ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ราชวงศ์อังกฤษและยุโรป 2

    ลำดับตอนที่ #401 : แอนน์แห่งบริตานี สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส

    • อัปเดตล่าสุด 18 มิ.ย. 55


     

    แอนน์แห่งบริตานี สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Anne de Bretagne; ภาษาเบรตอง: Anna Vreizh;อังกฤษ: Anne of Brittany) (25 มกราคมค.ศ. 1477 - 9 มกราคมค.ศ. 1514[1]) แอนน์แห่งบริตานีเป็นสมเด็จพระราชินีในสมเด็จพระจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ระหว่างวันที่ 9 กันยายนค.ศ. 1488 ถึงวันที่ 9 มกราคมค.ศ. 1514; ในพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 8 แห่งฝรั่งเศสระหว่างวันที่ 6 ธันวาคมค.ศ. 1491 ถึงวันที่ 7 เมษายนค.ศ. 1498 และในพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 แห่งฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 8 มกราคมค.ศ. 1499 ถึงวันที่ 9 มกราคมค.ศ. 1514

    แอนน์ประสูติเมื่อวันที่ 25 มกราคมค.ศ. 1477 ที่นองซ์ในฝรั่งเศสทรงเป็นพระธิดาของฟรองซัวส์ที่ 2 ดยุคแห่งบริตานี และมาร์กาเร็ตแห่งฟัวซ์ ดัชเชสแห่งบริตานี (Margaret of Foix) เมื่อพระบิดาเสียชีวิตแอนน์ก็เป็นดัชเชสแห่งบริตานีอย่างเต็มตัว และเป็นเคานเทสแห่งนองซ์, มงท์ฟอร์ต และริชมงท์ และไวท์เคานเทสแห่งลีมอชส์ ซึ่งทำให้ทรงเป็นสตรีผู้มีอำนาจและฐานะมั่งคั่งที่สุดในยุโรป

    เนื้อหา

    ชีวิตเบื้องต้น

    แอนน์ทรงเป็นธิดาคนเดียวของดยุคฟรองซัวส์แห่งบริตานีและมาร์กาเร็ตที่รอด มาจโต เมื่อยังทรงพระเยาว์พระองค์ทรงได้รับเลี้ยงดูเพื่อเตรียมตัวเป็นทายาทของ อาณาจักรดยุคแห่งบริตานี ทรงได้รับการศึกษาอย่างดีภายใต้พระอาจารย์ ฟรองซัวส์ เดอ ดินอง (Françoise de Dinan), เลดี้แห่งลาวาลและชาโตบริอองท์ (Lady of Laval and Chateaubriant) และกวีฌอง เมชิโนท์ (Jean Meschinot)

    เมื่อมาถึงสงครามสืบครองบริตานี (Breton War of Succession) ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 บริตานีก็ใช้กฏบัตรซาลลิคแปลงที่ อนุญาตให้สตรีสืบอำนาจของอาณาจักรได้ถ้าผู้มีสิทธิฝ่ายชายสิ้นชีวิตกันไปหมด เมื่อแอนน์ประสูติพระบิดาก็เป็นเพียงทายาทชายคนเดียวของบริตานีที่เหลืออยู่ ของตระกูลเดรอซ์ (House of Dreux) สงครามสืบอาณาจักรยุติลงด้วยการตกลงว่าในเมื่อไม่มีทายาทชาย ทายาทของ Joanna of Penthievre ก็เป็นผู้สืบเชื้อสายต่อไป แต่ร้อยปีหลังจากนั้นข้อตกลงนี้ก็ถูกลืมกันไป ฉะนั้นเมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1486 เมื่อบิดาของแอนน์พยายามให้แอนน์เป็นที่ยอมรับว่าเป็นทายาท แต่การแต่งงานของแอนน์กลายเป็นปัญหาทางการเมือง ดยุคฟรานซิสผู้ไม่ต้องการให้บริตานีกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของฝรั่งเศสก็พยายาม หาคู่ที่สามารถต่อต้านอำนาจของฝรั่งเศสได้

