คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #43 : [ม.5 Sum1] ไทยหลัก : "ลิลิตตะเลงพ่าย"
[ม.5 Sum1] สรุป : ไทยหลัก “ลิลิตตะเลงพ่าย”
BiwTigerPisces + ข้อมูลเอื้อเฟื้อจากที่อื่นๆ
เนื่องด้วยเป็นพาร์ทที่แม้แต่เด็กศิลป์ยังหวีดร้อง เด็กวิทย์ยิ่งกรี๊ดหนัก เลยเลือกที่จะทำอันนี้โดยเฉพาะ (เพราะพวกไวยากรณ์การ เรื่องคำ การสื่อสาร อะไรพวกนี้ขึ้นอยู่กับบุญเก่าแต่ละนางอยู่แล้ว) พยายามใส่ข้อมูลอย่างเต็มที่ ทั้งตัวเนื้อเรื่อง และตัวข้อมูลเกร็ดความรู้ ลองอ่านดูนะจ๊ะ
ลิลิตตะเลงพ่าย
ผู้แต่ง : สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (กวีในสมัย ร.3)
จุดมุ่งหมาย : เพื่อเฉลิมพระเกียรติ แสดงเกียรติยศกษัตริย์ไทย และจารึกประวัติศาสตร์
รูปแบบการแต่ง : โคลง + ร่าย = ลิลิต
เนื้อเรื่องโดยรวม :
//ส่วนนี้ดิชั้นไปเจอจากเว็บซักเว็บที่สรุปไว้แล้ว เห็นว่าอ่านง่ายดี เลยเอามาให้ย่อ เน้นสี ปรับสำนวนให้นิดหน่อย ลองอ่านกันนะคะ
เครดิต : http://www.kroobannok.com/blog/17156
ตอนที่ 1 เริ่มบทกวี
ตอนที่ 2 เหตุการณ์ทางเมืองมอญ
เมื่อได้ความแล้ว ก็รับสั่งให้พระมหาอุปราชาราชโอรสจัดเตรียมทัพพร้อมด้วยทัพเมืองเชียงใหม่ เป็นจำนวนห้าแสนคนยกไปตีกรุงศรีอยุธยา พระมหาอุปราชานั้นไม่อยากไป กราบบังคมทูลว่าโหรทำนายว่าพระองค์เคราะห์ร้ายชะตาถึงฆาต พระเจ้าหงสาวดีจึงตรัสเป็นเชิงประชดว่า “เจ้า อยุธยามีโอรสเก่งกล้าสามารถในการรบ ไม่ต้องให้พ่อสั่งก็จะไปรบเอง เผลอๆ ฝ่ายพ่อเนี่ยแหละที่จะห้าม แล้วดูเจ้าสิ เฮ้อออออ ถ้าเจ้าเกรงว่าเคราะห์ร้ายก็อย่าไปรบเลย เอาผ้าสตรีมานุ่งเถอะจะได้หมดเคราะห์” พระมหาอุปราชาทรงอับอายขุนนางข้าราชการเป็นอันมาก เวลาเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นจึงยกทัพไปตามคำสั่ง (แต่ก่อนจะไป ก็มีสั่งลาพระสนมทั้งหลายด้วยความอาวรณ์จนถึงรุ่งเช้า) พระเจ้าหงสาวดี(นันทบุเรง)ก็พระราชทานพรให้ชนะศึกสยาม แล้วทรงชี้เรื่องที่โบราณสั่งสอนไว้ที่เป็นประโยชน์ต่อการรบ คือ โอวาท 8 ประการ
ตอนที่ 3 พระมหาอุปราชายกทัพเข้าเมืองกาญจนบุรี ฝ่ายม้าเร็วของเมืองกาญจนบุรี เห็นฉัตรห้าชั้นก็ทราบว่าเป็นพระมหาอุปราชายกทัพมา ก็รีบกลับมาแจ้งเจ้าเมืองว่า ข่าวศึกให้เจ้าเมืองกาญจนบุรีทราบ ผลเป็นไง เผ่นกันทั้งเมือง อลหม่านอลวนหนีกันป่าราบเลยจ้ะ
ส่วนกองทัพพระมหาอุปราชาเร่งยกทัพมาถึงแม่น้ำลำกระเพิน ให้พระยาจิตตองทำสะพานไม้ไผ่ปูเพื่อยกพลเดินข้ามฝาก ชาวสยามเห็นชัดเช่นนั้นจึงมีสารลงชื่อทุกคนรายงานเรื่องข้าศึกยกทัพเข้ามา แล้วให้ขุนแผน (นายด่าน) ขี่ม้าเร็วมาบอกพญามหาดไทย เพื่อกราบทูลเรื่องให้ทรงทราบ
