คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ฟิคสั้นขนาดยาว: krischanyeol - butterflies & hurricanes - 01.
.
.
.
Butterflies & Hurricanes
Kris x Chanyeol
Hashtag: #bkaffeefiction
Twitter: @BKAFFEE
มีคนบอกกาแฟว่า ถ้าอยากฆ่าอะไร ให้เอามาฆ่าในฟิค
พอดีตอนนี้มีหลายความรู้สึกที่อยากฆ่าให้ตาย งั้นก็ต้องเอามาเขียนแล้วขูดลบขีดฆ่าให้มันตายในนี้
คำแนะนำ: โปรดอ่านอย่างเชื่องช้า ค่อย ๆ บดเคี้ยวจนละเอียดและกลืนลงคออย่างนุ่มนวล
CH1.
เมื่อคริสปรากฏตัวขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันในทันทีคือเขาแทบจะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมทางความรู้สึกสำหรับใคร ๆ หลายสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นตัวเขา ถูกมองได้ในทิศทางนั้นแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินเปลือยเท้าไปมาริมน้ำ หรือบริเวณรอบตึกเรียน และเดินไปไหนต่อไหนด้วยใบหน้าของคนกึ่งหลับกึ่งตื่น ราวกับไม่พร้อมรับรู้โลกที่ขึงพรืดอยู่ตรงหน้า
บางคราว คุณสามารถพบเห็นเขาในชุดไปรเวศขมุกขมัว เต็มไปด้วยรอยยับ และหากขยับเข้าไปใกล้ จะได้กลิ่นของสีน้ำมัน กลิ่นดินปั้น กลิ่นที่ติดตรึงตัวเขาไปไหนมาไหนคอยบ่งบอกยี่ห้อของนักศึกษาภาควิชาประติมากรรม แม้จะถอดเปลี่ยนเสื้อผ้ามาหมาด ๆ แต่กลิ่นนั้นก็ยังคงอยู่ ผสมกับกลิ่นเหงื่อและกลิ่นหอมจางของเสื้อผ้าที่เพิ่งแห้งจากแดดโลมเลีย กลิ่นนั้นไม่เคยหาย ราวฝังอยู่ในร่างกาย บางทีอาจอยู่ในเส้นผม รูขุมขน หรือซอกหลืบที่ไม่อาจรู้ได้
อย่างไรก็ตาม หากต้องการเจอตัวเขาเป็น ๆ นั้นไม่ง่ายนัก เพราะในเวลาปกติที่คุณหรือใครแต่งชุดนักศึกษาเต็มยศออกมาเรียน ทำงาน หรือทำภารกิจใดใดในบริเวณรอบมหาวิทยาลัย พื้นที่ที่คริสอยู่กลับมีเพียงตึกของภาควิชาที่อยู่ไปทางด้านหลังของมหาวิทยาลัยเท่านั้น ตึกใหญ่โตสองตึกกินบริเวณกว้าง อาคารเรียนมีเพียงตึกเดียวตั้งสูง แต่บันไดอาคารกลับหันเผชิญหน้ากับรั้ว เป็นตึกที่สามชั้นบนใช้เรียนวิชาทฤษฎีทั้งหมด ส่วนสามชั้นล่างเป็นพื้นที่สำหรับนักศึกษาภาคเพ้นต์ แนบข้างด้วยตึกปั้นสำหรับเด็กภาคประติมากรรม เป็นโถงกว้างสูงราวกล่องบิดเบี้ยวไม่อาจคะเนได้ว่านั่นคือสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือจตุรัส เด็กจิตรกรรมทั้งหมดใช้ชีวิตการเรียนและทำงานอยู่ตรงนี้ สวมชุดไปรเวศเข้ามาเรียน ทำงานส่ง หามรุ่งหามค่ำและเนื้อตัวเปรอะเปื้อนราวกรรมกรก็ไม่ปาน
