ตอนที่ 5 : Chapter 5 : ความช่วยเหลือ
เสียงบานเลื่อนประตูห้องคนไข้ดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงตะโกนอย่างร้อนรนของเด็กหนุ่มผู้มาเยือน
“แม่! แม่เป็นอะไรมั้ย!?”
“ควานลินลูก” หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ขานชื่อลูกชายตนเองกลับไปเสียงแผ่ว คล้ายเพื่อจะปรามไม่ให้ส่งเสียงดัง เพราะในห้องตอนนี้ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียว แต่ยังมีคุณหมอและพยาบาลยืนตรวจอาการอยู่ข้างๆ
รวมถึงองซองอู พี่ชายข้างบ้านที่เป็นคนยกสายโทรศัพท์เรียกเขาให้มาถึงตรงนี้ได้
“ควานลิน มานี่” ซองอูพูดเสียงค่อย พลางกวักมือให้ควานลินเข้ามาในห้องสักที
เด็กหนุ่มตัวสูงรีบผงกหัวเคารพให้แก่บุคคลที่อยู่ในห้องทั้งหมด ก่อนจะพาร่างตนเองเข้ามายืนข้างๆ ซองอู โดยที่ไม่ได้ละสายตาจากผู้เป็นแม่เลยแม้แต่น้อย
ที่ศีรษะของเธอมีผ้าพันแผลพันไว้รอบๆ ..ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าและหน้าอกของเธอในตอนนี้ก็เต็มไปด้วยสายเล็กๆ แปะติดไว้เพื่อเชื่อมไปยังเครื่องมือแพทย์ที่กำลังส่งสัญญาณชีพจรอยู่ตามหน้าที่ของมัน
ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องมาเห็นภาพแบบนี้ แต่ทุกครั้ง หัวใจของเขามันก็เจ็บปวดอยู่ดี
“คุณหมอครับ แม่ผมจะเป็นอะไรมั้ยครับ” สุดท้ายแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากถามอะไรนอกเสียจากคำถามสามัญแบบนี้
“คงต้องนอนพักฟื้นและรอตรวจอาการที่นี่สักสองวันนะครับ” นายแพทย์วัยกลางคนหันมาตอบเขา “หลังจากนั้น ถ้าไม่มีแนวโน้มว่าอาการจะกำเริบอีก ก็จะอนุญาตให้กลับไปพักผ่อนที่บ้านได้ครับ”
และหลังจากที่ชี้แจงครบแล้ว คุณหมอกับพยาบาลก็ขอตัวออกจากห้อง ..และในตอนที่ทั้งห้องเหลือเพียงแต่คนที่คุ้นเคยกัน ควานลินก็ทรุดตัวนั่งคุกเข่าที่ข้างเตียง พร้อมกับจับมือของผู้เป็นแม่ไว้แน่น
“แม่… เจ็บมากมั้ย”
“ไม่เป็นไรแล้วไอ้ลูกชาย แม่ไม่เป็นไร” หญิงสาวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงพร้อมฉีกยิ้มกว้างจนเห็นทั้งฟันและเหงือกทั้งหมด ..ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งนิสัยและหน้าตาของควานลินนั้นได้มาจากใคร
ควานลินแทบไม่ต้องเดาสาเหตุที่แม่ของตนต้องกลับมานอนบนเตียงโรงพยาบาลเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้แบบนี้ …ก็คงเป็นเพราะโรคประจำตัวของแม่ที่กำเริบอีกตามเคย
โรคประจำตัวของแม่ -ผู้เป็นมนุษย์แท้ๆ ธรรมดา- คือโรคทางหัวใจที่เป็นมาตั้งแต่เกิด แม้จะเข้ารับการรักษามาตลอดชีวิต 40 ปี แต่มันก็แค่ประทังไม่ให้ต้องตายก่อนวัยอันควร ไม่ได้หายขาดจนใช้ชีวิตได้ปกติอย่างคนอื่นแต่อย่างใด
วันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่อาการของโรคบ้าๆ นี่กำเริบขึ้นแบบฉับพลัน ร่างของหญิงสาวล้มทรุดลงกะทันหัน ทำให้ศีรษะกระแทกกับขอบโต๊ะก่อนจะสิ้นสติไป โชคยังดีที่ซองอูนึกครึ้มอยากแวะมาหาควานลินจึงพบกับร่างที่กำลังนอนสลบอยู่ในบ้านพอดิบพอดี เขาก็รีบเข้าช่วยนำตัวส่งโรงพยาบาลได้ทัน รวมถึงเป็นคนต่อสายหาลูกชายอย่างควานลินให้รีบตามมาที่โรงพยาบาลอีกด้วย
ดังนั้น สิ่งแรกที่ควานลินได้ยินหลังจากกดรับสายของซองอูก็คือ ‘แม่มึงล้ม ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลแล้ว’
เมื่อนึกดังนั้นได้ ควานลินก็หันไปผงกหัวให้แก่ผู้มีพระคุณในครั้งนี้ และไม่ลืมที่จะพูดด้วยภาษาที่สุภาพขึ้นด้วย “พี่ซองอู ขอบคุณมากเลยนะที่พาแม่ผมมาอะ ไม่งั้นแม่คง…”
“เอาน่าๆ ก็แค่ทำตามหน้าที่เพื่อนบ้านที่ดีน่ะ” ผู้เป็นพี่ยักไหล่ให้พลางทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาด้านข้าง
และในตอนนั้นเอง ที่ความรู้สึกผิดบาปจากการที่ไม่ได้ทำหน้าที่ลูกที่ดี ก็เริ่มผุดขึ้นมาในใจ
“เป็นเพราะผมเลย ถ้าผมกลับบ้านเร็วกว่านี้ แม่คงไม่..”
