ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมคนดัง(หญิืง) 2

    ลำดับตอนที่ #2 : บริทนีย์ สเปียร์ส

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 55


     

    บริตนีย์ จีน สเปียรส์ (อังกฤษBritney Jean Spears) เกิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2524) เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงนักเขียน และนักแสดงหญิงชาวอเมริกัน บริตนีย์มีชื่อเสียงหลังจากซิงเกิลแรก "เบบีวันมอร์ไทม์" โด่งดังไปทั่วโลก โดยนับตั้งแต่เริ่มอาชีพการเป็นนักร้อง ผลงานของเธอขายได้กว่า 83 ล้านชุดทั่วโลก[1]

    บริตนีย์ได้รับฉายาว่าเป็น เจ้าหญิงแห่งวงการเพลงป๊อป นอกจากนั้นเธอยังเป็นนักร้องประสบความสำเร็จ และมียอดขายสูงสุด (สำหรับนักร้องหญิง) ในปี 1999-2009 อีกด้วย[2]

    เนื้อหา

     [ซ่อน]

    [แก้]ประวัติ

    [แก้]เข้าสู่วงการ

    บริตนีย์ จีน สเปียรส์ เกิดที่เมืองแม็คคอมบ์ ในรัฐมิสซิสซิปปี แต่มาโตที่เมืองเคนต์วูด ในรัฐลุยเซียนาบริตนีย์ถูกเลี้ยงดูมาในแบบครอบครัวชาวคริสต์แบบติสต์ บริตนีย์เป็นบุตรสาวคนกลางของ เจมี่ พาร์เนลล์ สเปียรส์ ช่างก่อสร้าง และ ลินน์ ไอรีน บริดจส์ อดีตครูโรงเรียนชั้นประถม บริตนีย์มีพี่ชายคือ ไบรอัน และน้องสาวคือ เจมี่ ลินน์

    [แก้]1991 เดินสาย

    เมื่ออายุ 8 ขวบ บริตนีย์เดินทางไปแอตแลนต้า เพื่อคัดตัวเข้าร่วมรายการ มิคกี้ เม้าส์ คลับ ทางช่องดิสนีย์แชนนัล ซึ่งก็เข้าถึงรอบสุดท้าย แต่กลับถูกคัดออกในที่สุด เนื่องจากถูกพิจารณาว่า ยังเด็กเกินไป อย่างไรก็ดี โปรดิวเซอร์ของรายการได้แนะนำเธอให้กับโปรดิวเซอร์รายการในนิวยอร์กซิตี้ ที่ซึ่งเธอใช้เวลาในฤดูร้อนช่วงปิดภาคเรียนในโรงเรียนการแสดง จนได้รับบทในละครบรอดเวย์เรื่อง Ruthless ในปี ค.ศ. 1991[3]

    เมื่ออายุ 13 ปี บริตนีย์ได้เดินทางไปเข้าร่วมคัดเลือกตัวในรายการ มิคกี้ เม้าส์ คลับ อีกครั้ง และคราวนี้เธอได้รับคัดเลือก บริตนีย์เป็นส่วนหนึ่งของ มิคกี้ เม้าส์ คลับ ร่วมกับ จัสติน ทิมเบอร์เลค ต่อมาได้เป็นอดีตแฟนหนุ่ม และคริสติน่า อากีเลร่า นักร้องที่ถูกเปรียบเทียบว่าเป็นคู่แข่งของเธอตลอดมา ไม่นานหลังรายการออกไปก็ถูกยุบในปีค.ศ. 1994 บริตนีย์จึงได้เดินทางกลับไปยังเคนต์วูด เพื่อเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนมัธยม

    [แก้]1997 เข้าวงการ

    ค.ศ. 1997 บริตนีย์ได้เข้าร่วมวงดนตรีหญิงล้วนที่มีชื่อ อินโนเซ้นต์ และได้เริ่มทำเดโม่เทป จนในที่สุดได้เซ็นสัญญากับต้นสังกัด ไจฟ์ เร็คคอร์ดส (ภาษาอังกฤษ Jive Record)ในปีเดียวกันนี้เอง และต่อมาก็ได้เล่นเปิดคอนเสิร์ตให้ วงเอ็นซิงก์และ แบ็คสตรีท บอยส์‎ซึ่งมี จัสติน ทิมเบอร์เลค เป็นนักร้องนำในวงด้วย

