คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 เปิดไดอารี่
เหงาจริงๆเลยนะ เหงามากจริงๆวันนี้ เป็นวันแรกที่ตัดสินใจขลุกตัวอยู่ในห้องนี้ ก็ดันมีหนังสือให้เขียนแล้วด้วย ก็เราอยู่คนเดียวมานานแล้วนี่นะ หนังสือเล่มนี้ก็ไม่รู้จะเขียนให้ใครอ่าน แล้วก็ไม่รู้จะทนกับชีวิตนี้ได้อีกนานเท่าไรกัน ชีวิตที่ดูแสนไร้ค่า ชีวิตที่ดูไม่มีอะไรมากมาย กับเวลาเดิมๆของวันหนึ่งวัน ใครจะไปรู้ว่าเราเหงาขนาดไหนกัน เด็กผู้หญิงคนนึงที่เพื่อนสักคนจะแคร์ก็ไม่มี ครอบครัวที่ควรเป็นที่พึ่งทางใจก็ไม่มี คิดแล้วพาลจะร้องไห้แต่จะร้องเพื่ออะไร เราควรจะเป็นผู้หญิงอ่อนแอที่มีคนดูแลนี่นะ ร้องหน่อยก็คงไม่เป็นไรมั้ง แต่ก็นะ ไม่รู้จะเขียนบ่นอะไรอยู่คนเดียว ความรักงั้นหรอก็ไม่เลวถ้าจะเลือกไปหลงรักหนุ่ม หลายๆคนที่กำลังถูกจับจอง มันก็แค่ของหลอกตาล่ะมั้ง กับอีแค่ผู้ชายๆๆนะ
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก่อนจะอุทานขึ้นในใจ
ว้าว วันนี้พระจันทร์สวยดีนะ แต่ก็เห็นจนชินแล้วนี่นา พรุ่งนี้งานกีฬาสีคงจะสนุกหรอกถ้าเรามีเพื่อนให้เฮฮา ก็ดันถูกขนานนามว่าแม่มดแล้วนี่ เฮ้อ น้ำตาหยุดไหลแล้วหรอเนี่ยไม่รู้ตัวเลย คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ความเหงายังถูกยกขึ้นมาเป็นสิ่งเดียวให้นึกถึง แม้จะคิดถึงวันคืนที่เคยมีความสุข แม้ว่าอยากจะ กลับไปอยู่ในโลกนั้นอีกครั้ง ก็ถ้าไม่มีใครสอนให้ยืนหยัดอยู่บนความสิ้นหวังแล้ว รอต่อไปรอให้อะไรก็ได้มายึดไอ้ใจที่ว่างเปล่านี้ไว้อาจจะมีล่ะนะ ตอนนี้ก็ดึกแล้ว เปิดด้วยเหงาก็ต้องจบด้วยเหงา วันนี้ร้องไห้กับมันอีกแล้ว ไอ้ความเหงา . . . . . . . . พอๆๆนอนได้แล้ว เดี๋ยวน้ำตาพาลจะไหลอีก ตอนนี้ก็มีคนเปิดอ่านสมุดเล่มนี้แล้วด้วยสิ ถ้าไม่ติดว่าเวลาเราไม่ตรงกันคงจะรู้จักกันหละนะ
"อัยย์"
คนถูกเรียกหลุดจากภวังค์ พลันสายตาก็ละจากหนังสือที่ถืออยู่หันไปมองผู้เรียกด้วยแววตาเย็นชาผิดจากเดิม
"เป็นอะไร รึเปล่าเนี่ย หน้าซีดเลย" นีเพื่อนสนิทยืนอยู่เบื้องหน้า กำลังสำรวจเธออยู่ด้วยความเป็นห่วง
"ป่าวจะ อ่านเพลินไปหน่อย แอร์ก็เย็นจนลืมหนาวด้วย" สายตาที่เย็นเยียบกลับสู่ปกติ ส่งยิ้มจางๆที่เริ่มสดใสกลับไปให้เพื่อนผู้เป็นห่วง
