คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : [Sumเทอม2] ภาษาไทยหลัก SpecialGuest : Sunny #666
[Sumเทอม2] สรุป : ภาษาไทย(หลัก)
Special Guest. : Sunny #666
สวัสดีอีกรอบนะฮะ กับสรุปน่าจะอันสุดท้ายของเทอมนี้แล้ว (เพราะวิชาอื่นคนเขียนLet it go มันไปแล้ว)
ภาษาไทยรอบนี้ เรื่องที่จะออกสอบมีมากมาย แต่มีสองเรื่องที่บอกตามตรงว่าช่วยกันไม่ได้แน่ๆ คือ
การสะกดคำ + การอ่านออกเสียงคำ <<< พวกนี้นับว่าพึ่งบุญเก่าในวิชานี้กันล้วนๆ นะคะ
แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่พอจะช่วยกันได้ แถมรอบนี้มีแขกรับเชิญกำลังเสริมพิเศษมาเสริมความปึ้กของเนื้อหาอีกด้วย มีอะไรมาดูกันเลยดีกว่า
โคลงสี่สุภาพ + ข้อบังคับพาเพลิน
*คำที่9น่ะ ย้ำว่า เสียง ค่ะ เสียง ไม่ใช่รูป ดังนั้น ถือว่ายังไม่แหกกฎคำสุภาพ
5. คำสร้อย อย่าใส่ความหมายหนัก
เช่น ‘ขอเชิญท่านพี่น้อง พ่อแม่ (แลยาย)’ <<< ผิดค่ะผิด
ถ้าจะให้รอดก็แบบ ‘ขอเชิญท่านพี่น้อง พ่อแม่ (สู่แฮ)’ <<< อันนี้สิถูก
6. สัมผัสนอก อย่าใช้คำเดียวกัน (อันนี้รู้ตั้งแต่แต่งกลอนแปดเป็นแล้วป้ะเธอ)
7. แต่งเพราะแค่ไหน กรุณาสื่อความหมายให้คนอ่านรู้เรื่องด้วย...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โคลงนิราศนรินทร์
ข้อมูลเบื้องต้น อ้างอิง :
นายนรินทรธิเบศร์ (อิน)
14. โคลงนิราศนรินทร์ |
องค์ประกอบ
บทที่1 : ร่ายสุภาพยอพระเกียรติ (หรือบทไหว้ครู)
บทที่2 3 4 : บรรยายกรุงเทพ
บทที่ 5 – 144 : บทพรรณนาความรัก
ถอดความอย่างละเอียด : นิราศนรินทร์คำโคลง
ผู้ทำPartนี้ By. สัน TU 76 ศิลป์-ฝรั่งเศสห้อง66
*กรุณาเปิดหนังสือดูประกอบเพื่อความเข้าใจมากยิ่งขึ้น*
๒.อยุธยาล่มสลายไปแล้ว แต่กลับลอยลงมาตั้งใหม่อีกครั้ง = กรุงรัตนโกสินทร์ -----> เป็นปฏิพากย์ (paradox) สิงหาสน์และพระปรางค์นั้นงดงาม (บุญเพรง=บุญเก่า, เพรงเป็นภาษาเขมรแปลว่าเก่า) ด้วยพระบุญญาธิการของ k ที่สั่งสมมาแต่ชาติปางก่อน ช่วยส่งเสริมให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรื่อง <------ หน้าที่ของ k ในการทำนุบำรุงศาสนา
