[Fiction - SJ // HanChul] ใช่เธอ It's You - [Fiction - SJ // HanChul] ใช่เธอ It's You นิยาย [Fiction - SJ // HanChul] ใช่เธอ It's You : Dek-D.com - Writer

    [Fiction - SJ // HanChul] ใช่เธอ It's You

    โดย Heedictator32

    ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเข้ามาพิสูจน์ สิ่งหนึ่งที่มั่นใจคือความรักที่มีต่อเธอจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะเธอคือคนที่ใช่ ถ้าไม่ใช่เธอฉันก็ไม่ต้องการใครอีก... Its You

    ผู้เข้าชมรวม

    218

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    218

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    2
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 พ.ค. 56 / 19:41 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    ฟิคเรื่องที่สองงแว้ววว อิอิ
    (ดีใจอยู่คนเดียว)
    แน่นอนว่า...เป็นฟิคแก้บนอีกตามเคย
    555

    เรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้เพราะความอยากฟังเพลง
    ใช่เธอ (It's You) ของ Kamikaze
    แต่ตอนนั้นทำไรอยู่ไม่รุ้จำได้แต่ว่ามือเลอะเลยเปลี่ยนเพลงไม่ได้
    เลยนึกเล่นๆ
    ถ้าเพลงต่อไปเป็นเพลงใช่เธอนะจะแต่งฟิคฮันชอลเลย
    แล้วเพลงต่อไปก็เป็นเพลงนี้จริงๆ
    ก็เลยรู้สึกว่าต้องแต่ง (สินะ)
    ฮ่าๆๆ (ซับน้ำตาไปด้วยหัวเราะไปด้วย)

    ในที่สุดมันก็ผ่านไปด้วยดี (?)
    หลังจากผลัดวันประกันพรุ่งมาเกือบปี
    555


     

    ยังไงก้ขอฝากนิยายเรื่องที่สองของชีวิต (แต่เป็นคู่ที่ชอบมากที่สุด)ไว้ด้วยนะค้าา
    ถ้ามันแปลกหรืออะไรก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยเน้อ
    (เขินอีกแล้วว >///<)
    ขอบคุณคร้าบบ
    >/|\<

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      Title : It’s You  (ใช่เธอ)

      “ทำอะไรน่ะ!!!” เสียงใสๆที่ดังขึ้นพร้อมกับมือซนๆของเจ้าลูกปลาที่ฉกเอาสิ่งที่อยู่ในมือของฮีชอลไปดู

      “เอาคืนมานะทงเฮ” เจ้าของเสียงหวานโวยวายขึ้นเมื่อเห็นรุ่นน้องตัวแสบเข้ามาป่วน

      “ไม่คืน ไม่คืน”

      “ทงเฮ จะคืนดีๆหรือว่าจะต้องให้ใช้กำลัง” กดเสียงต่ำพร้อมวิ่งไล่น้องรักที่เริ่มวิ่งหนีการไล่ล่าไปทั่วห้องนั่งเล่น

      “พี่จับผมให้ได้ก่อนสิ”

      “ได้!!! นายเจอดีแน่ อี ทงเฮ”

      “ฮิฮิ พี่จับผมไม่ได้หรอก” หันกลับมายักคิ้วกวนอวัยวะเบื้องล่างให้แก่รุ่นพี่ แต่ยังไม่ทันไรเจ้าตัวแสบที่เพิ่งท้าทายอำนาจมืดของฮีชอลก็โดนเล่นงานเข้าอย่างจัง ไม่ใช่เพราะฮีชอลวิ่งตามทัน แต่เป็นเพราะเจ้าตัวเองนั่นแหละที่ซุ่มซ่ามสะดุดล้มลงไปเอง

      “ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้า ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวน่ะเคยได้ยินรึเปล่าไอ้ตัวแสบ”  จากที่เคยวิ่งไล่ก็เปลี่ยนเป็นเดินเข้าไปหาแทน ก่อนจะหยุดยืนหัวเราะอยู่อย่างนั้นจนคนที่โดนหัวเราะใส่โวยวายไม่ยอมหยุด

      “พี่ฮีชอลอ่า ยังจะยืนขำอยู่ได้ช่วยก็ไม่ช่วย ใจร้ายที่สุดเลย นี่ผมเจ็บอยู่นะไม่ช่วยแล้วยังยืนขำไม่หยุดอีก -3-

      “อ๊ะๆ ลุกขึ้นมา” มือบางยื่นส่งไปให้ปลาน้อยที่แปลงร่างเป็นม้าหมากรุกชั่วคราวจนคนที่เห็นอดขำไม่ได้

      “ฮ่าๆ นายนี่น้า จริงๆเลย ทำตัวเองแล้วมาพาลใส่อย่างนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน เอ้าลุกได้แล้ว ยังจะนั่งอยู่อีก” ฉุดเด็กโข่งที่นั่งหน้าบึ้งอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้น แต่คนที่นิสัยไม่ได้โตตามตัวก็ยังคงงอแงไม่ยอมลุก ความเอ็นดูที่มีในตอนแรกจึงเปลี่ยนเป็นความหมั่นไส้เบาๆ ฮีชอลเลยผลักน้องรักให้ล้มลงไปก่อนจะหยิบสิ่งที่อีกคนฉกฉวยไปขึ้นมาแล้วเดินไปนั่งยังโซฟาตัวเดิม โดยไม่สนใจคนที่นั่งกองอยู่กับพื้นเลยแม้แต่นิดเดียว

      “ฮยองงงงงงง T.T” ร้องเรียกอย่างโหยหวนเพื่อให้รุ่นพี่หันกลับมาสนใจตน แต่ดูท่าแล้วคงเป็นได้แค่ความหวังลมๆแล้งๆ ทงเฮจึงลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาแต่ก็ยังไม่วายแอบบ่นรุ่นพี่หน้าสวยข้างๆ

      “คนอะไรก็ไม่รู้ ใจร้ายที่สุด เห็นน้องล้มแทนที่จะช่วยไม่มีอ่ะ ทั้งหัวเราะทั้งผลักอีก คนนะไม่ใช่ตุ๊กตาล้มลุก ชิส์” จบประโยคดวงตากลมก็ตวัดใส่แทบจะในทันทีที่โดนกล่าวหา

      “ฉันช่วยนายแล้วเถอะ แต่นายไม่ลุกเองนะจะมาโทษกันได้ไง ฉันไม่ผิดซักหน่อย นายเอาของฉันไป  แล้วก็วิ่งหนีก่อน แล้วที่สำคัญนายก็ล้มลงไปเองด้วย” ว่าพลางกอดอกด้วยความรู้สึกที่เหนือกว่า เพราะทั้งหมดที่พูดออกไปนั้นเป็นความจริงไม่มีอะไรที่ไม่จริงเลยซักนิดเดียว หึ!