"แหม ถูกใจหนังสือเล่มไหนเข้าล่ะ" นีส่งยิ้มกลับด้วยท่าทีสบายใจ ก่อนส่งสายตาไปยังหนังสือที่อยู่บนมืออัยย์
"เอ๋" อัยย์สบถเสียงหลง ท่าทีตกใจทำเอานีที่ยืนอยู่ตรงหน้าตกใจตามกันไปด้วย
ด้วยความตกใจของอัยย์กับข้อความบนหนังสือที่ควรจะยาวไปจนจบหน้า เหลือเพียงกระดาษเปล่าที่มีคราบน้ำประหลาดปรากฏต่อหน้าเธอทั้งสอง
“เธอนี่พิลึกนะ จ้องกระดาษเปล่าได้นานสองนาน หรืออาจเพราะลูกบอลเมื่อเย็นกัน” นีเปลี่ยนเรื่องแซวหัวเราะคิกๆด้วยเห็นเป็นความขบขัน แต่อัยย์กำลังคิ้วขมวดด้วยอารมณ์แปรปรวนจนนีเริ่มตามไม่ทัน
“ฉันอาจจะพิลึกจริงอย่างเธอว่าก็ได้นี” อัยย์เบือนหน้าจากหนังสือแล้วปิดมันลง เกาหัวแกรกๆก่อนเหลือบไปมองนาฬิกาของเธอ
“หวา 5โมงจะครึ่งแล้วนี่ กลับกันเถอะ” อัยย์เอ่ยเสียงหลงโดยด่วนกับเวลาที่ร่วงเลยมามากแล้ว
“ฉันว่าคงต้องรอฝนหยุด” เสียงตอบจากนีที่เล่นเอาอัยย์เปลี่ยนสีหน้าทันที
ฝนตก ! นี่เราไม่รู้ตัวเลยหรอกหรอ อัยย์คิดในใจขณะที่สายตามองผ่านกระจกหน้าต่างออกไป เห็นว่าฝนกำลังตกอยู่จริงๆ
“หนักซะด้วยนะ หลบในนี้ท่าจะ...” ไม่ทันที่อัยย์จะพูดจบประโยค ยัยนีเพื่อนรักก็เดินสวบๆไปหาบรรณนารักษ์ส่งหนังสือพร้อมกวักมือเรียกอัยย์ให้เดินตามไป
“นี่เธอจะรีบไปไหนล่ะ ฉันว่าหลบในนี้ก็ดีอยู่แล้วนะ” อัยย์เอ่ยถามนี แล้วส่งหนังสือให้บรรณนารักษ์ทั้งสองเล่มที่ติดมือมา เล่มหนึ่งยังไม่ได้เปิดอ่านด้วยหน้าปกอันสวยและน่าสนใจ ส่วนอีกเล่มหนึ่งหน้าปกไม่มีอะไรมากฉาบไปด้วยสีน้ำตาล ที่ดูจางๆเก่าๆไม่มีอะไร ขีดเขียนหรือแปะไว้ให้รู้ถึงว่ามันเป็นหนังสืออะไร
“นี่ไม่ใช่หนังสือจากห้องสมุดเรานี่คะ” บรรณนารักษ์สาวเอ่ยตอบพร้อมยื่นหนังสือส่งคืนมา เล่นเอาอัยย์ฉงนกับหนังสือตรงหน้า
ก็มันตกมาจากชั้นไม่ใช่หรือไงกัน ชั้นหนังสือที่ดูจะบังเอิญเหลือเกิน
“อ่าว นี่เธอเพี้ยนไปจริงๆหรอเนี่ยถึงกับจะยืมหนังสือของเธอนั่นเสียเอง” นีเย้าก่อนหยิบหนังสือของตนขึ้นมาถือไว้แล้วรีบสาวเท้าเดิน ออกประตูห้องสมุดไปยืนไร่ๆกับชายคนหนึ่งที่มายืนหลบฝนหน้าห้องสมุด
“คนที่เพี้ยนน่าจะเป็นเธอมากกว่านะ” อัยย์เอ่ยไล่หลังนี ก่อนจะหันหน้าไปคุยกับบรรณนารักษ์ที่จ้องเธอตาใสอยู่