    ดินแดนบริตานีกลายเป็นที่ต้องการของหลายฝ่ายที่ทำให้แอนน์มีผู้ประสงค์จะ แต่งงานด้วยมากมาย แอนน์ได้รับการหมั้นหมายอย่างเป็นทางการไว้กับเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์พระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 แห่งอังกฤษใน ปี ค.ศ. 1483 แต่เจ้าชายหายตัวไปอย่างไม่มีร่องรอยไม่นานหลังจากที่พระราชบิดาเสด็จสวรรคต และสันนิษฐานกันว่าสิ้นพระชนม์ ผู้อื่นที่ต้องการจะเสกสมรสกับแอนน์ก็ได้แก่สมเด็จพระจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์, Alain d'Albret, ฌอง เดอ ชาลองส์ (Jean de Châlons) (เจ้าชายแห่งออเรนจ์) และแม้แต่หลุยส์ ดยุคแห่งออร์เลอองส์ผู้ขณะนั้นมีภรรยาแล้ว

    ในปี ค.ศ. 1488 กองทัพของดยุคฟรองซัวส์ได้รับความพ่ายแพ้ต่อฝรั่งเศสในยุทธการแซงต์โอแบงดูคอร์มิเยร์ (Battle of Saint-Aubin-du-Cormier) ซึ่งเป็นการยุติสงคราม “Guerre folle” ในสนธิสัญญาเซเบล (Treaty of Sablé) ของการยุติสงครามดยุคฟรองซัวส์ถูกบังคับให้ตกลงว่าการแต่งงานของลูกสาวต้อง ได้รับการอนุมัติโดยพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศส ดยุคฟรองซัวส์เสียชีวิตไม่นานหลังจากนั้นเมื่อวันที่ 9 กันยายนค.ศ. 1488 หลังจากตกจากหลังม้า แอนน์จึงกลายเป็นดัชเชส บริตานีเข้าสู่วิกฤติกาลใหม่ที่นำไปสู่สงครามฝรั่งเศส-บริตานี

    ดัชเชสแห่งบริตานี

    เม่นแห่งบริตานีหน้าประตูวังบลัวส์ (Château de Blois)

    สิ่งแรกที่สำคัญที่จำเป็นต้องทำสำหรับแอนน์คือการหาสามีที่ถ้าดีก็ควรจะ เป็นผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อฝรั่งเศสและมีอำนาจพอที่จะรักษาความเป็นอิสระของบ ริตานีได้ด้วย พระจักรพรรดิแม็กซิมิลเลียน ถือว่าเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมที่สุด การเสกสมรสโดยฉันทะของพระองค์กับจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนเกิดขึ้นที่แรนน์เมื่อ วันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1490 ซึ่งทรงได้รับพระอิสริยยศเป็น “จักรพรรดินีแห่งโรมัน” แต่เป็นการเสกสมรสที่นำมาซึ่งปัญหาร้ายแรง ฝรั่งเศสนอกจากจะถือว่าเป็นการท้าทายโดยตรงและก็ยังเป็นการละเมิดสนธิสัญญาเซเบลที่ พระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสมิได้รับการปรึกษาและอนุมัติการเสกสมรส นอกจากนั้นก็ยังทำให้บริตานีตกไปเป็นของฝ่ายศัตรูของฝรั่งเศสอีกดัวย การเสกสมรสเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะด้วย เพราะในขณะนั้นแฮ็บสเบิร์กมัวยุ่งอยู่กับปัญหาในฮังการีจนไม่อาจหันมาสนใจ กับบริตานีได้ และฝ่ายคาสตีลก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการต่อสู้ในกรานาดา แม้ว่าทั้งคาสตีลและอังกฤษจะส่งกองทหารมาหนุนกองทัพของบริตานีบ้าง แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดที่ต้องการจะต่อสูในสงครามอย่างออกหน้าออกตากับฝรั่งเศส ในฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 1491 นายพลหลุยส์ที่ 2 แห่ง Trémoille และพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 8 แห่งฝรั่งเศสก็นำทัพมาล้อมเมืองแรนน์