      “โอเคๆ ผมผิดเองอ่ะ ผมขอโทษ”

      “ดีมาก” หันมายิ้มให้น้องรักที่ว่าง่าย ก่อนจะนึกได้ว่าวันนี้ทงเฮควรจะอยู่ที่สวนสนุกมากกว่าที่จะอยู่ในหอพักแบบนี้

      “แล้วนี่ทำไมถึงมาอยู่ห้องได้ล่ะ ถ่ายเสร็จแล้วหรอ”

      “ถ่ายอะไรละ ยังไม่ได้เริ่มเลยเนี่ย อยู่ดีๆอึนมีก็ไม่สบายอ่ะเลยต้องเลิกกอง แต่ก็ดีผมเลยว่างมาอยู่เป็นเพื่อนพี่ได้ไง อิอิ” พูดไปยิ้มไปจนคนที่เห็นอดยิ้มตามรอยยิ้มไร้เดียงสานั่นไม่ได้

      “พี่อ่ะ”

      “ฉัน? ฉันทำไม”

      “ทำอะไรอยู่”

      “ก็คุยกับนายไง” ตอบกลับไปนิ่งๆจนคนฟังไม่แน่ใจว่านั่นเป็นคำตอบจริงๆหรือว่าตนเองกำลังโดนกวนประสาทอยู่กันแน่ แต่ระดับพี่ฮีชอลแล้วทงเฮคนนี้ขอคิดว่าพี่แกล้งผมก่อนแล้วกัน เพราะพี่คงไม่ตอบพาซื่อแบบนั้นแน่นอน -.,-

      “พี่อย่ากวนผมสิ ผมหมายถึงก่อนหน้านี้ ตอนนี้ผมจะถามพี่ทำไมกัน”

      “อ้าว ใครจะไปรู้ละ ฉันก็นึกว่านายหมายถึงตอนนี้ทำอะไรอยู่ ทีหลังก็ระบุมาให้ชัดๆสิจะได้เข้าใจตรงกัน”

      “อ่า ครับๆ แล้วคำตอบล่ะ”

      “นายก็เห็นอยู่นี่ แถมยังมาหยิบเอาไปเฉยเลย เสียมารยาทที่สุด” แกล้งพูดอย่างจริงจังออกไป แต่คนไม่รู้ก็ขอโทษกลับอย่างจริงจังเหมือนกัน

      “ผมขอโทษฮะ”

      “อืม ช่างมันเถอะ” โบกมือปัดอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหยิบรีโมทมาเพื่อเปิดทีวีดู แต่ยังไม่ทันได้กดปุ่มเสียงใสที่ดูจริงจังนิดๆก็ดังขึ้น

      “พี่ฮีชอลขอผมพูดอะไรด้วยหน่อย ได้มั้ยฮะ”

      “หืม เรื่องอะไรล่ะ”

      “พี่ฮันคยอง” จากที่จริงจังฮึกเหิมในตอนแรกกลับเปลี่ยนเป็นเสียงที่เบาราวกับลอยมาจากที่ไกลแสนไกล ทงเฮรู้ว่าการพูดถึงชื่อของพี่ชายชาวจีนคนนี้จะยิ่งกระตุ้นให้รุ่นพี่ที่รักเหมือนพี่ชายแท้ๆอย่างฮีชอลต้องเสียใจ แต่เค้าก็ทนไม่ได้อีกแล้วที่จะต้องเห็นดอกทานตะวันที่เคยสดใสร่าเริ่งห่อเหี่ยวลงราวกับขาดแสงอาทิตย์ที่คอยส่องแสงสว่างให้ในแต่ละวัน

      “....”

      “พี่ฮีชอล” เหล่มองคนข้างกายที่ยังคงนั่งนิ่ง มือบางที่จับกันไว้กำแน่นขึ้นเหมือนกำลังพยายามอดกลั้นต่ออะไรซักอย่างอยู่

      “ทำไม” เสียงหวานที่เริ่มแหบเล็กน้อยราวกับพยายามเค้นเสียงให้ออกมาดังขึ้น

      “ผมขอโทษที่ต้องพูดนะฮะ แต่ผมไม่อยากเห็นพี่เป็นอย่างนี้อีกแล้ว”

      “ฉันเป็นยังไง” เสียงที่เปล่งออกมาแข็งและดังขึ้นจนคล้ายเป็นการขึ้นเสียงใส่ แต่ทงเฮก็ยังคงเดินหน้าพูดต่อไปทั้งที่ในใจก็กลัวแสนกลัวว่ารุ่นพี่จะโกรธ แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยทำให้คนตรงหน้ายิ้มได้อีกครั้ง ก็ไม่ควรจะถอดใจเพราะเรื่องเพียงเท่านี้

      “พี่รู้ตัวมั้ยว่า พี่นั่งดูรูปนั่นทุกวัน แล้วก็ร้องไห้ทุกวัน ทุกคนเขาเป็นห่วงพี่กันนะฮะ”

      “....”

      “ผมรู้ว่ารูปนั้นมีความหมายต่อพี่ แต่พี่ควรจะอยู่กับปัจจุบันมากกว่านะฮะ ปัจจุบันมันส่งผลต่ออนาคต เพราะงั้นพี่ไม่ควรให้อดีตที่ผ่านไปแล้วมาทำลายสิ่งที่เป็นอยู่หรือกำลังจะเกิดขึ้นนะ พี่เข้าใจผมรึเปล่า” ถามคนที่นั่งนิ่งเงียบมาตั้งแต่แรก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาตอบกลับจึงพูดต่อ

      “แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าอดีตมันไม่ดีหรืออะไรหรอกนะ แค่จะบอกว่าอะไรที่ดีก็เก็บไว้ แต่อะไรที่ไม่ดี ไม่น่าจดจำก็ลืมๆมันไปบ้าง...มันก็ไม่เสียหายนะฮะ ^^” ยิ้มพร้อมจับมือที่กุมกันแน่นของฮีชอลมากุมไว้แทน ซึ่งคนที่โดนยึดมือไปจับก็ได้แต่มองตามการกระทำของน้องชายที่กำลังหยิบรูปภาพที่แสนหวงนั่นมาพิจารณา

      “พี่เห็นมั้ยภาพนี้น่ะ มีแต่รอยยิ้มของพวกเรา พี่ควรจะมองภาพนี้แล้วยิ้มไปกับมันสิ ไม่ใช่มานั่งเศร้าแบบนี้”

      “แต่...”

      “ผมรู้” รีบขัดขึ้นก่อนที่อีกคนจะเถียง จริงๆแล้วผมก็ไม่รู้หรอกว่าพี่ชายของผมจะพูดว่าอะไร แต่ผมรู้แค่ว่าคำพูดที่กำลังจะออกมาในตอนนี้นั้นมันต้องเป็นเพียงแค่คำแก้ตัวหรือข้ออ้างเท่านั้นแน่ๆ

      “ผมรู้ว่าพี่คิดถึงพี่ฮัน แต่พี่ก็ไม่ควรเอาความรู้สึกนั้นมาทำให้พี่ต้องโดนว่านี่ฮะ มันไม่เป็นผลดีต่อตัวพี่เองเลยนะ”

      “ฉัน...” พูดได้แค่นั้นแล้วเงียบไป ร่างบางขืนมือออกจากมือของรุ่นน้องที่จับไว้แล้วหยิบภาพถ่ายขึ้นมาดู ใบหน้าหวานจ้องมองไปยังบุคคลที่ยืนอยู่เคียงข้างตน สายตาไล่เลื่อนลงมาจับจ้องสองมือที่จับกันแน่นราวกับว่าจะไม่มีวันปล่อยให้ห่างกันไปไหน

      ใช่!ภาพนี้มีความหมายกับฮีชอลมาก ไม่ใช่เพียงแค่เพราะเป็นภาพที่ทั้งคู่ยืนเคียงข้างกันพร้อมกับมือที่กอบกุมกันไว้ไม่ยอมปล่อย แต่เพราะรูปนี้เป็นรูปที่ถ่ายในวันเดียวกันกับที่ตนได้บอกความรู้สึกออกไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้และฮันคยองเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เพราะงั้นมันก็ไม่ผิดที่จะคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนที่ตนชอบก็มีใจให้เหมือนกัน แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมถึงหายไปเป็นเดือนๆไม่บอกไม่กล่าวกันบ้างก็แค่นั้น

      “พี่ฮีชอล” ใบหน้าที่หวานกว่าผู้ชายเล็กน้อยเอี้ยวมองคนที่พูดแล้วทิ้งค้างอย่างสงสัย

      “พี่...คือ คือฉัน...คือนายผิดแล้วละทงเฮ ฉันไม่ได้คิดถึงฮันคยองหรอกนะ” ลุกขึ้นเตรียมเดินเข้าห้องของตัวเอง แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะคำพูดรู้ทันของน้องชาย

      “พี่หลอกคนอื่นได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้หรอกนะฮะ”

      “....”

