ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Beauty Boy Vs. Hansome Girl หนุ่มสวยหน้าใสกะสาวห้าวสุดเท่ห์

    ลำดับตอนที่ #24 : ความรู้สึกที่ส่งไปไม่ถึง 100%

    • อัปเดตล่าสุด 12 เม.ย. 49




    ภายในห้องยังคงมืดมิดแต่ในใจฉันกลับมืดมิดยิ่งกว่า ฉันนอนไม่หลับมาทั้งคืนพลางพลิกตัวไปมากระสับกระส่ายจนโดนหมอนพี่ซาโยฟาดหัวนั่นแหละถึงได้ยอมนอนนิ่งๆ ผ่านมาสองวันแล้ว คิวแหกโรงพยาบาลมาหาทุกวัน มันเป็นเรื่องปกติซะแล้วสำหรับฉัน แต่โรงพยาบาลคงเหนื่อยกันน่าดู ฉันคิดว่าถ้าเขาทำได้คงเตะโด่งคิวออกมานานแล้วล่ะ แถมพอมาถึงคิวก็ว่าฉันใหญ่ที่ฉันหลอกเขา ก็นะ จะให้ทำไงล่ะ เล่นมาเฝ้าซะทุกวันยังกะหมาเฝ้ากระดูก

    เฮ้อ ~ ฉันได้แต่ถอนใจแล้วนอนก่ายหน้าผากพลางมองเพดาน นาฬิกาบอกเวลาว่าเพิ่งตีสี่ เครื่องจะออกประมาณแปดโมง โชคดีที่คิวจะแหกโรงพยาบาลมาราวๆเที่ยง

    ฉันลุกจากเตียง พี่ซาโยกรนเป็นจังหวะ ฟรี้ ฟรี้ ฉันเลยต้องเดินลงฝีเท้าเบาๆแล้วไปจัดของ มาจัดเอาวันสุดท้ายเนี่ยแหละเพราะขี้เกียจ

    หลังจากจัดเสร็จก็ไปทำธุระแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันแอบไปซื้อแว่นดำ ผ้าพันคอ เสื้อกันหนาวมีหมวกฮู้ด ฯลฯ เพื่อป้องกันการคิวจำได้ ไม่รู้ว่าจะพอรึเปล่าด้วยซ้ำ ฉันคิดอย่างกังวลใจ

    "อืม....เกิดบ้าอะไรถึงลุกมาขยันตอนดึกๆล่ะ" เสียงครางงึมๆงำๆของพี่ซาโยแทบฟังไม่ได้ศัพท์

    "เพราะพี่กรนน่ะแหละ ฉันนอนไม่หลับถึงต้องลุกขึ้นมาทำโน่นแบบนี้"

    "เว่อร์แล้วย่ะ นอนด้วยกันมาตั้งแต่เท้าเท่าฝาหอยเชอร์รี่ แล้วยังจะมาบอกว่านอนไม่หลับ ตื่นเต้นก็บอกมาเหอะ" พี่ลุกขึ้นมากอดหมอนแล้วนั่งจ้องหน้าฉันพลางพูดล้อเลียนไปด้วย

    "จ้ะๆ ว่าแต่ว่า หอยเชอร์รี่มันไม่มีฝาไม่ใช่เหรอ"

    "เขาเรียกว่าเปรียบเปรยต่างหากล่ะ" พี่ขว้างหมอนมาใส่หน้าฉัน ซึ่งดั้งแบนๆของฉันปะทะกับหมอนยักษ์ของพี่เต็มๆ

    "หนอย วันนี้ต้องทำศึกกันสักหน่อยแล้ว" ฉันคว้าหมอนของพี่มาเตรียมอย่างเอาเรื่อง พี่ก็คว้าหมอนของฉัน แล้วศึกปาหมอนปัญญาอ่อนก็อุบัติขึ้น

    "ทำอะไรกันอยู่อ่ะ พ่อ ป้า" อันริลุกขึ้นมาหัวฟูจากใต้ผ้านวมหนา

    "ใครป้ากันยะ เจ้าเด็กนี่" พี่ซาโยเอาหมอนไปตีหัวอันริเบาๆ อันริขมวดคิ้วแล้วบอกอะไรที่ทำให้ฉันหัวเราะแบบสุดๆว่า....