๓.ศาสนานั้นเรืองรองยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ (พันแสง---->สหัสรังสี=ดวงอาทิตย์, ไตรรัตน์=พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) มีการแสดงธรรมเช้าค่ำ (ใช้คำว่ารินเพราะพระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบมนุษย์เหมือนบัว ๔ เหล่า ความสามารถในการรับรู้เข้าถึงธรรมต่างกัน ดังนั้นจึงต้องค่อยๆสอนไปทีละนิดคล้ายกับการค่อยๆรินน้ำ) เจดีย์ก็สูงเบียดเสียดกัน มองดูมีแสงงามกว่าแสงรัตนะชาติ (แก้ว ๙ อย่าง = เพชรดีมณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสดบุษราคัม แดงแก่ก่ำโกเมนเอก สีหมอกเมฆนิลกาฬ มุกดาหารหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลสายไพฑูรย์) จนเป็นที่อัศจรรย์ของสวรรค์ (เหตุเพราะสวรรค์ไม่มีพระพุทธศาสนาเป็นที่ตั้ง)
***บทนี้มีความพิเศษตรงที่มีการใช้สัญลักษณ์คือ ๑.ดวงอาทิตย์=ความร้อนแรง ๒.รินน้ำ=ความร่มเย็น ๓.เจดีย์=สัญลักษณ์แห่งศาสนาพุทธ
๔.บทนี้จะกล่าวถึงสาสนสถานภายในวัด ไพหาร=วิหาร ศาลาในที่นี้คือศาลาการเปรียญ
ตีระฆังเพื่อบอกเวลา แสงสว่างจากเทียนจากโคมแก้วสว่างจนทำให้แสงจันทร์ดูหมองลงไป
๘.ใช้โวหารภาพพจน์แบบอธิพจน์เกินความจริง
บาท1=การต้องจากน้องอันเป็นที่รักราวกับมีใครมาปลิดนางออกจากอก
บาท2=(เยียว=หาก, แม้ว่า) หากดวงใจของพี่นี้สามารถแบ่งออกได้
บาท3=(แล่ง=ผ่าออก) พี่จะขอผ่าออกเป็นสองส่วน
บาท4=ส่วนแรกจะขอเก็บไว้กับตน อีกส่วนจะขอให้น้องเป็นผู้ถนอมไว้แนบเนื้อ = นอนกอด
๑๐.บทนี้ให้ความรู้สึกห่วงและหวง ไม่ไว้ใจเป็นกังวลของกวี มีการใช้อธิพจน์
บาท1=จะฝากน้องไว้กับฟ้าหรือดินดี
บาท2=จะฝากไว้ก็กลัวธรนินทร์ (พระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นใหญ่) จะมาลอบชมนาง
บาท3=หากฝากไว้กับลม ก็กลัวลมจะพัดพานางไปในอากาศ
บาท4=กลัวว่าลมจะทำให้เนื้อของน้องที่พี่เฝ้าถนอมนั้นชอกช้ำได้
***บทนี้ได้ inspiration จากโคลงบทที่ศรีปราชญ์ช่วยพระนารายณ์มหาราชแต่งไว้น้ะจ๊ะ***
๑๑.สะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อทางเทพเจ้าของศาสนาฮินดูมีอิทธิพลต่อการสร้างผลงานของกวี
บาท1=จะฝากน้องไว้กับพระอุมา-เมียพระอิศวรหรือพระลักษมี-เมียพระนารายณ์
บาท2=กลัวว่าสวยมภูว=พระอิศวรและจักรี=พระนารายณ์จะมาเข้าใกล้นางได้
บาท3=(เรียม=ฉัน,พี่,ข้าพเจ้า) พี่คิดจนจบสามโลก (สวรรค์ – มนุษย์ –บาดาล) ก็แล้วพี่ก็ยังไม่ไว้ใจ
บาท4=ในที่สุดพี่ไม่ขอฝากน้องไว้กับใคร พี่ขอฝากใจน้องไว้กับตัวของน้องเอง
*ยิงด้วยใครครอง = จบบทด้วยคำถาม
๒๒.เป็นวรรคทอง สามารถใช้เป็นฉันทลักษณ์โคลงสี่สุภาพได้
บาท1=ล่องเรือมาเรื่อยๆจนถึงลำบาง = ลำธารเล็กๆ
บาท2=มาถึงบางยี่เรือ (แถวๆจ.สมุทรปราการ) พี่ก็ร้องเรียก (เพรียก=ร้องหา)
