ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เวียงวัง

    ลำดับตอนที่ #124 : จีนกั๊ก เล่าเรื่องเมืองบาหลี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 389
      0
      11 เม.ย. 53

    จีนกั๊กแกไปค้าขายกับบาหลี เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๘ ปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๓ (ครองราชย์ พ.ศ.๒๓๖๗-๒๓๙๔)

                ส่วนนายจาดดูเหมือนแกจะไปเที่ยวเมืองพม่าในต้นสมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ.๒๔๑๖ (ครองราชย์ พ.ศ.๒๔๑๑-๒๔๕๓)

                ทั้งสองคนบังเอิญไปรู้เห็นเรื่องวิลันดา (เนเทอร์แลนด์) ยกกองเรือเข้าโจมตีเพื่อยึดบาหลีและรู้เห็นเรื่องอังกฤษรบกับพม่า

                จีนกั๊กแกเล่าว่า เมื่อสำเภาไปถึงเมืองบาหลี แกอยู่จนขายสินค้าหมดแล้ว แต่ยังได้เงินไม่หมด พร้อมกันนั้นแกกับลูกเรือก็หาซื้อสินค้าเช่น กาแฟ ยาสูบ เพื่อนำกลับไปขาย การซื้อสินค้านั้นต้องใช้เวลารวบรวมซื้อจากแหล่งต่างๆ แกจึงตกอยู่ในเมืองบาหลีหลายเดือน

    สำเภาจีน

    สำเภายุโรป

                ขณะจอดเรือรอขนสินค้าที่พักไว้ในโกดังห้างกะปิตัน ก็มีกำปั่นไฟลำหนึ่ง กำปั่นติดปืนลำหนึ่ง เข้ามาทอดสมอลงที่อ่าว ลำหนึ่งจอดชิดกับเรือสำเภาของแก จีนกั๊กจึงรีบลงเรือเล็ก เอาสุกร ๒ ตัว เป็ด ๖ ตัวไปเป็นของกำนัล ขึ้นไปหาทหารนายเรือ เมื่อนายทหารรู้ว่ามาจากกรุงเทพพระมหานคร ก็ถามว่า ไม่รู้หรือว่าพวกเราจะมาตีเมืองบาหลี เพราะได้มีหนังสือบอกไปยังเมืองใหม่ (คือเมืองสิงคโปร์) ว่าอย่าให้พ่อค้ามาค้าขายเมืองบาหลี แล้วว่าถ้ากองเรือมาถึงพร้อมก็จะตีบาหลีภายในสามวัน จึงให้จีนกั๊กเร่งทวงเงินที่ยังค้างอยู่ เร่งขนสินค้าให้เสร็จภายใน ๒ วัน แล้วให้กลับไป

                วันรุ่งขึ้น กองเรือก็มาถึง ๒๔-๒๕ ลำ จีนกั๊กก็ลงเรือไปหานายทหารอีก บอกว่า ยังไม่เสร็จ ขอทุเลาเลื่อนไปสัก ๓ วัน ตรงนี้สำคัญ จีนกั๊กแกเล่าว่า นายทหารจึงว่าข้าพเจ้า (คือตัวจีนกั๊ก) เป็นลูกค้า (พ่อค้า) กรุงเทพพระมหานครจึงจะงดให้อีก ๓ วัน ถ้าถึง ๓ วันแล้ว เราจะยิงสนามเพลาะเมืองบาหลีให้ทลายให้สิ้น จะมาทุเลาอีกนั้นไม่ได้แล้ว

