เรื่องเล่าฝันวันศุกร์ - เรื่องเล่าฝันวันศุกร์ นิยาย เรื่องเล่าฝันวันศุกร์ : Dek-D.com - Writer

    เรื่องเล่าฝันวันศุกร์

    เรื่องราวบางเรื่องไม่ต้องการเหตและผล ไม่ต้องการที่มาที่ไป แต่พอมาอยู่รวมกับมันอาจเป็นเรื่องที่สนุกและน่าสนใจก็เป็นได้

    ผู้เข้าชมรวม

    116

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    116

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  25 พ.ย. 56 / 04:01 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ปกติเวลานอนผมจะเป็นคนหลับลึก เป็นประเภทรู้สึกตัวอีกทีก็เช้าเลย ไม่ค่อยมีฝงมีฝันเหมือนชาวบ้านชาวช่องซักเท่าไร

      ทว่าฝันเมื่อคืนถือว่าน่าสนใจ มีเรื่องมีราวที่น่าติดตาม และรู้สึกคันปากอยากจะนำมาเล่าสู่กันฟังให้ลองอ่านกันสนุกๆดู

      สตอรี่นี้เหมือนไม่มีที่มาที่ไป ความรู้สึกประมาณเปิดทีวีมาเจอตอนต่อของละครโนเนมที่เราไม่เคยได้รับรู้เนื้อเรื่องก่อนหน้านี้เลย

      ที่พอจำความได้คืออยู่ๆผมกำลังนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซด์คันนึง เป็นการนั่งซ้อนสามเสมือนเป็นเด็กแว็นซ์อยู่กับเพื่อนๆที่คุ้นเคย คาดว่าจะเป็นการขับรถเล่นชมวิวโดยไม่มีจุดหมาย

      ระหว่างที่รถแล่นกำลังจะถึงสะพานข้ามคลองแห่งหนึ่ง ภาพที่อยู่เบื้องหน้ามี มอเตอร์ไซด์ 2 คันขับขนานกันอยู่ที่กลางสะพาน โดยหนึ่งใน 2 ขันนั้นมีคนที่พวกเรา 3 คนรู้จัก

      บรรยากาศของทั้งคู่เหมือนกำลังมีปากเสียงอะไรซักอย่าง และช่วงเวลาเพียงเสียวนาที ไม่ทันที่พวกเราจะได้แอบฟัง หรือคิดวิเคราะห์ว่าคนทั้งสองกำลังสนทนาด้วยเรื่องอันใด

      บุคคลที่ผมรู้จักจัดการถีบบุคคลข้างๆเข้าเต็มแรง รถมอเตอร์ไซด์เสียการทรงตัวสะบัดพุ่งไปชนราวสะพาน ตัวคนขับพุ่งหลาวร่วงลงไปสู่แม่น้ำ ก่อนที่คู่กรณีจะสปีดหนีจากจุดเกิดเหตุไปอย่างรวดเร็ว

      พวกเรา 3 คนที่มองเห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจน เกิดความตกอกตกใจรีบขับพาหนะมาจอดข้าง "ฟีโน่สีแดงเพลิง" ที่ล้มแน่นิ่งอยู่ และรีบลงจากรถไปชะโงกดูว่าไอ้ที่ตกน้ำอยู่เป็นอย่างไร

      หลังจากเพ่งกันอยู่นาน ภาพของชายด้านล่างที่พยายามเอามือตีน้ำ หัวดำผุดดำโผล่ อาการเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ

      พอเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น พวกเรา 3 คนอุทานทันทีว่า "เชี่ยแล้ว แม่งว่ายน้ำไม่เป็นนิหว่า" พร้อมกลับอาการรนราน ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย โดยไม่รู้จะทำอย่างไรกันดี

      ไอ้ตัวผมมันถูกตัดบทไปโดยปริยาย เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองว่ายน้ำไม่เป็น ครันจะโดดลงไปช่วย ก็คงจะกลายเป็นศพที่สอง ตายเคียงคู่พ่อหนุ่มคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