ตอนที่ 4 พระนเรศวรทรงปรารภเรื่องตีเมืองเขมร
ตอนที่ 5 สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรียมการสู้ศึกมอญ
*จะเห็นได้ว่าการรบครั้งนี้รบกันที่ สุพรรณบุรี ไม่ย่างกรายมาถึงอยุธยาเลยแม้แต่น้อย
ตอนที่ 6 พระนเรศวรทรงตรวจเตรียมทัพ เรื่องราวราวในพระสุบินของสมเด็จพระนเรศวรมี ว่า พระองค์ได้ทอดพระเนตรน้ำไหลบ่าท่วมป่าสูง ทางทิศตะวันตก เป็นแนวยาวสุดพระเนตร และพระองค์ทรงลุยกระแสน้ำอันเชี่ยวและกว้างใหญ่นั้น จระเข้ใหญ่ตัวหนึ่งโถมปะทะและจะกัดพระองค์ จึงเกิดต่อสู้กันขึ้น พระองค์ใช้พระแสงดาบฟันถูกจระเข้ตาย ทันใดนั้นสายน้ำก็เหือดแห้งไป พอตื่นบรรทมสมเด็จพระนเรศวรรับสั่งให้โหรทำนายพระสุบินนิมิตทันที พระโหราธิบดีถวายพยากรณ์ว่า พระสุบินครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเทวดาสังหรณ์ให้ทราบเป็นนัย น้ำซึ่งไหลบ่าท่วมป่าทางทิศตะวันตกหมายถึงกองทัพของมอญ จระเข้คือพระมหาอุปราชา การสงครามครั้งนี้จะเป็นการใหญ่ ขนาดถึงได้กระทำยุทธหัตถีกัน การที่พระองค์เอาชนะจระเข้ได้แสดงว่าศัตรูของพระองค์จะต้องสิ้นชีวิตลงด้วย พระแสงของ้าว และที่พระองค์ทรงกระแสน้ำนั้น หมายความว่า พระองค์จะรุกไล่บุกฝ่าไปในหมู่ข้าศึกจนข้าศึกแตกพ่ายไปไม่อาจจะทานพระบรมเดชานุภาพได้ และนั่นยิ่งทำให้ฝั่งไทยเรามีกำลังใจฮึกเหิมมากขึ้น
ตอนที่ 7 พระมหาอุปราชาทรงปรึกษาการศึกแล้วยกทัพเข้าปะทะหน้าของไทย ขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถก็ทรงเตรียมกำลังทหารไว้อย่างพร้อมเพรียง เตรียมดำเนินตามแผน ตั้งแต่ยังไม่สว่าง จนแสงเงินแสงทองจับขอบฟ้า
ตอนที่ 8 ทัพหน้าไทยถอยไม่เป็นกระบวน (พูดง่ายๆ ก็คือ ยังไม่ต้องส่งคนไปเติม ให้กำลังทั้งหมดรอดักอยู่ตรงนี้แหละ ส่วนตรงทัพหน้าก็ค่อยๆ ถอยมาเรื่อยๆ ให้พม่ามันตายใจว่าจะชนะแล้ว จังหวะนั้น ก็ให้ทัพไทยทั้งหมดที่ตั้งรอไว้ บุกตีล้อมปิดหน้าหลังเลย จัดเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีมากๆ)
ตอนที่ 9 ทัพหลวงเคลื่อนพล ช้างทรงพระนเรศวรและพระเอกาทศรถฝ่าเข้าไปในกองทัพข้าศึก
ปัญหายังมีอยู่อีก ทัพพม่าคราวนี้ลงทุน ใช้ทริคคาถาแยกเงาพันร่าง โดยการจัดให้มีช้างทรงหลายช้าง แต่ละช้างก็มีฉัตรนับรวมกันแล้วได้ถึง 16 ทำให้แยกไม่ออกว่า หนึ่งใน 16 นี้ คนไหนคือพระมหาอุปราชาตัวจริง
แต่สิ่งที่ยังไม่เนียนก็คือ เครื่องราชูปภกค์ ที่หรูหราเจิดจรัสของพระมหาอุปราชา ทำให้พระนเรศวรทรงสังเกตเห็น และเข้าประชิดตัวจริงได้ในที่สุด
