ลำดับตอนที่ #310
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #310 : ธรรมนูญการปกครองเมืองดุสิตธานี
เมืองดุสิตธานี ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๑ นั้น
มีประชาชนของเมืองที่เรียกว่า ทวยนาคร คือผู้มีบ้านเรือนจดทะเบียนอยู่ในเขตต่างๆของเมือง
มี รัฐบาลที่เรียกว่า คณะนคราภิบาล
มีหัวหน้ารัฐบาล เรียกว่า นคราภิบาล
และที่สำคัญได้ทรงประสาท “ธรรมนูญลักษณปกครองคณะนคราภิบาล “เป็นสัญลักษณ์ของเมือง
ซึ่งทรงมีพระราชปรารภ เมื่อทรงประสาทธรรมนูญฯ นี้ตอนหนึ่งว่า
“ธรรมนูญลักษณปกครองคณะนคราภิบาลนี้ เป็นกำหนดอำนาจอันพระราชทานด่ชาวดุสิตธานี ให้มีเสียงแลโอกาสแสดงความเห็นในวิธีจัดการปกครองตนเองในกิจการบางอย่าง”
และในตอนท้ายพระราชปรารภว่า
“บัดนี้การตั้งพระราชธานี นับว่าจวนสำเร็จแล้ว ตามพระราชประสงค์สพรั่งพร้อมด้วยเคหะสถานและที่ทำการประกอบอาชีพต่างๆ สมควรจะมีธรรมนูญจัดการนคราภิบาลขึ้นไว้ เพื่อความไพศาลแห่งนคร จึงมีพระราชปกาสิตประสาทธรรมนูญจัดเป็นบทมาตราต่างๆ...”
ธรรมนูญการปกครองฯนี้ แรกทีเดียวมีอยู่ด้วยกัน ๑๐ หมวด ๕๑ มาตรา
ขอยกเพียงหมวดและมาตราที่สำคัญคือ
หมวดที่ ๑
มาตรา ๑ ให้เรียกบทบัญญัตินี้ว่า ธรรมนูญลักษณปกครองคณะนคราภิบาล ดุสิตธา พระพุทธศักราช ๒๔๖๑
มาตรา ๒ ธรรมนูญนี้ให้ใช้ทั่วไปใน จังหวัดดุสิตธานี ตั้งแต่วันประกาศนี้เป็นต้นไป
มาตรา ๓ บรรดากำหนดกฎข้อบังคับแต่ก่อนบทใดขัดต่อข้อความในธรรมนูญนี้ให้ยกเลิกเสีย ใช้ธรรมนูญนี้แทนสืบไป
...ฯลฯ...ฯลฯ...
หมวดที่ ๒
มาตรา ๖ คำว่า ‘นคราภิบาล’ นั้น ท่านให้เข้าใจว่า ผู้ซึ่งราษฎรในจังหวัดดุสิตธานี ผู้มีสิทธิตามธรรมนูญนี้ จะเลือกได้ ได้พร้อมใจกันเลือกตั้งขึ้น เป็นผู้ปกครอง ชั่วปีหนึ่งๆโดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุมัติ
...ฯลฯ...ฯลฯ...
หมวดที่ ๓
มาตรา ๘ ผู้ที่เป็นนคราภิบาลนั้น ท่านกำหนดอายุให้เป็นได้ชั่วปีเดียว เมื่อถึงกำหนดจะสิ้นปี ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ทุกปี
มาตรา ๙ ผู้ที่เป็นนคราภิบาลมาปี ๑ แล้วจะรับเลือกให้เป็นนคราภิบาลอีก ๑ ปีติดๆกันไม่ได้
หมวดที่ ๔
ว่าด้วยอำนาจแลหน้าที่ของนคราภิบาล
มาตรา ๒๑ เมื่อผู้ใดได้เป็นนคราภิบาลแล้ว ผู้นั้นมีอำนาจตามตามพระธรรมนูญนี้ทันที ในการที่จะเลือกตั้งคณะนคราภิบาล คือเจ้าหน้าที่ต่างๆ เช่นเจ้าพนักงานการคลัง เจ้าพนักงานโยธา นายแพทย์สุขาภิบาล ผู้รักษาความสะดวกของมหาชน (Inspector of Nuisances) เป็นต้น
คือแรกเริ่มให้นคราภิบาล (หรือหัวหน้ารัฐบาล) ซึ่งราษฎร (ทวยนาคร) เลือกตั้งโดยตรง มีอำนาจเลือกคณะนคราภิบาล (เทียบกับรัฐมนตรี นั่นเอง) ได้เอง
ทว่าต่อมาอีกเดือนเดียว ก็โปรดเกล้าฯให้มีพระราชกำหนดเพิ่มเติมและแก้ไขธรรมนูญลักษณะการปกครองฯฉบับ เดิม เพิ่มเติมแก้ไขขึ้นอีก ๔ หมวด ๒๒ มาตรา กำหนดให้มี เชษฐบุรุษ เป็นผู้แทนของทวยนาครในอำเภอนั้นๆ (คือเปรียบได้กับผู้แทนราษฎรในปัจจุบันนั่นเอง)
