ผมเพิ่งย้ายมาเป็นจิคแพทย์ในโรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด โรงพยาบาลแห่งนี้ก่อตั้งมานานหลายสิบปี มีผู้ป่วยโรคจิตที่อยู่ในความดูเเลนับร้อยคนโดยมีอาการป่วยหลากหลายประเภท ทั้งซึมเศร้า หลงผิด หวาดระเเวงเเละประสาทหลอน โยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการใช้สารเสพติดจิตใจได้รับการกระทบเทือนอย่างรุนเเรง ประสบอุบัติเหตุทางสมอง เเต่ก็มีบางรายที่ไม่สามารถหาเหตุของอาการทางจิตได้ เเละมีผู้ป่วยของผมรายหนึ่งจัดอยู่ในกลุ่มหลังนี้ เขาชื่อ "บรรเจิด" หนุ่มใหญ่อายุราวสี่สิบปีทางโรงพยาบาลรับมาดูเเลอยู่นานหลายปี ในยามที่เขามีอาการปกติ จะชอบวาดรูปต้นไม้ วาดทิวทัศน์ วาดอาคาร สิ่งก่อสร้าง ฝีมือการวาดจัดว่าดีเยี่ยมเลยทีเดียว ถ้าให้เขาเเต่งตัวตามปกติไม่ใช่ชุดคนไข้ ใครมาเห็นต้องคิดว่าเป็นศิลปินที่เปลี่ยนบรรยากาศมาวาดรูปในโรงพยาบาลบ้า เเต่ในยามที่เขามีอาการทางจิตของเขากำเริบ จะเเสดงอารมณ์รสุดขั้วออกมาบางครั้งก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น สีหน้าเเววตาเศร้าหมองเหมือนกับคนที่ผิดหวังเสียใจอย่างรุนเเรง บางครั้งก็จะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนคนที่อยู่ในอารมณ์โกตรวจสภาพรธเเค้น พร้อมตโกนออกมาด้วยคำพูดประโยคเดิมๆที่ฟังเหมือนเขากำลังขับไล่ใครบางคนในจิตนาการที่คอยตามมาหลอกหลอนเขาอยุ่ "ฉันเกลียดเเก ไปให้พ้น ฉันไม่อยากเห็นหน้าเเก" ฟังดูไม่เห็นเป็นเรื่องเเปลกอะไรเพราะผู้ป่วยทางจิตหลายคนก็มีอาการประสาทหลอน เเต่สำหรับนายบรรเจิดจากการตรวจสภาพร่างกายอย่างละเอียดเขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่เคยเป็นโรคผิดสุราเรื้อรัง ไม่เคยประสบอุบัติเหตุุร้ายจนสมองกระทบกระเทือน ผมก็เคยสงสัยว่าอะไรที่เป็นสาเหตุให้เขามีการเเบบนี้ ผมพยายามาสืบหาสาเหตุจากการใช้ชีวิตที่ผ่านมา เเต่คงเป็นเรื่องยาก เนื่องจากเขาไม่ให้ความร่วมมือ ซักถามอะไรก็เอาเเต่นิ่งเงียบ อีกทั้งยังไม่สามารถติดต่อญาติพี่น้องหรือเพื่อนสนิทเพื่อสอบถามข้อมุลเกี่ยวกับตัวเขาได้ ทุกอย่างจึงดูมืดมน วันหนึ่งหลังจากอาการของบรรเจิดกำเริบอีกค ป้รั้ง ผมถือโอกาสนี้พูดคุยเรื่องนี้กับป้านิดพยาบาลวัยใกล้เกษียณ "ป้านิด พอรู้บางมั้ย ใครคือคนที่ตามหลอกหลอนบรรเจิด" พยาบาลสูงวัยมองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"หมอเชื่องเรื่องเจ้ากรรมนายเวรไหม" ก็เชื่อบ้าง ผมตอบตามความเป็นจริง เเม้พมจะเรียนจบเเพทย์ เเต่ก็สนใจเรื่องศาสนา เรื่องเวรกรรมอยู่เหมือนกัน ป้าจะเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง"
