ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คลังสรุปมหากาพย์ข้อสอบTU : by. BiwTigerPisces

    ลำดับตอนที่ #16 : [Sum1] แปล : Inventions that Change the World

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.65K
      8
      16 ก.ค. 56

    [แปล] Inventions that change the world

    By.Biw TigerPisces

    ใส่คำนำก่อนนิสนึง : คือ จากระบบการศึกษา ที่ชอบให้เด็กทำในสิ่งที่ไม่ถนัด เราเข้าใจว่าสายวิทย์ (หรือกระทั่งสายศิลป์ภาษาที่หลังสอบเข้าความฉลาดมันเลือนไป) จะอ่านหนังสือที่เป็นอังกฤษทั้งเล่ม แถมเป็นอะไรก็ไม่รู้ยาวเป็นสารคดี มิมีความบันเทิงเจือปน เจ้าย่อมไม่ทำ (เช่นตัวเราที่ไม่ยอมทำโจทย์เลข) ดังนั้น จึงแปลมาให้เรียบร้อย พร้อมอ่านภาษาไทย ซึ่งรอบนี้จะไม่ห้วนสั้นเท่าคราวอเล็กซานเดอร์ เพราะโจทย์ชวนเงิบถามดีเทลย่อยมากๆ รอบนี้ก็ขอแก้ตัวละกัน

    ต้องเตือนว่า คนแปลเองก็ยังไม่ช่ำชองภาษาอังกฤษมาก อ่านแค่พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่บางกลไกของสิ่งประดิษฐ์มันซับซ้อนเกินกว่าจะแปลออก บางส่วนไม่รู้เหมือนกัน หรือมั่วไปเยอะก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้


    เกริ่นนานไปไหน ทีนี้ก็ เชิญรับชมดีกว่า!

     

    ส่วน Itroduction

    ก็อย่างว่าแหละ เกริ่นนำบอกให้เราลองคิดว่า คิดดูสิ จะมีใครฉุกคิดไหมน้อ ว่าสิ่งประดิษฐ์ที่เห็นกันอยู่ดาษดื่น ความจริงกว่าจะมาเป็นยังงี้มันแสนจะเลิศเรออลังการ เคยเป็นของที่ชวนฮือฮามาก่อนขนาดไหน ต่างกับบางประเทศที่ยังเป็นเมืองด้อยพัฒนา ของพวกนี้อาจไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ หากว่าเทคโนโลยีพวกนี้ไปถึงพวกเขาก็คงจะเจริญเท่าเราไม่ยาก

    เห็นมั้ยล่ะ ว่าสิ่งประดิษฐ์มีอิทธิพลมาก....จริงๆนะ!!

     

     

    บทที่ 1 Printing การพิมพ์

    ประเทศเริ่ม : จีน

    การพัฒนา

    1.จุดเริ่มต้นมาจากการที่คนเอาไม้ไปเหลาให้เป็นตัวอักษร แล้วก็จุ่มหมึก ไปกดแผ่นไม้อีกแผ่น ซึ่งยุ่งยากเปลืองเวลาที่สุด

    2.บีเฉิง : ปี 1041 / 1048
    เอาบล็อกหินเล็กๆ แล้วก็ปั๊มได้ เป็นตราปั๊มน่ะเอง

    3.โจฮานส์ กูเตนเบิร์ค : ประมาณ 1500

    ได้หลักจากจีน เอาเหล็กร้อนทำเป็นตัวปั๊ม รองด้วยเศษผ้าหนังสัตว์ชั้นดีใช้ซับหมึก ทำเป็นเครื่องใหญ่ๆ ปั๊มใส่กระดาษทีนึงได้ออกมาเป็นหน้า เท่ากับว่ายังมีจุดอ่อนคือ เปลี่ยนตัวอักษรในนั้นแต่ละที ก็ต้องแกะหนังสัตว์ใหม่เลย

    แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นแบบแผนของเครื่องพิมพ์ที่ดีที่สุดนะเออ

    ซึ่งตัวที่ปั๊มออกมาแล้วดังที่สุดคือ “42-line Bible”

    4.วิลเลียม แค็กส์ตัน : ปี 1476

    เป็นคนรวบรวมหนังสือ แล้วเอาไปแปล

    5.อัลดัส เมนิวเทียส : ปี 1494

    พิมพ์พวกหนังสือจากทางกรีกโรมัน ทั้งหลักการอริสโตเติล เพลโต

    6.มิสซิส โกลเวอร์ : ปี 1638

    คนก่อตั้งโรงพิมพ์โรงแรกในอเมิรกา

    7.เจค็อบ คริสตอฟ เล บลอน : ปี 1719

    เริ่มปริ้นท์สี คือ น้ำเงิน แดง เหลือง (ได้ข่าวว่าได้แรงบันดาลใจจากการเห็นรูปของเลโอนาร์โด ดาวินชี เลยมาลองใช้สีดู) อุว้าว-..-

    8.ปี1838 เริ่มจากนิวยอร์ค ถึง 1886

    ทำเครื่องให้ใหญ่ขึ้น มีสี การพิมพ์แพร่หลายมาก

    9.ปี 1900 จากการบ้าพิมพ์มากเกินไป น้องเนยเลยหวีดร้อง ที่ต้นไม้ถูกใช้ไปมากเกิน เลยงดพิมพ์ไปบ้างสำหรับช่วงนั้น

    10.หลังปี 2000+ พวกพิมพ์ดีดอะไรเทือกนี้เข้ามาแทน และพัฒนาการต่อกับคอมได้ ยุคของเครื่องพิมพ์ที่ใช้เหล็กร้อนปั๊มลงไปจึงจบลงแค่นี้

     

     

    บทที่ 2 Mathematics คณิตศาสตร์

    //สายศิลป์อ่านบทนี้แล้วต้องใจเย็น ใจเย็น.... อร๊ายยย อีพวก___ทำให้กรุต้องสอบเลข!!

