คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #142 : วังหน้า
ตั้งแต่ รัชกาลที่ ๑-๓ ออกพระนามว่า
๑. สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๑
๒. สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๒
๓. สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๓
บางทีออกพระนามย่อลงไปว่า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท และ ฯลฯ
บางทีก็ลดคำนำพระนาม ออกพระนามเพียงกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท และ ฯลฯ
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว วังหน้าในรัชกาลที่ ๔ |
พระนามเฉพาะพระองค์มาจากราชทินนามเดิม คือ เจ้าพระยาสุรสีห์ และ พระนามทรงกรม คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ และ กรมหมื่นศักดิพลเสพ
วังหน้าในรัชกาลที่ ๔ ทรงมีพระเกียรติยศ เป็นพิเศษกว่าวังหน้ารัชกาลก่อนๆ ด้วยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดฯให้เสด็จขึ้นบวรราชาภิเษก เป็นพระเจ้าแผ่นดินคู่กันกับวังหลวง มิใช่เป็นเพียงพระมหาอุปราช เช่นในรัชกาลที่ ๑-๒-๓
จึงในการสถาปนาขึ้นเป็นวังหน้า โปรดฯ ให้ใช้ว่า ‘บวรราชาภิเษก’ มิได้ใช้ ‘อุปราชาภิเษก’ ดังก่อนๆ มา
โปรดฯให้เรียกพระราชวังหน้าว่า ‘พระบวรราชวัง’ แทนที่เคยเรียกว่า ‘พระราชวังบวรสถานมงคล’
คำสั่งที่เคยใช้ว่า ‘พระราชบัณฑูร’ ก็โปรดฯ ให้เปลี่ยนเป็น ‘พระบวรราชโองการ’ อธิบายง่ายๆ ว่าหากคำใดวังหลวงใช้ว่า ‘บรม’ วังหน้าก็ใช้ว่า ‘บวร’
วังหน้าในรัชกาลที่ ๕
วังหน้าในรัชกาลที่ ๕ นั้น ออกพระนามว่า ‘กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ’ พระนามมาแต่พระนามทรงกรมเดิมว่า กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ วังหน้าในรัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระเกียรติยศไม่ถึงวังหน้าในรัชกาลที่ ๑-๒-๓
เพราะแต่โบราณมานั้นวังหน้า มักจะเป็นพระราชอนุชา ร่วมพระครรโภทร กับวังหลวง หรือมิฉะนั้นก็เป็นพระญาติชั้นผู้ใหญ่อันสนิท ดังเช่น ในรัชกาลที่ ๑ และ ๒ และส่วนในรัชกาลที่ ๓ พระเจ้าแผ่นดิน มิได้มีพระราชอนุชา ร่วมพระครรโภทร จึงโปรดฯสถาปนา พระเจ้าอา ชนมายุรุ่นราวคราวเดียวกันขึ้นเป็นวังหน้า
ทว่าวังหน้าในรัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นเพียงลูกผู้น้องของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งตามพระราชประเพณีต้องบรมราชาภิเษกแล้ว แล้วพระเจ้าแผ่นดินจึงทรงตั้งวังหน้า หากแต่เมื่อที่ประชุมขุนนางเจ้านายอัญเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จขึ้นครองราชย์ในวันนั้นก็ได้ตั้งวังหน้าพร้อมกัน
กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ วังหน้าในรัชกาลที่ ๕ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว |
เจ้าจอมพระสนมในวังหน้ารัชกาลที่ ๑-๔ เรียกว่า ‘เจ้าจอม’ และ ‘เจ้าจอมมารดา’ คำนำพระนามพระราชโอรสธิดาใช้ว่า ‘พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ’