“ไม่ ควานลิน ต่อให้มึ… เอ้ย นายกลับบ้านเร็ว นายก็ห้ามไม่ให้อาการคุณน้ากำเริบไม่ได้อยู่แล้ว” เพื่อไม่ให้เจ้าเด็กตัวสูงตรงหน้าโทษตัวเองไปมากกว่านี้ ซองอูก็เลือกที่จะยกความจริงขึ้นมาพูด ซึ่งคนที่อยู่บนเตียงก็พยักหน้าเห็นด้วย
“จริงอย่างที่ซองอูพูดเลย” ว่าพลางยกมือข้างที่ว่างขึ้นมาขยี้หัวลูกชายสุดที่รักไปด้วย “เพราะงั้น อย่าโทษตัวเอง เข้าใจมั้ย?”
“โถ่ แม่อะ ก็ผมเป็นห่วงนี่นา” ควานลินแหวกลับไปอย่างที่เคยชิน
“เอาเวลาห่วงแม่ไปตั้งใจเรียนดีกว่ามั้ย” พอโดนพูดถึงเรื่องเรียน ผู้เป็นลูกก็กลับไปทำท่าสลดเหมือนเดิม “เนี่ย นอนแค่สองสามวันก็ได้ออกจากโรงพยาบาลละ ไม่เห็นมีอะไรต้องห่วงเลย”
ตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้ที่ตัวสูงกว่าคนเป็นแม่ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว ก็มีหญิงสาวคนนี้แหละที่อยู่กับเขามาตลอด เธอเป็นคนมองโลกในแง่ดี คอยเป็นพลังบวกให้เขาเสมอ ..ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานการณ์ที่น่ากังวลขนาดนี้แท้ๆ
“งั้นแม่ต้องนอนพักเยอะๆ นะ” ควานลินวกเข้าเรื่องสุขภาพใหม่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ให้แม่ทำอย่างอื่นนอกจากนอนบ้างเถอะ ขอร้อง” แต่ดูเหมือนว่าคนไข้จะไม่ให้ความร่วมมือเท่าไหร่นัก “โอ๊ะ สี่ทุ่มแล้ว ละครดึกน่าจะมาแล้วอะ เปิดให้แม่ดูหน่อยได้มั้ย”
“แต่คุณหมอเขาบอกให้พักผ่อนเยอะๆ ไม่ใช่เหรอครับคุณน้า” ซองอูรีบเอ่ยขัดขึ้นมาก่อนที่ลูกชายอย่างควานลินจะเริ่มตามใจแม่ของตนเองได้
“น้านอนตอนหมดสติตั้งเยอะแล้วนะซองอู จะให้นอนต่อเลยนี่ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ” …นี่ก็เหมือนกัน ไม่ต้องสงสัยอีกเช่นเคยว่านิสัยดื้อแพ่ง ใครพูดอะไรก็ไม่ฟังของควานลินนั้นถอดแบบมาจากใคร
และในตอนนั้นเองที่บานประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง ซึ่งผู้มาเยือนคนใหม่ก็ไม่ใช่ใครนอกจากหัวหน้าครอบครัวของบ้านไล ..พ่อของควานลินนั่นเอง
“คุณ ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
นอกจากจะรีบปรี่เข้ามาดูอาการของภรรยาแล้ว เมื่อได้ฟังว่าคนที่ช่วยพามาส่งโรงพยาบาลคือซองอู เขาก็รีบผงกหัวขอบคุณให้จนซองอูเกรงใจไปหมด
“แล้วแกล่ะ หืม ตัวแสบ มัวแต่ไปเถลไถลที่ไหน ทำไมไม่อยู่ดูแม่?”
“คุณก็ อย่าไปว่าลูกสิ”
“ผมขอโทษครับพ่อ ไม่มีข้อแก้ตัวจริงๆ…” เป็นไม่กี่ครั้งที่จะได้เห็นควานลินที่ไม่เถียง และยอมก้มหน้ารับผิดด้วยท่าทีเหมือนหมาที่หูหางลู่ลงแบบนี้ ซึ่งเมื่อผู้เป็นพ่อได้เห็นท่าทีแบบนี้ของลูกชาย ก็นึกสงสารจนไม่อยากจะว่ากล่าวอะไรอีก
ก็เป็นครอบครัวที่น่ารักดี …ในความคิดของซองอูล่ะนะ
“หืม?” ซองอูหยิบโทรศัพท์ที่นอนสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู และพบว่าเป็นสายเข้าจาก คังแดเนียล คนที่รู้ใจและทำให้เขาปวดหัวได้มากที่สุดในเวลาเดียวกัน
แต่โทรมาตอนนี้ก็ดี เขาจะได้หาเรื่องออกไปข้างนอกห้องสักพักได้ ..ไม่อยากอยู่ขัดเวลาครอบครัวของเจ้าเด็กควานลินน่ะ
“เดี๋ยวผมขอตัวไปรับสายก่อนนะครับ”
ครั้นออกมานอกห้องแล้ว ร่างโปร่งก็กดรับสายก่อนจะกรอกเสียงลงไป “ว่าไงเนียล?”
[ ซ..ซองอู มึง… กู…กู… ]
“เนียล?”
