คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #119 : ยามอุบากอง
ยามอุบากองเป็นตำราบอกฤกษ์ยามที่คนรุ่นปู่ย่า ตายายถึงรุ่นพ่อรุ่นแม่ (ของคนอายุ ๗๐-๘๐) รู้จักกันดี ได้ยินท่องกันคล่องปากลงมาถึงรุ่นลูก (อายุ ๗๐-๘๐) พลอยคล่องปากไปด้วย เมื่อเด็กๆ เคยได้ยินย่าท่องให้ฟังบ่อยๆ แต่มักจะท่องเพียงว่า
“ศูนย์หนึ่ง อย่าพึ่งจร แม้นราญรอนจะอัปรา” และ “สองศูนย์ เร่งยาตรา จะมีลาภสวัสดี”
ทว่าคำทายทักเต็มๆ นั้นว่า
“ศูนย์หนึ่ง อย่าพึงจร แม้นราญรอนจะอัปรา
สองศูนย์ เร่งยาตรา จะมีลาภสวัสดี
สี่ศูนย์ พูนผล จรดลลาภมากมี
ปลอดศูนย์ พูนสวัสดิ์ ภัยพิบัติลาภไม่มี
กากบาท ตัวอัปรีย์ แม้จรลีจะอัปรา”
หน้าตายามอุบากอง ดูตามภาพประกอบ จะเห็นมีเลข ๐ มี + และมีช่องที่ว่างอยู่คือ ปลอดศูนย์
บางท่านจึงนับถือยามอุบากองเป็นยามบอกเวลาออกจากบ้านทุกครั้ง บางทีดูเหมือนจะยึดถือมากไป จนบางครั้งกลับเสียประโยชน์ เพราะมัวแต่ชักช้าดูฤกษ์ดูยามไม่ทันการ
เล่าเฉไปสักนิด ก่อนเข้าจุด
เมื่อครั้งสงครามอินโดจีนฝรั่งเศส ชิงดินแดนคืน เมื่อปลาย พ.ศ.๒๔๘๓-ต้นปี พ.ศ.๒๔๘๘ ลุงท่านหนึ่งเป็นนายทหารนักบิน ต้องออกรบกับเขาด้วยย่าแนะให้ดูยามอุบากอง ก่อนบิน ทำให้ลุงหัวร่อ บอกว่าผู้บังคับบัญชาเขาสั่งให้บินเมื่อไหร่ก็ต้องบินเมื่อนั้น ถ้าผมมัวดูยามอุบากองของคุณแม่ก็เข้าคุกเท่านั้นเอง ลุง พ่อ อา เลยต่างหัวร่อขันย่ากันทุกคน
สงครามครั้งนั้นคนไทยเป็นหนึ่งใจเดียวกัน ทหารออกรบแนวหน้า แนวหลังก็ให้กำลังใจ ทำถุงของขวัญส่ง ร้องเพลงปลุกใจออกวิทยุกันทุกวัน
วันหนึ่งมีข่าวมาจากกองบินว่าลุงนำเครื่องบินออกไปทิ้งระเบิด แล้วก็หายไป ไม่กลับมาตามเวลา
ย่าอกสั่นขวัญแขวน เฝ้าแต่บ่นว่าเพราะไม่ดูฤกษ์ยามถึงได้อัปรา แล้วก็บนบานศาลกล่าวขอให้ลุงปลอดภัยกลับมา
วันรุ่งขึ้นมีข่าวเข้ามาว่า ลุงนำเครื่องบินกลับมาแล้ว เวลานั้นยังเด็กมากไม่ได้สนใจว่าลุงหายไปไหน มัวแต่พากันดีอกดีใจจะได้ดูละครชาตรีแก้บน เล่นในสนามหน้าบ้านของตัวเองตั้งสองวัน โก้พิลึก ลุกขึ้นไปนั่งดูตั้งแต่ตัวละครรับประทานข้าวเช้า ผัดหน้าทาแป้งแต่งเครื่องละครชาตรีสมัยนั้นลงโรงเก้าโมง เที่ยวหยุดพัก แล้วเริ่มใหม่ประมาณบ่าย ๒ โมงถึง ๔ โมง บางทีอาจเลยไปถึง ๕ โมง ถ้าเจ้าบ้านตบรางวัลงามๆ บ่อยๆ
ทีนี้เข้าเรื่องยามอุบากองถึงที่มาและตัวอุบากองเจ้าของตำรา
ตามพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ ๑ จดไว้ว่า ไทยจับอุบากองเป็นเชลยได้ ใน พ.ศ.๒๓๓๘ เมื่อพม่ายกทัพมาล้อมเชียงใหม่
เวลานั้นเชียงใหม่ซึ่งพระยา (หรือพระญา) มังราวชิรปราการกำแพงแก้ว (หรือเจ้าหลวงกาวิละ) เป็นเจ้าหลวงอยู่ เวลานั้นเห็นจะตั้งอยู่ที่เวียงป่าซาง ยังมิได้เข้าไปอยู่ในนครเชียงใหม่ ด้วยเป็นนครเก่าร้างมานาน ตามประวัติเมืองเชียงใหม่ว่า พ.ศ.๒๓๓๙ จึงได้ยกจากป่าซางเข้านครเชียงใหม่
ดังนั้น ที่ว่าพม่ายกทัพเข้าล้อมเชียงใหม่ ก็คงจะล้อมเวียงป่าซางนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๑ มิได้เล่าถึงศึกครั้งนี้ละเอียดนัก จดไว้แต่เพียงว่า (ตัวสะกดอย่างเดิม)
“ลุศักราช ๑๑๕๗ ปีเกาะสัปตศก ในรัชกาลที่ ๑ เดือน ๕ พม่ายกมาตีเมืองเชียงใหม่ กรมพระราชวังบวรยกขึ้นไปช่วย ตีพม่าแตกไป จับอุบากองนายทับพม่าได้คนหนึ่ง แล้วเจ้าเมืองเชียงใหม่ถวายพระพุทธสิหิงค์ เป็นพระพุทธรูปศักดิสิทธิ์สำรับเมืองเชียงใหม่ลงมา...”