ตอนที่ 10 ยุทธหัตถี และชัยชนะของไทย กระนั้น ช้างทรงของพระนเรศวรก็กำลังจะเสียหลัก หากโชคดี ด้านหลังมีต้นพุทราขนาดใหญ่ เท้าของช้างทรงจึงยันต้นพุทราไว้ได้ ทันใดนั้นช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรเบนสะบัดได้ล่าง จึงใช้งางัดคอช้างของพระมหาอุปราชาจนหงาย สมเด็จพระนเรศวรจึงใช้จังหวะนั้นทรงเงื้อพระแสงของ้าวฟันถูกพระมหาอุปราชาที่พระอังสาขวา ขาดสะพายแล่ง สิ้นพระชนม์แล้วได้ไปสถิตในแดนสวรรค์
ควาญช้างของสมเด็จพระนเรศวร คือ นายมหานุภาพก็ถูกปืนข้าศึกเสียชีวิต ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถได้ทำยุทธหัตถีกับ มางจาชโร (พระพี่เลี้ยงของพระมหาอุปราชา) พระเอกาทศรถได้ใช้พระแสงของ้าวฟันถูกมางจาชโรตายซบอยู่บนหลังพลายพัชเนียร นั่นเอง และกลางช้างของพระเอกาทศรถ คือ หมื่นภักดีศวรก็ถูกปืนข้าศึกตาย
ตอนที่ 11 พระนเรศวรทรงสร้างสถูปและปูนบำเหน็จทหาร ต่อมาก็ทรงปรึกษาโทษแม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จ กลัวข้าศึกยิ่งกว่าพระอาญา ไม่พยายามยกไปรบให้ทัน ปล่อยให้ทั้งสองพระองค์ทรงช้างพระที่นั่งฝ่าเข้าไปท่ามกลางข้าศึกตามลำพัง ถึงแม้ได้กระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะก็ตามที ลูกขุนได้เชิญกฎพระอัยการออกค้นดู เห็นว่าจะได้รับโทษถึงประหารชีวิต แต่เนื่องจากใกล้วัน 15 ค่ำ ( บัณรสี = วันที่ควรจะทำแต่สิ่งมงคล) จึงทรงพระกรุณางดโทษไว้ก่อน ต่อวันหนึ่งค่ำ (ปาฏิบท = วันชำระ) จึงให้ลงโทษประหาร
ตอนที่ 12 สมเด็จพระวันรัตขอพระราชทานอภัยโทษ
สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสต่อไปว่า พวกนั้นรักตัวกลัวตายยิ่งกว่ารักแผ่นดิน ทำให้ตอนทำศึกเดือดร้อนเกือบจะพลาดท่าแล้ว ทั้งนี้ที่ชนะมาได้เพราะคุณความดียิ่งใหญ่ที่ได้ทำนุบำรุงบ้านเมืองไว้คอยอุดหนุนพระบรม เดชานุภาพของพระองค์สองพี่น้อง ถ้าไม่ได้ความดีแต่เก่าแล้ว ประเทศไทยจะต้องสิ้นอำนาจเสียแผ่นดินแก่กรุงหงสาวดีเป็นการเสื่อมเสีย เกียรติยศ จึงควรลงโทษถึงตายตามพระอัยการศึกเพื่อให้เป็นตัวอย่างมิให้คนอื่นเอาเยี่ยง อย่างสืบไป การที่สมเด็จพระวันรัตใช้การอุปมาพิสดาร นั่นทำให้พระนเรศวรคลายกริ้วได้มาก และเมื่อเห็นว่าทรงคลายกริ้วแม่ทัพนายกองแล้ว จึงกล่าวถวายพระพรให้พระองค์ปราศจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งปวง แล้วใช้โอกาสนี้กราบทูลต่อไปว่า แม่ทัพนายกองเหล่านี้มีความผิดรุนแรง ควรได้รับโทษทั้งโคตรก็จริง