บาท3=ร้องเรียกให้เรือแผง (เรือที่นั่งของฝ่ายใน) ช่วยพาน้องแอบมาในม่านมาหาพี่ที (ถ้าใครดูรูปที่ครูวาดบนกระดานจะเห็นว่าเรือแผงจะมีม่านอยู่ข้างๆ)
บาท4=แต่บางยี่เรือก็ไม่รับคำร้องขอ ทำเอาพี่น้ำตาคลอ (คล่าว=ไหล) -----> เป็นบุคคลวัต/บุคลาธิษฐาน ตรงที่เรือไม่รับคำขาน
๓๗.บาท1=มาถึงบ้านบ่อ พี่ไม่เห็นมีน้ำในบ่อเลย
บาท2=แต่บ่อในดวงตาของพี่กลับมีน้ำขังอยู่เต็ม จนพี่ร้องไห้เป็นสายเลือด ----> อุปลักษณ์
บาท3=น้องผู้พร้อมไปด้วยความงามห้าประการของพี่ (ความงาม๕ประการของสตรี---->เบญจกัลยาณี = ผมงาม + เนื้องาม (เหงือกและริมฝีปากแดงสด) + ผิวงาม + ฟันงาม + วัยงาม (งามสมวัย)
บาท4=ให้น้องมาช่วยซับน้ำตาให้พี่ที
๔๑.บทนี้แสดงให้เห็นว่ากวีมีความรู้ด้านนิเวศวิทยา
บาท1=เห็นต้นจากมีกิ่งก้านแทรกกับต้นระกำ – แจกก้านแกมระกำ <---- มีการเล่นเสียงคำ
บาท2=เห็นระกำก็นึกเปรยว่าเหมือนเวรกรรมทำให้เราต้องจากกัน = เล่นคำพ้องเสียง ระกำ เวรกรรม
บาท3=บาปใดที่เราทั้งสอง (โท=ทั้งคู่) ได้ทำไว้ บัดนี้มันได้สนองเราเท่าๆกันแล้ว ----> สนองโดยการต้องพรากจากกัน
บาท4=ขอให้จากกันแต่เพียงชาตินี้ ชาติหน้าขอให้ได้อยู่ร่วมกัน ----> แสดงถึงความหวังของกวี
๔๕.ใช้ขนบวรรณคดีที่แปลกออกไปจากของเดิมกล่าวคือ ปกติจะเปรียบความงามของหญิงเหมือนพระจันทร์ แต่บทนี้พูดแปลกออกไปว่าพระจันทร์ยังไม่อาจเท่าใบหน้าของหญิงอันเป็นที่รัก
บาท1=มองดูพระจันทร์แล้วไม่งามเหมือนหน้าอันเปล่งปลั่งของน้อง
บาท2=เพราะพระจันทร์มีตำหนิตรงกลางเป็นรูปกระต่าย <---- ความเชื่อ
บาท3=ใบหน้าของน้องมีแก้มอันเปล่งปลั่งหาที่ได้มาเปรียบไม่ได้
บาท4=มองแล้วงามยิ่งนัก (ขำ=งาม) ยามยิ้มสวยกว่านางฟ้า
*มีการใช้คำไวพจน์ = แข เดือน ----> พระจันทร์
๑๑๘.บาท1=เดินทางมาถึงตระนาวศรี รู้สึกสงสารน้องมากยิ่งขึ้น (ตระหน่ำ=กระหน่ำซ้ำเติม)
บาท2=เดินทางมาทำศึกด้วยความเศร้าโศกมาเป็นเวลาช้านาน ----> ศัลลาปังคพิสัย
บาท3=เดินทางผ่านทุ่งลำธาร (ลำหาร=ห้วงน้ำ) ป่าใหญ่
บาท4=(สาร=ข้อความ) ฝากความรักความรักความอาลัยเป็นข้อความผ่านต้นไม่ใบหญ้าทุกต้นในไปถึงน้อง----> อธิพจน์
๑๒๒.เคยออกo-net ถามว่าในบทนี้ไม่มีเทพเจ้าองค์ใด + บทนี้แสดงถึงการตัดพ้อความน้อยใจของกวี
บาท1=พันเนตร---->สหัสนัยน์=พระอินทร์ มัวแต่ไปตั้งตามองอะไรอยู่หรือ
บาท2=พักตร์สี่แปดโสต=พระพรหม (มีแปดหูสี่หน้า) มัวแต่ไปมองไปฟังอะไรอย่างอื่นอยู่หรือ