    เมื่อพระจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนมิได้ส่งกำลังมาช่วยแรนน์ก็เสียเมือง แอนน์จึงต้องมาหมั้นกับพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 8 ทันที่ที่แรนน์และเดินทางพร้อมกับกองทหารอารักขาของพระองค์ไปยังวังลองเชส์ (Château de Langeais) เพื่อไปทำการเสกสมรส ทางออสเตรียก็ได้แต่ประท้วงว่าเป็นการแต่งงานที่ไม่ถูกต้องเพราะเจ้าสาวมิ ได้เต็มใจ และเจ้าสาวแต่งงานโดยถูกต้องตามกฎหมายกับพระจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนแล้ว และพระเจ้าชาร์ลส์เองก็ทรงหมั้นกับมาร์เกอรีตแห่งออสเตรียพระธิดาของพระจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนเองแล้ว แต่แอนน์ก็ต้องเสกสมรสกับพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 8 เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1491

    ต่อมาการแต่งงานก็ได้รับการอนุมัติว่าถูกต้องโดยสมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 8 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1492 สัญญาการเสกสมรสระบุว่าฝ่ายใดที่เสียชีวิตก่อนผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะได้ รับดินแดนบริตานี แต่ระบุต่อไปว่าถ้าพระเจ้าชาร์ลส์เสด็จสวรรคตโดยไม่มีรัชทายาท แอนน์ต้องแต่งงานกับผู้ครองราชย์ต่อจากพระองค์ซึ่งเป็นโอกาสที่สองที่ ฝรั่งเศสสามารถผนวกดินแดนบริตานีได้อย่างถาวร

    เป็นแม่หม้ายและแต่งงานใหม่

    ราชสำนักของพระราชินีแอนน์ เป็นภาพของสตรีร้องไห้เมื่อสามีต้องเดินทางไปสงครามในอิตาลี--หนังสือ "Epistres Envoyées au Roi" (คริสต์ศตวรรษที่ 16)

    เมื่อพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 8 เสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1498 แอนน์มีพระชนมายุได้ 21 พรรษาและยังไม่มีพระโอรสธิดา ตามการระบุในสัญญาพระองค์ต้องทรงเสกสมรสกับพระมหากษัตริย์องค์ใหม่พระเจ้าหลุยส์ที่ 12 แต่ขณะนั้นพระองค์ทรงมีพระอัครมเหสีแล้ว--ฌานน์ สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส พระราชธิดาในพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 และพระขนิษฐาของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 8 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1498 แอนน์แห่งบริตานีก็ทรงตกลงเสกสมรสกับพระเจ้าหลุยส์ถ้าพระองค์ทรงสามารถหาทาง ประกาศให้การแต่งงานกับฌานน์เป็นโมฆะได้ภายในหนึ่งปี ถ้าแอนน์ทรงพนันว่าพระเจ้าหลุยส์ไม่ทรงสามารถทำได้พระองค์ก็ทรงแพ้ การแต่งงานครั้งแรกของพระเจ้าหลุยส์ได้รับการประกาศให้เป็นโมฆะโดยพระ สันตะปาปาก่อนจะสิ้นปีนั้น

    ในระหว่างนั้นในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1498 แอนน์เดินทางกลับไปปกครองบริตานี ทรงมอบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีคืนให้กับฟิลิปป์ เดอ มงท์ทอบัง (Philippe de Montauban) และทรงระบุให้เจ้าชายแห่งออเรนจ์เป็น Lieutenant General แห่งบริตานี และทรงสั่งให้ตีเหรียญกษาปณ์ที่ประทับตราพระนามของพระองค์เอง และเสด็จประพาสบริเวณต่างๆ ในอาณาจักร พระราชกรณียกิจต่างๆ ทำให้ทรงเป็นที่นิยมกันในบรรดาไพร่ฟ้าประชาชนในบริตานี

