คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #117 : ลัญจกร หรือ ลัญฉกร
‘ลัญจกร’ หรือ ‘ลัญฉกร’ ถูกทั้งสองคำ โบราณใช้ว่า ‘ลัญฉกร’ บ้าง ‘ลัญจกร’ บ้าง ไม่มีกฎเกณฑ์ แปลว่า ตราสำหรับประทับ (หรือตี ตอก) บนเอกสาร ในปัจจุบันใช้ว่า ‘พระราชลัญจกร’
สำหรับพระราชลัญจกรนั้นมีทั้ง พระราชลัญจกรประจำพระองค์พระเจ้าแผ่นดิน พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน และพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดิน
แต่ในที่นี้คงประสงค์จะให้หมายถึงพระราชลัญจกรประจำพระองค์แต่ละรัชกาล
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑-๓ ไม่ปรากฏว่าพบเอกสารประทับตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์ ต่อเมื่อถึงรัชกาลที่ ๕ ฉลองพระนครครบ ๑๐๐ ปี ใน พ.ศ.๒๔๒๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง โปรดเกล้าฯให้ทำตราเครื่องหมายประจำรัชกาล (หรือพระราชลัญจกร) แกะด้วยงาช้างทำเป็นรูปกลมดังในภาพ ทั้งรัชกาลที่ ๑ ที่ ๒ ที่๓ ที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕
สำหรับพระราชลัญจกร ๓ รัชกาลแรกนั้น
พระราชลัญจกรรัชกาลที่ ๑ เป็นรูปอุณาโลม อยู่ภายในกรอบทำเป็นรูปดอกบัว (ชนิดปทุม) อธิบายกันว่า ที่ทำเป็นรูปอุณาโลม เพราะพระนามเดิมว่า “ด้วง” ซึ่งเครื่องหมายอุณาโลมนั้น คล้ายๆ กับด้วง ส่วนที่มีกรอบเป็นรูปดอกบัวปทุม พระยากระสาปนกิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) เล่าไว้ในบันทึกความทรงจำของท่านว่า “ที่พระพุทธยอดฟ้าฯ ทำตราเงินเป็นบัวนั้น ท่านทรงเห็นว่านิมิตของท่านเป็นมงคล เมื่อจวนจะได้เป็นเจ้า ที่บ้านเก่าของท่านมีดอกบัวตูมผุดขึ้นกลางบ้านของท่านดอก ๑ จึงให้ทำตราบัวเป็นการเจริญ”
พระราชลัญจกรรัชกาลที่ ๒ เป็นรูปครุฑหน้าตรงจับหางนาคสองตัวห้อยหัวลง ที่เรียกกันว่าครุฑยุดนาค อธิบายกันว่า เนื่องจากพระนามเดิมว่า ‘ฉิม’ จึงเติมความหมายไปถึงวิมานฉิมพลี อันเป็นวิมานของพระยาครุฑ แต่หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล พระธิดาในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ท่านทรงมีทัศนะว่า “ถึงรัชกาลที่ ๒ เชื่อว่าแบ่งภาคมาจากพระนารายณ์ ตราแผ่นดินจึงเป็นครุฑ เพราะว่าครุฑนั้นเป็นพาหนะของพระนารายณ์”
พระราชลัญจกรรัชกาลที่ ๓ เป็นรูปปราสาท อธิบายกันว่า เนื่องมาจากพระนามเดิมว่าทับ ซึ่งหมายถึงที่อยู่อาศัย พระราชลัญจกรจึงทำเป็นรูปวิมาน แต่หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ท่านทรงว่า “พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านทรงถือพระองค์ท่านว่าเป็นหัวหน้าแห่งเทพ ท่านจึงทำปราสาทเป็นตราแผ่นดิน คือแปลว่าปราสาทของพระอินทร์ พระอินทร์เป็นหัวหน้าของเทพ”