บาท3=กฤษณนิทรเลอหลังนาคหลับ= พระนารายณ์มัวแต่นอนอยู่บนหลังพระยานาคหรือ
บาท4=เราทั้งสองร้องเรียกท่าน แต่ท่านกลับทำเมินเฉยไม่สนใจ
๑๓๔.บทนี้ได้รับอิทธิพลมากจากไตรภูมิพระร่วง
บาท1=ต่อให้มหาสมทุรทั้งสี่แห้งขอดลง
(มหาสมุทรทั้งสี่-ขีรสาคร =สีขาวสะท้อนรัศมีเงินเขาพระสุเมร------->ออก
-นีลสาคร=น้ำเงินอมม่วงสะท้อนรัศมีอินทนิลที่เขาพระสุเมรุ----->ใต้
-ผลิกสาคร=ขาวใสสะท้อนรัศมีแก้วผลึก----->ตก
-ปีตสาคร=สีเหลืองสะท้อนรัศมีทอง----->เหนือ)
บาท2=จนปลาติมิงคล์ มังกร นาคต้องหาที่หลบซ่อน *ส้อน=ซ่อน
บาท3=ฝนก็ไม่ตกลงมา ทำให้พื้นโลกแห้งแล้ง
บาท4=ถึงกระนั้นความรักที่แสนเร่าร้อนที่พี่มีต่อน้องจะคงอยู่เดิมไม่เสื่อมคลาย *เถ้า=เท่า
###ข้อสังเกต### ...ม้วย ---------------- หมด…
...ผาย------------------ผาด…
...หาย------------------เหือด…
...ร้อน-----------------ฤ…
๑๓๘.บาท1=ลมพัดมาต้องกายเหมือนโดนพิษ
บาท2=กายพี่นั้นหนาวแต่ในใจพี่นั้นร้อนด้วยความทุกข์และชอกช้ำ
บาท3=น้องผู้มีความงามเหมือนพวงมาลัย (สะอาด ขาว บริสุทธิ์ หอม)
บาท4=ขอให้น้องได้มาพัดพี่ (วี=พัด) เพียงแค่ครั้งเดียวความเย็นนั้นเย็นกว่ากว่าลมพัด----->อธิพจน์
๑๓๙.บทนี้มีอิทธิพลต่อเพลงใครหนอ**
บาท1=เอียงอกเทความรู้สึกออกมาให้น้องเห็นว่าความรักของพี่ที่มีต่อน้องมากเพียงไหน (อวดองค์ อรเอย=เล่นอักษร)
บาท2=เอาเขาพระสุเมรุไปจุ่มน้ำหมึกที่ทำมาจากดินละลายน้ำทะเล เอามาเขียนข้อความ
บาท3=(จาร=เขียน) ใช้อากาศเป็นกระดาษก็เขียนไม่พอ
บาท4=น้องผู้มีความงามราวกับหยาดลงมาจากท้องฟ้า ถ้าไม่ได้เห็นหน้าน้องพี่คงอยู่ไม่เป็นสุข ร้อนด้วยความทุกข์
๑๔๐.ใช้โวหารภาพพจน์แบบอธิพจน์ ได้รับอิทธิพลจากไตรภูมิพระร่วง
บาท1=ต่อให้ภูเขาทลายลง
บาท2=ต่อให้สวรรค์ทั้งหกสลายหายไป (สวรรค์ทั้งหก = ฉกามาพจร มี จาตุมาหาราชิกา ดาวดึงส์(พระอินทร์อยู่) ยามะ ดุสิต(พระโพธิสัตว์อยู่ก่อนลงมาบนโลกมนุษย์) นิมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี)
บาท3=พระอาทิตย์ พระจันทร์จะมลายหายไปจากโลก
บาท4=ไฟบรรลัยกัลป์จะล้างโลกทั้งสี่ (ทวีปทั้งสี = อุตตรกุรุทวีป--->เหนือ บุพพวิเทหทวีป--->ออก ชมพูทวีป---->ใต้ อมรโคยานทวีป---->ตก) แต่ความรักของพี่จะคงอยู่ไปเสื่อมคลาย
๑๔๑.บาท1=รำพันถึงความรักและการต้องจากน้องไปด้วยความโศกเศร้า
บาท2=ไพเราะไปทั่วฟ้า ---->อธิพจน์
บาท3=เป็นข้อความที่พี่รำพันแสดงถึงความโศกเศร้าของพี่ถึงน้องรัก