      “ถ้าพี่คิดถึงก็ควรจะโทรไปหาแล้วคุยกันให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย”

      “ไม่ ฉันไม่โทร ถ้าฮันไม่โทรมาก่อนฉันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโทรไป เพราะฉันไม่ได้คิดถึง ไม่คิดถึงใครทั้งนั้น” ว่าจบขาเรียวก็รีบก้าวออกไปจากที่ตรงนี้ทันที แต่ก็ยังช้ากว่าเสียงของทงเฮที่ตะโกนดังลอดผ่านโสตประสาทมาให้ได้คิด

      “พี่มันดื้อ ดื้อเหมือนที่ครูยองเอบอกนั่นแหละ คิม ฮีชอล ถ้าพี่ไม่ทำอะไรซักอย่างให้ดีขึ้นพี่จะต้องเสียทุกอย่างไป พี่ได้ยินผมรึเปล่า!!!

      ปัง!!!!

      ประตูปิดดังลั่นตามอารมณ์ของคนที่เพิ่งเข้ามาในห้อง ร่างบางทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างหมดแรง ทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ แต่สมองก็ยังคงคิดถึงคำพูดของทงเฮที่พูดขึ้นก่อนจะถูกปิดกั้นด้วยประตูบานหนา

      “ฉันจะต้องเสียทุกอย่างไปอย่างนั้นหรอ??” รำพึงกับตัวเองเบาๆก่อนที่รูปถ่ายใบเดิมจะถูกหยิบขึ้นมา ดวงตากลมโตที่เคยสดใส ตอนนี้กลับหม่นลงราวกลับลูกแก้วที่ไม่มีใครใส่ใจ ช่างดูน่าเศร้านัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่ถูกเคลือบไปด้วยน้ำตาอุ่นๆเช่นนี้

      “ทำไมทุกอย่างมันถึงได้กลายเป็นอย่างนี้นะ ฉันควรจะทำยังไงต่อไปดี ฮันคยอง...นายหายไปอยู่ที่ไหน ทำไมไม่ติดต่อมาบ้าง รู้มั้ยว่าฉันคิดถึงนาย ฉันต้องการนาย”

      มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลออกมาทิ้งไปก่อนจะหลับตาลง...

      “ฮีชอล โดนครูว่ามาอีกแล้วหรอ” เสียงทุ้มนุ่มทักขึ้นเรียกความสนใจจากร่างบางให้หันไปมอง

      “อือ ก็ไม่เชิงหรอก ฉันต้องพยายามให้มากขึ้นไปอีกน่ะ เฮ้อออ..” พูดจบหน้าสวยก็ฟุบลงกับเข่าของตัวเองที่กอดเอาไว้ ก่อนจะพูดอู้อี้อยู่กับเข่าของตนอย่างนั้น

      “ทำไมมันเหนื่อยอย่างนี้นะ” จบประโยคมือหนาก็วางลงบนไหล่บางพร้อมกับบีบเล็กน้อยอย่างให้กำลังใจ

      “เอาน่าๆ นายทำได้อยู่แล้ว เชื่อสิ” ยิ้มกว้างส่งให้ จนฮีชอลรู้สึกฮึดขึ้นมา และรู้สึกว่าตัวเองต้องทำได้ตามคำกล่าวนั้นจริงๆ

      “อืม นั่นสินะ ขอบใจนะฮัน” รอยยิ้มสวยหวานถูกวาดประดับบนใบหน้า บรรยากาศรอบตัวจากที่เคยอึมครึมก็สดใสขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เพียงแค่มีรอยยิ้มของฮีชอลเท่านั้น

      “เอางี้ เดี๋ยวฉันช่วย”

      “ช่วย? นายจะช่วยยังไง”

      “นายลืมหรอ ว่าฉันเต้นเก่งที่สุดในวงเลยน้า” บอกอย่างภูมิใจสุดๆจนคนฟังรู้สึกว่ามันเป็นคำอวยตัวเองที่น่าถีบให้หายหมั่นไส้ซักทีสองที

      “อะไร มองอย่างงั้นหมายความว่าไง” ถามเพื่อนร่างบางที่กำลังมองมาที่ตัวเองชนิดที่เรียกได้ว่า หยาม กันสุดๆ

      “ปล๊าววว ก็มองเฉยๆไม่ได้หรือไงอ่ะ ไม่ได้สึกหรอซักหน่อย”

      “ไม่ได้ จ่ายค่ามองมาซะ” แบมือยื่นไปตรงหน้าพร้อมกระดิกนิ้วอย่างกวนๆ เลยได้ค่าตอบแทนเป็นการตีแรงๆไปหลายที

      “อะไรวะ เอ้า! อยากได้นักก็เอาไปเลย นี่แหน่ะ ห้ามหลบนะ” รีบขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกคนเตรียมตัวชักมือกลับ มือเรียวอีกข้างเลยต้องรีบจับมือหนาเอาไว้

      “พอแล้วว มันเจ็บนะฮีชอล” ร้องห้ามแล้วรีบรวบมือบางไว้ไม่ให้ประทุษร้ายได้อีก

      “ก็อยากได้ค่ามองไม่ใช่หรอ ฉันก็จ่ายให้ไง”

      “ขอเป็นอย่างอื่นแทนได้มะ” ส่งเสียงเจ้าเล่ห์ใส่คนตัวเล็กพร้อมๆกับดึงมือที่จับไว้ให้ใกล้เข้ามา

      “ออะไร!” โวยวายหน้าตาตื่นใส่ไอตี๋หน้าหื่น ที่ตอนนี้เริ่มขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ใกล้จนที่คิดไปไกลปิดทั้งตาทั้งริมฝีปากแน่นด้วยกลัวว่าอีกคนจะ...

      “เป็นอะไรน่ะ!?” เสียงห้าวถามขึ้นอย่างขำๆที่เห็นอีกคนหลับตาปี๋ แถมยังเม้มปากซะแน่น

      “จะหลับตาทำไม ลืมตาดิ” จบประโยคฮีชอลก็ค่อยๆลืมตาที่ปิดกันแน่นเมื่อครู่ขึ้นอย่างช้าๆ แล้วก็ต้องตกใจที่เห็นไอ้เพื่อนบ้ายื่นหน้าแลบลิ้นปลิ้นตามาให้

      “บ้าเอ๊ยยย เล่นอะไรเนี่ย” ผลักชายหนุ่มที่กำลังล้อเลียนตนเองออกอย่างไม่สบอารมณ์

      “ฮ่าๆๆ แล้วเป็นอะไรล่ะ คิดอะไรอยู่หรอไงถึงได้ทำหน้าตาตลกแบบนั้น”

      “ก็ฉัน...ฉัน เอ่อ” หลบเลี่ยงสายตาคมที่จ้องมองมา แล้วใครมันจะไปกล้าบอกกันล่ะ ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรประหลาดๆอยู่ -.-;

      “?”