    "ยัยป้าซาดิสม์"

    "อ๋อ ฉันซาดิสม์เหรอ ก็ได้ นี่แน่ะ" พี่ซาโยไปน็อตหัวอันริ นั่นมันผู้ใหญ่รังแกเด็กชัดๆเลยนี่นา

    "พี่ เขายังเด็กนะ"

    "เด็กกว่าแล้วไง ถ้าไม่เคารพผู้ใหญ่ก็ต้องสั่งสอนกันมั่ง"

    ผู้ใหญ่........ช่างน่าเคารพเหลือเกิน

    "พี่ พอได้แล้วน่า" ฉันดึงข้อมือพี่แยกออกมา คู่นี้นี่ยังไงกันนะ

    "ฉันแต่งตัวเสร็จแล้วช่วยไปเรียกแท๊กซี่ให้หน่อย" แบบนี้แหละ แยกสองคนนี้ได้ดีที่สุดแล้ว จะได้ไม่ต้องเอาน้ำมาสาด (?) พี่ซาโยเดินแบบงอนๆไปข้างล่างและยังไม่วายทิ้งหางตาค้อนส่งมาให้อันริซึ่งตอบโต้โดยอัติโนมัติด้วยการแลบลิ้นปลิ้นตาใส่

    "ยัยป้าโรคจิต"

    =__= หลังจากฉันไปแล้วขอให้ลุงซันกับป้าไอริมารับเร็วๆก่อนอันริจะเป็นศพเถอะ

    "พ่อจะทิ้งผมไว้กับยัยป้านี่จริงๆเหรอ ให้ตายผมก็ไม่เอานะ ผมไม่เอา"

    "แล้วพ่อซันกับแม่ไอริล่ะ"

    "ไม่ต้องไปพูดถึงเลยเขาทิ้งผมไว้กับคนรับใช้ทุกเดือนแล้วหนีไปเที่ยวกันเองต่างหาก คราวนี้คนรับใช้ลาหยุดเขาสองคนถึงได้เอาผมมาปล่อยทิ้งไว้ที่นี่ไง ถ้าผมโตเมื่อไหร่นะ ผม ผม"

    "ผมจะอะไรเหรอ"

    "ผมจะไปเล่นสกีกับพวกเขาด้วย !" ฉันมันผิดเองที่คิดว่าเด็กน้อยจะเศร้าสลดเพราะถูกพ่อแม่ทิ้งไปเที่ยวรอบโลก สายเลือดเดียวกันนี่เนอะ เดี๋ยว นั่นมันลุงกับป้าฉัน ก็สายเลือดเดียวกับเรานี่หว่า เฮ้อ คิดอะไรฟุ้งซ่านเนี่ย ฉันลากกระเป๋าเดินทางลงบันไดโดยมีอันริวิ่งนำหน้า คนขับแท๊กซี่เปิดท้ายรถให้ฉันเอากระเป๋าใส่

    ฉันร่ำลาพ่อกับแม่และพี่ซาโยด้วยความคิดถึง พ่อกับแม่อวยพรฉัน ส่วนพี่ซาโยบอกว่าไม่ต้องรีบกลับแต่ขากลับต้องเอาของฝากมาด้วย = =" อันริกระโดดเกาะขาเป็นปลิงกระโดดผับขยับคืบจนฉันต้องพยายามแกะออก คงไม่ต้องเอาไฟมาลนให้หลุดหรอกนะ ทั้งครอบครัวโบกมือให้ฉันเป็นครั้งสุดท้าย ต่อจากนี้ฉันจะไปใช้ชีวิตที่อเมริกาสองปี ภาษาอังกฤษเราจะรอดรึเปล่าก็ไม่รู้ เอาน่า พูดเยสโนโอเคเป็นก็พอแล้ว อาจจะกลายเป็นก็ตายแล้วแทนก็ได้ แต่ใครจะรู้ไปที่โน่นสมองฝ่อๆของฉันอาจจะพองขึ้นมาอีกก็ได้

    ปี๊ ปอ ปี๊ ปอ ~ เสียงรถพยาบาลแล่นมาเร็วเป็นพิเศษของวันนี้ แถวบ้านฉันมีใครป่วยเหรอ หรือว่า......