แต่ลองคิดดูให้ดี พวกคนเหล่านี้ก็ยังพอจะมีความดีในหนหลัง เคยได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณมาแต่ก่อนนับตั้งแต่สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิพระบรมราชอัยกา และสมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชบิดา จนล่วงถึงสมเด็จพระนเรศวรได้ขึ้นครองราชสมบัติ เปรียบได้กับพุทธบริษัททั้งปวง ช่วยกันดำรงพระพุทธศาสนาต่อมา ขอให้พระองค์ทรงงดโทษประหารชีวิตแม่ทัพนายกองไว้สักครั้งหนึ่ง ราษฎรต้องชมชอบในความมีพระเมตตาของพระองค์เป็นแน่
แล้วทั้งสองพระองค์ก็มีพระราชดำรัสถึงหัวเมือง ฝ่ายเหนือว่า ไทยได้กวาดต้อนครอบครัวเข้ามาจำนวนมากแต่ยังไม่หมด ทรงมีพระราชดำริว่าถึงศึก พม่า มอญ ว่าคงจะลดลงถึงจะยกมาก็คงไม่น่ากลัว ควรจะได้ทะนุบำรุงหัวเมืองฝ่ายเหนือไว้ให้รุ่งเรืองปรากฏเป็นเกียรติยศสืบ ต่อไปชั่วกัลปาวสาน |
DATA BASE
สรุปตัวละคร
ฝั่งไทย
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
สมเด็จพระเอกาทศรถ
สมเด็จพระมหาธรรมราชา (พระบิดา)
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พระอัยกา/ปู่)
เจ้าพระยาไชยานุภาพ / ก้านกล้วย (ช้างทรงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช)
เจ้าพระยาปราบไตรจักร (ช้างทรงสมเด็จพระเอกาทศรถ)
• พระยารามราฆพ (กลางช้างของพระนเรศวร ผู้รอดชีวิตอย่างสง่างาม)
• ขุนศรีคชคง (ควาญช้างของพระเอกาทศรถ ผู้รอดชีวิตอย่างสง่างาม)
• นายมหานุภาพ (ความช้างของพระนเรศวรมหาราช สละชีพในสนามรบ)
• หมื่นภักดีศวร (กลางช้างของพระเอกทศรถ สละชีพในสนามรบ)
พระยาศรีไสยณรงค์ (แม่ทัพของทัพหน้าที่ไปตีกับพม่าเป็นเซ็ตแรก ที่โคกเผาข้าว)
พระราชฤทธานนท์ (ปลัดทัพของพระยาศรีไสยณรงค์)
หลวงญาณโยคและหลวงโลกทีป (พระภิกษุที่ได้ทำนาย มหุติฤกษ์ หรือ เวลาดีที่ไทยควรไปรบนั่นเอง)
หลวงมหาวิชัย (พระภิกษุผู้ทำพิธีตัดไม้ข่มนามให้ทัพหลักของไทย)
ขุนแผน (นายด่าน) (นายด่านม้าเร็วที่นำข่าวว่า พม่าบุกมาถึงกาญจนบุรี มาแจ้งให้ทางหลวงทราบเป็นครั้งแรก)
หมื่นทิพเสนา (ฝ่ายสืบข่าว ได้ไปสังเกตการณ์ตอนที่ทัพหน้าไทยยังรบกับพม่าที่โคกเผาข้าว)
ชาวเมืองราชบุรี (กลุ่มที่ได้รับสั่งให้ไปทำลายสะพานไม้ไผ่ที่พม่าสร้างตรงแม่น้ำลำกระเพิน)
พระยาจักรี (ผู้ที่ได้รับคำสั่งให้เป็นรักษาการณ์ปกครองเมือง ตอนที่จะไปรบกับเขมร แต่เพราะพม่ามาบุกก่อน หน้าที่ส่วนนี้เลยถูกพับเก็บไว้)
สมเด็จพระวันรัต (พระภิกษุชั้นผู้ใหญ่ ที่ขอชีวิตเหล่าทหารที่ไม่ช่วยพระนเรศวรตีพม่า โดยแนะนำให้ลดโทษลงก็เพียงพอ)
