คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #199 : ราชนิเวศนานุบาลฝ่ายใน
รัชสมัยรัชกาลที่ ๓ มีอยู่ ๓ ท่าน คือ
๑. เจ้าคุณหญิงต่าย เรียกกันว่า ‘เจ้าคุณปราสาท’
๒. ท้าววรจันทร์ (เจ้าจอมมารดาอิ่ม พระสนมเอกในรัชกาลที่ ๑)
๓. ท้าวศรีสัจจา (มิ) หรือในหนังสือราชินิกุล รัชกาลที่ ๓ ว่า ชื่อ ‘ลิ้ม’ เรียกกันในพวกชาววังว่า ‘เจ้าคุณประตูดิน’
ตั้งแต่ต้นๆรัตนโกสินทร์ ผู้ที่โปรดฯให้เป็นราชนิเวศนานุบาลฝ่ายในนั้น มันเป็นพวกราชินิกุล คือพระญาติพระวงศ์ฝ่ายสมเด็จพระพันปีหลวง และหรือผู้ใหญ่ชั้นเจ้าจอมมารดา พระสนมเอกในรัชกาลก่อนๆ ซึ่งมักเป็นธิดาของเสนาบดีหรือขุนนางสำคัญๆ
เจ้าคุณปราสาท นั้น เปรียบเสมือนผู้บัญชาการบังคับการทั่วไปในพระราชฐาน มีตำแหน่งสูงกว่าผู้อื่น ทว่าบทบาทของท่านไม่ทำให้ชาววังกลัวเท่าท้าวศรีสัจจาและท้าววรจันทร์
ตั้งแต่รัชกาลที่ ๒ เป็นต้นมา เมื่อเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทรงยกย่องพระญาติวงศ์ฝ่ายสมเด็จพระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง โดยเฉพาะเชื้อสายของเจ้าคุณหญิงนวล ที่เรียกกันในขณะนั้นว่า เจ้าคุณโต พระน้านางของพระองค์ โดยเหตุที่เจ้าคุณหญิงนวลได้เป็นผู้อภิบาลพระองค์มาแต่ยังทรงพระเยาว์ ตั้งแต่เจ้าคุณหญิงนวลยังไม่ได้สมรสกับเจ้าพระยามหาเสนา (บุนนาค)
ในรัชกาลที่ ๒ พระญาติวงศ์ฝ่ายสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี (หรือสมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์ในขณะนั้น) จึงได้เข้ามาเป็นใหญ่ในวังลดความสำคัญของเจ้าจอมมารดาแว่น หรือคุณเสือ ‘เจ้าคุณข้างใน’ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ลงไป
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ โปรดฯสถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราช ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งพระบัณฑูรน้อยอยู่แล้ว ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)
จึงโปรดฯให้เจ้าคุณหญิงนุ่น ธิดาคนใหญ่ของเจ้าคุณหญิงนวล เข้ามาเป็นผู้บัญชาการดูแล พระราชวังหลวง ชาววังเรียกกันว่า ‘เจ้าคุณวังหลวง’
และโปรดฯให้เจ้าคุณหญิงคุ้ม ธิดาคนรองจากเจ้าคุณหญิงนุ่น ขึ้นไปเป็นผู้บัญชาการดูแลพระราชวังบวรฯ ชาววังเรียกกันว่า ‘เจ้าคุณวังหน้า’
ถึงรัชกาลที่ ๓ เมื่อเจ้าคุณหญิงนุ่น ถึงแก่อสัญกรรม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ จึงโปรดฯให้เจ้าคุณหญิงต่าย ธิดาคนที่ ๓ น้องสาวรองจากเจ้าคุณหญิงคุ้ม ซึ่งเมื่อในรัชกาลที่ ๒ อยู่กับสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพวดี ณ พระที่นั่งพิมานรัตยา กลุ่มพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท (ออกพระนามกันว่าทูลกระหม่อมปราสาท) จึงเรียกกันว่า ‘เจ้าคุณปราสาท’ เรื่อยมานั้น รับช่วงเป็นผู้บัญชาการดูแลพระราชฐานชั้นในต่อไป