    ควันที่คลุ้งมาแต่ไกลเริ่มเบาบางลงเรื่อยๆเมื่อคนที่ทำให้เกิดควันนั้นสปีดเข้ามาใกล้มากขึ้น

    เฝือกสีขาวตรงขาสะท้อนแสงสะดุดตาเป็นประกาย....

    ฉันเพิ่งได้สัจธรรมอย่างนึง

    ความซวยมันเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและกับทุกคนจริงๆนะ

    ฉันเปิดประตูเข้าไปในรถแท๊กซี่และกดล็อกทั้งสองด้านอย่างรวดเร็ว

    "ลุง ไปให้เร็วที่สุดเลย ถ้าหนีคนที่ใส่เฝือกนั่นพ้นได้หนูให้ยี่สิบเลย"

    "หลาน เขาใส่เฝือกจะวิ่งเร็วๆทันรถได้ยังไง"

    "ลุง TT^TT เขาขาหักแต่เขาแหกโรงพยาบาลหนีออกมาได้ทุกวันนะ"

    "ออ งั้นเหรอ ก็ได้ๆ ยี่สิบนะ อย่าลืม"

    "ยัยบ้าาาาาาา ใครให้เธอไป ฉันยังไม่ได้เซ็นต์อนุญาติเลยนะ เธอต้องไปติดที่ด่านกักเพราะพาเชื้อโรคไปด้วยแน่ๆ เข้าใจมั้ย เธอจะถูกกักเอาไว้จริงๆนะ ฉันเคยเห็นในทีวี เพราะงั้นห้ามไปเด็ดขาดนะ" คิววิ่งมาถึงรถและทุบกระจกรถปึงๆแบบเดียวกับที่ฉันทำ

    สามีภรรยาคู่นี้ช่างถึกจริงๆ.....

    "ปกตินายมาเที่ยงๆไม่ใช่เหรอ"

    "วันนี้บุรุษพยาบาลแอบหลับพอดี ฉันเลยมาเร็วหน่อย ดีใจมั้ย ^____^"

    "ไม่เลย ลุงคะ ออกรถเลยค่ะ"

    "ลุง ถ้าลุงจอดผมให้ห้าร้อย"

    "ลุง ตานั่นเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ไม่มีเงินติดตัว อย่าไปฟัง"

    "ลุง ผมจิ๊กกระเป๋าสตางค์ของบุรุษพยาบาลมาด้วย ผมให้พันนึงเลยเอ้า"

    "นายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย"

    "ตั้งแต่รักเธอ"

    "=__= ^^^"

    "ลุงใส่เกียร์แรงสุดเลย เดี๋ยวหนูไปไม่ทันเครื่องบินออก" ฉันงัดไม้ตายสุดท้ายออกมา ลุงถอนหายใจคงเสียดายรายได้งามๆที่หาได้ยากแต่ถ้าลุงรับชีวิตหนูก็ป่นเหมือนกัน

    "ก็ได้ครับ คุณหนู" ลุงออกรถไปคิววิ่งตามรถพลางทุบกระจกไม่เลิก ความเร็วของรถที่เพิ่มขึ้นทำให้คิววิ่งตามไม่ไหวกลายเป็นจุดสีดำเล็กๆที่อยู่ไกลลิบ

    "ลุงคะ"

    "อะไรเหรอ"

    "ฝนตกใช่มั้ยคะ"