ดูแยกออกเป็นเอกเทศจนยิ่งแปลกแยกครุมเครือสำหรับคนส่วนใหญ่ พวกเขากลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับสถานที่ แต่เมื่อเลยพ้นเขตแดนตนเอง ความอิหลักอิเหรื่อมักจะเข้าปกคลุมเสมอ ไม่ใช่ด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ ไม่ใช่ด้วยความกังขา แต่เป็นเพราะความแตกต่างสร้างม่านบางเฉียบกั้นกลาง พวกเขามักเป็นไปในแบบนั้น แต่คริสเป็นไปในแบบนั้นด้วยอาการของความพิเศษที่แทรกเพิ่มเข้ามา
บรรยากาศรอบตัวคริสราวกลับแรงดึงดูดมหาศาลของพื้นโลก ทุกคนที่สวนผ่านล้วนจับจ้อง แรกมองคือรูปลักษณ์ ผมสีทองสว่าง ใบหน้าคมหล่อจัด ร่างสูงเฉียดสองเมตร เขาดูดี ดูดีเอามาก ๆ ทุกคนที่ได้เห็นล้วนอยากปรี่เข้าหา แต่เมื่อเดินเข้ามายังไม่ทันจะประชิดตัว เพียงแค่ระยะครึ่งเอื้อมคว้าในจินตนาการ ก็ต้องล่าถอยถอดใจ ไม่น้อยที่แรงใจล้นเหลือ พยายามเพื่อแตะตัวให้ได้สักวินาที แต่ทันทีที่แตะมือทาบ อากาศและน้ำที่หวังว่าจะมีอยู่บนโลกอันอุดมให้ได้ดื่มกินและหายใจก็หายวับ คริสมีแค่แรงโน้มถ่วงปลอม ๆ และโลกแห้งแล้งที่ไม่มีแม้อากาศสักนิดหน่อยให้ใครได้พะงาบเข้าไป
เขาจึงเหมือนสิ่งแปลกปลอมทางความรู้สึกสำหรับใคร ๆ เสมอ เชิญชวนให้เข้าหาด้วยความผิดแผก แต่ก็ไม่เคยมีใครเข้าไปถึง แต่ก็ดึงดูด แต่ก็รั้งดึงให้ใครต่อใครวิ่งเข้าไป เพื่อถูกผลักออกมา และเพื่อเข้าไปใหม่ อิรุงตุงนังอยู่แบบนั้น
ชานยอลเองก็เป็นหนึ่งในบรรดาคนพวกนั้นเช่นกัน เป็นหนึ่งในจำนวนคนมากมายที่สัมผัสบรรยากาศรอบตัวคริสเพียงเสี้ยววินาทีแล้วอยากกระโจนเข้าไปหา เพียงแค่ไม่ใช่ด้วยอารมณ์เว้าวอนปรารถนา ไม่ได้ใกล้เคียงคำว่ารัก แต่เป็นคำว่าถูกใจ คริสมีบรรยากาศและองค์ประกอบโดยรวมรวมถึงยิบย่อยที่ถูกใจชานยอลจนละสายตาไม่ได้
ปาร์คชานยอลเจอคริสในวันหนึ่งตอนใกล้เช้า ท้องฟ้าเริ่มสว่างทีละนิดจนกลายเป็นสีน้ำเงินสดไม่ใช่สีดำมะเมื่อมเหมือนเมื่อชั่วโมงก่อน เขายังทำงานอยู่ในตึกเรียนแม้เวลาจะล่วงเลยมาป่านนี้ แต่จะเรียกว่าตึกเรียนก็พูดได้ไม่เต็มปาก สถานที่เรียนและสถานที่ทำงานของปาร์คชานยอลคือโรงละครขนาดเล็กรูปทรงแปดเหลี่ยมเป็นโดมขึ้นไป มุงด้วยหลังคาสีแดงที่เก่าจนกลายเป็นคล้ำ ตั้งอยู่ริมน้ำที่ไหลผ่ากลางมหาวิทยาลัย ห่างจากโรงละครไปเพียงไม่กี่ก้าว มีสะพานไม้ขนาดกว้างสองช่วงแขนพาดผ่านทางน้ำ เสาไฟที่สะพานสาดแสงส้มนวลตา กระทบน้ำพราวระยิบ เขาเดินไปหมายจะนั่งทอดอารมณ์สูบบุหรี่กลางสะพานให้หายเครียด แต่ก็พบคริสนั่งอยู่ก่อน
คริสสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวพับแขน กางเกงยีนฟอกสี ทั้งเสื้อทั้งกางเกงเลอะสีและคราบดินโคลนเป็นจุด ๆ ต่างจากชานยอลที่สวมเสื้อผ้าสีดำทั้งชุด คริสไม่ปรายตามองบุคคลมาใหม่แม้เสี้ยววินาที สายตาครึ่งหลับครึ่งตื่นคู่นั้นจับจ้องไปยังตรงไหนสักแห่งของขอบฟ้า และเท้าคู่นั้นก็เปลือยเปล่า ชานยอลเห็นรองเท้าแตะคู่หนึ่งถอดไว้ปลายสะพาน นั่นน่าจะเป็นของอีกคน