    บริตนีย์ ได้ร่วมงานกับ แม็กซ์ มาร์ติน โปรดิวเซอร์จากสวีเดนที่สร้างชื่อให้กับแบ็คสตรีท บอยส์‎และ เอริค ฟอสเตอร์ ไวต์ ที่เคยร่วมงานกับ วิทนีย์ ฮูสตันมาแล้ว เพลงแรกที่เริ่มบันทึกเสียงกันคือ เบบีวันมอร์ไทม์ เป็นการประกาศตัวในฐานะนักร้องหญิง

    [แก้]2541 – 2543:พรมแดงแห่งเจ้าหญิง

    ภาพจากมิวสิกวิดีโอเพลง Baby One More Time

    ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2541 ได้เปิดตัวซิงเกิ้ลแรกของเธอ Baby One More Time สามารถขึ้นไปถึงอันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ดของสหรัฐอเมริกา [4] ซิงเกิลนี้เป็นซิงเกิ้ลที่ทำให้เธอ กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเราด้วย โดยนิตยสารโรลลิงสโตนและเอ็มทีวีได้จัดอันดับเพลงนี้ให้อยู่ในลำดับที่ 25 ของ 100 เพลงป๊อปที่ดีที่สุดตลอดกาล

    สำหรับ ...Baby One More Time อัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อเดียวกันกับซิงเกิลเปิดตัวได้ออกวางจำหน่ายในช่วงต้นปีพ.ศ. 2542 โดยตัวอัลบั้มเปิดตัวที่อันดับ 1 ใน บิลบอร์ดชาร์ต สาขาอัลบั้มยอดเยี่ยม [4]

    • "Sometimes" ซิงเกิ้ลต่อมา ติดอันดับ 5 ในอังกฤษ
    • "(You Drive Me) Crazy" ขึ้นอันดับ 10 ในอเมริกา และ อันดับ 5 ในอังกฤษ
    • "Born to Make You Happy" ที่สามารถขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษได้

    ในอัลบั้มชุดนี้เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ 2 สาขาคือ ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และศิลปินเพลงป็อปหญิงยอดเยี่ยม

    ยังได้รับหลายรางวัลดังนี้

    • รางวัลนักร้องหญิงดีเด่น (Best Female Artist)
    • รางวัลศิลปินหน้าใหม่ดีเด่น (Best Breakthrough Act)
    • รางวัลการแสดงป็อปดีเด่น (Best Pop Act)
    • รางวัลเพลงดีเด่น (Best Song)

    งานเอ็มทีวี ยุโรป มิวสิก อวอร์ดสที่ดับลิน

    หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงจากอัลบั้มชุดแรก บริตนีย์ก็กลับเข้าสตูดิโอในช่วงฤดูร้อนปี พ.ศ. 2542 เพื่อบันทึกเสียงอัลบั้มชุดใหม่ Oops!... I Did It Again ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มชุดที่ 2 เพลงOops!... I Did It Again สามารถขึ้นสู่อันดับสูงที่สุดในอเมริกา และอัลบั้มขายขายดีอันดับ 1 โดยสัปดาห์แรกสามารถขายได้ถึง 1.3 ล้านหน่วย ซิงเกิ้ลต่อๆมา "Lucky""Stronger"และ "Don't Let Me Be The Last To Know" ทุกเพลงได้รับการตอบรับจากแฟนเพลงเป็นอย่างดี

    [แก้]เปิดตัวราชินี

    ปี 2000 บริทนีย์ได้ขึ้นการแสดงของงาน เอ็มทีวี มิวสิกอวอร์ด 2000 ที่เธอได้ขึ้นไปร้องเพลง Oops! i did it again แบบรีมิกซ์โดยเปิดตัวในชุดเรียบสีดำและเมื่อร้องไปได้ไม่นาน เธอได้เปลี่ยนชุด เป็นชุดยาวสีขาวแทน โดยมีนัยว่า "บริตนีย์ ไม่ได้เป็นเด็กสาวอีกต่อไป แต่จะเป็นผู้หญิงเต็มตัว"