เมื่อหลายสิบปีก่อนน้าของป้าเข้าไปล่าสัตว์ เเล้วยิงชะนีเเม่ลูกอ่อนตาย เอาลูกของมันมาขังไว้รอขาย ไม่นานน้าของป้าก็ล้มป่วยโดยไม่มีสาเหตุ ร้องไห้คร่ำครวญบอกใครๆว่ามองเห็นชะนีกำลังมาทำร้าย ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็นอะไรทั้งนั้น ตากับยายต้องพาไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ชะนีตัวนั้นเเล้วเอาลูกชะนีไปให้สวนสัตว์ดูเเล อาการของน้าจึงดีขึ้น"
"จริงรือครับ"
"จริงสิ เเล้วนายบรรเจิดก็ดูเหมือนมีประวัติไม่ดี ตอนที่มาโรงพยาบาลครั้งเเรก ญาติที่พามาก็ไม่ยอมให้ข้อมูลอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นนามสกุล ที่อยู่ บอกเเต่ว่าชื่อบรรเจิด ป้าสงสัยว่าต้องหนีคดีมาเเน่นอน" คำบอกเล่าของป้านิดทำให้ผมยิ่งอยากรู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขาเกิดประสาทหลอน ใจผมเริ่มเอนเอียงไปใหเรื่องเวรกรรม เเต่วิธีเดียวที่ผมจะได้คำตอบที่ถูกค้องก็คือต้องได้ยินเรื่องราวออกจากปากของนายบรรเจิด เเต่เท่าที่รู้ เมื่อถูกจิตเเพทย์คนก่อนๆหรือใครก็ตามถามถึงเรื่องส่วนตัว เขาจะปิดปากเงียบ ถ้าซักถามมากๆอาการประสาทก็จะกำเริบ ทำให้ทุกคนล้มเลิกความคิดที่จะคุยเรื่องนี้กับเขา เเต่ผมยังไม่ยอมเเพ้ยังไงก็ต้องลองดูสักครั้ง ก่อนอื่นต้องทำตัวให้เขาไว้ใจเสียก่อน ผมเลยไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับการวาดภาพพร้อมลองหัดวาด เพื่อจะได้มีเรื่องคุยกับเขา วันหนึ่งก็ได้โอกาสดี ผมเจอบรรเจิด กำลังนั่งวาดภาพอยู่ใต้ต้นไม้ จึงเดินไปนั่งใกล้ๆ พร้อมชวนคุย
"ว่าไงบรรเจิด วาดอะไรอยู่เหรอ"
"ตึกโน่นครับหมอ" เขาตอบพร้อมรอยยิ้มชี้นิ้วไปยังตึกสีเหลืองสด
"สวยมากเลย" ผมเอ่ยปากชมโดยไม่ได้เสแสร้ง เพราะเขาวาดได้งดงามจริงจริง ภาพตึกสีเหลืองสดตัดกับท้องฟ้าสีคราม พื้นหญ้าสีเขียวขจี เต็มไปด้วยใบของต้นหูกวางที่ร่วงหล่นจากต้น บางทีอารมณ์ศิลปินซึ่งมักจะอ่อนไหวกับสิ่งรอบตัว คงมีส่วนทำให้เขามีอาการป่วยทางจิต
"ตอนนี้หมอกำลังหัดวาดรูปอยู่ ช่วยดูให้หมอหน่อยว่าใช้ได้ไหม" พูดจบผมก็เดินไปหยิบภาพที่ตัวเองวาดมาให้เขาดู เขานั่งอมยิ้มก่อนจะวิจารณ์
"สวยดีนี่หมอ แต่สัดส่วนภาพไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ การให้สีไม่ค่อยกลมกลืน" เขาออกความเห็นราวกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านศิลปะ
"งั้นวันหลังช่วยสอนหมอวาดรูปหน่อยได้ไหม"