น้ำเสียงที่เขาได้ยินนั้นสั่นเครืออย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เพียงฟังแค่คำแรก ซองอูก็สัมผัสได้ว่าน่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลเข้าเสียแล้ว
[ ไอ้เหี้ย กูพูดไม่ออก ] ปลายสายสบถรัวออกมาเป็นชุดด้วยน้ำเสียงที่กระวนกระวายหนักยิ่งกว่าเดิม [ กูทำอะไรไม่ถูกแล้ว ]
“มึงใจเย็นก่อน” ซองอูพยายามปลอบให้อีกฝ่ายสงบลง “มึงไปเจออะไรมา ค่อยๆเล่า”
[ มึง..จะโกรธกู ] เสียงในโทรศัพท์ขาดหายเป็นช่วงๆ จนซองอูเผลอขมวดคิ้วตามเพื่อตั้งใจฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังต้องการจะสื่อออกมา [ มึงอาจจะ.. เกลียดกูเลยก็ได้ ]
“มึงอย่าด่วนคิดไปเองก่อนดิวะ” ซองอูสวนกลับไป ก่อนจะเริ่มใช้น้ำเสียงที่จริงจังเพื่อเรียกสติอีกฝ่าย “เอาแบบซีเรียสเลยนะ กูกับมึงอยู่ด้วยกันมานานตั้งเท่าไหร่… กูไม่เคยเกลียดมึงลงหรอกเนียล”
[ ถ้ากูบอกอะไรมึง มึงอย่าเกลียดกูเลยนะ… ] เสียงของอีกฝ่ายที่เหมือนจะสงบลงบ้าง ทำให้ซองอูเริ่มใจชื้นขึ้น [ ขอร้อง กูไม่มีใครแล้วนอกจากมึง ]
“เออ บอกกูมาเหอะ ไม่ว่ายังไงกูก็อยู่ข้างมึงอยู่แล้---”
[ กูเผลอฆ่าไปแล้วว่ะ ]
ประโยคของแดเนียลที่แทรกขึ้นทำเอาตัวของซองอูชาวาบจนเผลอยืนนิ่งค้างไปชั่วขณะ เขากระพริบตาสองสามครั้งเพื่อเรียกสติตัวเองกลับมา ก่อนจะพาตัวเองเดินออกไปหลบตรงบันไดหนีไฟที่ไม่น่าจะมีใครเพ่นพ่านผ่านมาได้ยินบทสนทนาของเขา
“ฆ่า..?” ซองอูพยายามทวนคำที่ตนเองเพิ่งได้ยินเมื่อกี้ “มึงหมายถึงอะไร…?”
ได้แต่หวัง ว่ามันคงจะไม่ใช่อย่างที่เขาคิด
[ ไอ้เหี้ย กูจะสติแตกอยู่แล้ว กูยังต้องมาอธิบายอีกเหรอ ]
คงไม่ใช่หรอก
“ตอบกูมา”
มันต้องไม่ใช่สิ
“แดเนียล มึง…”
ซองอูเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เมื่อจะต้องเป็นฝ่ายเดาในสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว
“ฆ่าคน..งั้นเหรอ?”
[ อืม ]
“คังแดเนียล!!”
คนที่เพิ่งได้รู้ความจริงถึงกับตะโกนออกไปอย่างหมดหนทาง ใจหวังเพียงว่ามันจะทำให้เขาสงบลงได้หลังจากที่ได้ยินในสิ่งที่เขากลัวที่สุดในชีวิตว่าจะสักวันมันจะเกิดขึ้นดันได้เกิดขึ้นจริงๆ แล้วในวันนี้
และที่แน่ๆ มันคงไม่ใช่การอำเพื่อเซอร์ไพรส์อะไรด้วย เพราะคังแดเนียลไม่ใช่คนที่จะโกหกใครเป็นอยู่แล้ว
[ กูไม่ได้ตั้งใจ แต่มันเกิดขึ้นไปแล้ว ] น้ำเสียงของปลายสายยิ่งลนมากขึ้นจนแทบจะฟังบางคำไม่ออกเสียด้วยซ้ำ [ กูพยายามช่วยเขาแล้ว แต่กูทำอะไรไม่ได้เลย ]
“มึงใจเย็น ตั้งสติ แล้วบอกกูมา ว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง..”
[ กูพาคนมาที่ห้อง แล้วกูก็ทำเหมือนปกติ ]
ใช่ การที่แดเนียลหลอกพามนุษย์สักคนมาที่ห้องของตัวเองแล้วลงมือดูดเลือดในระดับที่ร่างกายมนุษย์ยังรับได้ ก่อนจะลบความทรงจำนั้นเป็นเรื่องที่เจ้าตัวมักจะทำอยู่บ่อยครั้งจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว และถึงแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ผิดมหันต์สำหรับแวมไพร์ในรีตจนไม่อาจให้ใครรู้ได้นอกจากซองอู แต่ความอยากเลือดสดๆ ที่ไหลเวียนอยู่ในตัวแดเนียล ก็กระตุ้นให้เขาเลือกที่จะแหกกฎ ไม่สนแม้กระทั่งคำทัดทานของซองอู และก็ทำมันอยู่ทุกครั้งไป
[ แต่วันนี้กูเป็นเหี้ยอะไรไม่รู้ ] แดเนียลสารภาพ [ กูหยุดตัวเองไม่ได้ …เขาเลยตาย ]
“กูเคยเตือนมึงแล้วใช่มั้ยว่าให้เลิกกินเลือดมนุษย์ เพราะกูกลัวว่ามึงจะยั้งตัวเองไม่ได้…” ซองอูกดเสียงต่ำกลับไป พยายามที่จะไม่ให้เผลอขึ้นเสียง ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้ต่อว่าด่าทออะไรไป ก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้ และมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายยิ่งเตลิดมากกว่าเดิม
“สิ่งที่กูกลัวมาตลอดแม่งเป็นจริงแล้วไง ไอ่เหี้ย”
แต่ถึงอย่างนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมาแบบนี้
[ อย่าเพิ่งด่ากันได้มั้ย แค่นี้มันก็แย่ชิบหายอยู่แล้ว ] น้ำเสียงหงุดหงิดของแดเนียลทำให้ซองอูเผลอรู้สึกผิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“…กูขอโทษ”