      ระหว่างที่กำลังสับสนกันอยู่ "ไอ้เตี้ย" (นามสมมติ) หนึ่งในสมาชิก 3 โทนของพวกเรา ที่ดูบุคลิกน่าจะว่ายน้ำแข็งที่สุดในกลุ่ม ตัดสินใจถอนเสื้อปีนขึ้นราวสะพาน แล้วโดดตู้มลงน้ำไปอย่างรวดเร็ว

      ผมกับเพื่อนคนที่เหลือตอนแรกได้แต่อ้าปากค้าง ต่างหัวใจเต้นระรัวและภาวนาให้เพื่อนผู้กล้าหาญของเราสามารถช่วยไอ้หนุ่มดวงแตกรายนี้ได้สำเร็จ

      ภาพที่เราเห็นราวกับดูหนังในภาพยนต์อะไรทำนองนั้น คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นไม่เคยงอมืองอเท้าให้ช่วยง่ายๆ เขาเอามือก่ายไปก่ายมาด้วยความทุรนทุราย จน "ไอ้เตี้ย" ไม่สามารถเข้าช่วยได้ถนัด

      "ไอ้เตี้ย" พยายามแหกปากให้ชายหนุ่มคนนั้นอยู่นิ่งๆ ไม่เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นตัวถ่วงที่ฉุดให้มันต้องมีอันเด๊ดสะมอเร่ไปด้วยอีกราย

      แต่เราทุกคนทราบดี คนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ย่อมจะขาดสติเป็นธรรมดา ชายหนุ่มคนนั้นไม่ฟังคำพูดของเพื่อนพวกเราเลย

      จนสุดท้าย "ไอ้เตี้ย" ต้องงัดวิชาปฐมพยาบาลเบื้องต้น สมัยที่เคยเรียนลูกเสือเข้ามาเป็นไม้ตายสุดท้าย เพื่อไม่ให้ทุกอย่างมันสายเกินไป

      เจ้าของร่างที่มีความสูงเพียง 160 เซนติเมตร ตัดสินใจว่ายน้ำอ้อมไปด้านหลังผู้ประสบภัย ก่อนเอาแขนซ้ายข้างที่มักจะถูกใช้งานในยามดึก สอดเข้าไปใต้รักแร้ ซึ่งคราวนี้ทุกอย่างราบรื่นเหมือนอย่างที่เรียนมาในตำราเป๊ะ

      พอได้เห็นภาพเพื่อนรักสามารถช่วยชายนิรนามคนนั้น "ไอ้เตี้ย" พยายามว่ายน้ำลากเขาคนนั้นเข้าฝั่งอย่างไรปัญหา เราสองคนที่อยู่ด้านบนก็รู้สึกโล่งใจ พร้อมกับหันหน้ามาปะมือซึ่งเป็นท่าประจำที่ทำอยู่เสมอๆ

      ทว่าสีหน้าของเรา 2 คนมีอันต้องถอดสีอย่างกระทันหัน เมื่อหันไปเห็นชายปริศนารูปร่างสูงใหญ่ ตัวดำเงา ลักษณะคล้ายพวกโจรใต้ เอาปืนยืนจ่อใส่ตัวพวกเราอยู่

      ชายคนนั้นตะคอกเสียงดังทันทีที่พวกเราหันไปเจอว่า "ไอ้พวกเวร พวกมึงทำอะไรลูกกู อยากเป็นผีเฝ้าสะพานนี้กันนักหรือไง"

      ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด ปกติพวกเราที่เป็นนักเลงคีบอร์ด กล้าสู้เสมอเมื่ออยู่ในโลกโซเชียล ไม่เคยเจอใครเอาปืนมาจ่อพร้อมยิงอย่างนี้มาก่อน