บาท4=ควรที่น้องจะเก็บไว้ดูต่างหน้าในภายหลัง (พู้น=โน้น,ภายหลัง)
#ข้อสังเกต จากหลายๆบทที่เราได้ศึกษาพบว่ากวีผู้แต่งไม่เข้าใจหลักไตรลักษณ์-----> กฎธรรมดาของทุกๆอย่างบนโลกที่ไม่มีอะไรยั่งยืน แต่กวีแบบอารมณ์ประมาณว่าจะรักชั่วนิรันดร ซึ่งมันเป็นไม่ได้ ขัดหลักพุทธศาสนา
***โชคดีกับการสอบครับ***
ศัพท์โหดๆ
ไตรรัตน์ : แก้วรัตนตรัย
พันแสง : ดวงอาทิตย์
ระดะ : เรียงราย
แด : ใจ
สยมภูว : พระอิศวร
จักรี / กฤษณนิทรเลอหลัง : พระนารายณ์
พันเนตร : พระอินทร์
พักตร์สี่แปดโสต : พระพรหม
ขำ : งาม
บก : น้อย
ไป่ / ห่อน : ไม่
ตระนาว : (สถานที่) ตะนาวศรี
ทุ่ง : ทุ่ง
ละหาน : ทางน้ำ
หิมเวศ : ทางป่า
พิโยค : พลัดพราก
วี / พาน : พัด
ข้น : โค่น
*นทีสี่สมุทร
ปีตสาคร
ผลิกสาคร เขาพระสุเมรุ ขีรสาคร
นีลสาคร |
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บทนมัสการมาตาปิตุคุณ และอาจาริยคุณ
ผู้แต่ง : พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
สมัย : รัชกาลที่ 5
สำนวนการแต่ง : อินทรวิเชียรฉันท์ 11 บาลี จำนวน 5 บท
*บทที่พวกเราสวดทุกๆ วันศุกร์ไงเธอ
ศัพท์โหดๆ
แกล้ง : จงใจ ตั้งใจ
แดนไตร : สวรรค์ มนุษย์ บาดาล
นิราไกล : ไม่จากไปไกล
นุกูล : เกื้อกูล
อนุสาสน์ : สอน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มหาชาติ หรือมหาเวสสันดรชาดก
ผู้แต่ง :
1. พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตโนรส
2. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่4)
3. กวีสำนักวัดถนน
4. กวีวัดสังขจาย
5. พระเทพโมลี (กลิ่น)
6. เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
เหตุผลที่เกิดเรื่องนี้ : ครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระประยูรญาติ แต่เหล่าลุง ป้า น้า อา ที่ยังเห็นว่าตัวเองเป็นฝ่ายผู้ใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าก็เกิดความทิฐิประมาณว่า ‘เรื่องอะไรยะไปกราบหลานล่ะ’ พระพุทธเจ้าจึงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ลอยขึ้นไปนั่งบนเมฆ และเกิดฝนโบกขรพรรษ ฝนสีแดงใส อยากเปียกก็เปียก ไม่อยากเปียกก็ไม่เปียก ทีนี้เหล่าประยูรญาติก็เกรงในบารมีในบัดดล หลังจากตอนนั้น มีพระสาวกมาถามว่า ‘ท่านพระศาสดา ฝนโบกขรพรรษที่เห็นนี่เป็นครั้งแรกใช่รึไม่’ ทรงตอบว่า ไม่ใช่ครั้งแรก อันที่จริงเกิดขึ้นมาก่อนในชาติที่แล้ว ในเรื่อง มหาเวสสันดรชาดก จึงเริ่มเล่าเรื่องไป...