      “ไม่ต้องทำหน้าเอ๋อเลย นายจงใจแกล้งฉันชัดๆ ที่บอกว่าจะสอนให้นั่นก็โกหกใช่มั้ยล่ะ” แกล้งเปลี่ยนเรื่อง โดยทำเป็นหาเรื่องผู้หวังดีอย่างฮันคยอง

      “นายนี่จริงๆเลย” หัวเราะอย่างรู้ทันอีกฝ่ายพร้อมกับมือหนาที่โคลงหัวร่างเล็กอย่างเอ็นดู (?) แต่สงสัยจะเอ็นดูมากเกินไปเพราะสิ่งตอบแทนที่ได้กลับเป็นค้อนวงโตอันงาม คนโดนค้อนเลยได้แต่หัวเราะร่าก่อนจะปล่อยมือออกจากศรีษะของฮีชอลพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น

      “ฉันพูดจริงนะเรื่องที่จะสอนอ่ะ นายไม่เชื่อหรอ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่เต็มไปด้วยความจริงใจส่งผ่านมาให้ เพียงแค่ได้ยินก็ทำให้คนแอบรักรู้สึกเคลิบเคลิ้มและเขินอายอยู่ในที แล้วไหนจะดวงตาเรียวคมที่บ่งบอกถึงเชื้อสายมังกรคู่นั้นอีก แค่จ้องมองธรรมดาก็รู้สึกสั่นไหวจนบอกไม่ถูก ยิ่งคราวนี้มีประกายบางอย่างแฝงมาด้วยก็ยิ่งทำให้คนโดนจ้องอย่างฮีชอลได้แต่ก้มหน้าก้มตาเขิน ไม่กล้าสบตาคมคู่นั้น

      “ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่ฉันทั้งงี่เง่าทั้งเอาแต่ใจ สอนก็ไม่ค่อยจำ เดี๋ยวนายจะเบื่อจะรำคาญเปล่าๆ” บอกเสียงอ่อยอย่างน่าสงสาร แก้มขาวเจือสีแดงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงความจริงที่เก็บซ่อนไว้ สิ่งที่เค้ากลัวไม่ใช่เรื่องเต้นแต่เป็นเรื่องนิสัยของตัวเองมากกว่าที่อาจจะทำให้คนที่จะมาเป็นคุณครูรู้สึกเอือมตนเอง

      ฮันคยองหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะวาดมือไปคล้องคอเพื่อนรักที่กลายเป็นคนคิดมากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ให้เข้ามาใกล้

      “คิดมากน่า นายไม่ใช่ฉันนะจะมาคิดแทนไปก่อนทำไม” เสียงทุ้มชวนละลายเอ่ยขึ้น ดึงความสนใจคนที่ก้มหน้าให้เงยขึ้นมอง

      “แต่...”

      “ฉันอยากสอนนาย แล้วก็จะไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจด้วย เข้าใจมั้ย หือ” ขยี้หัวอีกคนพร้อมกับออกแรงกดจนเหมือนอีกฝ่ายพยักหน้า เมื่อเห็นว่าคนขี้โวยวายไม่โต้ตอบอะไรจึงพูดต่อ

      “เพราะงั้นเลิกฟุ้งซ่านแล้วมาซ้อมกันดีกว่านะ”

      “อือ” มือบางวางลงบนฝ่ามืออุ่นที่ยื่นส่งมาให้ ก่อนที่ฮันคยองจะออกแรงดึงคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นตาม

      “เฮ้ยย!?” ร้องเสียงหลงในทันทีที่แรงฉุดให้ลุกนั้นส่งมามากเกินไป ฮีชอลเซไปปะทะเข้ากับอกของร่างสูงที่เป็นคนออกแรงในตอนแรก ไม่รู้ว่าด้วยความตกใจหรืออะไรแต่ก็ทำให้ความร้อนมากมายเห่อขึ้นในทันทีก่อนจะมารวมตัวกันอยู่ที่บริเวณแก้มเนียนขาวซึ่งบัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับลูกมะเขือเทศ

      “ตกใจหรอ” กระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบา ส่งผลให้ความร้อนที่มีอยู่เพิ่มมากขึ้นและแผ่กระจายไปทั่วทั้งหน้า ฮีชอลได้แต่ยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดแกร่งราวกับถูกสะกดไว้

      “ขอโทษนะดึงแรงไปหน่อย”

      “มะ ไม่เป็นไร ปล่อยก่อนได้มั้ย” บอกทั้งที่ก้มหน้างุดอยู่กับไหล่ของร่างสูง ไม่รู้เพราะแรงกอดรัดที่เพิ่มมากขึ้น หรือเป็นเพราะความเขินที่ตกอยู่ในอ้อมกอดของคนที่แอบรักกันแน่

      “ออ่อ..เออ ได้สิ โทษที” ปล่อยคนตัวเล็กให้เป็นอิสระ พร้อมส่งรอยยิ้มแบบขออภัยมาให้แก่ฮีชอลด้วย ซึ่งคนที่ได้รับก็ยิ้มตอบก่อนจะยกมือขึ้นมาจับหน้าอย่างเขินๆคล้ายกับไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหน

      “เราไปซ้อมกันเถอะ เดี๋ยวจะเทรนให้เก่งกว่าทุกคนเลย เอาให้ครูอึ้งไปเลยดีมั้ย”

      “อื้มม ฝากด้วยนะ”

      “ไม่ต้องห่วง รับรองว่านายทำได้แน่นอน เพราะฉันจะจัดเต็มติวเข้มคอร์สพิเศษชุดใหญ่เลยละ คึคึ”

      ทันทีที่ได้ยินคำว่า จัดเต็ม คนตัวเล็กก็เริ่มโวยวายทันที

      “เย้ยย!! นี่ฮันไม่ต้องจัดเต็มเป็นพิเศษก็ได้นะ” เอ่ยขึ้นอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย เพราะรู้ว่าถ้าเป็นเรื่องเต้นทีไรอาตี๋ที่เคยยิ้มใจดีนี้ได้ส่วมบทโหดแปลงร่างเป็นมังกรพ่นไฟทันทีเลย

      “ไม่ได้! ฝึกกับฉันทั้งทีไม่พิเศษได้ไงละ” กล่าวอย่างขึงขังจนคนฟังชักอยากจะเปลี่ยนใจ ใบหน้าหวานที่เริ่มเปลี่ยนสีและเหยเกเล็กน้อยทำเอาคนที่คุยด้วยกลั้นขำไว้ไม่อยู่

      “ฮ่าๆๆ นี่ทำหน้าดีๆแล้วตั้งใจฟังนะว่า ฉันล้อเล่นฮ่าๆ หน้าตาตลกชะมัดเลย นายนี่กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง ฮ่าๆๆๆ” พูดไปหัวเราะไปอย่างไม่ปิดบังจนคนที่กลายเป็นตัวตลกให้อีกคนหัวเราะได้แต่หน้าบึ้งก่อนจะชกเบาๆเข้าที่ไหล่ให้เลิกขำ

      “โอเคๆ ขอโทษนะแต่มันขำจริงๆ นายกลัวว่าฉันจะโหดขนาดนั้นหรอไง? ฮ่าๆ”

      ถามกลับอย่างขำๆ แต่ฮีชอลกลับไม่ขำไปด้วย แถมยังตอบกลับมาอย่างจริงจังสุดขีดจนทำให้ฮันคยองเลิกหัวเราะไปได้ ร่างสูงมองใบหน้าสวยที่ตีหน้ายุ่งอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะยิ้มพร้อมกับเอื้อนเอ่ยประโยคที่เปลี่ยนคนหน้ายักษ์ให้กลายเป็นขี้ผึ้งโดนไฟลนได้ภายในพริบตาเดียว

       “ที่ฉันว่าพิเศษก็...พิเศษเฉพาะนายคนเดียวไงฮีชอล ^^

       

      ปัง! ปัง!! ปัง!!!