    ลุงมองกระจกสะท้อนหน้ารถงงๆ แต่พอเห็นหน้าฉันชัดๆก็พยักหน้า

    "ครับ"

    ฉันหันไปมองกระจกหลังยังที่ที่จากมา อีกสองปีที่นี่จะยังเหมือนเดิมรึเปล่า ฉันไม่อยู่สองปีจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมั้ยนะ คิว.... ใจนายจะเปลี่ยนไปรึเปล่า

    น้ำฝนใสๆสองสายไหลจากดวงตาที่เอ่อล้นจนอาบแก้ม

    ใจนายจะเปลี่ยนไปรึเปล่า....

    สนามบินเต็มไปด้วยผู้คนจอแจวิ่งกันขวักไขว่ไปให้ถึงที่หมายที่ตนมุ่งไว้ให้เร็วที่สุด ชนกันบ้างไม่ชนบ้าง สนใจแต่ตัวเอง เหมือนเรารึเปล่านะ ที่หวาดกลัว ความรู้สึกของพี่สาวจนต้องหนีไปไกลถึงต่างประเทศ

    ฉันจ่ายเงินให้คนขับแท๊กซี่และไม่ลืมที่จะจ่ายทิปที่สัญญาไว้ คุณลุงขอบอกขอบใจใหญ่มาช่วยยกกระเป๋าในขณะที่ฉันไปเอารถเข็น

    ในขณะที่ฉันเข็นรถเข็นเดินหาช่องที่ต้องไปเช็คชื่อ ฉันก็นึกขึ้นได้ เราต้องปลอมตัวนี่นา ลืมไปซะสนิท เฮ้ย เดี๋ยวถ้าเปลี่ยนก่อนไปเช็คเราก็โดนเป็นผู้ร้ายปลอมตัวสิฟะ เดี๋ยวหน้าก็ไม่เหมือนกับที่เป็นอยู่ในพาสปอร์ตหรอก

    ในที่สุดฉันก็ผ่านด่านตรวจมาอย่างสบายๆเพราะฉันไปเรียนมีหลักฐานรับรองเรียบร้อย ทีนี้ต้องมาแปลงโฉมกันหน่อยล่ะ

    ฉันเดินออกจากห้องน้ำด้วยสภาพใหม่ ผมสีดำสั้นๆถูกสวมด้วยวิกสีน้ำตาลเข้มหยักศกเป็นประกาย ตาสีดำสนิทเปลี่ยนเป็นสีฟ้าใสดั่งน้ำทะเลจากคอนแท็คเลนส์ถูกบดบังด้วยแว่นตาสีชา ฉันใส่รองเท้าบูทส้นสูงสีดำที่ไม่ถนัดอีกต่างหาก แต่มันก็ทำให้ฉันสูงขึ้นน่ะแหละ เสื้อผ้าจากเสื้อยืดกางเกงยันส์ก็เปลี่ยนไปเป็นเสื้อแขนยาวคอเต่าสีขาวและกระโปรงสีชมพูหวานที่ถ้าไปถึงอเมริกาฉันจะทิ้งมันลงถังขยะเพราะฉันเกลียดสีชมพูเป็นชีวิตจิตใจทับด้วยเสื้อโค้ทอีกที เครื่องปลอมตัวพวกนี้ฉันต้องถอดออกตอนไปถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองที่อเมริกา ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหาเพราะคิวคงตามไปลากฉันไม่ถึงแน่ เราเข้าไปรอใน*เกตดีกว่า

    หลังจากฉันผ่านพี่ป้าน้าอาที่เอาแท่งไม้อะไรซักกะอย่างมาผ่านๆตัวฉันเพื่อเช็คว่าไอ้คนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้แอบเอาอีโต้มาเจี๋ยนนักบินฉันก็เดินปร๋อผ่านเข้าไปอย่างสวัสดิภาพ