คล้ายว่าจะตกหลุมรัก แต่ไม่ใช่การตกหลุมรักใครสักคน
มันแค่เหมือนการตกหลุมรักตัวละครสักตัวจากหนังหรือละครที่เราดูหรือจากหนังสือที่เราอ่าน
ปาร์คชานยอลตกหลุมรักคริสในรูปแบบนั้น
“คุณเล่นละครเวทีให้ผมได้ไหม”
ชานยอลถามออกไปหลังจากสูบบุหรี่หมดไปครึ่งมวน ระยะเวลาของบุหรี่ครึ่งมวนที่เขาเอาแต่จับจ้องใบหน้าของชายแปลกหน้าที่เขาไม่เคยเห็น ไม่ใช่เด็กคณะเขาแน่ ๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นรุ่นพี่หรือรุ่นน้อง หรืออาจจะเรียนจบไปแล้วก็ได้ เขาไม่รู้อะไรเลย แต่เขากลับยั้งปากตัวเองให้ถามออกไปแบบนั้นไม่ได้ เขาไม่อยากแม้แต่จะเสียเวลาแนะนำตัวเองหรือเกริ่นนำอารัมภบทอะไรก่อน ความรู้สึกเข้มข้นและอัดแน่นขับเคลื่อนให้เขาเอ่ยคำนั้นออกมาทันที
ใบหน้าคมที่ไม่เคยหันมาทางเขาเลยตลอดเวลาที่เรานั่งกันท่ามกลางความเงียบบนสะพานหันกลับมามองอย่างสงสัย เหมือนมีเครื่องหมายคำถามแปะอยู่บนหน้า ชานยอลครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ที่เพิ่มมากขึ้น ความสงสัยที่ส่งผ่านมาย่อมดีกว่าความว่างเปล่า อย่างน้อยคนตรงหน้าก็ไม่ได้มีคาแรกเตอร์ประหลาดผิดแปลกจนคุยด้วยไม่รู้เรื่อง
“ผมพูดจริง คุณเล่นละครเวทีให้ผมได้ไหม อย่าเพิ่งปฏิเสธนะ คุณฟังผมก่อนสักห้านาทีได้รึเปล่า”
ไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ และชานยอลถือว่าความเงียบคือการให้โอกาส
“ผมชื่อปาร์คชานยอล อยู่ปีสี่ เอกละคร ผมกำลังจะทำธีสิสจบ ผมชอบคาแรกเตอร์คุณมากเลย คุณเล่นละครเวทีให้ผมหน่อยได้ไหม คุณเคยเล่นละครหรืออะไรทำนองนี้มาบ้างรึเปล่า แต่ไม่เคยเลยก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงนะว่าจะเล่นไม่ได้ แค่ผมอยากให้คุณลองก่อน แค่คุณอยากจะลองดูและเชื่อว่าคุณจะเล่นได้ ที่เหลือคือผมมีหน้าที่ที่จะทำให้คุณเล่นละครให้ได้เอง”
เขาค่อย ๆ พูดช้า ๆ ยิ้มกลั้วไปกับคำพูดเหล่านั้น
“นะ เล่นละครเวทีให้ผมหน่อยได้ไหม”
ชานยอลสบตาอีกฝ่ายอยู่นาน เขายังคงยิ้มน้อย ๆ ดวงตากลมโตส่องประกายระยับไม่ต่างจากผืนน้ำที่ต้องแสงไฟ
“ทำไมมาชวนผมล่ะ”
นั่นคือคำถามแรกที่ได้รับกลับมาตั้งแต่ชานยอลเปิดบทสนทนาขึ้น ปาร์คชานยอลดูไม่ออกว่าคน ๆ นี้สนใจเล่นละครเวทีให้เขารึเปล่า แต่เขาคิดว่าอีกคนเหมาะกับที่นี่เหลือเกิน เหมือนที่เขาก็พบว่าตัวเองเหมาะกับที่นี่มากกว่าที่ไหน ๆ บนโลก
“เพราะคุณเปลือยเท้าบนสะพาน และคุณก็เอาแต่มองขอบฟ้า ไม่มองหน้าผมเลยสักครั้ง”
“แค่นี้?”