      “ฮีชอล ฮีชอล ตื่นได้แล้ว มากินข้าวเร็วว”

      เสียงเคาะประตูเรียกจากลีดเดอร์ตาหวานปลุกร่างบอบบางที่นอนอยู่บนเตียงให้รู้สึกตัวก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงีย ดวงตากลมหรี่ลงเล็กน้อยเพราะยังไม่คุ้นชินกับแสงสว่างที่ลอดผ่านเข้ามาในห้อง แดดอ่อนๆที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาบอกให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาของเช้าวันใหม่เสียแล้ว

      ร่างบางสะบัดหัวไล่ความง่วงงุนออกไปก่อนจะก้มลงมองมือขวาของตนเองที่กำบางสิ่งไว้ เมื่อแบออกก็พบว่ามันคือรูปถ่ายใบเดียวกันกับที่ถือเอาไว้ก่อนที่จะเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ฮีชอลบรรจงรีดภาพถ่ายที่ตอนนี้ยับยู่ให้เรียบดังเดิม แต่กระดาษที่มีรอยพับหลังจากผ่านการกำมาทั้งคืน แม้จะพยายามเพียงใดก็ยังคงปรากฎรอยนั้นอยู่ จึงตัดใจวางมันลงบนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะคว้าเอาหนังสือเล่มโตมาทับไว้อีกที พร้อมกันกับที่เสียงเรียกของอีทึกดังขึ้นเพื่อเร่งให้ออกไปทานข้าวเช้า

      “มากินเร็ว กำลังร้อนเลย” กวักมือหยอยๆเรียกคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอนให้มาร่วมโต๊ะ ซึ่งคนโดนเรียกก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินมานั่งลงบนโต๊ะที่จัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย

      “ทำเองหรอ?” ถามพร้อมกับก้มลงดมกลิ่มหอมที่ลอยขึ้นมาตามควัน เรียวหน้าสวยเงยมองคนที่กำลังรินน้ำใส่แก้วก่อนจะนั่งลงตรงข้าม เมื่อเห็นว่าคนถามกำลังจ้องมองอยู่จึงพยักหน้าส่งให้แทนคำตอบ

      “หอมมากเลย น่ากินด้วย” บอกคนตาหวานอย่างเอาใจ

      “งั้นก็กินซะสิ เห็นทงเฮบอกว่าเมื่อวานไม่ได้กินไม่ใช่หรอ” ถามคนหน้าอึนที่ไม่รู้ว่าอึนเพราะง่วงหรือเรื่องอื่นกันแน่

      ฮีชอลนิ่งไม่ตอบอะไร มือที่จับช้อนอยู่ก็ตักข้าวเช้าเข้าปากคำโตก่อนจะสำลักเพราะความร้อนที่มากเกินไป ใบหน้าขาวแดงก่ำแถมยังไออย่างน่าสงสารจนพี่ไม่กี่วันอย่างอีทึกต้องลุกขึ้นมาตบหลังเบาๆให้เย็นลง

      “เอ้ากินน้ำก่อน” ยื่นแก้วน้ำพร้อมกับหยิบทิชชู่มาเช็ดให้คนที่ยังคงไออยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ไม่หนักเท่าตอนแรก แถมหน้าที่เคยขึ้นสีก็จางลงไปมาก อีทึกจึงเดินกลับไปนั่งยังที่เดิมแล้วเริ่มทานอาหารเช้าบ้าง

      เสียงขอบคุณดังขึ้นเบาๆ อีทึกโบกมืออย่างไม่ใส่ใจเพราะเห็นเป็นเรื่องปกติที่พี่ใหญ่ก็ต้องคอยดูแลน้องรวมไปถึงทั้งน้องทั้งเพื่อนอย่างฮีชอลอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่วายขอบ่นเล็กน้อยใส่คนดื้อที่นั่งอยู่ด้วยกัน

      “ทีหลังถ้าหิวก็ค่อยๆกินก็ได้ ไม่เห็นจะต้องรีบเลย เดี๋ยวก็ได้สำลักตายพอดีอะ นายนี่จริงๆเลย เมื่อคืนดันไม่กิน พอหิวก็มายัดเอาอย่างนี้เป็นไงละ เกือบตายแล้วมั้ยนั่น”

      “ฉันไม่ได้ยัดนะ แต่มันร้อนต่างหากก็เลยไม่ทันระวัง” บอกค้อนๆใส่คนที่มากล่าวหากันเสียเฉยๆ

      “เอาเหอะ ขี้เกียจจะเถียงละ เถียงไปก็แถจนชนะอยู่ดี กินข้าวดีกว่าเดี๋ยวเย็นแล้วไม่อร่อย” ตัดบทหน้าตายพร้อมกับตักข้าวอย่างไม่สนใจคนที่ยังคงค้อนค้างอยู่

      มื้อเช้านี้ผ่านไปอย่างเงียบเชียบเพราะฮีชอลยังงอนอีทึกที่แอบเหน็บตนอยู่ หลังจากที่กินจนเสร็จแล้วจานก็ถูกเก็บไปล้างอย่างเรียบร้อยโดยลีดเดอร์ของวง ก่อนที่จะมานั่งลงบนโซฟาตัวยาวของห้องซึ่งมีคนหน้าหวานนั่งจับจองพื้นที่ด้านหนึ่งไปเรียบร้อยแล้ว

      “อะไร?” ถามเสียงห้วนใส่คนที่นั่งลงข้างๆแต่ดูเหมือนว่าจะห้วนสั้นไปจนอีทึกไม่สามารถเข้าใจได้ ฮีชอลจึงขยายความต่อให้เป็ดที่กำลังทำหน้างงได้กระจ่างมากยิ่งขึ้น

      “ที่นั่งมีเหลือตั้งเยอะตั้งแยะจะมานั่งเบียดทำไม”

      “ยังไม่หายโกรธอีกหรอ” ไม่ตอบแต่ถามกลับ ซึ่งทันทีที่ฮีชอลได้ยินคำถามก็แกล้งสะบัดหน้าหนีไม่อยากคุย แต่เหมือนอีกคนจะรู้ทันว่าที่หันหน้าหนีนั้นแค่แกล้งทำ คนมาง้อเลยแกล้งตอบ

      “จานก็ล้างให้ ข้าวก็ทำให้ อย่างอนนานเลยน่า โอ๊ะ!ดูสิฮีชอลตีนกาขึ้นแล้วเนี่ยต้องเป็นเพราะนายงอนฉันนานแน่ๆเลย น้องตีนกาบอกถ้านายไม่หายงอนก็จะเกาะอยู่บนหน้านายไม่ไปไหนเลยนะนั่น เพราะงั้นเลิกงอนได้แล้วน้า” เกาะแขนอ้อนเหมือนเด็ก แต่ฮีชอลกลับมองเห็นแต่ความทุเรศ มือบางพยายามแกะมือที่เกาะอยู่ออกด้วยท่าทางรังเกียจ

      “ตีนกาบนหน้านายสิ หน้าฉันไม่มีโว้ย แล้วก็เอามืออกไปด้วย อุบาศจริงๆเลยตัวก็ไม่ใช่เล็กมาทำเป็นเด็กๆไปได้ จะพูดไรก็พูดมาเลยดีกว่าไม่ต้องมาอ้อมไปเกาหลีเหนือหรอกเดี๋ยวก็ไม่ได้พูดกันพอดี ฉันรู้ว่านายมีเรื่องจะคุยกับฉัน”

      “โอ้วว!!นายมีญาณวิเศษหรอ รู้ได้ไงว่าฉันอยากจะคุยกับนาย” ทำตาโตใส่อย่างตกใจ

      “แค่เห็นท่าทางก็รู้ละ ที่มีตั้งล้านไม่นั่งมานั่งข้างๆอย่างนี้จะคุยไรก็ว่ามา” บอกอย่างรู้ทัน พอหันไปเจอเป็ดปากยื่นก็เลยผลักหัวเบาๆให้รีบเข้าเรื่อง

      “ไม่ต้องลีลาได้ป่ะ บอกมาได้ละว่าจะคุยไร ไม่งั้นจะไป...”