ความเงียบได้โรยตัวลงมาปกคลุมทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครตัดสายไปก่อน
[ กูควรทำไงกับศพเขาดีวะ ] เป็นแดเนียลเสียเองที่ทนกับความเงียบไม่ไหว และเริ่มโอดครวญออกมาอีกครั้ง [ มึงก็รู้ ว่าถ้าเดนตาต้ามาเจอ ชีวิตกูจบแน่ แม่งเอ๊ย ]
“อย่าเพิ่งสติแตก” เป็นประโยคที่ซองอูใช้บอกอีกฝ่ายและตัวเองในเวลาเดียวกัน
“มึงต้องไม่เป็นอะไร”
ถึงปากจะบอกอย่างนั้นไป แต่เอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างนั้นได้จริงหรือเปล่า
“มึงยังมีกูอยู่ไงเนียล”
แต่ข้อนี้ ซองอูมั่นใจ เพราะเขาจะไม่ยอมทิ้งคังแดเนียลไปไหนแน่
“กูไม่ปล่อยให้ใครมาจับมึงไปแน่”
แม้ว่าคนที่จะงัดข้อด้วยต่อจากนี้ จะเป็นถึงขั้นองค์กรที่ควบคุมชีวิตแวมไพร์ในรีตอย่าง เดนตาต้า ก็ตามที…
[ ซองอู มึง… ] ปลายสายเว้นจังหวะไปชั่วครู่เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะตัดสินใจพูดออกมา [ ไม่เป็นไร กูจัดการเองได้ มึงอย่ามายุ่งเรื่องนี้เลย ]
ซองอูรู้ดีว่าคนอย่างแดเนียลกำลังหัดโกหกคำโต เพราะถ้ามันไม่เป็นไร และจัดการเองได้จริงๆ เจ้านี่คงไม่โทรมาสติแตกใส่เขาแบบนี้หรอก
แล้วจะให้เขาอยู่เฉยได้อย่างไร
“เรื่องนี้กูต้องยุ่ง”
[ แต่มึงจะซวยไปอีกคน--- ]
“กูเอาตัวรอดได้” ซองอูพูดสวนกลับไป
[ กูก็เอาตัวรอดได้ ] แดเนียลเถียงกลับ [ เดี๋ยวกูก็คิดวิธีออก ]
“แม่งเรื่องใหญ่นะสัส” และนั่นก็ทำให้เลือดเริ่มขึ้นหน้าซองอูอีกรอบเข้าให้จนสบถคำหยาบพ่วงกลับไปแบบนี้ “ตัวคนเดียวแม่งหาทางออกไม่ไหวหรอก”
จะหาว่าดูถูกก็ได้ แต่ถ้าว่ากันตามตรง คนอย่างคังแดเนียลไม่มีทางฉลาดพอที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยตัวคนเดียวได้อย่างราบรื่นแน่นอนอยู่แล้ว
แต่ถ้าพูดออกไปตรงๆ แบบนี้ ก็รังแต่จะเป็นการชวนทะเลาะเสียมากกว่า ซองอูจึงได้แต่เก็บสิ่งนี้ไว้ในใจ และทำได้เพียงยืนกรานที่จะอาสาตัวเองเข้าไปช่วยเหลือ
“กูจะไปที่ห้องมึงเดี๋ยวนี้แหละ”
จะไปยากอะไร ก็เหมือนที่เขาคอยทำให้มันมาตลอดชีวิตนี่แหละ
[ ไม่เอาแบบนี้มึง ] เสียงปลายสายเต็มไปด้วยความตระหนก [ ไม่ต้องมา ]
“มึงอย่าดื้อดิวะ” ซองอูกระชากเสียงอีกครั้ง “ถ้ามึงเป็นอะไรไป ทั้งๆที่ความจริงกูช่วยมึงได้ คิดว่ากูจะรู้สึกแย่ขนาดไหนวะไอ่เหี้ย”
พอพูดแบบนี้ออกไป อีกฝ่ายก็เงียบลงจนได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจที่อาจจะกำลังพรั่งพรูออกมาด้วยความกังวลและหวาดระแวง ซองอูสัมผัสมันได้ และเริ่มนึกออกแล้วว่าเขาควรจะเกลี้ยกล่อมต่อไปอย่างไรดี
“เชื่อใจกูเนียล กูช่วยมึงได้” พูดด้วยประโยคที่ซองอูใช้ทุกครั้งเมื่อเกิดเรื่องอะไรก็ตาม
และมันก็น่าจะได้ผล …เหมือนทุกครั้ง
“เราสองคนจะไม่ซวยเพราะเรื่องเหี้ยๆ นี่แน่นอน”
[ อืม.. ]
ได้ผล แดเนียลสงบลงแล้ว
“ตอนนี้ยังอยู่ที่ห้องใช่มั้ย” ซองอูเอ่ยถาม “ทั้งมึง ทั้งศพ”
[ ใช่ ]
“อย่าเพิ่งไปไหน อย่าเพิ่งทำอะไรกับศพ” ระหว่างกำชับอีกฝ่าย ซองอูก็เริ่มสาวเท้าลงบันไดไปด้วย “เดี๋ยวกูไปหา”
[ ซองอู มึงมีแผนแล้วเหรอ? ]
ความจริงแล้วเขาก็ยังคิดไม่ออกหรอกว่าเขาจะแก้ไขปัญหาใหญ่ครั้งนี้ได้อย่างไร แต่ยังไงก็ต้องลองดูก่อน …เริ่มจากเข้าไปพิจารณาศพ และสถานที่ในคอนโดโดยรอบ แล้วค่อยเริ่มวางแผนหน้างานเลยก็น่าจะยังทันการ
แต่สิ่งที่ต้องทำและทำได้ในตอนนี้ ก็มีแต่การทำให้อีกฝ่ายเชื่อใจในตัวเขาไว้ก่อนนั่นแหละ
“เอาน่า กูจะจัดการทุกอย่างให้มึงเอง แดเนียล”
องซองอูย้ำคำไปอย่างหนักแน่น
พร้อมกับดวงตาทั้งสองข้างที่กำลังแปรเปลี่ยนจากสีดำกาฬ ..กลายเป็นสีแดงโลหิตของแวมไพร์
“จะเป็นยังไงนะถ้าหากมีคนตายเพราะโดนแวมไพร์ดูดเลือดขึ้นมาจริงๆ”
“เลิกถามฉันสักทีเถอะ ขอร้องล่ะ”
ฮยองซอบบ่นกลับไปอย่างหมดความอดทนเมื่อเพื่อนข้างตัวเอาแต่จ้อเรื่องนี้ไม่หยุดมาตั้งแต่สิบห้านาทีที่แล้วโดยประมาณ
“จะมีตำรวจหรือหน่วยงานไหนออกมาทำคดีพวกนี้มั้ยน้า..” แต่ดูเหมือนว่าอีแดฮวีจะไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยังคงตั้งคำถามประเด็นเดิมขึ้นมาลอยๆ ต่อไป “นายไม่อยากรู้เหรอ ซอบ?”