คริสถามด้วยความประหลาดใจ และก็ต้องประหลาดใจหนักขึ้นเมื่อคนที่แนะนำตัวว่าชื่อปาร์คชานยอลพยักหน้าให้เขาอย่างแข็งขัน จริงจังจนเขาต้องเชื่อว่าอีกฝ่ายมาชวนเขาไปเล่นละครเวทีธีสิสอะไรนั่นด้วยเหตุผลนี้จริง ๆ
“ผมกวนคุณรึเปล่า ผมคุยกับคุณก่อนได้ใช่ไหม”
“ก็... ก็ได้มั้ง...”
“แนะนำตัวกันหน่อยไหม ผมไม่รู้จะเรียกคุณยังไงดี”
ชานยอลยิ้มกว้างเป็นมิตร คริสอดรู้สึกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายช่างน่าคบหา ทั้งที่พุ่งตรงเข้ามาถามคำถามสั้นง่ายไม่ยืดเยื้อ ตรงประเด็นไร้บทเกริ่นนำ แต่กลับไม่ได้ดูรุกล้ำคุกคามความเป็นส่วนตัว หรือดูอ้อนวอนขอร้องจนน่ารำคาญ
“ชื่อคริส อยู่ปีห้า จิตรกรรม”
“แก่กว่าผมนี่นา กะแล้วว่าถ้าไม่เรียนเดค ถาปัตย์ ก็ต้องเป็นจิตรกรรม พี่เรียนภาคไหน ผมสนิทกับไอ้พวกปีสี่จิตรกรรมเยอะเลย”
“เรียนปั้น พวกไหน พวกไอ้หวังเหรอ”
“ใช่ๆๆ พี่เรียนภาคเดียวกับพวกมันเลยนี่ แต่ตึกพี่กับตึกพวกมันอยู่คนละฝั่งกันนี่นา ถึงว่าผมถึงไม่เคยเจอพี่เลย”
ชานยอลคิดว่าความอึดอัดระหว่างคนไม่รู้จักชักลดลงไปกว่าครึ่ง คริสเรียนจิตรกรรมภาคประติมากรรมปีห้า ปีสุดท้ายของหลักสูตร ในขณะที่เขาสนิทสนมกับเพื่อนจิตรกรรมภาคเดียวกับคริสแทบทั้งภาค หลังส่งงานทีไร เจ้าพวกนั้นมักโทรนัดเขาให้ไปกินเบียร์ที่ตึกด้วยกันเป็นประจำ ซ้ำ”พวกไอ้หวัง”ที่คริสพูดถึง ก็เป็นกลุ่มที่เขารู้จักคุ้นเคยมากที่สุด
“แล้วตกลงพี่สนใจมาเล่นละครเวทีให้ผมไหม”
“ก็... ยังไม่รู้เหมือนกัน”
คริสตอบไปตามตรง เขาไม่ได้รู้สึกไม่อยากเล่น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอยากเล่น ช่วงนี้เขาก็กำลังทำธีสิสอยู่เหมือนกัน แม้จะจัดเวลาไว้ค่อนข้างดีจนคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องเวลาบีบรัด แต่การเอาเวลาที่ยังพอมีมาลงกับธีสิสรุ่นน้องคณะอื่นก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่อยู่ในหัวเขามาก่อน ความจริงเขาควรปฏิเสธ แต่สิ่งที่ทำให้พูดปฏิเสธไม่ได้เป็นเพราะคนที่กำลังชวนเขาคุยจ้ออยู่ตอนนี้
“งั้นผมต้องทำยังไงดีให้พี่รู้ว่าอยากเล่นหรือไม่เล่น”
คำถามชวนปวดหัว แต่แปลก ปาร์คชานยอลไม่น่ารำคาญเลย มันน่าแปลกมากที่เขากำลังคุยกับคนไม่รู้จักอยู่นานสองนานโดยที่ไม่ได้รู้สึกอึดอัด เหมือนชานยอลรู้จักการรักษาจังหวะในการเข้าหาใคร ๆ ทิ้งระยะได้สมบูรณ์แบบ เป็นธรรมชาติจนนึกนับถือ
“ฉันก็ต้องทำธีสิสเหมือนกัน”
“พี่มีเวลาให้ผมวันละสามชั่วโมงก็พอ ตอนไหนก็ได้ วันไหนไม่ว่างมาไม่ได้ก็แค่บอกผมก่อน ตารางซ้อมผมจัดการได้ ผมเอื้อให้พี่อยู่แล้ว”
“ทำไมไม่ลองไปถามคนอื่นก่อนล่ะ ที่น่าจะโอเคกว่าฉัน”
“ก็ผมยังไม่เจอใครโอเคกว่าพี่นี่ครับ ผมอยากได้สเตฟาโน่แบบนี้”
“สเตฟาโน่?”