    1.พิทาโกรัส : ก่อนค.ศ.525ปี

    สวัสดีค่ะอเล็กซานเดอร์ ย้อนไปสมัยอาณาจักรเปอร์เซียกำลังเฟื่องฟู อเล็กซานเดอร์ยังไม่มาปราบ เมืองหลายเมืองกลายเป็นเมืองขึ้น หนึ่งในนั้นคือ อียิปต์ ซึ่งก็มีชาวกรีกอะไรงี้รวมอยู่ด้วย เขาชื่อ พิทาโกรัส ในระหว่างที่เป็นเชลยอยู่ในบาบิโลนเขาเกิดนึกครึ้มบ้าอะไรก็ไม่รู้คิดหลักการ การคูณ + เลขยกกำลังได้

    *แต่หลักการก็ยังไม่มีใครสน เพราะสมัยนั้น วิธีนับเลขยังมีแค่ ขีด แล้วถ้าจะเขียนเลข 50 ก็ llllllllll x 5 รอบ ยังเงี้ย

    5 ปีต่อมา เมื่อได้กลับไปที่กรีก ได้เปิดโรงเรียนเล็กๆ สอน โดยจำไว้ว่าเขาเป็นญาติกับเนยรักโลก ใช้ผัก ใช่แล้วค่ะท่านผู้ชม ผักนั่นเอง กระทั่งวันหนึ่งเด็กนักเรียนเอาเครื่องไทรแองเกิลมา เขาก็ขอดูแล้วก็นึกหลัก พิทาโกรัส ที่ตามหลอกหลอนพวกเรามาถึงทุกวันนี้ได้น่ะเอง

    2.ยูคลิท : ก่อน ค.ศ. 325 ปี

    หลังจากเรื่องอเล็กซานเดอร์จบแล้ว เมืองอเล็กซานเดรียมีแล้ว ก็มีชาวเมืองนี้คนหนึ่งชื่อว่า ยูคลิท ก็ได้เป็นคนรวบรวมหลักการของนักปราชญ์สมัยก่อน

    3.(เหล่า)โรมัน : ไม่ปรากฏเวลา

    ในเมื่อประเทศรอบข้างเขาศิวิไล มีหลักการดูเป็นปัญญาชน แต่ประเทศนี้ยังบ้ารบอยู่ ทำให้เลยไปไม่ถึงไหน กระทั่งมีวิศวกรคนหนึ่ง มาแนวคณิตศาสตร์ประยุกต์ มีหลักใช้ชีวิตว่า จะคูณจะหารหามุมตกกระทบทำมะเขืออะไร ใช้แค่นี้ก็พอและแค่นี้ที่ว่าก็คือ ในคราวที่เขาจะวัดระยะทางในการข้ามแม่น้ำตื้นๆ เขาก็เอาไม้กระดานที่รู้ความยาวเท่ากับ2เท้าทาบ ทำให้รู้ความยาวอยู่แล้ว ละก็ค่อยๆ ทาบไปให้ถึงอีกฝั่ง ก็รู้ความยาวละ (แต่อิชั้นว่ามันก็ดูจะบ้าหลักการพอๆกันนะ)

    4.อัล-Khwarizmi (ชื่ออ่านโหดมาก) :  ปี 786

    ในสมัยที่เริ่มมีเลขอาราบิกแล้ว และคนนี้เป็นคนอินเดีย เขาได้รับยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งอัลเกร์บา(อัตราส่วน)”

     

     

    บทที่ 3 Navigation อุปกรณ์นำทาง

     

    หาทิศจากดวงดาว ดวงอาทิตย์ : บางคนบอกว่า อ้าว ก็ดูดาวเหนือไง แค่นี้ก็รู้ แต่เพราะว่าบางทีเขาจะทำการตอนกลางวัน ก็เลยต้องการรู้ทิศอย่างมาก จึงต้องเริ่มคิดค้นขึ้นมา

    1.ประมาณปี 1600

    นักเดินเรือใช้แค่ไม้เล็กๆ อันสองอัน ให้ชี้ที่ทิศเหนือตามดวงดาวตลอด(เผื่อวันไหนฟ้ามืด/เอาไปดูตอนกลางวันไง) ก็เลยรู้แค่ทิศเหนือ=_=

    2.จอห์น ฟิโลโปนอส : ย้อนไปเมื่อ ปี 600

    ชาวอเล็กซานเดรียอีกแล้วนะท่าน ใครจะไปรู้ว่าเขาค้นพบว่า ดวงอาทิตย์ขึ้นทางไหน นั่นก็ตะวันออก ตกทางไหนก็คือตะวันตก (ส่วนเหนือใต้ก็ไม่รู้ต่อไป)

    อีกอย่างที่เขาทำก็คือ ประดิษฐ์นาฬิกาเงา (ใช้ดวงอาทิตย์แหละ) แต่มันแพงมาก เลยไม่นิยมซะงั้น

    3.จอห์น เดวิส : ปี 1594

    (ประดิษฐ์เครื่องอะไรก็ไม่รู้ ขออภัย คนอ่านก็ไม่เข้าใจหลักการมัน) ท่องแค่ว่า ใช้หลักการดวงอาทิตย์อีกรอบ แล้วคราวนี้ได้รับความนิยม

    The compass and maps เข็มทิศ กับ แผนที่

    1.คนจีน : เริ่มจาก ปี 400

    หมุนช้อนสุดหรูในวังเล่น แล้วพอมันหยุดก็เห็นว่าหยุดที่จุดเดิมตลอด เลยเริ่มเห็นว่าแร่ชนิดนี้น่าจะไปทางเหนือตลอด แต่เพราะอยู่กระทั่งจีน พวกยุโรปเลยยังไม่รู้วิธีนี้ซะที