ฝั่งพม่า
นันทบุเรง (พระเจ้าหงสาวดีองค์ปัจจุบัน เป็นพระบิดาของพระมหาอุปราชา)
พระมหาอุปราชา / มังกะยอชวา / มังสามเกียด (คู่ต่อสู้ของพระนเรศวรมหาราช)
มางจาชโร (พระพี่เลี้ยงของพระมหาอุปราชา)
พลายพัทธกอ (ช้างทรงของพระมหาอุปราชา)
พลายพัชเนียร (ช้างของมางจาชโร)
พระยาจิตตอง (วิศวกรประจำกองทัพ คนสร้างสะพานไม้ไผ่ข้ามแม่น้ำลำกระเพิน)
สรุปสถานที่
สรุปพิธี+ความเชื่อ
พิธี : เบิกโขลนทวาร + ตัดไม้ข่มนาม + เซ่นไก่ละว้า = พิธีที่ให้กำลังใจทหารได้อย่างดีเยี่ยม
ความเชื่อ : • จตุรงคโชค
1.) ชะตาแม่ทัพดี
2.) วันเดือนปีดี
3.) กองทัพมีความพร้อมเข้มแข็งดี
4.) เสบียงดี
• เทพสังหรณ์ (หนึ่งในรูปแบบการฝัน ที่สามารถนำมาทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้เพราะเทพมาทัก)
• การเดินตามเกล็ดนาค (เกล็ดนาคอยู่ทางไหนให้เคลื่อนทัพไปทางนั้นจะเป็นการดี)
ทริคการนับเวลาแบบสมัยอยุธยา
การแบ่งช่วงเวลา แบบ ทุติยภูมิ ปฐมภูมิ จะแบ่งช่วง AM กะ PM ดังนั้น เดี๋ยวจะแยกให้ดูชัดๆ กันเลยนะคะ
1 บาท = 6 นาที 5 บาท = 30 นาที (มักจะมีคำว่า ‘เศษสังขยา’ นำหน้า ตอนที่บอกเวลา)
10 บาท = 1 ชั่วโมง |
รูปแบบสัมผัสของลิลิต
การแต่งลิลิตคือการฟิวชั่นจาก ร่าย และ โคลง ซึ่งมีรูปแบบการแต่งที่มหัศจรรย์เกินจะคาดคิดมากค่ะ ..เอาเป็นว่า ถ้าจำได้ก็ดี จำไม่ได้ก็ใช้เซนส์เอานะคะ
เพิ่มเติม
ในเรื่องลิลิตตะเลงพ่าย ส่วนโคลงทั้งหลาย นอกจากโคลงสี่สุภาพ โคลงสองสุภาพ หรือโคลงสามสุภาพ ก็จะมีบทนึงที่ผ่าเหล่าผ่ากอกว่าชาวบ้าน เพราะว่าใช้ โคลงจัตวาทัณฑี ซึ่งต่างจากโคลงสี่สุภาพอย่างไร ดูตามภาพเลยค่ะ
รูปแบบการใช้คำ
ในเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายมีการใช้คำประหลาด เอ้ย สวยสดงดงาม(มากเกินไป) คำที่มีย่อมไม่ใช่คำที่เกิดขึ้นธรรมดา มีทั้งเพิ่มคำ แผลงคำ คำ ศ มาดูกันว่าใช้ยังไง
1.) การเข้า ศ ในลิลิต
การเข้า ศ ในลิลิต ประดุจดั่งแฟชั่น V-Shape ที่พวกคำหน้าตาดาษๆ นิยมไปศัลกรรมให้มี ศ เหมือนกัน (*จำไว้ว่า มี ศ เหมือนเอาคำไป ศัล)
มีจุดสังเกตง่ายๆ ว่า พยายามหาตัวที่ลงท้ายด้วย ศ.ศาลา แต่นั่นก็ตื้นไป อาจจะโดนหลอกได้ เพราะจะมีตัวประเภทเกิดก็สะกดด้วย ศ แต่เกิดเหมือนกัน
ดังนั้น ให้สังเกตอีกว่า ไอ้คำที่ลงท้ายด้วย ศ แท้จริงแล้วก่อนขึ้นเขียงมาสะกดด้วย ศ หนังหน้าแรกเกิดที่แท้จริงของมันคืออะไร
อย่างเช่น คำ ศ คำที่แท้จริง
อยุธเยศ / ชเยศ <<<<<<<<<<<<<<<<< อยุธยา
กาเยศ <<<<<<<<<<<<<<<<< กาย