"ยินดีครับ" เขาตอบพร้อมหันไปวาดรูปต่อ ถึงตอนนี้ผมคิดว่า มีโอกาสที่จะสร้างความสนิทสนม จนเขาเชื่อใจ และกล้าเล่าเรื่องราว ในชีวิตให้ผมฟัง หลังจากนั้นเราสองคนใช้เวลาว่างวาดรูปด้วยกัน โดยการสนทนาก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงเส้น การใช้สีจัดองค์ประกอบภาพ โดยที่ผมยังไม่ได้ถามถึงเรื่องราวส่วนตัวอะไรเขานัก ได้แต่รอเวลาที่เหมาะสม
เกือบเดือนดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของเราจะดีมากขึ้น เป็นทั้งผู้ป่วยกับแพทย์ผู้แล เป็นอาจารย์กับศิษย์ ที่สำคัญเขาคงคิดว่าผมเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้
"บรรเจิด วาดภาพเหมือนหมอหน่อยได้ไหม หมอจะเอาไปฝากแฟน"
"ได้ครับ" เขาตอบพร้อมกับหยิบอุปกรณ์การวาดหันมาทางผมที่นั่งนิ่งเป็นหุ่น แต่ปากของผมยังคงพูดต่อไป
"บรรเจิด หมอถามอะไรหน่อยสิ เคยมีแฟนหรือเคยมีครอบครัวหรือเปล่า" คำถามที่ผมพูดออกไป ทำให้เขาชะงัก ลดมือที่ถือดินสอลง จ้องหน้าผมด้วยแววตาที่ไม่พอใจนัก
"ไม่เป็นไร ถ้าไม่อยากตอบ ก็ไม่ต้องตอบก็ได้"
ผมรีบพูดแก้ไขสถานการณ์เมื่อเห็นอาการของเขา แต่ผมต้องแปลกใจเมื่อเขากลับตอบกลับมา
"เคยครับ เธอชื่อวิภา เธอสวยน่ารักมาก"
"อ้าวแล้วตอนนี้เธออยู่ไหนล่ะ" ผมไม่ยอมให้เสียโอกาส รีบป้อนคำถามต่อ
"เธอไปจากชีวิตผมแล้ว" เขาตอบพร้อมแววตาที่เริ่มแดงก่ำ
"โอเค วาดรูปหมอต่อดีกว่า" ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะกลัวว่าอาการของเขาจะกำเริบ
"ตอนแรกหมอคิดว่าบรรเจิดจะวาดได้แต่รูปวิวเท่านั้ิน ไม่คิดว่าจะวาดภาพเหมือนได้ด้วย"
"ได้สิครับ ผมเรียนมาทางด้านนี้ เคยประกวดได้รางวัลเยอะแยะเลยครับ แต่ผมก็ไม่มีโอกาสได้ทำตามฝันเป็นศิลปิน ชื่อดังที่ใครๆยอมรับ"
"เกิดอะไรขึ้นเหรอ" ผมรีบถามเมื่อเห็นว่าเขากล้าเล่าเรื่องราวในอดีตของเขาออกมาแล้ว
"เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว สมัยผมยังเป็นวัยรุ่น" เขาเริ่มเล่าเรื่องด้วยสายตาเหม่อลอย
"แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล"
"เกิดอะไรขึ้นเหรอ"
"วันนั้นผมไม่น่าเหนี่ยไกเลย" เขาตอบเลียงสั่น น้ำตาไหลรินออกมาฉาบแก้ม
ผมเริ่มคาดเดาเหตุการณ์ ในอดีตเขาอาจก่อคดีเอาไว้ อาจจะหนักหนาถึงขั้นฆ่าคนตาย ถ้าพูดความจริงในเชิงจิตวิทยา คนอ่อนไหวอย่างเขาอาจจะรู้สึกผิดจนประสาทหลอน คิดว่าวิญญาณ ของเหยื่อคอยตามรังควานอยู่ตลอดเวลา ผมหยุดความคิดเมื่อเขาเล่าเรื่องต่อ