      “โอ๊ยยย อย่าเพิ่งไป” คว้าแขนมากอดไว้ในทันทีที่ได้ยินคำขู่

      “คือเมื่อวานน่ะ...” เกริ่นพร้อมลอบมองใบหน้าสวยด้านข้างอย่างชั่งใจว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่เมื่อคนฟังเร่งให้พูด คนถูกเร่งก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะพูดต่อให้จบประโยค

      “ทงเฮบอกว่านายร้องไห้เพราะรูปนั่นอีกแล้ว”

      “ฉันไม่ได้คิดถึงฮันนะ” รีบร้อนโพล่งขึ้นด้วยความร้อนตัว จนคนที่ได้ยินอดขำไม่ได้ เพราะท่าทางราวกับเด็กที่ไปแอบทำความผิดมาแล้วกลัวถูกจับได้ยังไงอย่างงั้น

      “ก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย จะคิดถึงหรือไม่คิดนายไม่ต้องบอกหรอกเพราะนี่น่ะมันบอกฉันหมดแล้ว” ว่าแล้วก็ชี้ไปที่ดวงตาหวานของตน ฮีชอลที่มองตามพอเข้าใจความหมายก็รีบก้มหลบในทันที อีทึกวาดมือพาดไหล่บางแล้วลอคให้เข้ามาใกล้

      “ถ้าคิดถึงก็พูดออกมาเถอะ ไม่มีใครว่านายหรอกนะฮีชอล ทุกคนเขาเข้าใจ”

      “แต่ฉันไม่ได้คิดถึงฮันจริงๆนะ”

      “ถ้างั้นรอยนี่เกิดเพราะอะไรกันล่ะ?” ไล้นิ้วไปตามดวงตากลมที่บวมขึ้นเล็กน้อยจากการร้องไห้ติดต่อกันยาวนาน ก่อนจะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสวยที่พยายามเลี่ยงหลบไม่ยอมสบตา

      “....”

      “ตอบได้รึเปล่าล่ะ”

      “ฉะ ฉันนอนดึกน่ะ เล่นเกมส์เพลินไปหน่อยก็เลยตาบวมอย่างนี้แหละ ไม่มีอะไรหรอกอย่าสนใจเลย”

      อีทึกจ้องตาคนโกหกที่หันกลับมาสบตาในวินาทีสุดท้าย แค่เห็นสายตาหวั่นๆนั่นก็รู้แล้วว่าเรื่องที่พูดมาไม่ใช่เรื่องจริง แต่ถ้าเจ้าตัวไม่คิดจะเอ่ยออกมาเองต่อให้เอาคีมมาง้างปากก็คงจะไม่ได้อะไรมากไปกว่าเดิม หัวหน้าวงก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะยอมไหลตามน้ำไปกับฮีชอล

      “เฮ้ออ งั้นทีหลังก็อย่านอนดึกให้มากแล้วกัน เดี๋ยวจะไม่สบายแล้วจะเสียงงานกันไปหมด ครูเขายิ่งเพ่งเล็งนายอยู่ด้วยรู้ใช่มั้ยฮีชอล”

      ร่างบางพยักหน้าหงึกหงักกับคำเตือนของหัวหน้าวงที่เข้าสู่โหมดจริงจังทันทีที่พูดถึงเรื่องงาน อีทึกมองคนที่พยักหน้ารับด้วยสายตาเห็นใจ ก็รู้อยู่ว่าเสียใจ แต่ถ้าปล่อยให้มันมากระทบเข้ากับงานก็ไม่ใช่ผลดีแน่ ส่วนไอ้คนที่หายไปนี่ก็ใช้ไม่ได้ จะไปไหนก็ไม่บอกไม่กล่าวนึกจะหายก็หายตัวไปเสียเฉยๆ ไม่ได้คิดถึงคนที่อยู่ข้างหลังบ้างเลยว่าจะรู้สึกยังไง ที่ถูกเพื่อนสนิททิ้งให้อยู่คนเดียว ทั้งที่ก็เคยกินเคยอยู่เคยเต้นด้วยกันมา ความคิดที่กำลังแล่นอยู่ก็มีอันต้องสะดุดในทันที จริงสิ! เคยเต้น

      หัวหน้าวงตาหวานมองทั้งน้องทั้งเพื่อนด้วยดวงตาที่เป็นประกาย จนคนที่ถูกมองต้องเอ่ยถามขึ้นด้วยความระแวงกลัวว่าท่านหัวหน้าผู้เอาจริงเอาจังจะคิดอะไรแผลงๆ

      “มองกันอย่างนี้นี่มีอะไรรึเปล่าเนี่ย มันน่ากลัวนะ” กล่าวอย่างเกร็งๆพร้อมพยายามกระถดตัวถอยหนีคนที่จู่ๆก็หันมาตะปบบ่าทั้งสองข้างของตนไว้แล้วยิ้มให้อย่างไม่น่าไว้ใจที่สุด!

      “หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง” ยกสำนวนขึ้นมาอ้าง แต่ก็ไม่ได้สร้างความกระจ่างให้สบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย ตากลมโตมองพร้อมส่งประกายความไม่เข้าใจให้แก่คนพูดแต่ก็ได้แค่เสียงหัวเราะตอบกลับมายิ่งสร้างความหวาดผวาให้แก่ฮีชอลมากขึ้นไปอีก

      “ตอนนั้นนายก็เคยถูกครูว่าใช่มั้ย” ถามพร้อมมองอีกฝ่ายอย่างหวังจะให้นึกให้ออก แต่คนโดนหวังก็แค่พยักหน้าตอบแต่ไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติมจนอีทึกต้องพูดต่อ

      “แล้วนายทำยังไงไม่ให้โดนว่าอีก”

      “เอ่อ...ฉัน...ก็ซ้อมกับฮัน...” ตอบเสียงเบาอย่างไม่แน่ใจว่าใช่คำตอบที่คนฟังต้องการรึเปล่า

      “ใช่แล้ว!!!” ตบลงบนไหล่ของฮีชอลอย่างถูกใจ แต่หน้าตาที่เหรอหราของฮีชอลก็ทำให้อีทึกต้องโวยออกมา

      “ไม่เอาน่า นี่ไม่เข้าใจจริงหรือแกล้งเนี่ย เห็นกันอยู่ชัดๆเลย”

      “เห็น? เห็นอะไร งงไปหมดแล้ว” ถามคนที่ดีใจอยู่เดียว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังพูดกันคนละภาษากับสมาชิกร่วมวง ฮีชอลมองไปยังอีทึกที่ทำหน้าเหนื่อยรออยู่พร้อมกับส่ายหัวให้คนที่ยังไม่เข้าใจซักที

      “เกิดจะเข้าใจยากขึ้นมาซะอย่างนั้นนะ เฮ้ออ...ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะจัดการให้รับรองว่านายไม่โดนครูว่าอีกแน่นอน”

      “จัดการอะไร?”

      “เรื่องเต้นไง ฉันจะให้อึนฮยอกมาช่วยติวเข้มให้นาย ไอ้ไก่น่าจะช่วยได้ อืมมๆ ตามนี้แหละ” พูดเองตัดสินใจเองเสร็จสรรพไม่ได้สนใจคนฟังที่ยังนั่งงงตั้งสติไม่ทันจากประโยครวบรัดนั่น กว่าจะเรียบเรียงประโยคให้เข้าใจก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่นักเต้นเท้าไฟเปิดประตูเข้ามาพอดิบพอดี

      “อันยองฮะพี่ทึกกี้ ฮีนิม ^^” กล่าวทักทายอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย ก่อนจะต้องสะดุ้งตกใจเพราะเสียงร้องที่อยู่ๆก็ดังขึ้นแทบจะในทันทีที่พี่ใหญ่ของวงหันไปเจอตัวเอง

      “ฮยอกจี้มาได้จังหวะมากเลย”

      “ผมหรอ?” ชี้หน้าตัวเองอย่างงงๆ พร้อมทั้งมองไปยังสองพี่ใหญ่ที่นั่งอยู่บนโซฟาอย่างไม่เข้าใจ

      “ใช่แล้ว มานี่มา มานั่งก่อน” คนต้นคิดกระวีกระวาดลุกขึ้นลากน้องให้มานั่งร่วมวงสนทนาที่เจ้าตัวโดนลากเข้าไปเกี่ยวทั้งที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย

      “เกิดอะไรขึ้นหรอฮะ”

      “ไม่มีอะไรหรอก / ช่วยพี่หน่อยนะ” สองเสียงดังขึ้นพร้อมกันแต่ทว่ากลับพูดกันไปคนละทาง ยิ่งสร้างความมึนงงให้แก่คนที่เพิ่งมาถึง

      “อ้าว!? ยังไงกันละเนี่ยฮยอง ทำไมบอกไม่ตรงกัน??”