เวสสันดรชาดก เป็นนิบาตชาดก ซึ่งนิบาตชาดก แปลว่า 500ชาติของพระพุทธเจ้า
โดย 10 ชาติสุดท้ายรวมกันเรียกว่า ทศชาติ และชาติสุดท้ายก่อนมาเป็นพระพุทธเจ้าอลังการสุดจึงเรียกว่า มหาชาติ
*เขาว่ากันว่าคนที่มาฟังเทศน์เรื่องมหาชาติ จะได้กุศลแรงกล้าเลยทีเดียวจึงเกิดเป็น ประเพณีเทศน์มหาชาติขึ้นมา
ภาคกลาง = ฟังเทศน์มหาชาติ (มีความไพเราะที่สุด)
ภาคเหนือ = ตั้งธรรมหลวง
ภาคอีสาน = งานบุญพระเวส
ภาคใต้ = ฟังเทศน์มหาชาติ (ประหลาดที่แต่งด้วย กาพย์ฉบัง กาพย์สุรางคนางค์ และมาลินีคำฉันท์)
ทานพิเศษที่ให้ในเนื้อเรื่อง
1. ปัจจัยนาเคนทร์ (ให้ช้างเผือกคู่บ้านคู่เมือง)
2. สัตตดกมหาทาน (ให้7อย่าง อย่างละ700)
3. ปิยบุตรทาน และทารทาน เรียกรวมกันว่า ‘บุตรทารทาน’(ให้ลูกให้เมีย)
13 กัณฑ์
กัณฑ์ที่1 กัณฑ์ทศพร : ช่วงที่นางผุสดีกำลังจะมาเกิดเป็นแม่ของพระเวสสันดร ได้ขอพร10ประการก่อนมาเกิด
กัณฑ์ที่2 กัณฑ์หิมพานต์ : ปัจจัยนาเคนทร์ คือ ใช้ช้างคู่บ้านคู่เมืองไป ทำให้ชาวเมืองเชตุดรขับไล่ แสดงความเป็นมวลมหาประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
กัณฑ์ที่3 ทานกัณฑ์ : ก่อนจะออกจากเมืองไปทั้งครอบครัวพ่อแม่ลูก ได้ทำ สัตตดกมหาทาน แล้วค่อยออกไป (เรียกว่า ไม่เข็ด)
กัณฑ์ที่4 กัณฑ์วนประเวศน์ : เจอกษัตริย์เจตราช และพรานเจตบุตร โดยพวกฮีทูลขอให้มาช่วยครองเมือง แต่พระเวสสันดรเซย์โนไม่เอา จึงให้พรานเจตบุตรนำทางไปในป่าเขาวงกต พอถึงที่ก็ได้บวชเป็นดาบสทั้งครอบครัว
กัณฑ์ที่5 กัณฑ์ชูชก : กล่าวถึงพราหมณ์ชูชกขอทานเฒ่า ที่มีเมียชื่อนาง อมิตตดา แต่เพราะนางปรนนิบัติสามีดีไป พราหมณ์คนอื่นเห็นว่าภรรเมียตัวเองไม่เริ่ดเท่านางอมิตตดา จึงเปรียบเทียบค่อนขอด พวกเมียสู้ผัวไม่ได้ เลยไปหาต้นเหตุคือ อมิตตดาให้ประชาพันธ์แม่บ้านรุมสกรรม นางอมิตตดาจะไม่ทน บอกว่าถ้าเป็นแบบนี้ไปหาทาสมาดีกว่า กัณหาชาลีที่เป็นลูกพระเวสสันดรสิ ไปขอเขาน่าจะให้ ว่าแล้วชูชกก็เริ่มเดินทางไปเอาตัวทาสมา โดยหลอกพรานเจตบุตรให้พาไปที่ป่าหิมพานต์
กัณฑ์ที่6 กัณฑ์จุลพน : บทพรรณนาพรรณไม้ในป่า บอกเส้นทาง ไปเจอกับพระฤๅษีก่อนจะเข้าเขาวงกต
กัณฑ์ที่7 กัณฑ์มหาพน : คราวนี้ถึงคราวเข้าไปในป่าใหญ่ จึงลวงพระฤๅษีอีกตามเคย ก็บรรยายรูปแบบป่าอีกรอบ บอกเส้นทาง จากนั้นชูชก็เริ่มเดินทางต่อเข้าใกล้ครอบครัวดาบสพระเวสสันดรเข้าไปทุกที