อย่างไรก็ตาม สำหรับพระนามเดิมของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ‘ทับ’ นั้น น่าจะสันนิษฐานว่า อาจมิใช่ ‘ทับ’ ที่หมายถึง ทับกระท่อมอันแปลว่าที่อยู่อาศัยชนิดปลูกสร้างอย่างลวกๆ ชั่วคราว ซึ่งดูๆ ไม่น่าที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯจะทรงมีพระนามอันมีความหมายดังนั้น น่าจะเป็น ‘ทับ’ ที่หมายถึง ‘ทัพ’ หรือ ‘กองทัพ’ มากกว่า เพราะสมัยก่อนโน้น ในหนังสือเก่าๆ ไม่ว่าจะเป็นพงศาวดาร หรือจดหมายเหตุล้วนเขียนคำว่า ‘ทัพ’ และ ‘กองทัพ’ เป็น ‘ทับ’ และ ‘กองทับ’ ทั้งนั้น
อีกประการหนึ่งที่ชวนให้สันนิษฐานว่า พระนามของพระองค์ท่านน่าจะหมายถึง ‘ทัพ’ หรือ ‘กองทัพ’ ก็เพราะ ใน พ.ศ.๒๓๒๙ และ พ.ศ.๒๓๓๐ นั้น มีศึกสงครามทั้ง ๒ ปี
พ.ศ.๒๓๒๙ พม่ายกทัพใหญ่เข้ามาตั้งค่ายที่ท่าดินแดง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เสด็จฯเป็นจอมทัพยกทัพหลวงเข้าตีค่ายพม่าได้ชัยชนะ ครั้งนั้น พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์หนึ่งประสูติพอดี พระนามว่า “พระองค์เจ้าชายทับ” (ต่อมาทรงกรมเป็นกรมหมื่นจิตรภักดีในรัชกาลที่ ๒) เป็นต้นราชสกุล “ทัพพะกุล ณ อยุธยา”
พ.ศ.๒๓๓๐ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯเสด็จยกทัพหลวงไปตีทวาย ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ เมื่อยังทรงอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงเป็นยกกระบัตรทัพ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงพระราชสมภพปีนั้น และทรงมีพระนามว่า ‘หม่อมเจ้าทับ’ เช่นกัน
จึงน่าจะเป็นไปได้ว่าทั้งพระเจ้าอา และพระเจ้าหลาน ซึ่งประสูติไล่ๆ กันในเวลาที่สมเด็จพระบรมชนกนาถทั้งสองพระองค์เสด็จไปทัพ น่าจะทรงพระนามว่า ‘ทับ’ ในความหมายถึง กองทัพ มากกว่า ทับกระท่อม
ส่วนพระราชลัญจกร รูปวิมานนั้น จะมีตั้งแต่ในรัชกาลของพระองค์ท่าน หรือทำถวายต่อมาภายหลัง ก็มิได้มีหลักฐานใดแน่ชัด
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลต่อมา คือ รัชกาลที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๖ นั้น มิได้มีปัญหาให้ต้องสันนิษฐาน
พระราชลัญจกรรัชกาลที่ ๔ ทำเป็นรูปมุงกุฎ ตามพระนามเดิมว่า “สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ” มีฉัตรบริวาร ๒ ข้าง
พระราชลัญจกรรัชกาลที่ ๕ ทำเป็นรูปพระเกี้ยวยอดรัศมี ประดิษฐานบนพานทองสองชั้น มีฉัตรบริวาร ๒ ข้าง
พระราชลัญจกรรัชกาลที่ ๖ ทำเป็นรูปวชิราวุธ อาวุธของพระอินทร์ มีรัศมี ประดิษฐานบนพานทองสองชั้น มีฉัตรบริวาร ๒ ข้าง ตั้งอยู่เหนือตั่ง
พระราชลัญจกรรัชกาลที่ ๗ ทำเป็นรูปพระแสงศร ๓ องค์ พาดบนราว ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ มีบัวแทรก ๒ ข้าง ตามพระนามเดิมว่า ‘ประชาธิปกศักดิเดชน์’ (เดชน์ แปลว่า ลูกศร)
พระราชลัญจกรรัชกาลที่ ๘ ทำเป็นรูปพระโพธิสัตว์ประทับบนบัลลังก์ ห้อยพระบาทขวาเหยียบบัวบาน พระหัตถ์ซ้ายถือบัวตูม มีฉัตร ๒ ข้าง ตามพระนามเดิมว่า “อานันทมหิดล” แปลว่าเป็นที่รักยินดีของแผ่นดิน
พระราชลัญจกรรัชกาลที่ ๙ ทำเป็นรูปพระที่นั่งอัฐทิศ มีวงจักรรัศมีรอบใต้พระมหาเศว ตฉัตร กลางวงจักรมีเครื่องหมายอุณาโลม ตามพระปรมาภิไธยว่า ‘ภูมิพลอดุลยเดช’ แปลว่า ทรงมีพระบรมเดชานุภาพในแผ่นดิน
ความคิดเห็น