    แอนน์เสกสมรสครั้งที่สามเมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1499 ทรงฉลองพระองค์ขาวซึ่งเป็นการแนะนำประเพณีการแต่งตัวด้วยชุดขาวต่อมาของผู้ เป็นเจ้าสาว ข้อตกลงในการเสกสมรสครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่สองเป็นอย่างมาก ครั้งนี้พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุขึ้น ทรงเป็นพระราชินีหม้าย และทรงมีความต้องการที่ให้ได้รับการยอมรับว่าทรงเป็นดัชเชสที่มีอาณาจักร ปกครองเป็นของพระองค์เอง แม้ว่าพระราชสวามีพระองค์ใหม่จะทรงมีอำนาจปกครองบริตานี แต่ทรงยอมรับตำแหน่งสวามีของดยุค (duke consort) และทรงยอมรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการของพระอัครมเหสีในฐานะ “ดัชเชสแห่งบริตานี” และทรงออกคำสั่งต่างในนามของแอนน์

    ในฐานะดัชเชสแอนน์ทรงเป็นผู้พยายามรักษาความเป็นอิสระของอาณาจักรบริตานีอย่างเหนียวแน่น แอนน์ทรงจัดการสมรสของพระธิดาโคลดกับชาร์ลส์แห่งลักเซ็มเบิร์ก ในปี 1501 เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์อันมั่นคงระหว่างฝรั่งเศส-เสปน และการพยายามให้ฝรั่งเศสได้รับชัยชนะในสงครามกับอิตาลี พระเจ้าหลุยส์ทรงมีพระราชประสงค์จะหย่าร้างกับแอนน์เมื่อทรงเห็นว่าแอนน์ไม่ มีท่าทีที่จะมีรัชทายาทให้พระองค์ พระองค์จึงทรงจัดการหมั้นหมายโคลดกับรัชทายาทของราชบัลลังก์ฝรั่งเศส แต่แอนน์ไม่ทรงยอมตกลงเพราะทรงต้องการรักษาความเป็นอิสระของบริตานีจาก ฝรั่งเศสและยังคงยืนยันที่จะจัดงานแต่งงานของโคลดกับชาร์ลส์แห่งลักเซ็ม เบิร์ก แต่โคลดก็แต่งงานกับฟรองซัวส์ปีหนึ่งหลังจากแอนน์สิ้นพระชนม์

