คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : [Final] ม.4เทอม1 ไทย(หลัก) Part1/2 : ไวยากรณ์หลักภาษา
[Final] ไทย(หลัก) Part1/2 : ไวยากรณ์หลักภาษา
By.BiwTigerPisces
การสื่อสาร
ปัจจัยการสื่อสาร ได้แก่ 1.ผู้ส่งสาร 2.สื่อ 3.เนื้อความ 4.ผู้รับสาร
โดยที่จะหลอกเราบ่อยสุดคือ สื่อ ซึ่งสื่อในที่นี้หมายถึง ตัวอะไรก็ได้ที่ทำให้ คนถ่ายทอด กับ คนอ่านเกิดความเข้าใจกัน อย่างในรอบนี้ที่พวกเธออ่านบทความของอิชั้นอยู่ สื่อก็คือ ไอโฟน / คอม / เดสก์ท็อป /กระดาษ / หมึกพิมพ์ นั่นเอง หรือแม้กระทั่งเวลาพูดกัน เด็กวิทย์น่าจะรู้กันว่าเสียงเดินทางผ่านสสาร หนึ่งในสื่อของรอบนี้ก็จะมี อากาศ เกี่ยวข้องด้วย เพราะว่าอากาศทำให้เสียงเดินทางไปมาหาสู่กันได้
วัจนภาษา คือ การสื่อสารแบบมีตัวอักษร มีสื่อ มีเสียง เช่น การเม้าท์นินทาชาวบ้านกัน , นักร้องร้องเพลง ,เราอ่านหนังสือ
อวัจนภาษา คือ การสื่อสารแบบใช้ภาษาใบ้ ไม่ต้องมีเสียง ตัวอักษร เราก็รู้ เช่น
ยกนิ้วก้อย = ดีกันนะ สัญญากันนะ
ยกนิ้วชี้ = เรียก สั่ง คนนี้ นั่น โน่น บอกทาง
ยกนิ้วโป้ง = กดไลค์ เยี่ยมเลย เค้างอนละ(สำหรับเด็ก)
ยกนิ้วกลาง = ......(ละไว้ในฐานที่เข้าใจ)
สำหรับข้อสอบที่เราจะเจอ มันจะถามตรงๆ แบบนี้แค่ไม่กี่ข้อ ที่พิฆาตเด็กมาหลายรายเห็นจะเป็นข้อสอบแนวมาเป็นกลอน แล้วถามว่าข้อไหนมี / ไม่มี วัจนภาษา / อวัจนภาษา
Ex. รุ่งเช้ากลางลานตลาดสด
มีแม่มดหนึ่งนางเข้ามาหา
พร้อมถามทางจำนรรจา
ตัวแม่ค้าก็บอกไปตามจริงพลัน.
ตอบ ข้อนี้ มีวัจนภาษาอย่างเดียวจากคำว่า ‘ถาม / บอก’
Tips. จำไปเถอะ ครูเฉลยมา เข้าใจ๋
*มนุษย์เท่านั้นที่สื่อสารได้
*ภาษาที่ใช้ คือหัวใจของการสื่อสาร
การอ่าน
จุดมุ่งหมายการอ่าน แบ่งได้ ดังนี้
1. อ่านเอาเรื่อง : นิทาน ข่าวบันเทิง ข่าวเก็บตก ข่าวนอกลู่ อะไรก็ว่าไปที่ดูแก่นสารเบาๆ
2. อ่านเก็บความรู้ : สารคดี บทความวิชาการ หนังสือเรียน สรุปสอบ
3. อ่าน(แล้วจำเป็น)ตีความ : โคลง กลอน กาพย์ ฉันท์ ร่าย หรือแม้แต่พวกนิยายภาษาอลังการแบบกามนิตที่ต้องแปลไทยเป็นไทยอีกที....