    2.คนอิตาเลียน : ปี 1190

    เอาน้ำใส่ขวดแก้ว แล้วหมุนเล่น น้ำจะถ่วงให้มันไปทิศเหนือเอง (จริงไม่จริงอิชั้นไม่รู้ หนังสือมันโม้ไว้)

    *ความเร็วการเดินเรือ ใช้ปมเชือกท้ายเรือในการหา รอบแรกที่วัดบอกว่า อัตราเร็ว 1.85 กม./ชม. วัดยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน

    3. เอราโทนีส : ก่อนค.ศ. 300 ปี

    ที่กรีก มีการทำแผนที่มาตั้งนานแล้ว แต่เพราะถูกเปอร์เซียยึด ห้องสมุดที่เก็บเลยถูกทำลายไปพร้อมกัน

    4.มาร์โค โปโล : ปี 1271 – 1295

    ใช้แผนที่แบบสุดอลัง คือ เอาตัวตุ๊กตุ่นมาตั้ง มีรายละเอียดเยอะมาก แพงมากๆ ด้วย

    5.คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส : ปี 1500+

    ใช้แผนที่แบบย่อให้มาตราส่วนโอเคขึ้น ราคาถูก แต่ยังไม่รู้ทิศไม่รู้ทางนั่นเอง

    6.เกร์ราด เมอร์ซาเตอร์ : ปี 1569

    ประดิษฐ์แผนที่มีมาตราส่วนดีกว่า วาดละเอียดกว่า ส่วนเรื่องทิศในแผนที่ก็ยังงงเหมือนเดิม

    ทว่า ต่อมา ปัญหายังไม่จบ มีกรณีว่าเวลาเดินเรือ ต่อให้อะไรก็เถอะ ไปเจอทะเลที่มีหมอกคลุมเข้า ทุกอย่างก็จบ เอวังประการฉะนี้ ทำให้ไม่กล้าเดินเรือกันอีกยาวจนกว่าจะมีแผนที่แบบทิศดีๆ มาให้พร้อม

    7.กาลิเลโอ กาลิเลอิ : ปี 1610

    ก็บอกว่าให้ใช้ ดาวพฤหัส ดูสิ ซึ่งก็โอว่าดาวพฤหัสไปทางเหนือจริง แต่ก็มีคนถามขึ้นมาลอยๆว่า
    “แล้วจะให้อะฮั้นเอากล้องโทรทรรศน์ขึ้นเรือเหรอ?” ก็เลยพับเก็บเรื่องจะพึ่งดาวพฤหัสไป
    กลับไปใช้แบบเดิม

    • นาฬิกา

    1.จอห์น แฮร์ริสัน : ปี 1737-1770

    พอกันทีเรื่องเข็มทงเข็มทิศ ตอนนี้มีประเด็นว่าบนเรือไม่รู้เวลาเลยคร่า เพราะนาฬิกาโบราณเอาขึ้นไปเข็มก็มั่วทางไปหมด (แต่ข้อดีคือ มันมั่วไประหว่างตะวันตกกะตะวันออกน่ะเอง) คนนี้เลยประดิษฐ์ขึ้นมา ซึ่งมันดีมาก ใช้ได้จริง โอเคจริง แต่ติดที่ว่าเขาหน้าเลือดไปนิสสสสสสส ขายกันราคาขูดเลือด เลยไม่มีใครซื้อ

    2.กัปตัน เจมส์ คุกก์ : ปี 1772

    แล้วกัปตันก็สามารถประดิษฐ์แบบเดียวกับที่อีคนก่อนหน้าประดิษฐ์ได้ คนก่อนหน้าก็เลยไม่ได้แม้แต่ค่าลิขสิทธิ์ เฮ้อว์...

    แล้วหนังสือก็จบส่วนนี้ไปแบบงงๆ ไม่มีการบอกว่าพัฒนาอะไรอีก และให้ข้อสรุปแค่ว่า

    “เหนือใต้ ดูดวงอาทิตย์  / ออกตก ดูเข็มนาฬิกา” ไปด้วย แค่นี้แหละ =_=

     

    Radar and satellites เรดาร์ และ ดาวเทียม

    1.สงครามโลกครั้งที่2 1939 – 1945

    มีเรดาร์

    2.ปี 1900+

    มีการส่งดาวเทียม

     

     

    บทที่ 4 Guns ปืน

    Gunpowder ดินปืน (ไม่ใช่ปืนแป้งนะเอ็ง)

    1.เริ่มที่จีน : ปี 844 – 1044

    บอกว่าเอา ดินประสิว ผงถ่าน กำมะถัน มาผสมกัน

    2.ลี กั๋ง : ปี 1126

    ประดิษฐ์ ปืนใหญ่ (ไม่บอกวิธีการประดิษฐ์)

    แล้วช่วงนี้ก็มีเพื่อนเลิฟ คือ ประเทศมองโกล มาช่วยกันประดิษฐ์ปืนใหญ่ + ดินปืน หารู้ไม่นั่นคือการครูพักลักจำ สูบข้อมูลแบบหักเหลี่ยมโหด และก็เอาอาวุธพวกนี้มาบุกจีนซะเอง แล้วพอบุกเสร็จ ก็ไปบุกประเทศอื่นต่อ หลักการการใช้ปืนจึงแพร่หลายจากการไล่ตีประเทศคราวนี้
     

    3.โรเจอร์ บาคอน : ปี 1200

    หลังจากได้ข่าวว่าแถบอาหรับถูกบุกด้วยปืนกลไฟ อะไรพวกนี้ ก็เลยเอามาประดิษฐ์ รีมิกส์ใหม่ ให้เป็นปืนใหญ่ แบบที่เห็นในหนังโจรสลัด แต่เพราะเป็นเวอร์ชั่นแรก เลยหนักมาก และคุมยากสุดๆ หากมิวาย