นริศ,นเรศ <<<<<<<<<<<<<<<<< นร
ปิตุเรศ <<<<<<<<<<<<<<<<< ปุติ
เกศ <<<<<<<<<<<<<<<<< เกศา
สวามิศ <<<<<<<<<<<<<<<<< สวามี
ราวิศ <<<<<<<<<<<<<<<<< ราวี
บารเมศ <<<<<<<<<<<<<<<<< บารมี
บุเรศ <<<<<<<<<<<<<<<<< บุร
นฤเบศ <<<<<<<<<<<<<<<<< นฤป
รมเยศ <<<<<<<<<<<<<<<<< รมยา
ขัตติเยศ <<<<<<<<<<<<<<<<< ขัตติย
ทวาเรศ <<<<<<<<<<<<<<<<< ทวาร
นัคเรศ <<<<<<<<<<<<<<<<< นัคร
นิเวศ <<<<<<<<<<<<<<<<< ไม่ใช่ ศ เข้าลิลิตย่ะ อินี่สวยธรรมชาติ ไม่ต้องขึ้นเขียง
2.) การแผลงคำ
เครดิต : แบบฝึกหัดภาษาไทยโรงเรียนสาธิตปทุมวัน
หลักการของการแผลงคำ จะแผลงก็ต่อเมื่อ เวลาที่จะเอาคำในต่างประเทศยืมมาใช้พูด(พวกคำยืมจากภาษาต่างประเทศ) ตัวอย่างง่ายๆ อย่างเช่น ฝรั่งจะขอยืมคำว่า บางกอก ของไทยไปใช้พูด แต่กว่าจะปรับให้เข้ากับลิ้นของเขามันเลยแผลงเป็น แบงก์ค็อค นี่ก็เหมือนกัน ในภาษาบาลีสันสกฤต หลายคำไม่เหมาะกะลิ้นคนไทย จึงมีการแผลงอยู่เรื่อยๆ นั่นเอง (แต่สุดท้ายส่วนนี้ขึ้นอยู่กับบุญเก่าว่าท่องมามากแค่ไหนอยู่ดี)
ต้องขอบอกไว้ก่อนว่า การแผลงคำ ส่วนใหญ่จะทำให้คำนั้น ประหลาดพิสดารมากขึ้น เพื่อความอลังการในการขับทำนองเสนาะนั่นเอง
*ฝั่งซ้าย คือ คำที่ไทยชอบใช้ในตอนนั้น
๑. เอารส มาจาก โอรส
๒. มเหาฬาร มาจาก มโหฬาร
๓. ทง มาจาก ทุง
๔. เศิก มาจาก ศึก
๕. เทง มาจาก ทิ้ง
๖. มลาง มาจาก ลาง
๗. อนุช มาจาก นุช
๘. มหิมา มาจาก มหึมา
๙. ราญ มาจาก รําบาญ
๑๐. พิริยะ มาจาก วิริยะ
๑๑. ธาษตรี มาจาก ธาตรี
๑๒. อํานวย มาจาก อวย
๑๓. บรรทม มาจาก ผทม
๑๔. ขู มาจาก โข
๑๕. สระเทินสระทก มาจาก สะเทินสะทก
๑๖. สระพราศสระพรั่ง มาจาก สะพราศสะพรั่ง
๑๗. กระลึงกระลอก มาจาก กะลึงกะลอก
๑๘. ตรลอด มาจาก ตลอด
๑๙. สรเสริญ มาจาก สรรเสริญ
๒๐. สรวาง มาจาก สวาง
3.) คําศัพทที่มีการตัดพยางค
เครดิต : แบบฝึกหัดภาษาไทยโรงเรียนสาธิตปทุมวัน
หลักการของตรงนี้คงไม่ต่างจากสมัยเราที่ชอบย่อ เช่น อะไร >>> ไร , ตัวเอง >>> เตง มาดูกันดีกว่ามีคำอะไรบ้าง
*ฝั่งซ้ายคือ คำที่ไทยชอบใช้ในตอนนั้น
๑. ศวรรย มาจาก ไอศวรรย
๒. ภิยโย มาจาก ภิญโญ
๓. รณ มาจาก รณรงค
๔. นาศ มาจาก พินาศ
๕. อักโข มาจาก อักโขภิณ
4.) คำไวพจน์ ถ้าอยากได้ก็จิ้มอ่านเอานะคะ หน้า4-8ของ >>> http://thai.satitpatumwan.ac.th/lilidtalangpai.pdf
• ขอขอบคุณ •
กระทู้ "สังขยา" เป็นหน่วยนับของเวลา ในสมัยก่อนใช่ไหมครับ
กระทู้ ศ เข้าลิลิต???
http://thai.satitpatumwan.ac.th/lilidtalangpai.pdf
ที่ปรึกษา : NichaHiba
ความคิดเห็น