END.


    กลับมาอีกแล้วกับ Kingsman AU คุณทนความป่วยสูทนี้ได้แค่ไหน
    เหตุการณ์ในเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนเรื่อง Suit กับ Collar and Leash นะคะ

    จริงๆ เขียนเรื่องนี้ไว้นานแล้วค่ะ ตั้งแต่เขียน Collar and Leash จบใหม่ๆ เลย แต่ตันเลยดองไว้
    แล้วเราก็โดนบิ๊วอีกครั้งจากทั้งเมมเบอร์ในวง คุณพ่อของเมมเบอร์ และทล.ที่ทวงเอยูนี้กันยิกๆ /ร้องไห้ ก็เลยจัดจนจบได้
    ขอบคุณทุกคนมา ณ ที่นี้ค่ะ 





    (แต่ถ้าเป็นเคย์กับกาเวนในเรื่องคงไม่ถ่ายเซลก้าด้วยกันหรอกเนอะ5555)


    ส่วนจะมีสปินออฟออกมาอีกมั้ยนั้น... รอเราป่วยสูทอีกทีละกันนะคะ


    - สมสน.


    (c) Chess theme
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×