    ปี 1545 คิงเฮนรี่ที่8 ก็จะเอาขึ้นไปบนเรือ แมรี่โรส

    แล้วพอ 1805 เรือ วิคตอรี่ ของเนลสัน ก็มีปืนพวกนี้ขึ้นไปเหมือนกัน


     

    Handguns ปืนพก

    1.ปี 1400

    เกิดจากประเด็นที่ว่า ธนูในสมัยนั้น ถึงจะโอ ยิงได้ไกล นัดเดียวจอดก็จริง แต่คนจะยิงต้องฝึกมาเป็นสิบๆ ปี กว่าจะยิงได้ขนาดนั้น ใยจะสู้ปืนโป้งเดียว แค่ยิงโดนก็จอดได้เล่า จั ก็เลยมี ‘matchlock’ คือ ปืนยาว ออกมา ให้เห็นกันในหนังสงครามบ่อยๆ

    แต่ยังมีจุดอ่อนที ยิงที เติมกระสุนใหม่ที น้ำหนักก็เยอะพอตัว

    2.ปี 1600

    เริ่มประดิษฐ์ปืนพกขนาดเล็ก แต่ราคาแพงมาก

    3.ซามูเอล คอท : ปี 1820

    ปืนพกสามารถบรรจุได้ 5-6 กระสุนในหนึ่งแม็ก เลยกลายเป็นที่เลื่องลือว่าคนประดิษฐ์ใช้ปืนนี้ปราบผู้ร้ายกลายเป็นฮีโร่ทันที

    *วลีน่ากลัว : Abraham Lincoln made free. Sam Colt made them equal.

    The rifle ปืนไรเฟิล

    1.ปี1600

    เริ่มมีปืนปากกระบอกยาว เป็นแรงบันดาลใจในการทำไรเฟิล ซึ่งตอนนั้นเอาไปใช้แค่ล่าสัตว์

    2.ปี 1775 – 1783 - 1900

    ช่วงสงครามอมเริกา vs อังกฤษ เริ่มจากอเมริกาประดิษฐ์ไรเฟิลรุ่นแรกขึ้นมา อังกฤษ โปรตุเกส สเปน ฝรั่งเศส เลยเห็นแล้วเอาไปปรับใช้บ้าง ซึ่งสไนเปอร์พวกนี้ต้องมียูนิฟอร์มใส่ชุดเขียวอำพรางเพื่อลอบโจมตีฝ่ายตรงข้าม

    The Machine gunปืนกล

    1.หมอริชาร์ด แกรทลิง : ปี 1861 – 1865

    ประดิษฐ์ปืนที่ยิงรัวได้ เป็นแม่แบบของปืนกล ยิงได้ 200 นัด / นาที

    2.ฮิรัม แม็กซิม : ปี 1885

    อัพเกรดให้ ยิงได้ 300 นัด / นาที

    3.กองกำลัง Zulus : ปี 1879

    เป็นผู้เทคโนโลยีนี้มาใช้จริงจัง แม้เป็นเพียงกองทหารเล็กๆ แต่ก็ปราบได้ทั้งค่าย ด้วยอาวุธที่เหนือกว่า ทำให้กองนี้ถูกลือไปไกลว่าเป็นกองที่น่ากลัวขนาด ฮิลลารี เบลล็อค นักหนังสือพิมพ์เขียนพาดให้พวกเขาว่า Whatever happens, we have got The Maxim gun , and they have not. (กรูว์มีปืนเมพ มันไม่มี ต่อให้ยังไงมันก็สู้กรูว์ไม่ได้)

    ที่เหลือก็เป็นว่า ปืนกลได้แพร่หลายในสงครามโลกครั้งที่สอง เอามายิงกันเป็นเรื่องปกติน่ะเอง

     

     

    บทที่ 5 Engines เครื่องยนต์

    (บทนี้เป็นบทที่คนเขียนอ่านไม่รู้เรื่อง เพราะระบบมันซับซ้อน และน่าเบรื่อมากที่สุด)

    The steam engine เครื่องจักรไอน้ำ

    1.เริ่มที่ อเล็กซานเดรีย ไม่บอกปี

    2.เดนิส พาพิล : ปี 1690

    เป็นคนเขียนหลักการอธิบาย

    3.โทมัส ซาเวรี่ : ปี 1698

    สร้างรูปแบบติดเหล็กคอนเทนเนอร์สองตัวเพื่อช่วยให้การทำงานดีขึ้น

    4.โทมัส นิวโคแมน : ปี 1712

    สืบทอดเจตนารมณ์ต่อจากซาเวรี่ ทำหลักการใหม่ ปรับปรุงให้ระบบทำงานไวขึ้น

    5.เจมส์ วัตต์

    1765 เริ่มทำ + ศึกษา >>> 1774 ทำเวอร์ชั่นแรก แต่ยังไม่โอ พัฒนาต่อ >>> 1781 ทำเวอร์ชั่นใหม่ได้ โอเคแล้ว >>> 1735 วางมือ

    High –pressure steam ไอน้ำแรงดันสูง

    1.ริชาร์ด เทรวิติค (England) feat. โอลิเวอร์ อีวานส์ (US) :

    ปี 1773 ลองสร้างดู แล้วคิดค้นให้มีแรงดันสูงขึ้น

    ปี 1789 สร้างเสร็จแล้ว นับเป็นเครื่องจักรไอน้ำแรงดันสูงเครื่องแรก

    ปี 1804 อัพเกรดให้เคลื่อนที่ได้ 6 กม./ชม.

    ปี 1815 อัพเกรดให้เคลื่อนที่ได้ 25 กม./ชม.