    ฉันนั่งลงยังโซฟาหนานุ่มตัวหนึ่งในบรรดาหลายๆตัวที่ตั้งอยู่เพื่อรอเวลาเครื่องบินออก ทำไมมันไม่ออกเร็วๆนะ เสียงทีวีและเสียงคนกระซิบพูดคุยเบาๆฟังดูน่ารำคาญ แต่ฉันกลับรู้สึกว่ามันสงบเกินไป เหมือนทะเลเงียบสงบก่อนสึนามิจะพัดถล่มน่ะแหละ ฉันค่อยๆหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เหลือเวลาตั้งนาน เราคงไม่หลับจนเลยเวลาเครื่องบินออกหรอก

    ฉันตื่นขึ้นมาจากการปลุกของใครบางคน เมื่อฉันลืมตาขึ้น ฉันก็เห็นแอร์โฮสเตสสาวคนนึงยื่นมือมาเขย่าไหล่ฉันเบาๆอย่างสุภาพก่อนจะดึงมือกลับไปและยิ้มให้ฉันเป็นเชิงบอกว่าถึงเวลาแล้ว ผู้คนที่นั่งอยู่รอบๆพากันหายตัวไปหมด คงจะเข้าไปรอในเครื่องบินไปหมดแล้วล่ะมั้ง ฉันยิ้มให้เป็นเชิงขอบคุณแล้วลากกระเป๋าไปอย่างเหงาหงอย คิวไม่ได้มาตามเรา..... ฉันหวังอะไรอยู่รึเปล่า แต่ก็น่าจะหวังอยู่หรอก ทั้งๆที่ไม่อยากให้ไปถึงขนาดนั้นแล้วทำไมไม่ไล่ตามมา

    ฉันอยากให้คิวไล่ตามมางั้นเหรอ เหมือนเด็กเล็กที่ทำความผิดแล้วอยากให้พ่อแม่มาตามกลับบ้านอันแสนอบอุ่นรึเปล่า แต่ตอนนี้ฉันกำลังจะกล่าวไปสู่ที่ใหม่ ชีวิตใหม่ ที่ไม่มีนายอีกแล้วนะ

    ฉันหันกลับไปมองเป็นครั้งสุดท้าย ได้แต่หวังว่าทางเดินอันเงียบสงบจะมีเงาที่คุ้นเคยของคิวเดินมา แค่หวังลมๆแล้งๆเท่านั้นเอง

    ฉันเข้าไปนั่งในเครื่องบินลำใหญ่ซึ่งเป็นที่นั่งติดหน้าต่างมีทีวีให้ดูสำหรับการเดินทางที่ยาวนานเพื่อไม่ให้ผู้โดยสารเบื่อไปซะก่อน กระเป๋าใบเล็กเพียงใบเดียวของฉันเข้าไปอยู่ในที่เก็บกระเป๋าเรียบร้อย

    ขอบตาของฉันร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆเมื่อนักบินประกาศว่าเครื่องกำลังจะออก
     
    คิวไม่ได้มา คิวไม่ได้มาตามฉัน ทำไมเขาถึงไม่ตามมา ทำไมฉันถึงต้องไปอยู่คนเดียว

    ฉันหนีอะไรมา หนีหัวใจตัวเอง หนีความหวาดกลัวที่จะได้รับจากพี่สาว หนีคำกล่าวหาว่าเป็นคนทรยศ ฉันจะทิ้งอดีตได้เหรอ ฉันหนีมาแบบนี้แล้วผลสุดท้ายจะเป็นยังไง

    ผลสุดท้ายน่ะเหรอ

    ก็เจ็บกันทุกคน

    ฉันใช้ชีวิตอยู่อเมริกาอย่างเดียวดายเงียบเงาและเจ็บปวดโดยปราศจากคิว

    คิวใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยอย่างเดียวดายเงียบเหงาและเจ็บปวดเหมือนกันโดยปราศจากฉัน

    เพราะเขาลืมฉันไม่ได้

    และฉันก็ลืมเขาไม่ได้

    พี่สาวใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยอย่างเหงาเล็กน้อยเพราะฉันไม่อยู่แล้วและพี่สาวยังคงฝันถึงเด็กชายคนนั้น

    คิวไม่ได้รักพี่สาว....