กัณฑ์ที่8 กัณฑ์กุมาร : ไปทูลขอกุมารจากพระเวสสันดร เกิดสำนวน ‘ชักแม่น้ำทั้งห้า’เด็กสองคนจึงรีบพากันไปซ่อนใต้สระน้ำคูบัว(?) แล้วพ่อก็ให้ จึงจำยอมกลายเป็นทาส โดกัณหามีค่าไถ่ตัวสูงกว่า ปิยบุตรทาน
กัณฑ์ที่9 กัณฑ์มัทรี : พอผู้เป็นแม่กลับมาไม่เห็นลูก จึงตามหา แต่ไม่พบก็โศกเศร้า จึงโดนจิตวิทยาของพระเวสสันดรแกล้งว่าให้โกรธ พอโกรธก็กลายเป็นพลังแบบเดอะฮัค ตามหาลูกต่อทั้งคืน พอกลับมาอีกรอบในสภาพ หมดทั้งแรงกายแรงใจ ไวตามิลค์ช่วยไม่ได้ พระเวสสันดรเห็นว่าไม่มีแรงหวีดร้องอะไรก็ถึงเวลาบอกไปว่า อ๋อ ให้ลูกไปละ อนุโมทนาบุญกันสิ
นางมัทรีที่เพลียจัดก็แบบ เออ อนุโมทนาก็อนุโมทนาค่ะ
กัณฑ์ที่10 กัณฑ์สักรบรรพ : พระอินทร์ผู้มีส่วนร่วมในวรรณคดีทุกเรื่องเห็นว่า เดี๋ยวต้องมีคนมาขอนางมัทรี แล้วพระเวสสันดรก็ต้องเอนอ่อนให้อีกแน่ๆ ก็เลยแปลงลงมาเป็นพราหมณ์มาขอเมีย เป็นทารทาน พอได้แล้วก็คืนร่าง และคืนนางมัทรีให้พร้อมกำชับว่า อย่า เอา ไป ให้ ใคร เข้าใจ๋?
กัณฑ์ที่11 กัณฑ์มหาราช : ชูชกที่ลากเด็กสองคนจะกลับบ้าน แต่ดันเดินผิดทางไปโผล่แถวนครเชตุดร พระเจ้าสญชัยเห็นหลานตัวเอง จึงเรียกชูชกมาขอไถ่ตัวหลาน และพระราชทานรางวัลให้ ด้วยอาหารรสเลิศต่างๆ มากมาย ชูชกก็เลยออลอีทติ้งสวิงกิ้งจนท้องระเบิดบู้มเป็นโกโก้ครันช์ตาย
กัณฑ์ที่12 กัณฑ์ฉกษัตริย์ : มีคนไปตามตัวพระเวสสันดรกับนางมัทรีกลับมา ราชวงศ์ทั้งหก ปู่ ย่า พ่อ แม่ ลูกสองคน เจอกันเลย โอวววววว มายยยยเดียยยยยร์ แล้วสลบไป เกิดฝนโบกขรพรรษ ที่พระอินทร์บันดาลให้ทั้งหมดฟื้นขึ้นมา (ยิ่งกว่ายาดมตราโป๊ยเซียน)
กัณฑ์ที่13 นครกัณฑ์ : พระเวสสันดร และพระนางมัทรีได้ไปแคว้นสีพี ครองเมืองอย่างมีความสุขตลอดกาล
การกลับชาติมาเกิดก็ตามพุทธประวัติ
พระเจ้าสญชัย เป็นพระสุทโธทนะ
พระนางผุสดี เป็นพระนางสิริมหามายา
พระเวสสันดร เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
พระนางมัทรี เป็นพระนางพิมพา หรือพระนางยโสธรา
ชาลี เป็นราหุล
แต่ กัณหา ที่แค้นเคืองขุ่นพ่อเป็นอย่างมาก เรื่องอะไรอยู่ๆ ลากหนูไปลำบากในป่า แล้วยังโดนขายเป็นทาสอีก ไม่ต้องมายุ่งนับญาติกันอีก!! เลยได้เกิดเป็น นางอุบลวรรณาเถรี ที่บวชเป็นภิกษุณีในพุทธศาสนา
จบแล้วจ้ะ
ความคิดเห็น