“รู้ไปแล้วจะได้เกรด A มั้ยถามจริง” คนที่ถูกถามแขวะกลับ พลางมือก็หยิบอุปกรณ์สำนักงานที่จำเป็นลงตะกร้าด้วยท่าทีรำคาญสุดขีดไปด้วย “เฮ้อ นายไม่คิดบ้างรึไง ว่าแวมไพร์เขาก็คงมีอารยธรรมมากพอที่จะไม่กินเลือดมนุษย์แล้วก็ได้”
“จริงเหรอ แวมไพร์เนี่ยนะจะไม่กินเลือดมนุษย์?” พอฮยองซอบเผลอหลวมตัวร่วมจ้อเรื่องแวมไพร์ แดฮวีก็ได้ทีรีบซักกลับไปใหญ่ “แล้วถ้าไม่กินเลือดมนุษย์ เขาจะกินอะไรเป็นอาหารอะ”
“หา? เอ่อ… ก็อาจจะ เอ่อ…” ฮยองซอบทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะให้คำตอบ “น้ำมะเขือเทศ ล่ะมั้ง…?”
“เออ มิน่าล่ะช่วงนี้น้ำมะเขือเทศถึงขายดี” ระบบเชื่อมโยงในหัวแดฮวีเริ่มทำงานอีกครั้ง
“เพราะกระแสเฮลตี้ผิวสวยเหอะ” ว่าแล้วก็แขวะใส่ไปอีกสักดอกเพื่อเรียกสติเพื่อน “เลิกคุยเรื่องนี้ แล้วรีบซื้อของให้เสร็จๆ เหอะ พี่ๆ เขารอพวกเรารากงอกแล้วมั้งเนี่ย”
ที่ฮยองซอบต้องมายืนสนทนาธรรม(แวมไพร์)กับแดฮวีอยู่ตรงนี้ ก็เพราะทั้งคู่โดนรุ่นพี่อย่างมินกิใช้งานให้มาซื้ออุปกรณ์สำนักงานที่สหกรณ์มหาวิทยาลัยมาเติมที่ห้องทำงาน และถ้ามัวแต่โอ้เอ้ ไม่กลับไปภายในอีกสิบนาที มีหวังคงได้โดนบ่นหูชาทั้งคู่เป็นแน่แท้
“ขาดแค่ลูกแม็กซ์เองตอนนี้” แล้วแดฮวีก็เอื้อมมือไปหยิบของที่เพิ่งเอ่ยปากพูดมาใส่ตะกร้าอย่างรู้งาน “โอเค ครบละ ไปจ่ายตังค์ได้เลย”
“ก็แค่นี้” ว่าแล้ว ฮยองซอบก็เดินดุ่มๆ เอาตะกร้าใบใหญ่ขึ้นตั้งบนแคชเชียร์ตามระเบียบ
ระหว่างที่ต้องรอเพื่อน แดฮวีก็กดโทรศัพท์ไปพลาง เงยหน้ามองนั่นมองนี่ไปพลาง …และในตอนนั้นเองที่สายตาของเขาไปสะดุดกับคนคนหนึ่งที่เขาคุ้นเคยเข้าให้
แพจินยอง
“ซอบๆ”
“ขอบคุณนะครับ ..อะไร!?” ทำเอาฮยองซอบที่เพิ่งจะโค้งหัวขอบคุณอย่างนอบน้อมให้กับคุณป้าแคชเชียร์หันขวับมาเปลี่ยนโหมดแทบไม่ทัน
“พอดีฉันเจอเพื่อนอะ นายกลับไปก่อนได้เลย” แดฮวีว่าไปตามตรง พลางพยักเพยิดไปทางจินยองที่ยังไม่เห็นเขาและกำลังก้มหน้าก้มตาเลือกของอยู่ตรงโซนเครื่องเขียน
“คือจะไม่ช่วยถือกลับ ว่างั้น?”
“นะๆๆๆ ซอบแข็งแรงจะตาย แค่สองถุงแค่นี้ หิ้วกลับได้อยู่แล้วววว”
ในใจฮยองซอบมีคำด่าร้อยแปดประการผุดผาดขึ้นมา แต่ถ้าพูดออกมา ภาพลักษณ์ฝ่ายประชาสัมพันธ์อย่างเขาอาจจะป่นปี้ต่อหน้าธารกำนัล(เช่น ป้าแคชเชียร์คนนี้ที่รู้กิตติศัพท์มาว่าขี้เม้าท์ยิ่งกว่าอะไรดี) จึงได้แต่กัดฟันยิ้มแล้วพูดกับกลับไปเสียงเรียบว่า
“ไม่”
“ฮยองซอบ แดฮวี ทำไมยังอยู่ที่นี่อีกเนี่ย” ในตอนนั้นเองที่เสียงที่คุ้นเคยอีกเสียงดังขึ้นจากอีกฟาก และคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพัคอูจิน
และแดฮวีก็รีบเข้าไปเกลี้ยกล่อม(มัดมือชก)อูจินที่อุตส่าห์เดินกลับมาตามให้เป็นคนช่วยฮยองซอบถือของกลับไปแทนตัวเองด้วยความไวว่อง โดยไม่ได้หันกลับไปมองฮยองซอบที่กำลังแยกเขี้ยวไล่หลังให้ด้วยความอาฆาตเลยแต่อย่างใด
เพียงเท่านี้ เขาก็ว่างพอที่จะเดินเข้าไปทักเพื่อนร่วมคณะได้อย่างสบายใจแล้ว
ว่าแล้ว ก็เริ่มด้วยการเอามือไปสะกิดไหล่ และเมื่อแพจินยองหันมา แดฮวีก็โบกมือน้อยๆ ทักทายตามประสา “ไง ทำไรอยู่อะ”
“ไม่ใช่เรื่องของคุณนี่ครับ” จินยองที่เริ่มคุ้นชินกับอีกฝ่ายแล้วก็ตอบกลับไปแบบไร้หัวจิตหัวใจเช่นเคย
และเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมาแบบนี้ แดฮวีก็เป็นถือวิสาสะฝ่ายชะโงกหน้ามาดูของในมือของอีกฝ่ายเพื่อเก็บข้อมูลเอง “อ่อ ซื้อปากกานี่เอง”
แต่มันคงไม่มีอะไร …ถ้าปากกาหลายด้ามในมือของจินยองไม่ใช่เซ็ตสีพาสเทลแบบนี้
“หูย สีฟรุ้งฟริ้งจัง” อดไม่ได้ที่จะคอมเมนต์ออกไปตามที่ตาเห็น “เห็นนิ่งๆ แบบนี้ ไม่อยากเชื่อเลยแฮะ ว่าจะมีโหมดสายน้อยหัวใจกุ๊กกิ๊กกับเขาด้วยอะ”
“มันก็เรื่องของผมมั้ยล่ะ” หากแดฮวีเงยหน้ามาสังเกตนิดหน่อย จะเห็นว่าสีหน้าของจินยองเริ่มขึ้นสีแดงเรื่อ …เพราะชักจะอายที่ถูกทักเรื่องรสนิยมแบบนี่แหละ
“อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เราไม่ได้จะวิจารณ์อะไร” ด้วยความที่กลัวอีกฝ่ายจะเสียความรู้สึกขึ้นมาจริงๆ แดฮวีก็เริ่มโบกไม้โบกมือปฏิเสธพัลวัน “ก็แค่แปลกใจ แล้วความจริงก็..น่ารักออก”
“เฮ้อ..” จินยองได้แต่ปลอบตัวเองในใจว่าไม่ควรถือสาอะไรกับคนที่ล้นๆ เกินๆ อย่างอีแดฮวี และถ้าหากอยากจะให้อีกฝ่ายเลิกวอแวในเรื่องที่ไม่ต้องการ ก็มีวิธีเดียวคือเปลี่ยนเรื่องคุยเท่านั้นแหละ
คิดได้ดังนั้น ก็เริ่มเปลี่ยนเรื่องทันที “เออคุณ พรุ่งนี้อาจารย์แทยอนเขายกคลาสใช่มั้ยครับ?”
แกล้งถามไปในสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วนี่แหละ ง่ายดี
“ใช่ๆๆ” แดฮวีพยักหน้าตอบรัว “ลืมอะไรก็ลืมได้ แต่ห้ามลืมวันที่อาจารย์ยกคลาสเด็ดขาดเลยนะรู้มั้ย”
“โอเค ขอบคุณครับ” จินยองพูดไปตามมารยาท “เดี๋ยวผมไปคิดเงินละ ขอตั---”
“เออจินยอง ไอวิชาเนี้ย ความจริงมันยากมากเลยว่าป้ะ” แต่ก็ช้าไปหนึ่งจังหวะเสมอ… “งานก็ยากสอบก็น่าจะยาก เพราะรุ่นพี่รับประทาน C D จากตัวนี้กันรัวๆ เลยหนิ”
“แล้ว…?”
“ก็เลยกังวลว่า ..เราจะรอดมั้ย ฮือ” ไม่แค่พูด แต่เบ้หน้าเบะปากนิดหนึ่งเป็นการประกอบอารมณ์ไปด้วย
“จริงๆ.. มันไม่ยากนะครับ” แวมไพร์หนุ่มหันกลับมาออกความเห็น …ที่เหมือนมีปลายแหลมคมและพร้อมพุ่งไปแทงใจดำคนฟังอย่างแดฮวีได้ในไม่ช้า
“ถ้าคุณไม่เข้าสาย”
ฉึก
“ไม่โดดเรียน”
ฉึกสอง
“ไม่หลับในคาบ”
ฉึกสาม
“แล้วก็ตั้งใจเรียนตั้งใจจด”
ฉึกสี่ ครบคอมโบ
“…” คนที่มีคุณสมบัติตรงข้ามกับทุกสิ่งที่จินยองเพิ่งพูดถึงกับหน้าชาเลยทีเดียว “อย่าเอาความจริงมาตีแผ่สิตัวเอง”
“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรคุณเลยนี่ครับ” คนที่ตัวสูงกว่ายักไหล่ให้ ซึ่งแดฮวีรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้หมายความอย่างที่พูดแน่ๆ
“แต่ความจริงเรามีเหตุผลที่ทำตัวแบบนั้นนะ” เพราะงั้นก็ต้องขอแก้ต่างนิดหน่อย เขาจะได้ไม่รู้สึกผิดไปมากกว่านี้
“เหตุผล?”
“คือเราต้องปั่นงานยันดึกตลอดอะ” ปากเล็กๆ ของแดฮวีเริ่มขยับรัวอีกระลอก พร้อมกับใช้นิ้วเล็กๆตัวเองชี้ที่ใต้ตาที่เริ่มจะคล้ำหน่อยๆ เป็นหลักฐานประกอบคำพูด “ก็เลยตื่นสาย หรือไม่ก็มาแบตหมด น็อคกลางคาบอย่างที่เห็นไง”
“งาน?” จินยองทวนคำเสียงสูงพร้อมเลิกคิ้วไปด้วย “คนอย่างคุณเนี่ยนะมีทำงานอื่นด้วย”
“อย่าดูถูกกันไปเชียว นี่กรรมการนักศึกษาไงจ๊ะ” ไม่ว่าเปล่า ยืดอกที่ติดเข็มกลัดระบุตำแหน่งให้อีกฝ่ายเห็นเป็นบุญตาด้วย “อี แดฮวี ฝ่ายเลขานุการไง”
“อ้อ..”