    Gasoline and jet engines รถจักรหัวดีเซล กับ ไอพ่น

    1.อัลโฟเน่ บีเย เดอ โรชาส

    เริ่มคิดค้น

    2.นิโคลอส ออทโต้ : ปี 1862

    เป็นคนอัพเกรดให้ดีขึ้น แล้วทดลองต่อ

    3.ก็อททิเลบ เดมเลอร์ :

    ปี1870 เป็นคนในบริษัทของออทโต้

    ปี 1882 เริ่มบริษัทตัวเองกับเพื่อนชื่อ วิลแฮม เมย์บาช

    ปี 1885 ประดิษฐ์มอร์เตอร์ไซค์ได้ แต่ตรงกับตอนที่ คาร์ล เบนซ์ ประดิษฐ์รถเสร็จพอดี งานของพวกเขาเลยโชว์ทีหลัง

    4.รูดอร์ฟ ดีเซล : ปี 1892

    ติดตั้งระบบเชื้อเพลิงจากน้ำมันได้

    5.แฟรงค์ วิลเลท : ปี 1930-1936

    ทำเครื่องยนต์ไอพ่นได้

    แล้วมันก็เอาไปตบกันในสงครามโลกครั้งที่สองตามเคย=_=

     

     

    บทที่ 6 Flight การบิน

    การบินไทย รักคุณเท่าฟ้านะคะ อุอิ

    Flying Machine เครื่องร่อน

    เป็นบทที่อ่านแล้วซี้ดเสียวไส้แทน มาดูกันดีกว่าว่าผลจากความอยากบินของมนุษย์มันเป็นยังไงกัน

    1.เอบัส อิม เฟอร์นาส : ปี 875

    ลองร่อนคนแรก จบด้วยเครื่องไม่ร่อนตามลม ดิ่งลงหลังกระแทกเต็มๆ ทำให้เข็ดหลาบไม่กล้าทดลองอีก

    2.โอลิเวอร์ : ปี1010

    ลองร่อนคนที่สอง จบดีกว่านิดนึงตรงที่ตกลงแล้วกระแทกเฉียดๆ ขาเดี้ยงน่ะเอง

    3.ลีโอนาร์โด ดาร์วินชี : ปี 1500

    ตามสเต็ปคนมันเพอร์เฟ็คแมน เก่งทุกด้าน คราวนี้ออกแบบปีกตามนก แม้ร่อนได้ไม่นาน ไม่สูงขนาดบิน แต่ก็ถือว่าได้ร่อน และลงแบบปลอดภัย จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง

    4.เดนิส เบเลอร์ : ปี 1536

    ลองเอาทฤษฎีของคนก่อนๆ มารีมิกส์ให้เครื่องร่อนร่อนได้สูงขึ้น นานขึ้น แต่จบไม่สวย เขาสิ้นชีวีม้วยมรณาในการทดลองบินครั้งนั้นน่ะเอง

    5.เฮอร์ซาเฟน เซเลบิ : ปี 1638

    รีมิกส์จากรูปแบบของลีโอนาร์โด และแต่งเติมแต่พอประมาณ ทำให้สามารถสร้างเครื่องร่อนที่บินได้สูง ลงได้สง่างาม ประสบความสำเร็จในการทำเครื่องร่อนที่คนนี้นี่เอง

    บอลลูน

    1.พี่น้องตระกูล มวองกอลิเฟอร์ : ปี 1783

    ปิ๊งไอเดียหน้า คิงหลุยส์ที่ 16 รอบแรกให้ นก กับแกะ ไปเป็นหนูทดลองลองบิน และบินได้สูง 25 เมตรจากพื้น

    รอบ 2 ให้แจควอส ชาร์เวล เป็นหนูทดลองร่างมนุษย์ขึ้นไป ทีนี้บินได้ 3500 เมตร (ราวๆ 36 กิโลเมตร) จากพื้นดิน

    รอบ 3 หนึ่งในสองพี่น้อง  โจเซฟ พร้อมผู้ร่วมเดินทางอีก 6 คน ขึ้นบอลลูนอีกรอบ คราวนี้ลอยได้ข้ามประเทศ ในเวลา ประมาณ 2ชั่วโมงครึ่งเลยล่ะ

    • เครื่องบินขับได้

    แรงบันดาลใจทั้งหมดเกิดขึ้นที่ มีประเด็นว่าบอลลูน ถึงจะบินได้ก็จริง แต่มันคุมไม่ได้ เกิดลอยเถลไปไกลจะทำยังไง เลยมีคนเริ่มประดิษฐ์ขึ้นมาต่อ

    1. เฮนรี่ จิฟฟาร์ด

    ทำบอลลูนแบบยาว และใส่แท่นบังคับเข้าไปเล็กน้อย เหมือนเรือเหาะ ก็พอถูๆไถๆให้ไปถูกทิศได้ และลอยไปไกลถึง 27 กิโลเมตร เลยทีเดียว


     

    2.คลีเมท เอเดอร์ : ปี 1890

    เริ่มทำเครื่องบินให้เป็นโครงจริงๆ แต่ก็ยังไม่เห็นผลเท่าไหร่

    3.สองพี่น้องตระกูลไรท์ ออวิล กับ วิลเบอร์ : ปี 1903

    มาแล้วสองพระเอกของเรา ที่รู้จักกันดีมาแต่นมนาน พวกเขาสามารถปรับเปลี่ยนตัวเครื่องบิน ผสมกับเครื่องร่อน แล้วใช้ได้จริงทดลองจริงในวันที่ 17 ธันวาคม 1903 เวลา 10.35

    ออวิล เป็นคนขับ

    ส่วนวิลเบอร์ วิ่งไปข้างๆ ด้วยความดีใจสุดปริ่ม

    บินได้ 39 กิโลเมตร ในเวลา 38.3นาที


     

     