ราชนิเวศนานุบาลอีก ๒ ท่าน คือ ท้าววรจันทร์และท้าวศรีสัจจา นั้น ว่ากันถึงตำแหน่งหน้าที่ของท่านก่อน
ท้าววรจันทร์ และท้าวศรีสัจจา เป็นตำแหน่งท้าวนาง ซึ่งท่านเปรียบเทียบเอาไว้ว่า
ท้าววรจันทร์เท่ากับเป็นหัวหน้าท้าวนาง เทียบกับข้าราชการฝ่ายหน้า ก็เปรียบเสมือนสมุหนายก
ส่วนอีก ๔ ท้าวนางรองลงไป เทียบกับฝ่ายหน้า เปรียบเสมือนจตุสดมภ์ คือ
๑. ท้าวสมศักดิ์
๒. ท้าวอินทรสุริยา
๓. ท้าวศรีสัจจา
๔. ท้าวโสภานิเวศ
ท้าววรจันทร์ มีศักดินา ๑,๐๐๐ ไร่
ส่วนอีก ๔ ท้าวนาง ศักดินา ๘๐๐ ไร่
ท่านแจกแจงหน้าที่เอาไว้ว่า
ท้าววรจันทร์ มีหน้าที่พิทักษ์รักษาบังคับบัญชาดูแลพระสนมกำนัลทุกชั้น มีทั้งงานประจำและงานในพระราชพิธีพิเศษต่างๆ
ท้าวสมศักดิ์ ว่าการพนักงานทั้งปวง เช่น เครื่องนมัสการ ดูแลหอพระ ฯลฯ
ท้าวอินทรสุริยา ว่าห้องเครื่องวิเศษ
ท้าวศรีสัจจา ว่าการโขลน ควบคุมประตูวัง และการอารักขาทั้งปวง
ท้าวโสภานิเวศ มักเป็นตำแหน่งลอยๆ ช่วยในกองบัญชาการของท้าววรจันทร์
นอกจากท้าววรจันทร์และท้าวนางทั้ง ๔ แล้วยังมีท้าวนางสำคัญอีกท่านหนึ่ง คือ ท้าวทรงกันดาล เป็นผู้บังคับบัญชาพระคลังใน มี ท้าวภัณฑสาร เป็นผู้ช่วย
ตำแหน่งท้าวทรงกันดาลนี้ แต่ก่อนมาเป็นตำแหน่งต่ำกว่าท้าว ‘จตุสดมภ์’ ทว่าต่อมาในสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ โปรดฯให้ผู้สูงศักดิ์เป็นท้าวทรงกันดาล โปรดฯพระราชทานเกียรติยศ และยกย่องเสมอท้าววรจันทร์ เช่น ท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) ในสมัยกรุงธนบุรี ที่เรียกกันว่า ‘เจ้าคุณใหญ่’ เป็นต้น
สำหรับ ‘ราชนิเวศนานุบาล’ นั้น ว่าตามภาษาสมัยใหม่ ก็ต้องว่า เป็นอีกหน่วยงานหนึ่ง
นอกจากผู้ดูแลการหรือหัวหน้าหน่วยงาน ซึ่งในรัชกาลที่ ๓ คือเจ้าคุณปราสาทแล้ว
อีกสองท่านทรงตั้งจากท้าวนางผู้ใหญ่ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบอยู่แล้ว ทว่าเน้นให้มีอำนาจสิทธิ์ขาดยิ่งขึ้น
คือ ท้าววรจันทร์ บังคับบัญชาดูแลพระสนมกำนัลทุกชั้น
ในรัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯให้เจ้าจอมมารดาอิ่ม พระสนมเอกในรัชกาลที่ ๑ ซึ่งเป็นท้าววรจันทร์อยู่แล้วให้เป็น ๑ ในราชนิเวศนานุบาลฝ่ายใน
เจ้าจอมมารดาอิ่ม เป็นธิดาของเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ (กุน ที่เรียกกันว่า จีนกุน) เมื่อในรัชกาลที่ ๑ เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ เป็นพระยาพระคลังถึงรัชกาลที่ ๒ จึงเลื่อนเป็นเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ ที่สมุหนายก
เจ้าจอมมารดา พระสนมเอกในรัชกาลที่ ๔ แต่งชุดทหารสก๊อต ตามเสด็จประพาสต่างจังหวัด |
เจ้าจอมมารดาอิ่มเป็นธิดาคนที่ ๒ ได้เป็นท้าววรจันทร์ แต่ในรัชกาลที่ ๒ มีพระองค์เจ้าหญิงพระองค์หนึ่ง พระนาม พระองค์เจ้าสุมาลี สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๒
ส่วนท้าวศรีสัจจา (มิ) ประวัติค่อนข้างเลือนราง ด้วยท่านผู้นี้มิได้เป็นเจ้าจอมหรือเจ้าจอมมารดามาก่อน