“งานราษฎร์งานหลวงมีทำให้ทำเยอะแยะ” ตัวอย่างเช่น ต้องลงมาซื้ออุปกรณ์สำนักงานอย่างนี้นี่แหละ “แต่เรายอมได้ เพื่อมหาลัยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา”
“คุณเนี่ยนะ?” สายตาที่เหมือนมีไว้เพื่อมองต่ำตลอดเวลาของจินยองจดจ้องมาที่คุณเลขานุการที่กำลังยืนเอามือทาบที่อกด้วยท่าทีภาคภูมิเต็มที่.. และมองต่ำตามหน้าที่ของมันอีกครั้ง
“มีแต่จะทำมหาลัยล่มน่ะสิ”
“ย่าห์! นั่นปากเหรอ” ทำเอาคนที่ถูกแขวะถึงกับกรีดร้องได้ในบัดดล
“เหอะๆ” หัวเราะนิดหนึ่งให้กับท่าทีน่าขันของคนตรงหน้า “คุยกับคุณก็ยังไม่ได้อะไรเหมือนเดิม ผมไปดีกว่า”
“เดี๋ยวสิจินยอง ยังมีอีกเรื่องๆๆ”
ถ้าให้นับว่านี่เป็นรอบที่เท่าไหร่ที่จินยองพยายามจะปลีกตัวจากแดฮวี แต่ก็จบด้วยการถูกคว้าแขนรั้งไว้ คงสะสมได้มากพอไปส่งสลากชิงโชคได้เลยทีเดียว
“อะไรอีกครับ” แต่ก็น่าแปลกตรงที่เขาเผลอยอมหันกลับมาคุยกับอีกฝ่ายต่อทุกครั้งนี่แหละ
บางทีจินยองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
“วันอาทิตย์นี้ว่างป่าว อยากจะรบกวน…” คนที่กำลังจะไหว้วานก้มหน้างุดพร้อมเอานิ้วชี้สองข้างขึ้นมาจิ้มกันเอง ..ทำตัวเหมือนกับอยู่ในการ์ตูนญี่ปุ่นยังไงยังงั้น “ให้มาช่วยติววิชานี้ให้เราที”
“ไม่ว่าง” ตอบกลับแบบแทบไม่ต้องคิด
“โห่ ไม่ว่างหรือไม่อยากเจอหน้าเรากันแน่ เอาดีๆ”
“ไม่ - ว่าง - ครับ” ชัดถ้อยชัดคำเป็นที่สุด
“เสียดายอะ”
หากจินยองก็หาแคร์ไม่ รีบสาวเท้าเอาเครื่องเขียนในมือไปให้แคชเชียร์คิดเงิน …แต่นั่นก็ไม่สามารถสะบัดวิญญาณตามติดอย่างแดฮวีออกจากตัวได้แต่อย่างใด
“เอ๊ะ หรือว่า…” เจ้าตัวป่วนที่น่ารำคาญที่สุดในสามโลก(ของจินยอง)ยังคงเดินตามมาเจื้อยแจ้วไปเรื่อยๆ “นัดเดทสาวไว้ใช่มะ แหมๆๆๆ”
“ผมไปโบสถ์กับที่บ้าน” จินยองแก้โดยไม่แม้แต่จะหันมามอง เพราะกำลังง่วนอยู่กับการควักเงินขึ้นมาจ่ายค่าบรรดาปากกาสีพาสเทลตรงหน้า รวมถึงจัดการเอาเก็บลงกระเป๋าสะพายข้างของตัวเองให้เรียบร้อยด้วย “จบนะครับ”
“จบก็จบ”
“คุณนี่..คิดแต่เรื่องแบบนี้ถูกมะ” และแม้ว่าจะเดินออกมาจากร้านสหกรณ์แล้ว แดฮวีก็ยังเดินตามเขามาดุ่มๆ และถ้าให้จินยองเทียบ แดฮวีคงเหมือนหมาตัวเล็กๆ ที่ขาดความอบอุ่น ไม่สิ ไม่เหมือนหมา น่าจะเหมือน…
‘ตัวนาก’ เสียมากกว่า
“เอาจริงก็ใช่” ตัวนากจอมเซ้าซี้พยักหน้ายอมรับแบบง่ายๆ เสียอย่างนั้น “คือนายหน้าตาดี หล่อคูลขนาดนี้ ดูยังไงก็น่าจะมีแฟนแล้วอะ”
“ไม่มี แล้วก็ไม่คิดจะมีด้วย” ถึงแม้ว่าประโยคเมื่อกี้จะเป็นคำชม แต่แวมไพร์หนุ่มก็รู้สึกว่ามันเป็นรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวอยู่ดี จึงไม่ได้เผลออารมณ์ดีตามไปกับคำชมนั่นเลยแม้แต่น้อย
“ให้มันจริงเถอะจ้าาา” แดฮวีลากเสียงยาวหวังจะล้อเลียนเต็มที่ แล้วรีบเร่งฝีเท้าเพื่อย้ายตัวเองมาหยุดยืนด้านหน้าจินยองจนอีกฝ่ายต้องรีบเบรกเท้าตัวเองก่อนที่หน้าจะชนกันเข้าให้
“อะไรของคุณเนี่ย”
“คอยดูเถอะ” เน้นเสียงหนักพร้อมกับยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าคมตรงหน้าไปด้วย “สักวันนายต้องกลืนคำพูดในวันนี้แน่นอน!”