    แต่ฉันรักพี่สาว....

    คิวรักฉัน....

    และฉันก็รักคิว....มากๆเลย

    ตอนนี้ถ้าฉันจะเปลี่ยนใจยังทันรึเปล่านะ....

    "ท่านผู้โดยสารโปรดทราบกรุณารัดเข็มขัดให้พอดีกับตัวท่าน ขณะนี้เราจะนำเครื่องบินขึ้นแล้ว ท่านผู้โดยสารโปรดทราบกรุณา...." เสียงนักบินดังซ้ำไปซ้ำมา

    ถ้าฉันคิดจะกลับไป ก็ต้องตอนนี้แหละ ไม่งั้นมันจะสายเกินไป

    "ขอโทษค่ะ" ฉันรีบคว้ากระเป๋าลงจากที่เก็บกระเป๋าพลางวิ่งไปที่ประตูทางเข้าอย่างร้อนรน แอร์โฮสเตสพยายามมาห้ามฉันกันวุ่นวาย

    "ไม่ได้นะคะ ขณะนี้เครื่องบินกำลังจะขึ้นแล้วนะคะ ห้ามออกไปค่ะ ถ้าจะออกไป คุณต้องนั่งกลับมาอีกเที่ยวแล้วนะ" ไม่นะ ฉันจะไปไม่ได้ ฉันจะไปโดยทิ้งคิวไว้ที่นี่ไม่ได้ คิวรอฉันอยู่

    "ปล่อยเถอะค่ะ ขอโทษนะคะ" แล้วฉันก็ผลักทุกคนที่ดาหน้าเข้ามาห้ามฉันอย่างไม่ขาดสายแล้ววิ่งสุดฝีเท้าแม้จะชนกับโน่นชนนี่ที่ดันมาขวางทาง ฉันก็ไม่สนใจ

    ฉันวิ่งจนมาถึงประตูทางเข้าแล้ว ประตูที่เคยเปิดกลับปิดล็อกสนิทและมีเสียงจากอะไรบางอย่างพยายามๆทุบหน้าต่างกระจกบานเล็กๆที่ประตูอย่างรุนแรง ฉันเดินเข้าไปอย่างช้าๆ มือสีขาวเนียนราวไข่มุกเต็มไปด้วยรอยช้ำสีแดงเข้มเลือดไหลซิบๆทุบหน้าต่างอย่างเอาเป็นเอาตายแต่กระนั้นหน้าต่างของเครื่องบินที่กันได้แม้แต่ความดันอากาศสูงบนท้องฟ้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะแตกออกมาแม้แต่น้อย ชุดคนไข้สีเขียวของเขาทำเอาฉันจะน้ำตาร่วงอีกครั้ง คิวตาโตเมื่อเห็นหน้าฉันและทุบกระจกแรงขึ้นอีก

    "คิว ฉันขอโทษนะ"ฉันพยายามตะโกนบอก

    "ยัยบ้า มาพูดอะไรตอนนี้ ช่วยกันทุบหน่อยเร็ว" ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อของคิวดูเคร่งเครียดยิ่งขึ้นเมื่อคิวเรียวเริ่มขมวด

    "ฉันก็อยากออกไปกับนายนะ แต่มันสายไปแล้ว ฉันอยากอยู่กับนาย ฉันมันโง่ที่สุดเลย"

    "ฉันก็อยากอยู่กับเธอ ถึงได้ทุบอยู่นี่ไงเล่า ประตูบ้า เปิดสิวะ" คิวทุบกระจกอย่างแรงครั้งสุดท้ายอย่างเศร้าแล้วเอาหัวโขกกระจกจนเลือดไหลอาบ มือของคิวกำแน่นอย่างแค้นใจอยู่ที่กระจก

    "เจ็บมากมั้ย"

    "มนุษย์..."