                ตอนนี้จีนกั๊กแกเล่าละเอียดละออ ถึงเรื่องการเตรียมต่อสู้ของชาวบาหลี ซึ่งทำสนามเพลาะตามชายทะเลด้วยวิธีถอนต้นข้าวให้นามากองเป็นคันสูง ๓ ศอก ทำเป็นปีกกาออกไปสองข้างข้างละ ๒ เส้นเศษ แล้วขุดหลุมเป็นฟันปลาเบื้องหลังประมาณ ๓๐๐ หลุม เอาชายฉกรรจ์ไว้ต่อสู้ประมาณ ๓,๐๐๐ นอกนั้นให้อพยพขึ้นไปอยู่บนเนินเขา ฝ่ายทหารวิลันดานั้น ทั้งยิงปืนใหญ่จากกำปั่นไฟ ทั้งลงเรือเล็กเข้าไปขึ้นฝั่งบุกพวกบาหลี จีนกั๊กแกว่า ต่างฝ่ายต่างวิ่งเข้ายิงกันฟันแทงกัน แกอยู่บนเรือส่องกล้องดูเห็นทหารวิลันดาล้มตายเป็นอันมาก พากันวิ่งหนีลงเรือเล็ก แต่ต่อไปจะเป็นอย่างไรแกไม่รู้ เพราะตัดสินใจปรึกษากับพวกลูกเรือแล้ว เห็นว่าบ้านเมืองเขารบกันอย่างนี้ อย่าอยู่ต่อไปดีกว่า แกจึงนำเรือกลับ

                ระหว่างอยู่ในบาหลี จีนกั๊กแกเล่าเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีแปลกๆ หลายอย่าง เช่นเมื่อสามีตาย ภรรยาสมัครจะตายตามสามีไปก็ได้ โดยบอกไปยังเจ้าเมืองว่าจะขอตายตามสามี แต่ผู้หญิงที่จะตายตามสามีได้นั้น เฉพาะเพียงภรรยาเจ้าเมืองปลัดเมือง และพวกข้าราชการ หญิงภรรยาไพร่บ้านพลเมืองนั้น ไม่ต้องตายตามสามี สามีตายแล้วจะมีสามีใหม่ก็ได้ ส่วนภรรยาเจ้าเมืองปลัดเมือง ฯลฯ หากไม่ตายตามสามี จะมีสามีใหม่ไม่ได้เป็นอันขาด ไม่ว่าจะมีลูกหรือไม่มีลูก หากขึ้นมีสามีใหม่ ญาติทางสามีที่ตายไปแล้วนั้นฟ้องเจ้าเมือง ก็จะถูกทำโทษถึงฆ่าหรือขายไป สุดแล้วแต่

                จีนกั๊กเล่าถึงพิธีนี้ว่า

                 ภรรยาที่จะตายด้วยผัวนั้นนุ่งขาวห่มขาวไปถึงที่เผาศพ เป็นที่ว่างเปล่า แล้วพูนดินขึ้นสูงศอกเศษ รื้อเอาเครื่องศพที่หามแห่มาทำพื้น (คือเผาศพสามีบนพูนดินนั้น) ส่วนที่จะเผาภรรยาพร้อมกัน ขุดเป็นหลุมเคียงข้างกันจุลลดาฯ) ขุดหลุดเคียงที่เผาศพยาว ๔ ศอก กว้าง ๔ ศอก ลึก ๓ ศอก เอาไม้ไผ่พันผ้าชุบน้ำมันมะพร้าวใส่หลุมไว้ให้เต็มหลุม แล้วผู้ที่จะตายนั้นมีหนังสือไปบอกเจ้าเมืองว่าจะขอตายด้วยผัว เจ้าเมืองมีหนังสือห้ามมาว่า เขาตายแล้วก็แล้วไปเถิดอย่าตายตามเขาเลย ครั้ง ๑ สองครั้ง หญิงผู้จะตายนั้นไม่ฟังจึงมีหนังสือไปบอกอีกครั้ง ๑ รวมเป็น ๓ ครั้ง เจ้าเมืองจึงมีหนังสือมาว่า ห้ามไม่ฟังแล้ว มีน้ำใจรักใคร่ผัว จะตายกับผัวได้ก็ตายเถิด คนนุ่งขาวห่มขาวเหมือนพราหมณ์ ๔ คน จึงเอาไฟจุดเผาศพผู้ตายก่อนแล้วจึงจุดไฟในหลุมด้วย ญาติพี่น้องจึงเอาผ้าพันไม้บ้าง ด้ายพันไม้บ้าง ชุบน้ำมันมะพร้าวจุดไฟเผาติดพร้อมแล้ว หญิงภรรยาที่จะตายนั้น ลาบิดามารดาญาติพี่น้องแล้วก็โจนลงหลุมตายไปด้วยกัน ดอกไม้ทองอังกฤษที่แห่ศพไปนั้น ก็ทิ้งเข้าไปให้ไฟเผาเสียด้วย รุ่งเช้าญาติพี่น้องชวนกันไปเก็บกระดูกใส่ขันเงินคนละขันทั้ง ๒ คน มาไว้ที่เรือน เส้น (เซ่น) เช้า กลางวัน เย็น ๓ เพลา ครบ ๓ เดือน แล้วจึงไปหาคนนุ่งขาวห่มขาว ๔ คนมาแห่เอากระดูกไปทิ้งเสียที่ทะเล