“หนูอาจหยิบผิดเล่มเองค่ะ” อัยย์รีบตัดบทพูด นี่นึกไว้ในใจเพื่อไม่ให้มากความจนเธอตามเพื่อนตัวแสบออกไปไม่ทัน เธอหยิบหนังสือทั้งสองเล่มที่บรรณนารักษ์ส่งมาให้ ก่อนส่งยิ้มเพื่อนเป็นการบอกลา
“อ่าวนายรัตน์” อัยย์เอ่ยทักบุรุษที่เธอเห็นตอนเย็นข้างสนาม ก่อนหันไปมองหน้านีที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เธอรู้จัก ?” นีเอ่ยถามด้วยความสนใจทั้งๆที่ตายังมองหนุ่มมาดนักกีฬาตรงหน้าอยู่
“ก็นายคนนี้เป็นคนมาขอโทษฉัน เพราะเพื่อนของหมอนี่ดันเตะบอลใส่ฉันน่ะสิ” อัยย์รีบแจกแจงด้วยความละคายใจ ก็ไม่ใช่เพราะลูกบอลนั่นเธอคงไม่ถูกเพื่อนสนิทด่าเธอเพี้ยนพิลึกอย่างนี้รึไง
“อ้าว คุณที่เพื่อนผมเตะบอลใส่ ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ” รัตน์ทักกลับแขกที่กำลังเดินเข้ามาหาอย่างรู้ทัน
“เขาทักแกแน่ะอัยย์” นีกระซิบให้อัยย์รีบตอบกับหนุ่มตรงหน้า ที่รู้สึกว่าเธอจะหลงความหล่อของเขาเข้าเต็มเปา
“ฉัน” อัยย์หันหน้าไปตอบนีเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาหาคนตรงหน้าที่ดูจะโทรมกว่าตอนที่เจอกันตอนเย็น
“เพื่อนฉันชื่ออัยย์ค่ะ ฉันชื่อ นี ยินดีที่ได้รู้จักคุณ...” นีรีบแทรกตัวไปแนะนำตัวกับนายรัตน์ที่กำลังสนใจกับ อัยย์อยู่
“อ่อครับ ผมรัตน์ครับ” รัตน์ตอบอย่างเรียบๆ ก่อนที่นีจะเปิดบทสนทนา
“เธอนี่ไวจริงนะนี” อัยย์บ่นอยู่หลังนี ก่อนจะหันสายตาไปสนใจกับคนๆนึงที่ยืนพิงกำแพงอยู่ถัดไปจากรัตน์
เก๊กจริงนะ อัยย์คิดในใจ ทันใดนั้นสายตาที่ดูน่ากลัวก็หันขวับมาที่เธอจากชายที่ยืนพิงกำแพง
“อัยย์ ฉันได้เบอร์พี่รัตน์มาแล้วนะ แกจะเอาไหม” นีเดินถือโทรศัพท์มา ก่อนจะหันกลับไปมองรัตน์ที่วิ่งหายไปในสายฝน
“หา ! นี่ยังไม่ถึงสิบนาทีแกก็.... เฮ้ออ” อัยย์ถอนหายใจก่อนจะต่อบทพูด “แกเก็บไว้เถอะ”
“แล้วว่าไง นายคนหัวกระเซิงเสื้อกันหนาวสีดำนั่นอยากได้เบอร์มะ” คำพูดของนีทำเอาอัยย์รีบละสายตาจากคนชุดดำนั่น ก่อนจะรีบตัดบทสนล้อเรียนของนี
“ชุดดำนั่นอย่างกับจะไปงานศพใครงั้นแหละ” อัยย์ตอบด้วยท่าทีหงุดหงิด
“จะเอาไหมล่ะ ฉันขอให้ได้นะ” นียังเล่นไม่เลิก
“บ้าหรอนี่ เธอก็นะ” อัยย์รีบเดินไปหลบอีกฟากหนึ่งของหน้าห้องสมุด ปล่อยให้นีเป็นฝ่ายเดินตามมาเอง
เอี๊ยด ! ตูม !