“ตัวเอกในธีสิสผมเอง ผมจับเรื่องสั้นมาทำ ดัดแปลงบทและกำกับการแสดงเอง ทำเองตั้งแต่ต้นจนจบ ธีสิสเอกผมเป็นแบบครอบจักรวาล”
“เรื่องอะไรเหรอ”
“The man who sold his shadow ถามงี้คือพี่สนใจขึ้นมาบ้างแล้วใช่เปล่า”
ชานยอลถามและยังคงยิ้มพราวเรี่ยราด คริสอดยิ้มขึ้นมานิด ๆ ไม่ได้เมื่อในใจเขากำลังตอบว่าใช่ เขาสนใจ ไม่ใช่ละครหรอก แต่เป็นปาร์คชานยอลต่างหาก
“นายเป็นเด็กที่แปลกดี”
“ก็มีคนบอกผมบ่อย ๆ พี่เองก็เหมือนกันนะ ผมว่าบรรยากาศรอบตัวพี่มันแปลกดี”
“ยังไงล่ะ หืม”
“พี่ไม่คิดเหรอว่าเราสองคนคล้ายกันจะตายไป”
คริสมองตามสายตาของชานยอลที่กดต่ำลงพื้น โฟกัสที่เท้าเปล่าเปลือยของตนเอง เขาสองคนถอดรองเท้าทิ้งไว้แล้วเดินเท้าเปล่าบนพื้นสะพานไม้กันทั้งคู่ แล้วพลัน ชานยอลก็ปีนขึ้นไปนั่งบนขอบสะพาน ควักบุหรี่อีกมวนขึ้นจุดสูบ คริสมองกลุ่มควันสีขาวที่ถูกพ่นออกมา เลยไปจนถึงขอบฟ้าที่เริ่มมีแสงพาดจับ
“พี่รู้ไหมว่าฟ้าจะเปลี่ยนสีทุกสามนาที”
“จริงเหรอ”
“ไม่รู้เหมือนกัน เคยอ่านเจอในหนังสือ ตัวละครหนึ่งบอกว่า ฟ้าจะเปลี่ยนสีทุกสามนาที”
ความเงียบต่อบทสนทนาระหว่างคนสองคนให้ยืดยาวออกไป ชานยอลจับสายตาไว้ที่ขอบฟ้า ในขณะที่คริสมองท้องฟ้าผ่านควันขมุกขมัวที่ถูกพ่นออกมา
“เหมือนฝนจะตกเลย”
“อืม อากาศชื้น ๆ”
“พี่ว่า ถ้าฝนตกลงมา ปลาในสระมันจะรู้ไหมว่าฝนตก”
คำถามประหลาด แต่ชานยอลกลับถามมันออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ คริสนิ่งคิด ช่วงเวลาที่ยังไม่รู้ว่าจะต้องตอบอะไรออกไป อีกฝ่ายก็พูดไปอีกอย่าง
“ฝนนี่มันเต็มใจตกลงมาไหม แล้วถ้ามันไม่เต็มใจ ปลาที่พะงาบเอาน้ำฝนเข้าไปมันจะรู้สึกถึงความเศร้ารึเปล่า”
“นายลองถามมันดูสิ” คริสถามเย้า ยิ้มนิด ๆ อย่างนึกเอ็นดู เขารู้สึกว่าเด็กนี่ประหลาดจริง ๆ นะ แต่ในความประหลาดนั่นกลับดูไม่แปลกแยกแม้แต่น้อย ก็แค่แตกต่างออกจากคำว่าสามัญแค่นั้น
“ผมถามแล้วแต่มันไม่ตอบว่ะพี่ ปลามันพูดไม่ได้อ้ะ”
จบคำตอบนั้น ปาร์คชานยอลก็ได้ยินเสียงหัวเราะของคริสเป็นครั้งแรก คริสหัวเราะไม่ได้ดังนัก แต่ทำให้คนฟังยื่นปากใส่
“ถึงผมจะบ้า ๆ บอ ๆ แต่ผมก็เอาการเอางานนะ ตกลงพี่จะเล่นละครเวทีให้ผมได้รึเปล่า เนี่ย เดี๋ยวผมต้องเข้าไปโรงละครแล้ว ยังไม่ได้เก็บสายไฟเลย ไม่รู้ป่านนี้ไอ้พวกเด็ก ๆ มันหลับกันหมดรึยัง”