    • เครื่องบินรบกับสงครามโลกครั้งที่1

    1.หลุยส์ เบริออท

    เป็นคนแรกที่ได้ขับเครื่องบินรบ

    ที่เหลือก็เป็นอธิบายระบบเครื่องบินระบบ ว่าสมัยก่อนต้องขับคนนึง ยิงคนนึง

    2.แอนโทนี่ โฟคเกอร์ : ปี 1915

    รีมิกส์ให้ขับไปด้วย ยิงไปด้วยได้ในคนเดียว

    *มีผู้ใจดีได้แชร์ลิงค์คลิปเกี่ยวกับเครื่องบินรบมานะจ๊ะ จิ้มไปดูเลยจ้ะ cr.Napat Jaroentanawut


    http://www.youtube.com/watch?feature=player_detailpage&v=0hB4H8MKDXs#t=151s
     

     

    การบินรอบโลก

    1.จอห์น อัลคอกค์ feat. อัลเบิร์ต บราวน์ : ปี1919

    ขับเครื่องบินผ่านมหาสมุทรแอตแลนติค นับ 16 ชม.ได้

    2.ชาร์เรล ลินเบิร์จ : ปี 1927

    เป็นคนแรกที่บินยาวแบบเดี่ยวซิงเกิ้ล ทำให้เกิดคำว่า “Spirit of St. Louis”

    3.เอมิเลีย เออร์ฮาร์ท : ปี 1932

    เป็นสตรีนางแรกที่ได้บินเดี่ยวแบบซิงเกิ้ล เธอเป็นชาวอเมริกันนะเออ

     

    • สงคราม และสันติภาพ

    1.ได้เล่าถึงวีรกรรมการใช้เครื่องบินในการรบ โดยเฉพาะสงครามโลกครั้งที่สอง

    นั่นคือ เครื่องบินสายทิ้งระเบิด น่ะเอง เริ่มตั้งแต่ปี 1923 วีรกรรมครั้งหนักสุดเห็นจะเป็นการทิ้งระเบิดที่ ฮิโรชิมา และนางาซากิ ของประเทศญี่ปุ่น

    2.ปี 1969

    รีมิกส์ให้เครื่องบินทิ้งระเบิดสามารถเหาะได้เร็วกว่านี้

     

    • เฮลิคอปเตอร์

    1.พอล คอร์นู : ปี 1907

    สร้างเป็นลำแรกของโลกา

    • ยานอวกาศ : ปี 1961 ยูริ / ปี 1969 นีล อาร์มสตรอง (คงไม่ต้องเล่านะ= =)

     

     

    บทที่ 7 Communication การติดต่อสื่อสาร

    ไม่ว่าจะการใช้ตัวอักษรลับ รหัสมอร์ส หรือโทรศัพท์ รวมไว้ในบทนี้แล้ว

    Moving arms เสาบอกรหัส

    1.คลอวด์  เชปป์ : ปี1791

    สร้างรูปแบบสัญญาณรหัสลับเป็นเสา พอบิดไปบิดมาก็เป็นตัวอักษร

    2.ปี1790 ใช้ดวงอาทิตย์บอกเวลาเดินเรือ

     

    The electric telegraph โทรเลข

    1.สร้างโดย เซอร์ ชาร์ลส์ วีทสโตน (Sir Charles Wheatstone) และ เซอร์ วิลเลียม ฟอเทอร์กิลล์ คุก (Sir William Fothergill Cooke) และวางสายตามรางรถไฟของบริษัท Great Western Railway เป็นระยะทาง 13 ไมล์ จากสถานีแพดดิงตัน (Paddington) ถึง เวสต์เดร์ตัน (West Drayton) ในอังกฤษ เริ่มดำเนินงานปี 1837

    2. แซมูเอล มอร์ส (Samuel Morse) เขาและผู้ช่วยคือ อัลเฟรด เวล (Alfred Vail) ประดิษฐ์รหัสมอร์สสายโทรเลขข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อ 1866 ทำให้สามารถส่งโทรเลขข้ามมหาสมุทรระหว่างยุโรปและอเมริกาเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านั้นมีความพยายามสร้างในปี 1857-1858 แต่ก็ทำงานได้ไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่จะเสียพัฒนา

    3.พอล จูเลียส เราท์เตอร์ : ปี 1849

    เป็นบริษัทซื้อลิขสิทธิ์ไปทำระบบโทรเลขที่แรก

     

    • โทรศัพท์

    1.อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell) : ปี 1876 อเมริกา

    ประโยคแรกที่พูดกรอกใส่โทรศัพท์คือ Mr. Watson, come here, I want you.

    2.ปี 1887

    มีโทรศัพท์แบบโทรข้ามเมืองข้ามประเทศได้เครื่องแรก

    ปารีส บรัสเซลล์ ปี 1887

    ต่อยุโรปได้ ปี 1891

    ลอนดอน – นิวยอร์ค ปี 1927

    3.ปี 1980

    มีมือถือรุ่นแรก แต่ใหญ่มาก ราวกับยกวิทยุสมัยนี้มาคุย= =

     

    วิทยุ

    1.โรเบิร์ตโต้ ลานเดล เดอ มัวร่า : ปี 1894

    เริ่มประดิษฐ์ แต่ไม่มีใครนิยม แถมบางคนยังมีความเชื่อว่าเป็นเสียงหลอนออกมา มีวิญญาณกักขังในนั้น (เอาเข้าไป) เลยแบนคนประดิษฐ์ซะไม่เหลือ

    2.กูเกอเลโม่ มาร์โกนี่ : ปี 1899

    ทีนี้ มีคนลองประดิษฐ์วิทยุแล้วเสนออีกที แต่คราวนี้รอดอย่างสวยงาม และในปี 1901 ได้ทดลองส่งสัญญาณข้ามมหาสมุทรแอตแลนติค แล้วก็ทำได้จริง จึงได้รับรางวัลโนเบลในปี 1909 ซึ่งวิทยุสมัยนั้นยึดหลักสัญญาณรหัสมอร์สเป็นหลักนะจ๊ะ