เสียงโลหะกระแทกกับอะไรสักอย่างท่ามกลางสายฝนหน้าหอสมุดที่อัยย์และนีกำลังยืนคุยกันอยู่
“อะไร” อัยย์รีบหันกลับไปยังต้นเสียงด้วยความสงสัย
“หมอนั่น” อัยย์ยังไม่ละสายตาจากเหตุที่เกิดตรงหน้า ก่อนที่จะวิ่งแหวกสายฝนตรงไปยังเหตุการณ์นั้น
“นี่คุณเป็นอะไรไหม” อัยย์ที่กำลังพยายามเรียกสติชายชุดดำซึ่งกำลังนอนแน่นิ่งอยู่กลางถนน และนีที่กำลัง เดินตามมานั้นกำลังกดโทรศัพท์เพื่อเรียกรถพยาบาล
“ฉันไม่เป็นไร” ทันทีที่สติกลับมา ชายชุดดำที่กำลังนอนก็ลุกพรวดขึ้นอย่างไว ก่อนจะหันไปมองรถต้นเหตุที่ยังหยุดแน่นิ่งอยู่กลางถนนที่ไม่มีแม้ใครจะออกมา ไฟที่ฉายออกมาจากหน้ารถส่องกระทบกับมือของเขาที่ดูบิดงอผิดรูปกับเลือดซึ่งไหลลินออกมาจากนิ้วที่ยาวเข้าไปในเสื้อกันหนาว
“ฉันว่ารีบไปโรงพยา...” อัยย์พยายามเรียกชายตรงหน้าที่กำลังเดินขึ้นไปเหยีบกระโปงหน้าของรถ
“กรี๊ด !” เสียงร้องของนีที่ล้มทั้งยืนมือข้างหนึ่งปิดตาอีกข้างกำลังชี้ไปยังอะไรบางอย่างที่กองอยู่กลางถนนดูไม่เป็นรูป ก่อนจะมองเห็นว่านั่นเป็นเด็กร่างเล็กร่างหนึ่งนอนบิดรูปไม่สมประกอบดวงตาเบิกโพรง ขาและแขนที่ดูผิดปกติ เลือดที่ไหลนองกำลังถูกสายฝนชะล้างออกไป แต่กลิ่นคาวเลือดที่ยังโชยมาแตะจมูกอัยย์ซึ่งกำลังตกอยู่ในสถาณการณ์ที่พะอืดพะอมพอๆกับนี ที่กำลังนั่งสั่นอยู่บนพื้นผิดที่ ไม่มีคนอื่นนอกจากเธอทั้งสองและเขาอีกหนึ่งคนอยู่ในเหตุการณ์ตอนนี้
เพล้ง! เสียงกระจกแตกดังขึ้นจากหน้ารถชายชุดดำ เขานั้นกำลังกระทืบกระจกหน้ารถออกเป็นเสี่ยงๆ ปรากฏให้เห็นชายคนหนึ่งที่เป็นคนขับรถกำลังคอพิงประตูหมดสติอยู่ในสภาพเสมือนคนตาย
“ตายแล้ว” เป็นคำพูดจากชายชุดดำที่กำลังลงจากกระโปงรถที่ไม่มีกระจกหน้า เห็นชัดถึงสภาพภายในรถที่ดูเก่าๆ
“เรียกรถพยาบาลกับตำรวจซะ แล้วจะไปไหนก็ไป” เขามองอัยย์ที่กำลังนั่งกุมหน้าอกอยู่นั้น ให้ทำตามคำสั่งก่อนจะหันไปมองนีที่กำลังร้องไห้กับเรื่องตรงหน้าเธอ