      เรา 2 คนพยามยามสลับกันอธิบายด้วยอาการหวาดกลัว ปากสั่น พูดไม่ค่อยชัด แต่เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ฟังพวกเราเลย ยิ่งทำให้เราไม่แน่ใจว่าอนาคตของตัวเองจะเป็นอย่างไร

      ชายผิวสีสังเกตุภาพด้านล่างจนมั่นใจว่าลูกตัวเองปลอดภัย ก่อนจะหันตัวกลับมาหาพวกเราพร้อมแหกปากเสียงดังอีกครั้งว่า "ถึงเวลาคิดบัญชีพวกมึงแล้ว"

      อาการขาสั่นที่ไม่ได้มาจากการช่วยตัวเอง น้ำหูน้ำตาเริ่มหลั่งรินออกมาโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเรา 2 คนมองหน้ากันโดยเหมือนจะรู้ชะตาตัวเองกำลังจะถึงฆาต

      ทันใดนั้นก็มีเสียงมอเตอร์ไซด์แว่วดังเข้ามาขัดจังหวะ ไอ้คนที่เรารู้จักและเป็นคนถีบลูกชายไอ้หอกหักตัวนี้ลงน้ำไปเมื่อไปกี่นาทีที่ผ่านมา กลับมาอยู่ในเหตุการณ์หลักอีกครั้ง สงสัยเขาคงแอบดูสถานการณ์อยู่ไกลๆ

      ชายหนุ่มคนดังกล่าวลงรถมาอย่างมาดแมน สารภาพเรื่องทุกอย่างให้กับพ่อของโจทย์ของเขาฟัง ในความรู้สึกของผมตอนนี้ชายที่อยู่เบื้องหน้าราวกับพระโพธิสัตว์มาโปรดก็มิปาน

      พอได้รู้ความจริง หนุ่มใหญ่หน้าเยี่ยงโจรใต้ โมโหสุดขีด เดินเข้าไปตบหน้าเด็กวัยลูกตัวเองอย่างแรง พร้อมกับเอาปืนจี้หัวและพร้อมที่จะลั่นไกได้ทุกเมื่อ

      จากที่เราโล่งใจได้เพียงแว็บเดียว ความหวาดเสียวก็เข้ามาครอบงำอีกครั้ง แม้ว่าหนนี้จะไม่ใช่ชีวิตของเราที่ถูกเดิมพัน แต่หากกระสุนถูกลั่น มีเลือดสาดเละต่อหน้าต่อหน้าก็คงไม่ใช่ภาพที่สวยชวนมองนัก

      หัวใจของผมเต้นถี่และดังอย่างต่อเนื่อง เสียง "ตึก ตึก ตึก" ก้องกังวานอยู่ในหัวสมอง เหตุการณ์ทุกอย่างราวกับภาพสโลโมชั่น ที่ต้องลุ้นระทึกไปในทุกวินาที

      กล้องซูมเข้าไปที่ด้ามปืนเงาดำดูน่าเกรงขาม ใบหน้าทุกคนเหยเกไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย นิ้วก้อยของชายสูงอายุค่อยๆบดเข้ากับที่ไกปืน

      เปรี้ยง.......ผมสะดุ้งตื่นพร้อมกับเสียงนาฬิกาปลุกที่ถูกเซ็ตเพลง "เอาให้ตาย" ของ อีโบล่า ที่ดังสนั่น

      เหงื่อผมไหลท่วมกาย ใบหน้าสุดสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น ผมมองไปรอบๆเห็นตัวเองนั่งอยู่ในห้องใต้บันไดของที่ทำงาน

      ผมตระหนักทันทีว่าทุกอย่างมันคือเพียงความฝัน หันไปมองนาฬิกาที่บอกเวลาใกล้รุ่งสาง ผมรีบลุกจากที่นอนพร้อมไปสะกิดเพื่อน
      ร่วมงานที่หน้าเหมือน บลังก้า ใน สตีทไฟเตอร์ ว่า

      "พี่ๆกลับบ้านกันเถอะ เดี่ยวรถจะติด"

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×