พระราชกำหนดเพิ่มเติมนี้ มีหมวดว่าด้วยตำแหน่ง และวิธีการเลือกไว้ในธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมฯ หมวดที่ ๒ ตามมาตราดังนี้
หมวดที่ ๒
มาตรา ๕ เชษฐบุรุษนั้นให้ทวยนาครที่เป็นเจ้าบ้านสมมติและเลือกคหบดีนายบ้านผู้มีอายุ เป็นที่นับถือ ในเขตอำเภอที่ตนตั้งบ้านเรือนอยู่นั้นอำเภอละคน เพื่อเป็นผู้แทนทวยนาครในอำเภอนั้น เข้าไปนั่งในสภากรรมการนคราภิบาล
นอกจากนี้ยังกำหนดไว้ในมาตรา ๑๙ หมวดที่ ๓ ธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมฯนี้อีกว่า ผู้ที่จะรับสมมติเป็นนคราภิบาล (หัวหน้ารัฐบาล) ต้องเป็นเชษฐบุรุษอยู่แล้วด้วย
คือยกเลิกจากการที่ให้ทวยนาคร หรือประชาชนเลือกนคราภิบาลโดยตรง เป็นให้เลือกเชษฐบุรุษก่อน แล้วให้เชษฐบุรุษเลือกนคราภิบาล นคราภิบาลตั้งคณะนคราภิบาล โดยมีบรรดาเชษฐบุรุษ ผู้แทนราษฎร?) นั่งอยู่ในสภากรรมการนคราภิบาล
จะเห็นได้ว่า “ธรรมนูญลักษณะปกครองคณะนคราภิบาลดุสิตธานี” ว่าไปแล้วก็คงจะเป็นต้นเค้าของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๔๗๕ ที่คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองช่วยกันร่างขึ้น แล้วขอพรราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นเอง
‘เวียงวัง’ ตอนนี้ เล่าเรื่อง ‘ธรรมนูญลักษณะปกครองฯ’ ของเมืองดุสิตธานี ซึ่งออกจะเป็นเรื่องค่อนข้างหนัก จึงเล่าแต่เพียงสั้นๆ เพราะอาจหาเรื่องราวโดยละเอียดอ่านได้ไม่ยากนัก ขอบรรยายด้วยภาพหลายๆภาพ อันเกี่ยวกับ ‘ธรรมนูญฯ’ เมืองดุสิตธานี และ ‘รัฐธรรมนูญ’ ของประเทศไทย ในเวลาอีก ๑๔ ปีต่อมา
มีประชาชนของเมืองที่เรียกว่า ทวยนาคร คือผู้มีบ้านเรือนจดทะเบียนอยู่ในเขตต่างๆของเมือง
มี รัฐบาลที่เรียกว่า คณะนคราภิบาล
มีหัวหน้ารัฐบาล เรียกว่า นคราภิบาล
และที่สำคัญได้ทรงประสาท “ธรรมนูญลักษณปกครองคณะนคราภิบาล “เป็นสัญลักษณ์ของเมือง
ซึ่งทรงมีพระราชปรารภ เมื่อทรงประสาทธรรมนูญฯ นี้ตอนหนึ่งว่า
“ธรรมนูญลักษณปกครองคณะนคราภิบาลนี้ เป็นกำหนดอำนาจอันพระราชทานด่ชาวดุสิตธานี ให้มีเสียงแลโอกาสแสดงความเห็นในวิธีจัดการปกครองตนเองในกิจการบางอย่าง”
และในตอนท้ายพระราชปรารภว่า
“บัดนี้การตั้งพระราชธานี นับว่าจวนสำเร็จแล้ว ตามพระราชประสงค์สพรั่งพร้อมด้วยเคหะสถานและที่ทำการประกอบอาชีพต่างๆ สมควรจะมีธรรมนูญจัดการนคราภิบาลขึ้นไว้ เพื่อความไพศาลแห่งนคร จึงมีพระราชปกาสิตประสาทธรรมนูญจัดเป็นบทมาตราต่างๆ...”
ธรรมนูญการปกครองฯนี้ แรกทีเดียวมีอยู่ด้วยกัน ๑๐ หมวด ๕๑ มาตรา
ขอยกเพียงหมวดและมาตราที่สำคัญคือ
หมวดที่ ๑
มาตรา ๑ ให้เรียกบทบัญญัตินี้ว่า ธรรมนูญลักษณปกครองคณะนคราภิบาล ดุสิตธา พระพุทธศักราช ๒๔๖๑
มาตรา ๒ ธรรมนูญนี้ให้ใช้ทั่วไปใน จังหวัดดุสิตธานี ตั้งแต่วันประกาศนี้เป็นต้นไป
มาตรา ๓ บรรดากำหนดกฎข้อบังคับแต่ก่อนบทใดขัดต่อข้อความในธรรมนูญนี้ให้ยกเลิกเสีย ใช้ธรรมนูญนี้แทนสืบไป
...ฯลฯ...ฯลฯ...