ทว่าเป็นที่รู้และเล่ากันว่า ท้าวศรีสัจจา (มิ) ผู้นี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดปรานและไว้วางพระราชหฤทัยมาก ฝ่ายท้าวศรีสัจจาก็ถวายความจงรักภักดีในพระองค์ ไม่ว่าจะเสด็จบรรทมพระวิมานพระที่นั่งองค์ใด ท้าวศรีสัจจาจะต้องไปนอนเฝ้าอยู่หน้าพระทวาร พร้อมด้วยโขลนอีกสองคน โดยเฉพาะเมื่อเสด็จประทับ ณ พระที่นั่งพิมานรัตยา เป็นที่ทราบกันทั่วๆไปถึงความรักความภักดีนี้
เมื่อถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ จึงโปรดฯให้ปั้นรูปท้าวศรีสัจจา (มิ) กับโขลนสองนางเป็นอนุสรณ์ไว้ใต้ซุ้มริมผนังมุขกระสันด้านเหนือระหว่างบันไดที่ขึ้นสู่พระที่นั่งดุสิตด้านใต้ เป็นอนุสรณ์ถึงท้าวศรีสัจจา ผู้นี้
สันนิษฐานกันว่า ท้าวศรีสัจจา (มิ) เห็นจะเป็นคนเดียวกันกับท้าวศรีสัจจา (ลิ้ม) ที่ปรากฏชื่ออยู่ในราชินิกุล รัชกาลที่ ๓
ด้วยเหตุผลว่า ได้เป็นท้าวศรีสัจจาในรัชกาลที่ ๓ ประการหนึ่ง และผู้ที่จะใกล้ชิดพระองค์จนเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง น่าจะเป็นพระญาติพระวงศ์มากกว่าคนอื่นๆ ประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่งอันเป็นประการสำคัญ คือท้าวศรีสัจจาซี่งในหนังสือราชินิกุล ร.๓ จดไว้ว่าชื่อ ‘ลิ้ม’ นั้น เป็นบุตรีของพระนมรอด พระนมรอดเป็นน้องสาวสุดท้องของ พระชนนีเพ็ง พูดง่ายๆว่าเป็นน้าของสมเด็จพระศรีสุลาลัย พระพันปีหลวงของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เมื่อสมเด็จพระศรีสุลาลัย ประสูติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ พระนมรอด แม้จะมีศักดิ์เป็นยายน้อยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทว่าคงจะยังสาว จึงเพิ่งคลอดบุตรีคนที่ ๒ คือ ท้าวศรีสัจจา (ลิ้ม) พระนมรอดจึงได้เป็นพระนมถวายน้ำนมแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯด้วย ท้าวศรีสัจจา (ลิ้ม) จึงเป็นทั้งพระญาติ และเป็นทั้งผู้ดื่มนมร่วมเต้าในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ
ทั้งหมดนี้ดูสมเหตุสมผลเสียเหลือเกิน ที่ท้าวศรีสัจจาที่ว่าชื่อเดิม ‘มิ’ นั้น แท้จริงก็คือท้าวศรีสัจจาคนเดียวกันกับที่หนังสือราชินิกุล ร.๓ จดไว้ว่า ‘ลิ้ม’ นั่นเอง
เรื่องชื่อผิดชื่อเพี้ยนของคนโบราณ ซึ่งผู้ฟังผู้จด เล่ากันจดกันต่อๆมานั้นมีอยู่เสมอ โดยเฉพาะหนังสือราชินิกุล ร.๓ สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุขฯ ผู้ทรงรวบรวบและทรงพระนิพนธ์ ก็ทรงรับว่าอาจมีคลาดเคลื่อนบ้าง เพราะทรงฟังจากคำบอกเล่าของคนเก่าๆสืบต่อๆกันมา
แต่ตามความเห็นส่วนตัวของผู้เล่า เห็นว่า ‘มิ’ น่าจะถูกต้องกว่า ‘ลิ้ม’ เพราะพระนมรอด ท่านเป็นลูกสาวแขก (พระยาราชวังสัน) ส่วนสามีของท่านคือพระยาศรีสรราช ก็ไม่ปรากฏว่ามีเชื้อสายจีน ‘ลิ้ม’ ฟังดูเป็นจีนๆ ชื่อ ‘มิ’ น่าจะสมกับเทือกเถาเหล่ากอของพระนมรอดมากกว่า
ความคิดเห็น