    [แก้]2544 – 2547: ราชินีป็อปแดนซ์

    เดือนพฤศจิกายน 2544 เธอออกอัลบั้มชุดที่ 3 "Britney" เปิดตัวที่อันดับ 1 ในอเมริกาโดยยอดขายในสัปดาห์แรกคือ 746,000 แผ่น มีซิงเกิ้ลแรกคือ "I'm a Slave 4 U" ที่ The Neptunes มาช่วยแต่งและโปรดิวซ์ให้ ถึงแม้ว่าตัวอัลบั้มจะไม่ประสบความสำเร็จเช่นเคย แต่เป็นก้าวสำคัญในด้านการพัฒนาฝีมือ โดยบริตนีย์ได้ร่วมแต่งเพลงในอัลบั้ม 5 เพลง

    ใน กุมภาพันธ์พ.ศ. 2545 เธอได้มีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกและเรื่องเดียว ชื่อเรื่องว่า ครอสโรดส์ (Crossroads) ต่อมาในเดือนมีนาคม เธอได่ประกาศเลิกจัสติน ทิมเบอร์เลคที่คบกันมานาน

    ในระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต Dream Within a Dream Tour ที่เม็กซิโก บริตนีย์ได้หยุดเล่นคอนเสิร์ตกลางคัน อันเนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้ายและเมื่อจบทัวร์ บริตนีย์ได้ออกมาประกาศเธอต้องการจะหยุดพักชั่วคราวในปีนี้เอง ความสำเร็จขอบริตนีย์ได้รับการตอกย้ำอีกครั้ง เมื่อนิตยสาร ฟอร์ส ได้จัดอันดับเธอให้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก

    เธอได้ร่วมแสดงในงาน เอ็มทีวี วีดีโอ มิวสิก อวอร์ดส ปี 2003 ร่วมกับมาดอนน่า และ คริสติน่า อากีเลร่า ในเพลง "Like a Virgin/Hollywood" โดยมาดอนน่าได้จูบ บริตนี่ย์ ก่อนที่จะจูบ คริสติน่า อากีเลร่า เป็นข่าวที่สร้างประแสให้กับคนทั้งโลก

    บริตนีย์ สเปียรส์ ปี 2003

    พฤศจิกายน 2546 เธอได้ออกอัลบั้มชุดที่ 4 "In the Zone" แนวเพลงมีการเพิ่ม synthpop มากขึ้น ยังได้ศิลปินชื่อดังอย่าง Moby และ R. Kelly มาช่วยแต่งเพลงด้วย In the Zone ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาในสัปดาห์แรกด้วยยอดขายมากกว่า 609,000 แผ่น ทำให้เธอได้เป็นศิลปินหญิงคนแรกที่มีการเปิดตัวอัลบั้มเในชาร์ทอันดับ1 ถึง 4 อัลบั้ม

    • ซิงเกิ้ลแรก"Me Against the Music" โดยทำงานร่วมกันกับ มาดอนน่าโดยสร้างปรากฏการฮิตต่อเนื่องโดยสามารถอยู่บนชาร์ตของ TRL เป็นเวลากว่า 9 สัปดาห์
    • ซิงเกิ้ลที่ 2 "Toxic" เป็นเพลงที่สร้างความสำเร็จให้กับอัลบั้มนี้เป็นอย่างมากสามารถเข้ามาอยู่ในท็อปเทนของบิลบอร์ด ฮ็อต 100
    • ซิงเกิ้ลที่ 3 "Everytime" สามารถเข้าสู่ท้อปชาร์ตอังกฤษ โดยขึ้นอันดับ 1 อย่างสง่างาม โดยยอดขายรวมของอัลบั้มนี้ขายได้กว่า 10 ล้านก๊อปปี้