    สิ้นพระชนม์

    ผอบหัวใจของแอนน์แห่งบริตานี

    แอนน์สิ้นพระชนม์กลางฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1513-ค.ศ. 1514 เมื่อวันที่ 9 มกราคม ด้วยพระโรคนิ่วที่พระราชวังบลัวส์ พระร่างถูกบรรจุที่มหาวิหารแซงต์เดอนีส์ พระราชพิธีศพของพระองค์เป็นพิธีที่ยาวนานเป็นพิเศษถึง 40 วันและมีอิทธิพลต่อพระราชพิธีศพต่อมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เรควีเอ็มของแอนน์เขียนโดยโยฮันเนส พริโอริส (Johannes Prioris) คีตกวีคนสำคัญ[2]. ตามคำสั่งในพระพินัยกรรมแอนน์บ่งว่าให้ใส่หัวใจของพระองค์ในผอบทองเคลือบ (enamel gold) ที่ตั้งลอยและนำไปไว้ที่นองซ์ (Nantes) ในวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 1514 ภาพในห้องเก็บของนักบวชคาร์เมไลท์ในที่บรรจุศพที่สร้างสำหรับพระบิดามารดา ของพระองค์ ต่อมาผอบทองนี้ก็ถูกย้ายไปไว้ที่มหาวิหารแซงต์ปิแยร์ หัวใจของแอนน์อยู่ในผอบรูปไข่เปิดเป็นสองด้านที่ทำด้วยแผ่นทองที่ประดับด้วย ลวดลายและมีบานพับตกแต่ง ด้านบนเป็นมงกุฎลิลลีและดอกจิก และมีคำจารึกว่า “En ce petit vaisseau De fin or pur et munde Repose ung plus grand cueur Que oncque dame eut au munde Anne fut le nom delle En France deux fois royne Duchesse des Bretons Royale et Souveraine.” ผอบสร้างโดยช่างทองที่ไม่ทราบนามของราชสำนักที่บลัวส์ที่อาจจะวาดโดยฌอง แปเรอาล (Jean Perréal) ในปี ค.ศ. 1792 National Convention ก็สั่งให้นำผอบของพระองค์ออกจากที่บรรจุ, เอาสิ่งของที่บรรจุอยู่ภายในทิ้ง และนำผอบไปรักษาไว้เป็นส่วนหนึ่งของสมบัติมีค่าของวัดและส่งไปยังนองซ์เพื่อ นำไปหลอม แต่แทนที่จะถูกส่งไปผอบก็ถูนำไปเก็บไว้ที่หอสมุดแห่งชาติและถูกนำกลับไป นองซ์ในปี ค.ศ. 1819 ไปเก็บในพิพิธภัณฑ์ต่างๆ และในที่สุดก็ได้เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์โดเบร (Dobrée Museum) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1896

    นอกจากนั้นพินัยกรรมของแอนน์ยังระบุให้เรเนพระธิดาองค์รองเป็นทายาทแห่ง อาณาจักรบริตานีต่อจากพระองค์ แต่พระสวามีไม่ทรงทำตามและระบุให้พระโคลดพระธิดาองค์โตให้เป็นดัชเชสแห่งบริ ตานีแทนที่ และจับโคลดแต่งงานกับฟรองซัวส์

    สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม

    พระราชินีแอนน์โดยประติมากรฌอง โบแชร์ (Jean Boucher) ค.ศ. 1915

    เมื่อพระราชินีแอนน์ยังทรงพระชนม์อยู่ทางราชสำนักของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 8 ก็สร้างภาพพจน์ของพระองค์ว่าทรงเป็นพระราชินีที่ทรงมีคุณธรรมอันดีเลิศ ผู้ทรงเป็นสัญลักษณ์ของการสมานความสัมพันธ์อันราบรื่นระหว่างราชอาณาจักร ฝรั่งเศสและอาณาจักรดยุคแห่งบริตานี แต่นักประวัติศาสตร์อีกสองสามร้อยปีต่อมามีความคิดเห็นเกี่ยวกับพระราชิ นีแอนน์ที่แตกต่างออกไปจากที่ทราบกัน และบรรยายพระลักษณะทางร่างกายและจิตใจที่ไม่สนับสนุนหลักฐานทางประวัติ ศาสตร์

    ในปี ค.ศ. 1991 ในโอกาสครบรอบห้าร้อยปีของการเสกสมรสระหว่างพระราชินีแอนน์และพระเจ้า ชาร์ลส์ที่ 8 ก็มีการฉลองกันที่ลองเจส์ แต่ในแรนน์ที่เป็นเมืองที่ถูกล้อมและต้องเสียเมืองและพระราชินีแอนน์ให้แก่ ฝรั่งเศสก็แทบจะไม่มีผู้ใดกล่าวถึงโอกาสนั้น

    พระราชินีแอนน์แห่งบริตานีทรงเป็นผู้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของบริตานีที่สุดคนหนึ่งจะเป็นรองก็แต่เพียงนักบุญอิโวแห่งแคร์มาร์แต็ง (Ivo of Kermartin) เท่านั้น ที่จะเห็นได้จากการตั้งชื่อสถานที่ค้าขาย, โรงแรม และถนนตามพระนามของพระองค์ในบริตานี


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×