ความจริงประโยคแดฮวีไม่ได้จะจบแค่ตรงนี้ มันยังมีต่ออีก
แต่มันน่าอายเกินไปที่จะพูดออกมา เขาจึงได้แอบต่อประโยคนี้ไปแค่ในใจเท่านั้น
“ไร้สาระจริงๆ เลยคุณเนี่ย” ร่างสูงถอนลมหายใจยาวจนบางทีก็คิดว่าถ้าตัวเองไม่ใช่แวมไพร์ ก็คงจะต้องมานั่งกังวลแล้วว่าอายุสั้นลงไปเพราะคนตรงหน้าขนาดไหน ก่อนจะเริ่มสาวเท้าเดินต่อไป
“แต่ถ้านายไม่ว่างติวให้เราแบบนี้ เกรดเทอมนี้ได้หล่นแน่ๆ อะ ฮืออออออ” ตื๊อ ตื๊อ แล้วก็ตื๊อ คือคำเดียวที่บัญญัติในพจนานุกรมประเทศแดฮวี “ทำไงดีๆๆ”
“แล้วคุณไม่มีเพื่อนในเซคเลยรึไง” บางทีจินยองก็สงสัยเหลือเกินว่าทำเขาต้องตกเป็นเหยื่อของคนตัวเล็กที่ยังคงเดินตามเขาดุ่มๆ แบบนี้ด้วย เพราะถ้าเจ้าตัวมีเพื่อนฝูงมากมาย ก็คงไม่จำเป็นจะต้องมาไล่ตามวอแวเขาแบบนี้หรอก “ไปขอเลคเชอร์เค้าอ่านสิครับ”
“ประเภทเดียวกันหมดแหละ เรียนไม่ยุ่ง มุ่งแต่กิจกรรม” ร่างเล็กตอบไปตามจริง “สมการก็คือ เลคเชอร์ เท่ากับ ความว่างเปล่า เท่ากับ มีแต่จะกอดคอกันตาย”
แดฮวีรู้ตัวว่าโดนสายตา มองต่ำ จากอีกฝ่ายเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่ก็หาได้แคร์ไม่ ยังคงดำเนินการตื๊อต่อไป
“เพราะงี้ไง เราเลยต้องมาหวังพึ่งนาย” ตามคติที่ว่า ด้านได้อายอดเว้ย แท้ๆ ไม่มีมีเทียม “ไม่สะดวกวันอาทิตย์ก็วันอื่นก็ได้”
“ไม่สะดวกครับ” และก็ได้รับคำตอบเป็นน้ำเสียงเย็นยะเยือกตามเคย
“help me เถอะนะ pleaseeeeeee” แดฮวีเริ่มลากมาทั้งภาษาเกาหลี และภาษาอังกฤษมาปนกันมั่วไปหมดก็เพื่อการต่อรองกับร่างสูงข้างตัว “หรือจะแค่ให้ดูเลคเชอร์อย่างเดียวก็ได้”
“โอเคๆ พอแล้วๆ” เป็นจินยองเองที่ยอมจำนนต่อลูกอ้อน(ความน่ารำคาญ)ของคนตัวเล็ก เขาหยุดเท้าแล้วขยับมือไปควานหาของบางอย่างในกระเป๋าข้างของตนเอง “เอานี่ไป”
“โอ้ว มาย ก้อช” พอเห็นว่าของที่จินยองกำลังยื่นมาให้คืออะไร แดฮวีก็ถึงกับหลุดปากอุทานเลยทีเดียว “นี่เลคเชอร์นายจริงๆ เหรอ?”
“คงเป็นของคนอื่นหรอกครับ” เรียกได้ว่า ตั้งแต่มีแดฮวีมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ระดับความปากคอเราะร้ายของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยเถอะ
“มือสั่นใจสั่น” ไม่ใช่แค่พูด มือของเจ้าตัวก็สั่นตามที่ปากว่าจริงๆ “แพจินยองให้เราลืมเลคเชอร์อะ แง้”
“แล้วจะเอามั้ยครับ?” จินยองเหนื่อยหน่ายกับความมากท่ามากเรื่องของคนตรงหน้าเหลือเกิน “ถ้าไม่เอา ผมจะได้เก็บ”
“เอาๆๆๆๆๆ” แล้วมือเล็กก็รีบตะปบสมุดเลคเชอร์ปกสีฟ้าอ่อนของร่างสูงมาไว้ในมือด้วยความไวแสง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานให้ “ขอบคุณมากเลยนะ”
“ให้ยืมแค่สองวันนะครับ” ผู้ปล่อยเช่า(?)สมุดเลคเชอร์กำชับเงื่อนไข “เอามาคืนผมก่อนวันหยุดด้วย”
“จริงด้วย เดี๋ยวก็จะถึงวันหยุดยาวของมหา’ลัยละนี่นา” แดฮวีถึงบางอ้อในที่สุด และรีบหันมาให้คำสัญญาด้วยการเอามือขึ้นตะเบ๊ะเลียนแบบพวกทหาร “โอเคๆ รับทราบคับ!”
สวนทางกับความพยายามที่จะพูดไม่ชัดให้ดูแอ๊บแบ๊วเหลือเกิน
“ผมต้องเข้าเรียนแล้ว” พอสังเกตอีกที แดฮวีก็พบว่าเขาทั้งสองมาอยู่ใกล้บริเวณคณะสถาปัตยกรรมแล้ว
“วิชาเสรีเหรอ?”
“อืม”
“งั้นโชคดีนะ” แดฮวีอวยพรพร้อมมอบรอยยิ้มให้จากใจ “ตั้งใจเรียนล่ะ”
“บอกตัวเองเถอะครับ”
ทิ้งท้ายไว้แค่นี้ ก่อนจะปลีกตัวเดินเข้าอาคารไปโดยไม่หันกลับมามองเขาอีก
ส่วนแดฮวีก็ยืนหัวเราะร่วนให้กับตัวเองและสมุดเลคเชอร์ในมือที่เพิ่งได้รับมาอย่างมีความสุข
แพจินยองน่ะ เห็นนิ่งๆ หยิ่งๆ ชอบตีหน้าดุแบบนี้…
แต่ความจริงใจดีกว่าที่คิดมากเลยล่ะ ขอบอก
=== TALK ===
เนียลอง(หรือองเนียลหว่า เอาเถอะ ไม่ฟิกโพมาก)มาแล้วนะคะ มาพร้อมกับคอนฟลิกต์อันใหญ่หลวงเลยด้วย อมก
และสำหรับจินฮวีนั้น ลองสังเกตนะคะว่าจินยองเป็นประเภทแพ้ลูกตื๊อสุดๆ เลยค่ะ ความจริงถ้าเย็นชามากพอ จะอิกนอร์น้องหวีไปเลยก็ได้ แต่สุดท้ายก็คอยอยู่คุยด้วย และเออออตามระเบียบทุกรอบเลยเนอะ 5555555555555
ยังไงก็เจอกันตอนหน้านะคะ
อ้อ อย่าลืมไปหวีดในแท็กทวิตเตอร์กันด้วยล่ะ!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