4. อ่านวิเคราะห์ : วรรณคดี หรือพวกที่แนวๆ บันเทิงที่หลักสูตรบังคับให้เรียน พวกงานซีไรต์อะไรงี้ อย่างกามนิตอีกนั่นแหละ เพราะเราต้องวิเคราะห์ว่าทำไมตัวละครต้องคิดอะไรลึกซึ้ง (ความจริง คือ ติสต์แตกของเรา)ขนาดนี้ ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น แล้วจุดนี้ถ้าฉันอ่านแล้วมันเกิดประโยชน์อะไรกับชีวิตหว่า ยังงี้เป็นต้น
อ่านแล้วพัฒนาด้านใด
1. ด้านความรู้ : ข่าว สารคดี บทความเคล็ดลับ
2. ด้านอารมณ์ : วรรณคดี(แบบแฟนตาซีสุดๆ) นิทาน นิยาย ข่าวบันเทิง
3. ด้านคุณธรรม : วรรณคดี(แบบพวกสุภาษิตสอนหญิง) ชาดก พระบรมราโชวาท คำสอน พระอภิธรรม ฯลฯที่อ่านแล้วคิดว่าทำให้ตัวเองโลกสวย เอ้ย เป็นคนดีขึ้น(?)
ย้ำ ถ้ามีคำว่า ‘ด้าน’ นำหน้า จะมีแค่ 3 อย่างนี้ ถ้ามีด้านอย่างอื่น อย่างเช่น ด้านสังคม อะไรแบบนี้ตามมา คอนเฟิร์มได้ว่าข้อนั้นเป็นข้อหลอกนะจ๊ะ
ประเภทข้อความ
1. ข้อเท็จจริง : ข่าว สารคดี บทความทั่วไป
2. ข้อคิดเห็น : บทกวี บทสรรเสริญทุกประการ(ที่สวดกันทุกๆวันศุกร์)
*จะพบคำว่า คาดว่า เห็นว่า คิดว่า น่าจะ โดยส่วนใหญ่
3. ข้อความแสดงอารมณ์ : บทละคร ดราม่าในพันติ๊ป สเตตัสเพื่อนที่กำลังเก็บกด ฯลฯ
4. ข้อความจรรโลงใจ : บทความกลอนให้กำลังใจ เรื่องราวที่อ่านแล้วให้ข้อคิด เนื้อเพลงที่สื่อความหมายได้
Tips. จำไปเถอะ ครูเฉลยมา : หนังสือพิมพ์ ถ้าไม่มีเวลาอ่าน ให้อ่าน : หัวข่าว และวรรคนำของข่าว
โวหารร้อยแก้ว
เรื่องนี้ไม่เน้นเท่าไหร่ เจอกันแต่เล็กยันม.ปลาย แต่ก็ใส่ๆ ไปกันลืมนะจ๊ะ
1. บรรยายโวหาร : ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ด้วยภาษาปกติ
2. พรรณนาโวหาร : ภาษาวิลิสสมาหลา อ่านที่กูไม่เข้าใจว่ามรึงจะสื่อว่าตัวละครกำลังทำอะไรกันแน่
3. เทศนาโวหาร : ส่วนใหญ่จะเป็นพระบรมราโชวาท คำคมสอนใจ คติสอนใจ
4. อุปมาโวหาร : เจอคำว่า เหมือน พ่าง คล้าย ครุวณา เช่น ประดุจ ฯลฯ ที่เอามาเปรียบน่ะ นั่นแหละอุปมา
5. สาธกโวหาร : อ่านไปแป๊บๆ แล้วจะมีตัวอย่างแทรกเข้ามา ซึ่งในพระพุทธศาสนาจะมีบ่อยมาก อย่างเช่นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพระประยูรญาติ แต่เกิดความขัดแย้งกัน พระพุทธเจ้าก็แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ เทศนาเบาๆ ก่อนจะยกเรื่องพระเวสดันชาดกมาเล่า นี่แหละคือสาธกโวหาร
พิเศษ 6.อธิบายโวหาร
ตัวหลอกที่น่าตบยิ่งกว่านางร้ายในละคร เพราะจะทำให้เราสับสนไปกับบรรยายโวหาร ดังนั้นทริคการสังเกตคือ ตัวอธิบาย จะเหมือนการแทรกเชิงอรรถที่ ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง อย่างเช่น
....เธอเดินไปยังป่าแห่งหนึ่งนามว่าหิมพานต์ โดยชื่อของป่านี้ ได้สังเคราะห์จากภาษารูมนุษย์ต่างดาว ผสมกับรากศัพท์อักษรพิมพ์โบราณฝั่งทะเลแคริบเบียน.....