"ตอนนั้นผมยังเป็นนักศึกษาศิลปะที่มีฝีมือดี ความฝันที่จะได้เป็นศิลปินใหญ่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม มีแฟนที่แสนน่ารัก เราสัญญาว่าจะแต่งงานกันทันทีที่เรียนจบ แต่ทุกอย่างก็พังทลายเพราะความเลือดร้อนขาดสติของผมเอง วันนั้นมีรุ่นน้องมาตาม บอกว่าถูกคู่อริรุมทำร้าย ผมรีบออกไปตามล่าหวังจะเอาคืน และไปทันตอนที่พวกนั้นกำลังขึ้นรถเมล์พอดี ก็เลยเกิดตะลุมบอนกันขึ้น ใครสักคนส่งปืนมาให้ผม ตอนนั้นผมโดนต่อยจนฟันหัก ก็เลยโมโหจนเลือดขึ้นหน้า ตัดสินใจยิงปืนเข้าไปในกลุ่ม โชคร้ายที่กระสุนไปโดนกระเป๋ารถเมลที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย"
เขาหยุดเล่าเอามือกุมศีรษะ ซุกตัวไประหว่างขาทั้งสองข้าง ร้องไห้คร่ำครวญออกมา
"ใจเย็นๆครับ"
ผมพยายามปลอบ แต่อาการของเขากำเริบขึ้นมาอีกแล้ว ผู้ช่วยพยาบาลสองคนรีบพาตัวเขากลับเข้าไปในห้อง
คืนนั้นกว่าที่ผมจะได้เข้านอน ครุ่นคิดหาทางช่วยบรรเจิด ผมเปรียบเทียบเรื่องของเขากับเรื่องชะนีที่อาฆาตแค้น ก็คงจะไม่ต่างกันนัก สิ่งที่ผมต้องทำก็คือพาเขาไปทำบุญ แต่ผมก็ยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติม จึงเดินเข้าไปนั่งคุย
"ช่วยวาดภาพเหมือนให้หมออีกสักรูปได้ไหม"
"ภาพหมอหรือครับ ได้เลยครับ ผมจะได้วาดต่อจากวันก่อนให้เสร็จ นั่งลงเลยครับหมอ"
"ไม่ใช่ภาพหมอนะ แต่เป็นภาพในจินตนาการ หมออยากให้คุณวาดภาพที่คุณเห็นในจินตนาการตอนที่อาการของคุณกำเริบ คนที่คุณตะโกนไล่เขา"
เขาชะงักไปชั่วครู่สีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะตอบกลับ
"ได้ครับหมอ"
ผมแปลกใจที่เขาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จากนั้นเขาจัดแจงวาดรูปลงในประดาษด้วยท่าทีจริงจัง ผมเชื่อว่าฝีมือการวาดของเขาน่าจะวาดออกมาเหมือนตัวจริงที่สุด เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเขาก็วาดเสร็จ ก่อนที่จะส่งมาให้ผม
ผมพิจารณาภาพอยู่นาน และก็ต้องร้องออกมา
"เฮ้ย นี่มัน.."
"ใช่ครับ บ่อยครั้งที่สุดที่เหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนั้นมันผุดขึ้นมาในห้องความคิด คอยตามหลอกหลอนผมตลอดเวลา ทำให้ผมเกลียดมันมากที่สุด มันทำลายชีวิตผม ผมต้องหนีหัวซุกหัวซุนก็เพราะมัน ต้องเลิกรากับผู้หญิงที่ผมรักก็เพราะมัน ความฝันที่จะได้เป็นศิลปินต้องพังทลายก็เพราะมัน" เขาคร่ำครวญออกมาพร้อมทั้งน้ำตา
ผมมองภาพวาดอีกครั้ง ชายหนุ่มน่าใสผมยาวประบ่า ตามแบบฉบับของนักศึกษาศิลปะ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า เจ้ากรรมนายเวรที่ตามหลอกหลอนเขา ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นตัวเขาในอดีต เด็กหนุ่มที่ทำลายอนาคตของตัวเอง เพียงเพราะอารมณ์โกรธและขาดสติ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น