    ในปีเดียวกันนั้นเธอก็มีคอนเสิร์ตจากอัลบั้มIn The Zone ชื่อว่า The Onyx Hotel Tour ถือได้ว่าเป็นคอนเสริตเดียวที่ติดเรทและไม่มีการบันทึกการแสดงสดเลย ยดเว้นการถ่ายทอดและการบันทึกเทปของผู้เข้าชมเท่านั้น โดยเป็นคอนเสริตแรกของบริตนีย์ที่เปิดจองบัตรเพียง 26 นาทีแรกของวันแรกก็สามารถจำหน่ายบัตรได้หมดทุกที่นั่ง แต่หลังจากการเล่นคอนเสริตที่ นิวยอกซ์ได้มีการถ่ายมิวสิกวีดีโอใหม่ ซึ่งบริตนีย์ได้รับอบัติเหตุจนไม่สามารถเล่นคอนเสริตต่อได้ จึงยกเลิกทัวส์ที่เหลือทั้งหมด และทัวร์นี้ของเธอก็ได้ทำลายสถิติคอนเสิร์ต Britney Spears live in Las Vegas "Dream within a dream tour" ของตัวเอง ทำรายได้มากกว่าเดิม 113 ล้านเหรียญสหรัฐ

    บริตนีย์ออกผลงานรวมฮิตที่มีชื่อว่า Greatest Hits: My Prerogative อัลบั้มขึ้นอันดับ 4 ได้มีการร้องเพลงใหม่เพิ่มในชื่อเพลง "My Prerogative" และ "Do Somethin'" การวางขายในอเมริกาสามารถจำหน่ายได้มากถึง 255,000 แผ่นภายในสัปดาห์เดียวและนี่เป็นอัลบั้มที่สามารถจำหน่ายได้มากกว่า 8 ล้านแผ่นทั่วโลก ได้รับการขายที่เรียกว่า แพตตินัม

    [แก้]2550 - 2551: กลับสู่เวที

    บริตนีย์ สเปียรส์ ออกซิงเกิ้ลใหม่ คือ Gimme More ซึ่งเป็นซิงเกิลนำในอัลบั้มที่ 5 โดยเธอได้แสดงในงานเอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส 2007 แต่ด้วยการจากเวทีของเธอยาวนานเกินไป จนทำให้หลายคนล้มเลิกความตั้งใจในการเป็นแฟนคลับ และ เป็นการเปิดตัวที่แย่ที่สุด แต่ก็มีหลายฝ่ายที่ยืนมือมาช่วยเธอเพื่อกลับมายืนที่เดิมอีกครั้ง โดยการทำให้หลายคนยอมรับ โดยหนังในนิตยสาร Us รายงานว่า "มันเลวร้ายเสียจนตัวเธอเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเสียต่อการแสดงของเธอเมื่อเข้าไปหลังเวที แต่เธอจะทำอะไรได้เมื่อการแสดงที่เธอหวังจะใช้มันเรียกคืนวันเก่าๆ ของเธอกลับมาได้ส่งไปสู่สายตาชาวโลกนับล้าน" [5] แต่ขณะที่กรรมการรายการอเมริกันไอดอลอย่าง ไซมอน โคเวล ออกมาให้ความเห็นว่า "เธอขโมยความสนใจของงานนั้นไปทั้งหมด ไม่ว่าคุณจะปลื้มมันหรือไม่ เพราะสิ่งที่คุณได้ยินหลังจากวันนั้นจะมีแต่เรื่องของเธอเท่านั้น มันไม่ใช่การแสดงที่ดีที่สุด เธอยังไม่พร้อมสำหรับมัน แต่มันก็กลายเป็นสิ่งที่สร้างความสนใจให้กับตัวเธอมากกว่าศิลปินคนใดบนโลกใบนี้ใน 48 ชม.ที่ผ่านมาก็แล้วกัน" [6]

    Gimme More เพลงนี้โปรดิวซ์โดย เนท “แดนจา” ฮิลส์ ( ที่เคยทำงานกับเนลลี เฟอร์ทาโด และ ทิมบาแลนด์ มียอดขายดาวน์โหลดที่ iTunes มากถึง 179,000 โหลดในสัปดาห์แรกส่งผลให้เพลงนี้ติดอันดับ 1 ในชาร์ททันที เพลงนี้ขึ้นจากอันดับ 68 เป็นอันดับ 3 ในชาร์ทบิลบอร์ด