“ขอยืมหน่อยแล้วกัน” เขาเดินไปหยิบโทรศัพท์นีที่ตกอยู่บนพื้นที่เปียกน้ำปอนด้วยน้ำฝน แต่สภาพยังคงพอที่จะโทรไปไหนได้อยู่
“ผมคงต้องเชิญคุณทั้งสามไปโรงพักนะครับ” ในโรงพยาบาลนายตำรวจคนหนึ่งยืนอยู่หน้าคนสามคน คนหนึ่งเป็นผู้ชาย ในชุดนักเรียนที่ติดคราบเลือดที่แขนเสื้อและผ้าพันแผลตั้งแต่ข้อมือไปจนนิ้มมือ อีกสองคนเป็นผู้หญิงดวงตาของเธอทั้งสองดูท่าหวาดผวา ดูเหมือนคนสิ้นหวังกับอะไรที่เธอเพิ่งเจอมา
“ผมคนเดียวก็พอ” หนุ่มชุดนักเรียน เอ่ยตอบนายตำรวจที่ยืนอยู่
“ทางเราต้องการข้อมูลมากที่สุดเท่าที่หาได้ครับ” นายตำรวจยืนยันคำเดิมท่าที่เคร่งกว่าเดิม
“ถ้าอยากได้ข้อมูลตะกุกตะกักนักก็เชิญผมเองก็ไม่คิดว่าผู้หญิงเสียขวัญจะกล้าอ้าปากพูดมากความอะไรมากหรอก” พูดเสร็จก็พรางหันไปหาผู้หญิงทั้งสองที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง
“ถ้าไม่เป็นการรบกวน เชิญคุณตามผมมาด้วยครับ” นายตำรวจถอนใจก่อนจะ เดินนำชายหนุ่มหายไปยัง มุมหนึ่งของอาคาร
“นี เธอไม่เป็นอะไรมากนะ” อัยย์ถามนีที่ยืนสั่นอยู่ก่อนจะ ก้มลงมองนาฬิกา
“สั่นนี่หนาวหรอก อัยย์เธอไม่หนาวบ้างรึไงกัน” นีรีบแก้ตัวแล้วนั่งลงพิงเก้าอี้ที่อยู่ หน้าห้องฉุกเฉินก่อนจะเห็นอัยย์กำลังคุยโทรศัพท์กับใครคนหนึ่งก่อน
“ใครหรออัยย์”
“คงจะโทรมาแกล้งกัน แน่หละ คิดว่าผีที่ไหนเสียอีก”
“กลับกันเถอะ” นียืนขึ้นแล้วจับข้อมืออัยย์แน่นส่งสายตาที่ดูหวาดกลัวไปให้เธอ
“กลับ” อัยย์ตอบสั้นๆแล้วเดินนำนีไปด้วยท่าทีเฉยชาผิดปกติ
“ไม่รู้” คำยืนยันคำเดิมจากหนุ่มชุดนักเรียนที่มีบาดแผลที่แขนขวาที่ดูจากสีหน้าของเขาจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับมันเลย
“เด็กคนนั้นไม่ได้โดนรถเก๋งคันนั้นทับแต่เป็นคันอื่นแล้ว คุณสังเกตเห็นเด็กคนนั้นก็ตอนสภาพแบบนั้นแล้วหรือครับ” นายตำรวจทาเคร่งเครียดกับท่าทีน่ากลัวจากเด็กหนุ่มตรงหน้าที่กำลังให้ปากคำกับเขาอยู่
“ใช่” คำตอบสั้นๆคำเดียวจากเด็กหนุ่
ความคิดเห็น