พอวกกลับมาที่เรื่องละครเวทีอีกครั้ง คริสก็นิ่งไปกับความครุ่นคิด
“งั้นเอางี้ ผมขอเบอร์พี่ไว้ได้ไหม”
คริสพยักหน้า รับโทรศัพท์จากชานยอลเอาไปกดเบอร์ให้ เมื่อเรียบร้อยก็บอกลาและลุกขึ้นเตรียมตัวกลับลงไปจากสะพาน แต่คนอายุมากกว่าก็เรียกไว้ซะก่อนด้วยประโยคคำถาม
“ไม่ได้มารอดูพระอาทิตย์ขึ้นเหรอเราน่ะ”
คนถูกทักหันกลับมา เอียงคอมองตาใส ยิ้มกว้างใส่
“ผมโคตรไม่ชอบเวลาพระอาทิตย์ขึ้นเลย มันแสบตาครับ ไปนะพี่ เดี๋ยวผมติดต่อไปนะ”
ชานยอลเดินกลับมาตามทางที่ทอดคดเคี้ยวลัดเลาะริมน้ำ ไม่กี่สิบก้าวก็ถึงโรงละคร เขาสวมรองเท้าที่ถอดทิ้งไว้ จัดการกับดวงไฟอีกสองดวงที่ยังไม่ได้แขวนบนบาร์ด้วยตัวเอง รุ่นน้องที่มาช่วยเขาทดลองเซ็ตไฟคืนนี้หลับกันหมดแล้วและเขาก็ไม่อยากปลุก งานที่ฝากฝังไว้ก็จัดการเรียบร้อยดี สายแอมป์ลำโพงก็เก็บกันเรียบร้อยหมดแล้ว ชานยอลเดินเก็บของและล็อกประตูอื่นของโรงละครจนหมด เหลือไว้เพียงประตูด้านหน้า ถึงได้เข้าไปปลุกน้องทีละคน
“เซฮุน ตื่น เช้าแล้ว กลับไปนอนหอ ไอ้จงอิน ตื่นเร็ว ตื่น ๆ”
“ครับ...”
เสียงงัวเงียสองเสียงประสานตอบเขา ตาก็ยังไม่ลืม แต่ยังดีที่ลุกขึ้นมานั่งอย่างว่าง่าย
“ปลุกไอ้พวกที่เหลือด้วยนะ กูไปล้างหน้าแป๊บ เร็ว ๆ เลย ลุกขึ้น ๆ กูจะได้ล็อกโรงละคร ง่วงละเนี่ย”
ชานยอลเดินมาเข้าห้องน้ำที่อยู่ติดกับโรงละครเยื้องไปทางด้านหลัง วักน้ำขึ้นลูบหน้าลวก ๆ เช็ดความเปียกชื้นลงกับแขนเสื้อ ในกระจกสะท้อนภาพใบหน้าขาวที่ใต้ตามีรอยคล้ำจาง ๆ จากการอดนอน เขามองตัวเองผ่านกระจกอยู่พักหนึ่งก็ออกมา ไม่ลืมที่จะล็อกประตูให้เรียบร้อย ก่อนจะเช็คความเรียบร้อยของห้องเมคอัพที่อยู่ติดกัน แล้วขณะนั้นเอง เสียงเมสเสจเข้าก็ดังขึ้นมา
ดวงตากลมโตเบิกขึ้นอีกนิด นานทีเดียวกว่าจะรู้สึกตัวและดีใจจนเผลอยิ้มกว้าง
‘เอาบทมาให้อ่านสิ เอามาตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกนะ ฉันก็ไม่ชอบดูพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนกัน’
“พวกมึง! ตื่นเดี๋ยวนี้เลย!! กูได้พระเอกธีสิสละนะ!!!!!”
To be continued.
ความคิดเห็น