หมวดที่ ๒
มาตรา ๖ คำว่า ‘นคราภิบาล’ นั้น ท่านให้เข้าใจว่า ผู้ซึ่งราษฎรในจังหวัดดุสิตธานี ผู้มีสิทธิตามธรรมนูญนี้ จะเลือกได้ ได้พร้อมใจกันเลือกตั้งขึ้น เป็นผู้ปกครอง ชั่วปีหนึ่งๆโดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุมัติ
...ฯลฯ...ฯลฯ...
หมวดที่ ๓
มาตรา ๘ ผู้ที่เป็นนคราภิบาลนั้น ท่านกำหนดอายุให้เป็นได้ชั่วปีเดียว เมื่อถึงกำหนดจะสิ้นปี ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ทุกปี
มาตรา ๙ ผู้ที่เป็นนคราภิบาลมาปี ๑ แล้วจะรับเลือกให้เป็นนคราภิบาลอีก ๑ ปีติดๆกันไม่ได้
หมวดที่ ๔
ว่าด้วยอำนาจแลหน้าที่ของนคราภิบาล
มาตรา ๒๑ เมื่อผู้ใดได้เป็นนคราภิบาลแล้ว ผู้นั้นมีอำนาจตามตามพระธรรมนูญนี้ทันที ในการที่จะเลือกตั้งคณะนคราภิบาล คือเจ้าหน้าที่ต่างๆ เช่นเจ้าพนักงานการคลัง เจ้าพนักงานโยธา นายแพทย์สุขาภิบาล ผู้รักษาความสะดวกของมหาชน (Inspector of Nuisances) เป็นต้น
คือแรกเริ่มให้นคราภิบาล (หรือหัวหน้ารัฐบาล) ซึ่งราษฎร (ทวยนาคร) เลือกตั้งโดยตรง มีอำนาจเลือกคณะนคราภิบาล (เทียบกับรัฐมนตรี นั่นเอง) ได้เอง
ทว่าต่อมาอีกเดือนเดียว ก็โปรดเกล้าฯให้มีพระราชกำหนดเพิ่มเติมและแก้ไขธรรมนูญลักษณะการปกครองฯฉบับ เดิม เพิ่มเติมแก้ไขขึ้นอีก ๔ หมวด ๒๒ มาตรา กำหนดให้มี เชษฐบุรุษ เป็นผู้แทนของทวยนาครในอำเภอนั้นๆ (คือเปรียบได้กับผู้แทนราษฎรในปัจจุบันนั่นเอง)
พระราชกำหนดเพิ่มเติมนี้ มีหมวดว่าด้วยตำแหน่ง และวิธีการเลือกไว้ในธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมฯ หมวดที่ ๒ ตามมาตราดังนี้
หมวดที่ ๒
มาตรา ๕ เชษฐบุรุษนั้นให้ทวยนาครที่เป็นเจ้าบ้านสมมติและเลือกคหบดีนายบ้านผู้มีอายุ เป็นที่นับถือ ในเขตอำเภอที่ตนตั้งบ้านเรือนอยู่นั้นอำเภอละคน เพื่อเป็นผู้แทนทวยนาครในอำเภอนั้น เข้าไปนั่งในสภากรรมการนคราภิบาล
นอกจากนี้ยังกำหนดไว้ในมาตรา ๑๙ หมวดที่ ๓ ธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมฯนี้อีกว่า ผู้ที่จะรับสมมติเป็นนคราภิบาล (หัวหน้ารัฐบาล) ต้องเป็นเชษฐบุรุษอยู่แล้วด้วย
คือยกเลิกจากการที่ให้ทวยนาคร หรือประชาชนเลือกนคราภิบาลโดยตรง เป็นให้เลือกเชษฐบุรุษก่อน แล้วให้เชษฐบุรุษเลือกนคราภิบาล นคราภิบาลตั้งคณะนคราภิบาล โดยมีบรรดาเชษฐบุรุษ ผู้แทนราษฎร?) นั่งอยู่ในสภากรรมการนคราภิบาล
จะเห็นได้ว่า “ธรรมนูญลักษณะปกครองคณะนคราภิบาลดุสิตธานี” ว่าไปแล้วก็คงจะเป็นต้นเค้าของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๔๗๕ ที่คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองช่วยกันร่างขึ้น แล้วขอพรราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นเอง
‘เวียงวัง’ ตอนนี้ เล่าเรื่อง ‘ธรรมนูญลักษณะปกครองฯ’ ของเมืองดุสิตธานี ซึ่งออกจะเป็นเรื่องค่อนข้างหนัก จึงเล่าแต่เพียงสั้นๆ เพราะอาจหาเรื่องราวโดยละเอียดอ่านได้ไม่ยากนัก ขอบรรยายด้วยภาพหลายๆภาพ อันเกี่ยวกับ ‘ธรรมนูญฯ’ เมืองดุสิตธานี และ ‘รัฐธรรมนูญ’ ของประเทศไทย ในเวลาอีก ๑๔ ปีต่อมา
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น