      “ไม่มีอะไรหรอกอย่าไปสนใจป้าแก่ๆเลย ว่าแต่นายมาทำอะไรอ่ะ มีธุระกับทึกกี้ใช่มั้ย งั้นฉันเข้าห้องก่อนละกัน” เป็นฮีชอลที่รีบพูดขึ้นก่อนแถมยังเตรียมชิ่งหนีเรียบร้อย แต่ก็ไม่เร็วเท่าคนที่เพิ่งโดนว่าว่าแก่ อีทึกคว้าข้อมือเอาไว้ได้ก่อนจะรั้งไว้ไม่ให้ลุกไปไหน

      “เดี๋ยวสิฮีชอล อย่าเพิ่งไป นายต้องอยู่คุยกันก่อน”

      “ไม่เอา นายอยากคุยก็คุยไปเองดิ ฉันไม่เอา ไม่คุย นายเป็นคนคิดก็เรื่องของนายแต่ฉันไม่เอาด้วย” พูดเอาแต่ใจ ไม่ยอมอยู่ฟังท่าเดียวจนอีทึกเริ่มจะหมดความอดทน

      “คิม ฮีชอล ฉันขอสั่งในฐานะหัวหน้าวง นั่งลงเดี๋ยวนี้” เอ่ยเสียงเข้มชนิดที่กาแฟดำยังสู้ไม่ได้ ฮีชอลจึงต้องนั่งลงอย่างจำใจ ลองเสียงเข้มขนาดนี้ถ้ายังไปขัดใจเข้านางฟ้าอาจจะแปลงร่างเป็นซาตานได้ในทันที

      เมื่อเห็นอีกคนนั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วอีทึกก็เริ่มต้นบอกความประสงค์ของตัวเองให้แก่ผู้มาใหม่ฟังในทันที โดยมีฮีชอลนั่งส่ายหัวทำหน้าไม่เห็นด้วยส่งให้อึนฮยอกเป็นแบลคกราวน์อยู่ด้านหลังคนพูด ส่วนคนที่ได้รับกระแสจิตจากพี่รองก็ได้แต่อมยิ้มกลั้นขำกับท่าทางของฮีชอลในขณะเดียวกันก็ต้องคอยฟังและพยักหน้าตอบคำถามที่พี่ใหญ่ของวงถามไปด้วย

      “สรุปนายจะช่วยซ้อมให้ฮีชอลใช่มั้ย” ถามคำถามสุดท้ายที่สำคัญที่สุดออกไปพร้อมมองคนตอบไปด้วยประกายแห่งความคาดหวัง ซึ่งสร้างความหนักใจให้แก่คนที่จะต้องกลายมาเป็นผู้ตอบคำถามอย่างที่สุด เพราะไม่ใช่แค่อีทึกเท่านั้นที่จ้องมองมาแต่ยังมีอีกหนึ่งสายตาที่จ้องมาด้วยเช่นเดียวกัน แถมยังน่ากลัวกว่ารายแรกอีกสักสิบล้านเท่าได้

      อึนฮยอกนั่งเหงื่อตกอยู่บนโซฟาใจหนึ่งก็อยากจะทำตามข้อเสนอของหัวหน้าวง เพราะเชื่อมั่นในตัวพี่ใหญ่คนนี้เสมอว่าสิ่งที่คิดนั้นตะต้องมีแต่ผลดีแน่นอน แต่ทว่าอีกใจหนึ่งก็ยังเกรงกลัวต่อรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากฮีชอล หากเขาตกลงรับปากไปมีหวังโดนเชือดตายคาบ้านอย่งไม่ต้องสงสัย แล้วอีกอย่างถ้าเจ้าตัวไม่อยากก็คงจะไม่มีวันสนองคนเสนออย่างแน่นอน งานนี้คงได้เหนื่อยทั้งใจเหนื่อยทั้งกายเลยทีเดียว ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสนแต่ก็จำเป็นจะต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อวงของตัวเอง

      “โอเคฮะ เรื่องเต้นผมก็ชอบอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร จะติดก็แต่...” ทันทีที่ได้ยินคำตอบรับจากน้องชายอีทึกก็ดีใจและรู้สึกโล่งที่สามารถหาคนมาช่วยจัดการเรื่องนี้ได้ แต่พอเห็นว่าน้องลอบมองคนข้างหลังอย่างหวาดกลัว ในฐานะพี่ใหญ่จึงต้องหันไปกำชับกับเจ้าคนมีของไม่ให้ปล่อยของใส่น้องจนน้องเตลิดเปิดเปิง

      “บอกไว้ก่อนเลยนะว่าห้ามนายไปขู่หรือแกล้งน้องเด็ดขาด แล้วก็ห้ามดื้อห้ามเอาแต่ใจตัวเองด้วยต้องทำตามแล้วก็เชื่อฟังที่อึนฮยอกสอนเข้าใจมั้ย? ส่วนนายถ้าไอ้บ้านี่ไม่ทำตามหรือดื้อหรือขู่อะไรก็ตามจัดการได้ทันที แต่ถ้าไม่กล้าก็มาบอกพี่ก็ได้ แมวดื้ออย่างเนี่ยถ้าไม่เชื่อฟังเดี๋ยวจะจับถ่วงน้ำซะให้เข็ดเลย”

      “เอ่อ..ฮยองโหดไปมั้ย” อึนฮยอกกล่าวทันทีที่ได้ยินคำขู่ของพี่ตาหวาน แม้จะรู้ว่าไม่จริงจังนัก แต่พอเห็นหน้างอๆของพี่อีกคนก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมายังไงบอกไม่ถูก

      “ไม่โหดหรอก ต้องบอกไว้ก่อนไม่งั้นนายเองนั่นแหละที่จะแย่ เพราะรับมือเจ้าแม่ไม่ไหว”

      “แต่..” เอ่ยอย่างลังเลก่อนจะพยักเพยิดให้ดูด้านหลัง พอหันไปก็เห็นฮีชอลนั่งหน้าง้ำไม่สนใจคนทั้งคู่ที่กำลังคุยถึงตัวเองอยู่

      “คนขี้งอนอย่างนี้ไม่ง้อให้ได้ใจหรอกปล่อยไปซักพักเดี๋ยวก็หายเอง” รีบบอกน้องชายที่กำลังจะเอื้อมมือมาแตะ พร้อมส่งซิกให้รู้ว่าถ้ายังไม่อยากตายก็อย่าเพิ่งไปยุ่ง อึนฮยอกเลยได้แต่มองอย่างห่วงๆ ก็รู้ว่าอารมณ์ของพี่คนนี้ขึ้นๆลงๆแล้วเรื่องที่เขาเพิ่งจะรับปากพี่อีทึกไปมันก็คงจะกระทบต่อความรู้สึกไม่มากไม่น้อย ทำไมถึงจะไม่รู้ว่ามันเหมือนไปแทนที่ใครอีกคน ตำแหน่งสำคัญซึ่งก็คงอยากจะรักษาเอาไว้ไม่ให้ใครได้ไป

      อีทึกเห็นน้องมองฮีชอลด้วยความห่วงใยก็มั่นใจว่า คนอย่างอึนฮยอกเนี่ยแหละที่จะช่วยฮีชอลได้ทั้งเรื่องเต้นและเรื่องหัวใจ ยังไงก็คงต้องฝากแมวไว้กับเจ้าไก่เท้าไฟแล้วละเพราะตอนนี้ก็ไม่เห็นใครที่จะช่วยได้ จะให้ทงเฮช่วยก็กลัวเจ้าเด็กไม่รู้จักโตนั่นจะทำให้แย่ลงไปกว่าเดิม เพราะจากเมื่อวานที่ฟังจากเจ้าลูกปลาแล้ว นอกจากจะช่วยไม่ได้ยังอาจจะทะเลาะกันแทนเสียด้วยซ้ำ เรื่องมันก็คงจะแย่ไปกว่าเดิม คนใจร้อนอย่างทงเฮไม่ผ่านแน่นอน ส่วนตัวเองก็ เฮ้อ...ทนใจแข็งกับฮีชอลไม่ได้นานซักที มีหวังโดนลูกอ้อนลูกตื้อจนไม่เป็นอันทำอะไรแน่ๆ ที่พึ่งสุดท้ายก็ตกไปอยู่นายละนะอึนฮยอก