                เรื่องฆ่าตัวตายตามสามีนี้ ในเรื่องอิเหนาซึ่งเป็นเรื่องของชวา ก็มีอยู่ในบทพระราชนิพนธ์ ตอนระตุบุศสิหนา ถูกอิเหนาฆ่าตาย นางดรสามเหสีก็ได้ แบหลาคือใช้กริชแทงตัวตาย แล้วกระโจนเข้ากองไฟ ตอนนี้จึงมีชื่อตอนว่า นางดรสาแบหลา

                ในบทพระราชนิพนธ์ว่าดังนี้

     

                 เมื่อนั้น นวลนางดรสามารศรี
    กำสรดโศกศัลย์พันทวี อัญชลีทั้งสองกษัตรา
    แล้วทูลว่าพระองค์ผู้ทรงเดช จงได้โปรดเกศเกศา
    ข้าน้อยขอถวายบังคมลา ตายตามภัสดาด้วยภักดี
    ขอฝากบิตุราชมาตุรงค์ ทั้งประยูรญาติวงศ์ในกรุงศรี
    อันศฤงคารของข้าบรรดามี ถวายไว้ใต้ธุลีบาทา
    ทูลพลางประณตบทเรศ สองกษัตริย์ทรงเดชเชษฐา
    บังคมบรมศพภัสดา แล้วกัลยาทักษิณเวียนไป
                ครั้นครบคำรบสามรอบ นบนอบน้อมองค์ลงกราบไหว้
    จึ่งชักเอากริชภูวไนย มาทูลไว้เหนือเกล้าเมาฬี
    กันแสงพลางทางสมาลงธิกรณ์ ภูธรได้เคืองบทศรี
    ด้วยกายกรรมแลวจี ขออย่ามีเวราผูกพัน
    ประการหนึ่งซึ่งข้าสุจริต สู้ตายมิได้คิดบิดผัน
    เดชะความสัตย์ของข้านั้น แม้นทรงธรรม์จะตกไปแห่งใด
    ขอให้ได้พบสบประสงค์ บำเรอบาทบงส์จงได้
    ให้ร่วมสุขร่วมทุกข์ร่วมฤทัย อย่าให้รู้นิราศคลาดคลา
                ครั้นเสร็จตั้งจิตอธิษฐาน เยาวมาลย์กราบงามสามท่า
    เห็นเพลิงพลุ่งรุ่งโรจน์โชตนา ก็แบหลาโจนเข้าในอัคคี

     

                ในจดหมายเหตุหรือคำให้การของจีนกั๊กนอกจากเล่าเรื่องเมืองบาหลีได้สนุกแล้ว ยังมีเรื่องของเมืองไทย กรุงเทพพระมหานคร ในเวลานั้น ซึ่งจีนกั๊กได้บอกความแก่เจ้าเมือง ทำให้ได้ทราบถึงความรุ่งเรืองและการค้าขายของกรุงเทพฯในสมัยรัชกาลที่ ๓ อย่างละเอียดพอสมควรทีเดียว