    อัลบั้ม Blackout วางแผงในวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 2007 หลังจากที่เพลงของเธอถูกมือดีปล่อยงานเพลงของเธอทางอินเทอร์เน็ตหลายเพลง แต่เป็นเดโมที่ตักต่อยังไม่เสร็จทำให้ต้นสังกัด Jive Record ต้องเลื่อนการวางแผงอัลบั้มของเธอจากเดิมไปเป็นวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 โดยมีการเพิ่มรานยการตัดต่อเพลงเพิ่มเข้าไปใหม่ โดยผลงานชุดนี้ได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงมือดีหลายราย ไม่ว่าจะเป็น เพลง ‘Heaven on Earth’ โปรดิวซ์โดยโปรดิวเซอร์รุ่นใหม่ไฟแรง Freescha และ Kara DioGuardi ที่สร้างชื่อจากเพลง ‘Walk Away’ ของเคลลี่ คลาร์กสัน

    ซิงเกิ้ล 2 เพลง "Piece of Me" โปรดิวซ์โดย Bloodshy & Avant โดยเพลงนี้เป็นเพลงส่วนตัวที่สุดเท่าที่บริตนีย์ร้องมา โดยมีเนื้อหาส่วนใหญ่จากช่วงชีวิตที่ตกต่ำของเธอนั้นเอง เช่นกัน นิตยสาร Entertainment Weekly ของอเมริกา พูดถึงเพลงนี้ไว้ว่าเป็นเพลงที่ “ดุดัน” และ “ส่วนตัว” มากที่สุดเพลงหนึ่งของบริตนีย์ //เนื้อหาของเพลงพูดถึงการที่นักข่าวคอยจับตามองเธอในทุกย่างก้าว ไม่ว่าเธอจะขยับตัวทำอะไรก็เป็นข่าวตลอดเวลา (I’m Miss American dream Since I was seventeen don’t matter if I step on the scene or sneak away to the Philippines they still gon put pictures of my derriere in the magazine You-want-a-piece-me?) // จากผลงานชุดนี้เองทำให้เธอได้รับ 3 รางวัลใหญ่จากเอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส 2008ในสาขาวิดีโอแห่งปี อีก 2 รางวัลคือ วิดีโอจากศิลปินหญิงยอดเยี่ยม และ วิดีโอเพลงป๊อปยอดเยี่ยม จากมิวสิกวิดีโอเพลง "Piece of Me"[7] โดยทำให้ทุกคนแสดงให้เห็นว่าไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรแต่ถ้าพร้อมที่ยอมรับมันก็จะมีคนคอยช่วยเหลือคุณอยูเสมอ โดยทั้งความพยายามของ บริตนีย์ และ ต้นสังกัด Jive เองก็ได้ช่วยเหลือกันเพื่อทำให้กลับมาที่จุดนี้ได้ ถึงแม้ว่าจะมีแฟนคลับของเธอบางคนที่เลิกขอบเธอ หันไปชอบนักร้องคนอื่นแทน แต่ก็ยังมีแฟนคลับหลายๆคนที่เฝ้ารอให้บริตนี่ย์กลับมาเป็นบริตนี่ย์ที่ดี สวย เก่ง เมือนเดิม

    [แก้]2551-2552 กลับสู่วงการ

    ปีค.ศ. 2008 บริตนีย์ออกอัลบั้มชุดที่ 6 ชื่อว่า เซอร์คัส ที่มีซิงเกิลแรกอย่าง "วูแมนไนเซอร์" ซึ่งสามารถขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งในบิลบอร์ด เช่นเดียวกับตัวอัลบั้ม เซอร์คัสขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ต ฝั่งอัลบั้มได้ในสัปดาห์ที่วางจำหน่าย พร้อมทั้งการตอบรับการรายการต่างมากมายทั้งอเมริกาและทางฝั่งเอเชีย อย่าง ญี่ปุ่นและเกาหลี มีความสนใจในอัลบั้มใหม่นี้เป็นจำนวนมาก โดยมีการเชิญบริตนีย์มาแสดงสดหลายรายการ เช่น Hallo Amaticar และรายการหลายรายการก็รวมกันโปรโมตอัลบั้มนี้เป็นอย่างมาก ในเดือนเมษายน2008 ได้มีการประกาศแสดงคอนเสริตโดยมีนักน้องรับเชิญ PCD พุชชี้แคช และเวทีที่ออกแบบได้ยอดเยี่ยมที่สุด โดยจากการวางขายบัตรสามารถทำยอดได้มากที่สุดในคอนเสริตทั้งหมดของ ปี 2009 ถึงแม้ว่าคอนเสิร์ตนี้บริตนี่ย์จะลิปซิ้งค์ซะส่วนใหญ่ แต่คอนเสิร์ตนี้ไปที่ประเทศไหนๆ บัตรก็จะขายหมดเกือบทุกรอบ