    "อะไร"

    "สร้างประตูขึ้นมาทำไม"

    "ก็เพื่อเปิดปิดมั้ง หรือเป็นทางเข้าออก ฉันก็ไม่รู้สิ"

    "แล้วทำไม ฉันกับเธอถึงได้ถูกกั้นด้วยประตูเพียงบานเดียว"

    "......ประตูไม่ได้กั้นฉันกับนายหรอก แต่เป็นเพราะการตัดสินใจของฉัน เป็นเพราะหัวใจฉันพยายามสร้างเกราะมากั้นตัวฉันกับนายต่างหาก มันถึงได้เป็นแบบนี้ ฉันคิดจะกลับมาหานายแต่ฉันตัดสินใจช้าไป" มือของฉันทาบอยู่กับมือของเขาราวกับจะส่งความอบอุ่นให้กันและกัน แต่ความเป็นจริงฉันรู้สึกได้เพียงความเย็นเยียบของกระจกเท่านั้น ความรู้สึกของฉันส่งไปไม่ถึงนายอีกแล้วล่ะ รู้มั้ย คิว

    "ทั้งๆที่อยู่ใกล้แค่นี้แล้วแท้ๆ ทำไมกัน ทำไม"

    "หากเพียงแค่ หากเพียงแค่"

    "เธอพูดอะไรน่ะ"

    "หากเพียงแค่นายมาเร็วกว่านี้ หากเพียงฉันจะตัดสินใจกลับมาหานายได้เร็วอีกสักนิด หากเพียงเมื่อสิบปีที่แล้วคนที่ไปเจอนายคนแรกคือฉัน หากเพียงแค่ฉันไม่มัวโง่งมและหวาดกลัวอย่างไม่เข้าท่า หากเพียงแค่...."

    "หากเพียงแค่ฉันจะรู้ตัวว่าฉันไม่อยากสูญเสียนายไปขนาดนี้ก็ดีสิ"

    "หากเพียงแค่เรายังอยู่ด้วยกันได้ ฉันจะบอกรักเธอทุกวันเลยนะ จะบอกรักทุกวัน จะบอกอย่างที่พี่เธอเคยบอกไว้ ให้ฉันบอกรักคนที่อยู่ใกล้ๆแล้วหัวใจเต้นแรงบนเวทีใหญ่ๆ ตอนนี้ ฉันจะบอกเธอนะ จะบอกว่าฉันรักเธอมากแค่ไหนนะ ฉันรักเธอนะ"

    "ฉันก็รักนาย"

    "ผมมันโง่ครับ ที่ไม่เจอเธอเร็วกว่านี้ พระเจ้าครับทำไมถึงไม่เข้าข้างเราเลย ผมเป็นคนโง่ที่สุดในโลกครับที่รู้ตัวช้าไปว่ารักนางฟ้าตรงหน้าผม ผมเป็นคนนิสัยไม่ดีครับ ทั้งๆที่ชอบเธอก็มักจะแกล้งเธอด่าเธอว่าเธอสารพัดเป็นประจำ ผมเป็นคนเลวครับที่ติเธอตอนเธอทำอาหารไม่อร่อย ผมเป็นคนบ้าที่สุดครับที่ผมไปรับริบบิ้นนั้นมาจากพี่สาวเธอ ผมเป็นคนร้ายกาจครับเพราะผมทำให้เธอเชื่อไม่ได้ว่าผมปกป้องและคุ้มครองเธอได้เสมอ"

    "และที่สำคัญที่สุด..."