     

    • โทรทัศน์

    1.ขึ้นชื่อเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ไม่ทราบคนประดิษฐ์ที่สุดแล้ว เพราะมีถึง3หมายเลขว่าใครเป็นคนทำ

    หมายเลข 1 จอห์น ลอยด์ เบรด (สก็อตแลนด์)

    หมายเลข 2 วลาดิมอร์ คอสโม เซียววาริคิน (รัสเซีย)

    หมายเลข 3 ไพโร เทเลอร์ ฟรานส์เวิร์ท (US)

    2.แม้แต่ทีวีสี ก็ยังไม่แน่ใจว่าใครประดิษฐ์

    หมายเลข 1 กุยเลอร์โม กอนซาเลซ คามาเรน่า (เม็กซิโก)

    หมายเลข 2 ปีเตอร์ โกลด์มาร์ค (ฮังการี)

    แต่ส่วนใหญ่เชื่อว่า หมายเลขสองเป็นคนทำมากกว่านะ

     

     

    บทที่ 8 Computers คอมพิวเตอร์

    //กราบงามๆ ผู้คิดค้นคอมพิวเตอร์ขึ้น

    1.เริ่มเมื่อ 1822 ชาร์ล แบบเบจ (Charles Babbage) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ประดิษฐ์เครื่องมือที่เรียกว่า “Difference Engine” เสร็จในปี 1834 ที่สามารถคำนวณค่าของฟังก์ชันทางตรีโกณมิติได้ ซึ่งอาศัยหลักการต่างๆทางคณิตศาสตร์ และได้มีการพัฒนาสร้างเครื่อง “Analytical Engine” ขึ้นมา ซึ่งมีหลักการในภาครวมคล้ายกับคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่

    1991 ประดิษฐ์ Engine Number 2 มีขนาดเล็กกว่าแบบแรกมาก

    จากหลักการนี้เองทำให้ ชาร์ล แบบเบจ ถูกยกย่องให้เป็น “บิดาแห่งคอมพิวเตอร์”

    2.เฮอร์แมน โฮลเลอริท : ปี 1900+

    สร้างอีกเครื่อง โดยใช้ชื่อตัวเอง ส่วนใหญ่จะมีโปรแกรม อ่าน คำณวน นับ

    3.อลัน ทูริ่ง

    สร้างโดยใช้ชื่อตัวเองตั้งเป็นชื่อคอม มีระบบคำณวนทางคณิตศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพ กระทั่งจบสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ได้มีการคิดค้นภาษาคอม (ซี อะไรงี้ใช่ป้ะเหล่าวิทย์คอม) เป็นแม่แบบโปรแกรมภาษาในคอม

    4.โคนราด ซูสส์ : ปี 1934

    สร้างคอมพิเตอร์ รุ่นที่มีหน่วยรับภาษาตัวอักษรมากสุดบรรจุถึง 1,024 คำ  (มีสี่รุ่น Z1 – Z4)

    5.กองทัพ US : ปี1943

    พบปัญหาเครื่องร้อนเกินไปเมื่อใช้งานยาวนาน

    6.ไดว์ ดี. เอเซนโฮเออร์ : บริษัท UNIVAC : ปี 1952

    สร้างคอมพิวเตอร์สำหรับการทำงานสำนักงานโดยตรง มีคนพูดออกมาว่า

    “The problem with machines is people.”

    7.แจ็ค เซนท์ แคลร์ คิลเบีย : ปี 1950-1959

    ทรานซิสเตอร์ได้ถูกนำมารีมิกซ์กับตัวคอมพิวเตอร์

    8.กอร์ดอน มัวร์ : ปี 1971

    บริษัทIntel ผลิตคอมยุคใหม่ ก่อตั้งขึ้นและพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้ดียิ่งขึ้น เป็นแบบแผนในการสร้างคอม มีคำออกมาว่า “Moore’s Law”

    9.สตีเฟ่น วอซนีค : ปี1977

    สร้างคอมพิวเตอร์ส่วนตัวเครื่องแรก คือ Apple II

    แน่นอนว่า สตีฟส์ จ็อบ ก็มีส่วนช่วยในการสร้าง

    10.บิล เกตต์ และ พอล อัลเลน

    ตั้งบริษัทไมโครซอฟ

     

    • ระบบอินเทอร์เน็ต

    1.ปี 1969 เริ่ม

    ปี 1973 สร้าง โดย มหาวิทยาลัย ลอนดอน feat. นอร์เวย์

    ปี 1976 ให้ ควีนอลิซาเบธที่2 ลองส่งอีเมล์ฉบับแรกของโลก (เขียนว่าอะไรเขาไม่ให้สาระแนอ่ะ)

    2.ฟิลิป เอเมิร์กวาลีร์ : ปี 1989

    เชื่อมต่อคอมนับ 6หมื่นกว่าเครื่อง เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ครั้งแรก

    3.ทิม เบอรเนอร์ ลี : ปี 1991

    สร้างระบบ www. ให้ผู้คนเข้าไปดูกันได้สบาย ไม่ต้องลิ้งค์ต่อกันให้อึกทึก

     

     

    บทที่ 9 Ideas ไอเดียอื่นๆ

    1. Catseyes (ไฟถนน)

    ผู้ประดิษฐ์ : เพอร์ซี่ ชาวด์

    ปี : 1933

    เหตุเกิดจากระหว่างที่กำลังขับรถผ่านหมอกหนาทึบ เขาเห็นตาของแมว แน่นอนว่าสัตว์ย่อมมีโหมดให้ตาเรืองแสง และตาแมวนั้นทำให้เขาเบรกรถได้ทัน ก่อนที่จะชนกับกำแพงด้านหลังตัวแมว จึงมีความคิดจะสร้างเสาไฟติดริมถนน และทางรัฐก็ได้ตอบรับประดิษฐ์ให้อย่างดี