    [แก้]ชีวิตส่วนตัว

    ต้นปี ค.ศ. 2002 ความสัมพันธ์ของบริตนีย์ สเปียรส์กับแฟนหนุ่มจัสติน ทิมเบอร์เลค ที่คบกันมากว่า 4 ปี ก็ได้ยุติลง ต่อมาในวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 2004บริตนีย์ตกเป็นข่าวครึกโครมอีกครั้ง หลังจากที่เธอแต่งงานกับเพื่อนวัยเด็ก เจสัน อัลเลน อเล็กซานเดอร์ ในลาสเวกัส ก่อนที่ทีมทนายของเธอจะยื่นต่อศาลขอไห้การแต่งงานดังกล่าวเป็นโมฆะ เนื่องด้วยบริตนีย์ไม่มีสติสัมปชัญญะในระหว่างที่กระทำการ ทำไห้ชีวิตการแต่งงานของเธอครั้งนี้มีอายุแค่ 55 ชั่วโมงเท่านั้น

    ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2004 บริตนีย์หมั้นกับ แดนเซอร์เควิน เฟเดอร์ไลน์ หลังจากรู้จักกัน 3 เดือน และได้แต่งงานกันในวันที่ 6 ตุลาคม และในเดือนเมษายน ค.ศ. 2005 เธอประกาศว่าเธอตั้งท้องลูกคนแรก และคลอดลูกชายคนแรก ฌอน เพรสตัน เฟเดอร์ไลน์ เมื่อ 14 กันยายน ค.ศ. 2005 ที่โรงพยาบาลในซานตาโมนิก้า วันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2006 เธอได้คลอดลูกชายคนที่ 2 เจย์เดน เจมส์ เฟเดอร์ไลน์ ในนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย

    บริตนีย์ออมมายอมรับว่าเธอได้หย่าร้างกับเควิน เฟเดอร์ไลน์ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2006 พร้อมกับเธอรับเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรทั้ง 2 คน

    เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 บริตนีย์สร้างข่าวช็อกแฟนเพลงมากมายโดยเริ่มจากการมีรายงานว่าเธอเข้าบำบัดที่ศูนย์ครอสส์โรดในหมู่เกาะแคริบเบียน และเริ่มทำตัวหลุดโลกโดยเริ่มจากตัดผมตัวเองจนหมดในทาร์ซานา แคลิฟอร์เนียเพื่อโกนหัว ก่อนจะไปสักลายใหม่ [8]

    บริตนีย์ต้องเสียสิทธิในการเลี้ยงดูลูกทั้งสองชั่วคราว ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลได้ให้บริตนีย์สามารถนำบุตรชายทั้ง 2 มาอยู่ด้วยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง และท้ายที่สุดบริตนีย์ถูกระงับสิทธิ์นี้ดังกล่าว

    [แก้]อาชีพและรายได้

    Curious น้ำหอมของบริตนีย์

    อาชีพหลักของบริตนีย์ที่เป็นที่รู้จักคืออาชีพนักร้อง ทำเงินได้ถึง 26.5 ล้านเหรียญ สัญญาของเธอที่ได้จากค่าย Zomba Records จากผลงานอัลบั้มชิ้นล่าสุดอย่าง Into the Zone นั้นมากถึง 6.72 ล้านเหรียญ ซึ่งรายได้สุทธิจากการทัวร์อัลบั้มดังกล่าวมียอดถึง 20 ล้านเหรียญทีเดียว ค่าลิขสิทธิ์ทางดนตรีที่เธอได้รับจากมิวสิกวีดีโอและการโฆษณาทำให้เธอได้รับเงิน 6 หมื่นเหรียญต่อปี เธอยังมีทรัพย์สินฝากไว้ธนาคารดอกเบี้ยสูง 6 แห่งถึง 33.25 ล้านเหรียญ