อุบากอง ตกมาเป็นเชลยในเมืองไทย ถูกจำขังอยู่ในคุกหลวง เป็นเวลาถึง ๗ ปี ที่เรียกว่า คุกหลวงเพราะในสมัยโน้นตามวังและบ้านขุนนางสำคัญๆ ต่างมีคุกไว้ขังเชลยขังทาส เช่นกัน
ตลอดเวลาเจ็ดปีที่อยู่ในคุก อุบากองได้ทำความสนิทคุ้นเคยกับผู้คุม และนักโทษ ตลอดจนคนไทยชาวบ้าน อุบากองได้ทำลูกประคำจากปูนแดงและหินอ่อนทำนองเครื่องรางของขลังขาย ได้เงินมาก็แบ่งให้ผู้คุม อุบากองจึงเป็นนักโทษพิเศษ ผู้คุมยอมให้ไปไหนมาไหนและเที่ยวเตร่นอกคุกได้
อุบากองมียันต์สักติดแขน คงจะเป็นท้องแขน เพราะง่ายต่อการดูเพื่อคำนวณ ยันต์นี้ก็คือยันต์ดูฤกษ์ยามที่ต่อมาเรียกกันว่า ยามอุบากองนี้
สันนิษฐานกันว่า ที่สักไว้นั้นคงเป็นรูปยันต์สี่เหลี่ยมขมวดเป็นห่วง ๔ มุม อย่างยันต์ทั่วๆ ไป และคงมิได้มีตัวเลขคำนวณไว้ชัดเจน ดังที่ปรากฏอยู่ในตำรามาจนทุกวันนี้ เมื่ออุบากองบอกยันต์ดูฤกษ์ยามนี้แก่คนไทยที่สนิทสนมกัน แล้วจำกันมาต่อๆ ท่านคงจดไว้เป็นตำราอย่างเรียบร้อย และด้วยความที่คนไทยมีนิสัยเจ้าบทเจ้ากลอน จึงแต่งคำทายทักออกมาให้คล้องจองกัน
อุบากองหนีคุก (ไม่น่าจะใช้คำว่า ‘แหกคุก’ เพราะแหกคุกนั้นหมายถึงต้องมีการต่อสู้ฝ่าออกมา) เมื่อ พ.ศ.๒๓๔๕ เลขเรียงกันจำง่ายดี
พ.ศ.๒๓๔๕ เกิดศึกพม่ายกมาล้อมเชียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ล้อมเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเพิ่งจะตั้งเมือง “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” เพิ่งจะมั่นคงสมบูรณ์ได้เพียง ๖ ปี
อุบากองนี้ เห็นทีจะเกรงกลัวสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทอยู่เพียงพระองค์เดียว ถูกขังคุกอยู่หลายปีไม่กล้าหนี แต่พอสมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ เสด็จยกทัพไปเชียงใหม่ จึงได้ฉวยโอกาสหนี
พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๑ จดเรื่องอุบากองหนีเอาไว้ว่า (สะกดอย่างเดิม)
“ในปีนั้นอุบากองนายทับพม่าซึ่งจับมาได้แต่ปีเถาะสัปตศก โปรดให้จำไว้ไม่ประหารชีวิตร เพราะจะเอาไว้ไถ่ถามข้อความที่เมืองพม่า ครั้นอยู่มาอุบากองมีวิชาทำลูกแดง ที่คั่นลูกปะหล่ำขายได้เงินมาก ก็แบ่งให้พัศดีทำบรงผู้คุมเหนว่าเป็นบุตรไทยไม่ใช่พม่าแท้ ได้เงินแล้วก็จำแต่ตรวนลด อุบากองเที่ยวไปค่างไหนก็ไปได้ จนมีเพื่อนฝูงที่สนิท ก็คิดหนีไปเมืองพม่า ครั้นแจ้งว่ากรมพระราชวังบวรฯ เสด็จไปทางเมืองเชียงใหม่แล้ว ก็ลงเรือน้อยออกทางปากน้ำเมืองสมุทสงคราม แล่นเลียบไปตามริมฝั่งขึ้นท่าที่สิงขร ทางสิงขรนั้นเดินวันหนึ่ง ก็ตกแดนมฤท (เมืองมริด) โปรดให้ติดตามก็ไม่ได้ตัว ลูกแดงนั้นเขาว่ามันทำด้วยปูนแดงบ้าง ศิลาอ่อนบ้าง ไม่มีผู้ใดได้วิชาของมันไว้”
ความคิดเห็น