แต่ถ้าเจอแบนนี้ จะกลายเป็น สาธกโวหาร ทันที
....เธอเดินไปยังป่าแห่งหนึ่งนามว่าหิมพานต์ โดยชื่อของป่านี้ มีที่มาจากตำนานเรื่องหมีน้อยกู้โลก เรื่องราวได้กล่าวไว้ว่า หมีน้อยกู้โลกได้ไปเก็บต้นอ่อนประหลาดชื่อว่า หิมพานต์ ที่งอกอยู่บนหุบเขาเอเวอร์เรส แล้วเอามาปลูกในบริเวณลานโล่งแถวนี้ เวลาผ่านไปหลายพันปี ต้นอ่อนก็กระจายสายพันธุ์งอกแมร่งเป็นบริเวณ กลายเป็นป่า ดังนั้น ชื่อป่าจึงนับตามชื่อต้นกล้าที่ได้เอามาปลูกเป็นครั้งแรก
เสียงในภาษา
เสียงสั้น-ยาว
ย้ำว่านี่คือ เสียง ไม่ใช่รูปสระ นั่นคือ ต่อให้คำนั้นมีสระอยู่ในรูปสั้น ก็อาจจะออกเสียงยาวสลับกันก็ได้ อย่างคำว่า เช้า ออกเสียงกันจริงๆคือ ช้าว โดยมิรู้ตัวกันเลยใช่มั้ยล่ะ ซึ่งจะดูได้ดังนี้
1. อยู่เป็นคำประสม เช่น น้ำใจ น้ำดื่ม น้ำหวาน น้ำส้ม >>> น้ำ ออกเสียงสั้น
2. อยู่เป็นคำเดี่ยวๆ เช่น ขอน้ำหน่อย >>> น้ำ ออกเสียงยาว
3. คำที่มีตำแหน่งอยู่ตรงกลาง เช่น ตัวต่อตัว ตาต่อตา เขากับเธอ ฉันและนาง >>> ออกเสียงสั้น
...ที่เหลือก็แล้วแต่เวรกรรมว่าแอ็คเซนท์คุณจะตรงกับที่ผู้ออกข้อสอบต้องการเท่าไหร่ละกันนะ
เสียงหนัก-เบา
สิ่งที่ควรรู้กันก่อนก็คือ คำครุ-ลหุ
ครุ คือ คำที่มีสระเสียงยาว / มีตัวสะกด ทั้งสองอย่างหรืออย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
ลหุ คือ คำที่เป็นสระเสียงสั้นและห้ามมีตัวสะกด เท่านั้น
โดยมีตัวอันตรายเป็นลหุพิเศษ คือ บ่ ธ ณ ก็ เช่น มันแน่นอก ก็ยกออก ให้แบกเอาไว้นานไปเดี๋ยวใจถลอก
ทีนี้ก็มาดูการสังเกตเสียงหนัก-เบากันได้ ก่อนอื่นต้องสังเกตก่อนว่า คำนี้มาเป็นประเภทแบบไหน
1.มาเป็นคำประสม(ที่ทำหน้าที่กิริยา) หรือ คำซ้อน >> เสียงหนักตลอดกาล
ไม่ว่าจะเป็นครุหรือลหุ ถ้าเจอกรณีนี้ก็มั่นใจไปเลยว่าอันนี้แหละ เสียงหนัก เช่น
ชื่นชอบ(ซ้อน) หวีดร้อง(ซ้อน) ขัดคอ(ประสมที่ทำหน้าที่กิริยา)
2.คำทั่วไป(นอกเหนือจากข้อ1) ที่มี 2-4 พยางค์
พยางค์ที่ 1 2 ... (แต่ไม่ได้อยู่ท้ายสุด) = ต้องสังเกตว่าเป็น ครุ หรือ ลหุ
พยางค์สุด = จัดเป็นเสียงหนักตลอดกาล
ตัวอย่าง ลักษณะ
ลัก อยู่เป็นพยางค์ที่1 ไม่ได้อยู่ท้าย แถมเป็นครุ = เสียงหนัก
ษ อยู่เป็นพยางค์ที่2 ไม่ได้อยู่ท้าย แถมเป็นลหุ = เสียงเบา
ณะ ถึงจะเป็นลหุ แต่เพราะเป็นพยางค์ท้ายสุด = เสียงหนัก
เห็นมั้ยล่ะ แค่รู้หลักครุลหุ เท่านี้การแยกว่าอันไหนหนักเบาก็ไม่ยากอีกต่อไป
ความคิดเห็น