    สัญญาที่ได้ได้รับจากสินค้าต่างๆ ก็มีไม่น้อย ทั้งที่เคยทำลายสถิติสูงสุดมาแล้วจากโฆษณาของเป๊ปซี่ที่ทำเอาไว้เมื่อปี 2001 ด้วยรายได้ 9.27 ล้านเหรียญ รวมทั้งจากสินค้าอย่าง ซัมซุง โตโยต้า คีริง Proactiv,Skechers และ Nabisco ที่รวมได้มูลค่ากว่า 21.6 ล้านเหรียญ การร่วมงานกับเครื่องสำอางดังยี่ห้อเอลิซาเบธ อาร์เดน ( Elizabeth Arden) เมื่อปี 2547 ที่เธอได้เปิดตัวสินค้าในนามของบริตนีย์ ที่มีน้ำหอม คือ Curiousน้ำหอมขายดี รวมทั้งผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางต่างๆ วางขาย ทำให้เธอได้ค่าลิขสิทธิ์ครั้งนั้นไป 16.7 ล้านเหรียญ ซึ่งรับประกันได้ว่าเธอจะได้รายได้ต่อปีตั้งแต่ 1.96 ถึง 2.94 ล้านเหรียญ จนกว่าสัญญาจะสิ้นสุดลงในปี 2552

    บริตนีย์ มีบ้านของตัวเอง 4 หลัง ทั้งในมาลิบูและออร์แลนโด รวมทั้งที่ดินเป็นป่ากว้างใหญ่ในหลุยส์เซียนา ซึ่งรวมมูลค่าทั้งหมด 22.6 ล้านเหรียญ

    เธอยังมีรายได้อีก 6.5 ล้านเหรียญ จากการปรากฏตัวทางรายการโทรทัศน์ รวมกับสัญญาที่ได้จากนิตยสารและภาพยนตร์ รวมทั้งที่ได้ 3 ล้านเหรียญจากการแสดงใน Crossroads หนังเรื่องแรกและเรื่องเดียวของเธอ

    ในช่วงที่เธอออกผลงานอัลบั้ม Blackout ที่ดูไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ และเธอก็ไม่ได้หาเงินจากการทัวร์คอนเสิร์ต แต่เธอก็ยังมีรายได้ จากการไปปรากฏตัวตามงานต่างๆ แมกกาซีน เช่น Pure Nightclub คลับดังที่ลาสเวกัส ขายโต๊ะใกล้โต๊ะของบริตนีย์ได้ราคาถึง 50,000 เหรียญฯ บริตนีย์หาเงินได้ตั้งแต่ 250 เหรียญฯ ถึง 100,000 เหรียญฯ จากการนั่งให้ถ่ายภาพ ทางโฟโต้ เอเจนซี่ยักษ์ใหญ่ x17 มีทีมคอยตามบริตนีย์ทั้งวันทั้งคืน ซึ่งนับเป็น 30% ของรายได้ทั้งหมดที่เธอได้มาจากพวกตากล้อง และในปี 2007 ปีเดียว ทาง X17 ก็ขายภาพของบริตนีย์ได้ถึง 2.5 ล้านเหรียญฯ รวมทั้งภาพบริตนีย์โกนหัวซึ่งมีราคาถึง 500,000 เหรียญฯ และ นิตยสารต่างๆ ที่เธอให้สัมภาษณ์เช่น People,Us Weekly, In Touch, Life & Style, OK! และ Star รวมทั้งหมด 175 ครั้งใน 78 สัปดาห์ เธอได้ค่าตัวถึง 360 ล้านเหรียญฯ และพวกหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ที่เธอขึ้นปกอีกหลายเล่ม[9]