     

    2.Post – it

    ผู้ประดิษฐ์ : อาร์ท ฟราย

    ปี : 1970+

    เนื่องจากระหว่างที่เขาวุ่นวายต้องออกไปข้างนอก เพื่อนร่วมงานที่มาติดต่อธุระเลยทิ้งข้อความไว้ ไปหากระดาษแผ่นบางๆ ม่าทากาวแปะลงบนหนังสือ เขากลับมาเลยคิดว่าอันนี้ก็โอ แต่แกะยากไปนิด เลยประดิษฐ์เป็น กระดาษสีเหลือง เป็นที่มาของคำว่า “Yellow stickies

     

    3.Velcro (ตีนตุ๊กแก เห็นได้ตามรองเท้า กระเป๋า บลาๆ)

    ผู้ประดิษฐ์ : จอร์จ เดอ เมสทรัล

    ปี : 1948

    ไอเดียนี้มาจากการที่การไปปีนเขา แล้วเห็นตัวพวกสัตว์ ไต่ต้นไม้อะไรงี้ได้ ก็คิดว่าน่าจะมีอะไรเกาะหนึบ เลยกลับมาลองทำดู แล้วขายได้กลายเป็นเศรษฐีในระยะเวลาไม่กี่ปี

     

    4.Lock – nuts (ล็อค นัทส์)

    ผู้ประดิษฐ์ : แคทเทอรีน เรียล

    ปี : -

    เหตุเกิดจากเห็นแหวนแต่งงานตัวเองที่คับนิ้ว (ที่เหลือไม่เข้าใจกลไกในการประดิษฐ์เหมือนกัน)

     

    5.The Sewing machine (จักรเย็บผ้า)

    ผู้ประดิษฐ์ : เอเลียส์ โฮเอร์

    ปี : 1845

    รอบนี้มาแปลก มาจากการฝัน เขาฝันว่าถูกพวกคนป่าจับใส่หม้อ แล้วพอเขาจะดันฝาออก ก็เอาหอกทิ่มๆ ให้ฝามันปิดลง พอตื่นมาเลยลองคิดค้น ว่าการใช้เหล็กทิ่มๆ ประสานกับตัวด้าย ก็น่าจะเย็บผ้าได้เหมือนกัน จึงประดิษฐ์ขึ้นมาทันใด


     

    6.The windshield wiper (ที่ปัดน้ำฝนหน้ารถ)

    ผู้ประดิษฐ์ : แมรี่ แอนเดอร์สัน

    ปี : 1903

    ไอเดียพื้นฐาน ตอนฝนตกแล้วฝนบังหน้ารถ เลยลองเอาไม้ติดกับผ้าที่ซับน้ำดีๆ แล้วโยกเอาจากด้านใน แล้วก็มาปรับใช้ให้เป็นปุ่มกดเป็นกลไกต่อ

     

    7.A new vacumm cleaner bags (ถุงใส่ฝุ่นในเครื่องดูดฝุ่น)

    ผู้ประดิษฐ์ : เจมส์ ดีสัน

    ปี : 1978

    แต่เดิม เครื่องดูดฝุ่นจะต้องหาถุงกระดาษมาครอบ พอใส่ปุ๊บดูดรอบเดียวทิ้งต้องเปลี่ยนใหม่ แต่วันนั้นที่บ้านเขาไม่ได้ซื้อมาเติม เลยลองเอามาปัดฝุ่นออกแล้วใช้ซ้ำ ก็พอถูไถได้ แสดงว่าถุงนึงอาจใช้ดูดหลายรอบ ไม่ต้องเปลี่ยนตลอด จึงลองออกแบบตัวถุงกับเก็บฝุ่นให้ได้มากขึ้น และนานๆ เปลี่ยนครั้ง

     

    8.A  radio of Africa

    ผู้ประดิษฐ์ : เทเลอร์ เบย์ลิส

    ปี : 1991

    เนื่องจากการเป็นแพทย์ในแอฟริกา ย่อมจำเป็นต้องประกาศให้ชาวบ้านได้รับรู้ว่าวันนี้จ่ายยา วันนี้ตรวจ หรือประชาสัมพันธ์คำแนะนำต่างๆ แต่ถ้าใช้วิทยุปกติที่มีกันต้องใช้ไฟฟ้า ไม่ก็แบตเตอรี่ แม่นแล้ว แถวนั้นไม่มี ก็เลยปรับเปลี่ยนให้ปั่นไฟด้วยตัวเอง คือ จะมีคานอยู่ข้างๆ หมุน เท่านี้ก็ใช้วิทยุได้สบาย

    1994 วิทยุรุ่นล่าสุดของเขาได้ถูกโชว์ใน Tomorrow’s world และ BBC Program ได้รับการยกย่องเป็นอย่างมาก



    ----

    จบแล้วจร้า สำหรับมหากาพย์สิ่งประดิษฐ์ ไม่ยากเลยใช่มั้ยเพื่อนๆ แค่ 16 ชิ้นเอง ที่เธอต้องจำน่ะ ฮิๆ

    หวังว่าพวกเธอ เธอ เธอ และ เทอว์ จะอ่านแปลของข้าพเจ้ารู้เรื่องและนำไปสอบ SUM ผ่านกันทุกรายนะจ๊ะ


    -----
     

    อ้างอิง

    หนังสือ Inventions that Change the World

    http://mon-monticha30.blogspot.com/2008/08/blog-post.html

    http://องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์.com
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×