ส่วนเจ้าจอมพระสนมในวังหน้ารัชกาลที่ ๕ เรียกว่า ‘จอม’ และ ‘จอมมารดา’ ไม่มีคำว่า ‘เจ้า’ คำนำพระนามพระโอรสธิดา ใช้ว่า ‘พระราชวรวงศ์เธอ’ ไม่มีคำว่า ‘เจ้า’ เช่นกัน
ในรัชกาลที่ ๒ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ได้เพียง ๒ เดือน เกิดศึกทางใต้ดังที่เล่ามาแล้ว ปรากฏเกียรติยศของเมืองถลางว่า สามารถรักษาเมืองอยู่ได้นานถึง ๒๗ วัน ทั้งๆ ที่ถูกล้อมแน่นหนา จนกระทั่งหมดสะเบียงอาหารจึงเสียเมืองถลาง พอดีกองทัพไทยซึ่งกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์เป็นจอมพลบัญชาการศึกและรบชนะเรื่อยมา ยกมาช่วยเมืองถลางพร้อมด้วยทัพแขกไทรบุรี ในพระราชพงศาวดารจดไว้ว่า
‘พม่าที่เมืองถลางได้ข่าวว่ากองทัพไทยยกมา ได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งสำคัญว่าเป็นเสียงปืนจากกองทัพไทย แม่ทัพจึงรีบสั่งอพยพผู้คน และทรัพย์สินหนีลงเรือไป ครั้นกองทัพไทยไปถึง พม่ายังหนีไม่หมด ไทยก็เข้าโจมตีพม่าเสียชีวิตและถูกจับได้เป็นอันมาก’
เสร็จศึกแล้ว ปรากฏว่าครั้งนี้เมืองถลางเสียหายมาก กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ ทรงพระดำริว่าครั้นจะตั้งขึ้นใหม่ก็ไม่มีกำลังจะรักษาไว้ได้ หากพม่ายกมาอีกจะยกทัพจากกรุงเทพฯไปช่วย ก็อาจไม่ทันเวลา จึงโปรดฯให้รวบรวมผู้คนย้ายมาตั้งเมืองอยู่ตรงปากน้ำพังงา เรียกว่า เมืองพังงา ส่วนเกาะถลางให้อยู่ในความดูแลของเมืองนครศรีธรรมราชต่อไป
อันเมืองถลาง เคยมีชื่อเสียงมาแล้ว เมื่อศึกพม่าครั้ง พ.ศ.๒๓๒๘ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เพิ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ได้เพียง ๓ ปี ศึกครั้งนั้นเกิดวีรสตรีขึ้น ๒ ท่าน คือ ท้าวเทพสตรี และท้าวศรีสุนทร สองพี่น้อง ดังที่ทราบกันอยู่โดยทั่วไป
กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ เสด็จฯยกกองทัพไปคราวนั้น ได้มีมหาดเล็กฝ่ายพระราชวังบวรฯ ตามเสด็จไปด้วยผู้หนึ่ง เป็นมหาดเล็กยศหุ้มแพร บรรดาศักดิ์ว่านายนรินทร์ธิเบศร์
ระหว่างตามเสด็จไปในกองทัพ นายนรินทร์ธิเบศร์ ได้แต่งนิราศไว้เรื่องหนึ่ง ซึ่งต่อมานับว่าเป็นยอดของนิราศ เป็นที่รู้จักกันดีในนาม ‘นิราศนรินทร์’ เพียงสั้นๆ
โคลงหลายโคลงในนิราศมีความไพเราะลึกซึ้งจนกระทั่งติดใจติดปากผู้คน ไม่แพ้กลอนของสุนทรภู่ ดังเช่นโคลงที่ว่า
โอ้ศรีเสาวลักษล้ำ แลโลม โลกเอย หรือ ตราบขุนศีรีข้น ขาดสลาย แลแม่ |
โดยเฉพาะบาทสุดท้ายนี้ มีผู้นำมาเอ่ยอ้างกันมากในการเน้นถึงความรักความเสน่หาอาลัย
มหาดเล็กวังหน้านั้นมี ๔ เวร เช่นเดียวกันกับวังหลวง มีหัวหมื่น เป็นหัวหน้าเวร ๔ ถัดลงไป คือ นายเวร ๔ แล้วก็จ่า ๔ และ หุ้มแพรต้นเชือกซึ่งมี ๔ นายเช่นกัน เป็นหัวหน้าหุ้มแพรทั้งหมด ๑๖ นาย มีบรรดาศักดิ์คล้องจองกันเป็นคู่ๆ ดังนี้
นายจงใจภักดิ์ นายรักษ์ภูวนารถ
นายภักดีนารถ นายราชบริรักษ์
นายพิศาลสรรพกิจ นายพิจิตรปรีชา
นายนรินทร์ธิเบศร์ นายนเรศร์ธิรักษ์
นายราชาภักดิ์ นายรักษ์ภูมินทร์
นายบำเรอราชา นายนราธิบาล
นายสุดจำลอง นายฉลองนัยนารถ
นายราชจินดา นายทรงใจรักษ์
ความคิดเห็น