    [แก้]ผลงานเพลง

    [แก้]สตูดิโออัลบั้ม

    [แก้]อัลบั้มรวมเพลง

    [แก้]ดีวีดี

    • 1999: Time Out with Britney Spears
    • 2000: Live and More!
    • 2001: Britney: The Videos
    • 2002: Live from Las Vegas
    • 2004: In the Zone
    • 2004: Greatest Hits: My Prerogative
    • 2005: Britney & Kevin: Chaotic
    • 2008: Circus On Stage แถมพร้อมอัลบั้มCircusDeluxe Edition เท่านั้น
    • 2009: Britney Spears :For The Record

    [แก้]ซิงเกิล

    ปี ค.ศ. เพลง (ซิงเกิ้ล) อันดับสูงสุด อัลบั้ม
    WW U.S. UK CAN AUS GER FRA
    1998 "...Baby One More Time" 1 1 1 1 1 1 1 ...Baby One More Time
    1999 "Sometimes" 5 21 3 2 6 13
    "(You Drive Me) Crazy" 1 10 5 8 12 4 2
    "Born to Make You Happy" [ชาร์ต 1] 1 1 21 3 9
    2000 "From the Bottom of My Broken Heart" [ชาร์ต 2] 14 37
    "Oops!... I Did It Again" 1 9 1 4 1 2 4 Oops!... I Did It Again
    "Lucky" 2 23 5 50 3 1 16
    "Stronger" 3 11 7 9 13 4 20
    2001 "Don't Let Me Be the Last to Know" 10 112 12 34 12 27
    "I'm a Slave 4 U" 5 27 4 8 7 3 8 Britney
    2002 "Overprotected" 6 85 4 22 16 15
    "I'm Not a Girl, Not Yet a Woman" 6 102 2 47 7 10 25
    "I Love Rock 'n' Roll" [ชาร์ต 1] 37 13 33 13 7
    "Boys (The Co-Ed Remix)" (featuring Pharrell Williams) 19 109 7 21 14 19 55
    "Anticipating" [ชาร์ต 3] 38
    ปี ค.ศ. เพลง (ซิงเกิ้ล) อันดับสูงสุด อัลบั้ม
    WW U.S. UK CAN AUS GER FRA
    2003 "Me Against the Music" (featuring Madonna) 1 35 2 2 1 5 11 In the Zone
    2004 "Toxic" 1 9 1 1 1 4 3
    "Everytime" 1 15 1 2 1 4 2
    "Outrageous" 4 79
    "My Prerogative" 4 101 3 7 3 18 Greatest Hits: My Prerogative
    2005 "Do Somethin'" [ชาร์ต 4] 13 100 6 12 8 18 70
    "Someday (I Will Understand)" [ชาร์ต 5] 22 Britney & Kevin: Chaotic
    2007 "Gimme More" 2 3 3 1 3 7 5 Blackout
    "Piece of Me" 6 18 2 5 2 7
    2008 "Break the Ice" 22 43 15 9 23 25
    "Womanizer" 1 1 3 1 5 4 1 Circus
    "Circus" 7 3 13 2 6 11 19
    2009 "If U Seek Amy" 19 20 13 11 36 10
    "Radar" 88 46 53 46 44
    "3" 2 1 1 7 The Singles Collection
    รวมเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 8 3 5 5 5 2 2  
    รวมเพลงในอันดับ 10 20 8 19 12 16 17 10  
    รวมเพลงในอันดับ 20 22 13 24 15 22 21 17  
    หมายเหตุ
    1. 1.0 1.1 วางขายเฉพาะประเทศในยุโรปและแคนาดา
    2. ^ วางขายเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และ ละตินอเมริกา
    3. ^ วางขายเฉพาะประเทศฝรั่งเศส และ บราซิล
    4. ^ ไม่วางขายในประเทศสหรัฐอเมริกา
    5. ^ โปรโมซิงเกิ้ล

    [แก้]ทัวร์คอนเสิร์ต

    • 1999: ...Baby One More Time Tour
    • 2000: Crazy 2K Tour
    • 2000: Oops!... I Did It Again World Tour
    • 2001-2002: Dream Within a Dream Tour
    • 2004: The Onyx Hotel Tour
    • 2007: The M+M's Tour
    • 2009: The Circus Starring: Britney Spears

    [แก้]ผลงานการแสดง

    • Longshot (2543)
    • Crossroads (2545)
    • Austin Powers in Goldmember (2545)
    • How I met you mother (2551)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×