                 ข้าพเจ้าบอกว่าที่กรุงเทพฯ ไพร่บ้านพลเมืองมีมากมายหลายภาษา แต่ไทยภาษาเดียวก็มากจะประมาณมิถูก ยังพวกจีนแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน ไหหลำ เข้ามาพึ่งพระบรมเดชานุภาพตั้งทำมาหากินอยู่ที่กรุงเทพฯ แลหัวเมืองขึ้นกับกรุงเทพฯก็หลายหมื่น ลาว มอญ พม่า ทวาย แขก ฝรั่ง ก็มีอยู่เป็นอันมาก สนุกสนานมั่งคั่งมีบริบูรณ์ มีเรือรบ เรือไล่ ปาก ๙ ศอก ๑๐ ศอก ยาว ๑๑ วา ๑๒ วา เป็นอันมาก มีกำปั่นรบ ปากกว้าง ๓ วา ๔ วา ๕ วา ยาว ๑๔ วา ๑๕ วา ๒๐ วา มีปืนกระสุน ๕ นิ้ว ๖ นิ้ว รายแคมเรือลำหนึ่ง ๑๘ บอก ๒๐ บอก บ้าง ที่ลำใหญ่มีปืนรายแถม ๒ ชั้น ลำละ ๓๐ บอก ๔๐ บอกบ้าง ทั้งใหญ่ ทั้งเล็ก ๒๐ ลำ ๓๐ ลำ สำหรับไปลาดตระเวนรักษาเขตรแดน

                จีนที่มีสติปัญญากว้างขวาง ก็โปรดเกล้าฯตั้งให้เป็นพระยา เป็นพระ เป็นหลวง เจ้าภาษีบ้าง เจ้าสัวบ้าง ที่เป็นลูกค้า (พ่อค้า) มีเงินทองก็มาก คนหนึ่งมีสำเภาไปค้าเมืองจีนบ้าง เรือตั้วแงไปค้าเมืองแขกข้างฝ่ายตวันตกบ้าง คนหนึ่ง ๔ ลำ ๕ ลำ ทั้งใหญ่ทั้งเล็กสัก ๑๔๐ ลำ ๑๕๐ ลำ ลูกค้าเมืองจีนแต่งสำเภาเข้าไปค้าขายปีหนึ่ง ๑๐๐ ลำ ๑๐๐ ลำเศษบ้าง กำปั่นแขก กำปั่นฝรั่งไปค้าขายปีหนึ่ง ๒๐ ลำ ๓๐ ลำบ้าง เรือลูกค้ามลายูไปค้าขายปีหนึ่ง ๔๐ ลำ ๕๐ ลำบ้าง แล้วถามว่าสำเภาโตหรือเล็ก ข้าพเจ้าบอกว่าเรือที่ข้าพเจ้าออกมานี้เป็นอย่างกลาง จึงถามว่าเรือปากกว้างยาวเท่าไร ข้าพเจ้าบอกว่า ปากกว้าง ๔ วา ยาว ๑๔ วา จึงถามว่าที่กรุงเทพฯมีสินค้าสิ่งไรบ้าง ข้าพเจ้าบอกว่าสินค้า6หยาบๆ ที่บรรทุกสำเภานั้น ฝางไม้แดง เขา เปลือกโปลง พริกไทย เนื้อปลาต่างๆ แต่ของลเอียดที่มีราคา รังนก กระวาน งาช้าง นอระมาด เร่วน้ำตาลทราย ปีกนก ดีบุก ไหม ครั่ง เจ้าเมืองจึงว่า ที่เมืองบาหลีนี้เป็นเมืองเกาะหามีสินค้ามากไม่ มีแต่เข้า ยาสูบ กาแฟ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×