    "ผมรักคนข้างหน้านี้ครับ"

    "ฉันรักเธอนะ รักที่สุดรักมากๆเลย ไม่รู้เลยว่ารักตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ตั้งแต่รู้ก็อยากให้เธออยู่ใกล้ๆมาตลอด ฉันรักเธอนะ เพราะต่อจากนี้อาจจะไม่ได้ยินอีกแล้ว รักที่สุดเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันรักน้ำเสียงห้าวๆของเธอ นิสัยแปลกๆของเธอ หน้าตาของเธอ มือของเธอ เส้นผมสั้นๆของเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเธอ"

    "รักนะ"

    "ฉันก็รักนาย"

    "ฉันรักเธอนะ"

    ฉันรู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วที่ฉันต้องไปจึงหันหลังกลับและเดินจากคิวมา เราแก้ไขโชคชะตาด้วยมือสองข้างของตนเองไม่ได้จริงๆเหรอ ถึงแม้มือสองข้างนี้เป็นคนผูกปมโชคชะตาแต่ก็มิอาจแก้เชือกอันยุ่งเหยิงนั้นได้จริงๆ แต่ฉันก็ยืนนิ่งเมื่อทุกคนลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้กันทั้งเครื่องบินจ้องมองฉันกับคิวแม้แต่แอร์โฮสเตสและนักบิน มิน่า เครื่องถึงยังไม่ออกตอนฉันล่ำลากับคิว

    แอร์โฮสเตสต่อมน้ำตากำลังแตกสะอึกสะอื้นอยู่คนนึงมาเปิดประตูให้ฉันที่มองแบบงงๆ

    นึกว่าจะไปก็เกือบไม่ได้ไป

    เกือบจะไปสุดท้ายก็ไม่ได้ไป

    จะร้องไห้หรือดีใจดีเนี่ย....

    แต่ว่านะ

    ฉันคิดว่าฉันโชคดีที่สุดในโลกแล้วล่ะ

    ฉันกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของคิวที่อ้าแขนรออยู่แล้วอย่างโหยหาย เสียงปรบมือดังขึ้นทั่วเครื่องบินไม่เว้นแม้แต่เด็กตัวเล็กๆ

    แต่ฉันไม่สนใจอะไรอีกแล้ว คิวซุกหน้าลงกับคอฉันอย่างคิดถึงและกระซิบข้างหูฉันเบาๆ

    "ฉันรักเธอนะ"

    "ฉันก็รักนาย....."













    *เกตหมายถึงประตูสำหรับไปขึ้นเครื่องบินแต่ละประเทศแต่ละสายการบินซึ่งจะเรียงกันไปตั้งแต่หนึ่งถึงห้าสิบกว่าๆ ใครไปต่างจังหวัดต่างประเทศก็ต้องไปนั่งรอที่แถวๆเกตจนถึงเวลาเครื่องบินออก


    ถึงเจ้าชายหิมะ คนเขียนเรื่องนี้มันแปลกมานานแล้วล่ะ มาติดตามทีหลังต้องทำใจกับนิสัยมันหน่อยนะ ฮึๆๆๆ ^^

    รอไปเหอะ จะพยายามอัพให้ร้อยเปอร์นะ ฉากซึ้งๆ ใครพลาดจะเสียดาย ฮ่าๆๆๆ


    ไม่มีคนเม้นท์เราไม่อัพ ไม่มีปุ้นคอยทวงเราคงลบเรื่อง ถ้าไม่มีม้องค์คอยตามจิกยิกๆเราคงไม่มีกำลังใจ ถ้าไม่มีนักอ่านเงาเผยตัวให้รู้ว่าเคยเข้ามาในเรื่องนี้อย่างคาโต้ อิซึมิ เราคงจะไปอบพิซซ่ากินดีกว่ามานั่งแต่งนิยายที่ไม่ค่อยไม่คนเข้า


    รู้สึกเบื่อๆ หัวตื้อๆเพราะเป็นโรคไม่ถูกกับฉากซึ้งหรือฉากดราม่าใดๆก็ตาม (เวรล่ะสิ ตอนนี้ดันมีอีกตังหาก บู่)

    ไม่มีใครโหวต เบื่อ......

    ไม่มีใครเม้นท์ อืดดดดด

    ไม่มีใครมาเยี่ยมมายไอดี ละลายไปกับพื้น

    มีแต่คนเข้าไม่มีการเคลื่อนไหวอื่น ค่อยๆระเหยปลิวหายไปกับสายลม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×