      “เออ..แล้วนี่มาหาฉันมีอะไรรึเปล่า” คนสูงวัยกว่าถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าน้องมีธุระจะมาคุยด้วย

      “อ่อ เออ คือที่อัดรายการตอนบ่ายนะฮะ พี่เค้าบอกว่าขอเลื่อนเป็นวันอื่นแทน”

      “อืมม งั้นดีเลย ช่วงบ่ายว่างอย่างนี้ นายก็ไปซ้อมกับฮีชอลเลยดีมั้ย” ถามพลางมองน้องทั้งสองคนซึ่งอยู่ในอารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนนึงลังเลไม่แน่ใจเอาแต่มองเลยไปยังคนที่นั่งเงียบอยู่ ส่วนอีกคนก็ยังคงงอนอย่างต่อเนื่องและนั่งนิ่งเงียบอยู่ที่เดิม อีทึกจึงตัดสินใจหันไปคุยกับคนที่น่าจจะมีปัญหามากกว่า

      “โอเคมั้ยฮีนิม นายเองก็ว่าง ไปซ้อมเต้นออกกำลังกายจะได้สดชื่นขึ้นไง” เมื่อเห็นอีกคนยังคงนิ่งเป็นรูปปั้น จึงพยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อม

      “รู้มั้ยพอเหงื่อออก ร่างกายก็จะปล่อยสารเอ็นโดฟินส์ออกมา ซึ่งไอ้สารเนี่ยจะทำให้นายรู้สึกสดชื่นและมีความสุขมากขึ้นด้วยนะฮีนิม แถมยังได้เรื่องสุขภาพอีก มีแต่ประโยชน์ได้กับได้ทั้งนั้นเลยนะ เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องแบบนี้นี่ไม่ได้อะไรเลยนะ มีแต่จะรู้สึกหดหู่ แทนที่จะนั่งอุดอู้อยู่ในห้องออกไปข้างนอกยังดีกว่า เนอะอึนฮยอก”

      “ฮะ ใช่เลยฮยอง วันนี้เรายังไม่ต้องซ้อมก็ได้ ไปเที่ยวกันดีกว่าไหนๆก็ว่างตรงกันแล้วเนอะ” รีบยื่นหน้าเข้ามาชวนพี่ชายคนสวยของวง

      “แต่ฉันไม่อยากออกไปไหน ไปกันเองเถอะ” ว่าพร้อมลุกขึ้นเดินเข้าห้อง แต่คนตัวเล็กกว่าก็รีบวิ่งไปดักด้านหน้า

      “ไม่เอาอะ ฮยองต้องไปด้วยกันสิ ผมไม่อยากไปกับพี่อีทึกสองคนอะ เบื่อหน้ากันจะตายอยู่แล้วเจอกันแทบทุกวันเลย ผมอยากไปกับพี่มากกว่านะ”

      “ฮีชอลไปเถอะ สนองนี้ดเด็กหน่อย นึกว่าสงสารเด็กมันก็แล้วกัน” ช่วยขอร้องอีกแรง อย่างน้อยออกไปข้างนอกก็ยังดีกว่าปล่อยให้นั่งอยู่ในห้องแล้วเอาแต่ร้องไห้ไปดูรูปไป มันไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมาเลย

      “ช่ายย ฮยองสงสารเด็กตาดำๆแบบผมเถอะนะ” ขอร้องพร้อมส่งสายตาปิ๊งๆไปให้อย่างน่าเอ็นดู ฮีชอลมองอย่างชั่งใจก่อนจะตอบตกลง แล้วจึงขอตัวไปอาบน้ำก่อนที่จะออกจากบ้าน และทันทีที่คนสวยเดินเข้าห้องไปอีทึกก็รีบเรียกอึนฮยอกให้มานั่งคุยกัน

      “ฮยอกนายรู้ใช่มั้ยว่าต้องทำยังไง” ถามอย่างขึงขัง ซึ่งคนตอบก็ขึงขังรับเช่นเดียวกัน

      “ฮะ แน่นอน”

      “ดี ทำยังไงก็ได้ให้ฮีนิมระบายออกมาให้หมด จะได้สบายใจขึ้น แล้วก็...ฉันเชื่อในตัวนายนะอึนฮยอก”

      “ครับ รับรองว่าฮีชอลฮยองจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมแน่นอน ^^

      เมื่อย้ำกันเรียบร้อยอีทึกก็เดินเข้าห้องไปปล่อยให้อึนฮยอกรอฮีชอลอยู่คนเดียวที่โซฟา ไม่นานฮีชอลก็เดินออกมา พอเห็นว่าหายไปหนึ่งคนจึงถามขึ้น

      “แล้วทึกกี้ล่ะ”

      “พี่เค้าให้พวกเราไปกันเองฮะ เห็นบอกว่าง่วงก็เลยเข้าไปนอนแล้ว”

      “เอ้า!? บอกให้ออกไปเที่ยวข้างนอกบ้างแต่ตัวเองกลับนอนอยู่บ้านเนี่ยนะ” บ่นออกมาอย่างงงๆ อึนฮยอกเลยรีบชวนให้ออกไปด้วยกันก่อนที่ฮีชอลจะเปลี่ยนใจไม่ยอมไป

      “ไปกันเถอะฮะ ปล่อยคนแก่ไว้ที่นี่แหละ แก่แล้วก็อย่างนี้อ่ะนึกจะเปลี่ยนใจก็เปลี่ยน เราไปกันดีกว่านะฮะ ช้าแล้วเดี๋ยวเที่ยวได้ไม่จุใจ”

      “อืม แล้วจะไปไหนอ่ะ” ถามขึ้นเพราะไม่รู้ว่าจุดหมายของการเดินทางครั้งนี้จะไปหยุดอยู่ที่ไหน

      “ขับรถเล่นไปเรื่อยๆอยากแวะก็แวะดีมั้ยฮะ หรือว่าพี่มีที่ที่อยากไป?”

      “อืมก็มี แต่ว่านายจะอยากไปหรอ”

      “ไม่ต้องห่วงฮะฮยอง ที่ไหนก็ได้ วันนี้ผมเป็นสารถีให้เองบอกมาได้เลยฮะ ^^

      หลังจากบอกสถานที่เรียบร้อยอึนฮยอกก็ขับรถคันเก่งตรงไปยังจุดหมายปลายทางด้วยความมึนงงเล็กน้อย เพราะสถานที่ที่รุ่นพี่อยากจะไปนั้นก็คือ ห้องซ้อมของบริษัท

      “ทำไมถึงอยากมาที่นี่ละฮะ ผมนึกว่าพี่จะไม่อยากซ้อมแล้วอยากไปเที่ยวไรงี้ซะอีกอ่ะ พี่ฮีชอลทำผมแปลกใจตลอดเลยนะเนี่ย” ถามขึ้นเมื่อเดินเข้ามาถึงยังห้องซ้อมประจำของวง

      “ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ดีๆก็อยากมา” ฮีชอลมองไปรอบๆก่อนจะนั่งลงที่มุมประจำของตน

      “งั้น...เรามาเริ่มกันเลยมั้ย”

      “ไม่อ่ะ”

      “อ้าว...ถ้างั้นเรามาที่นี่ทำไม?” ร้องถามอย่างสงสัยทันทีที่ได้ยินคำตอบจากรุ่นพี่ แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรกลับมาจากเรียวปากบางคู่สวยที่ตอนนี้เจ้าของกำลังเหม่อมองไปยังกระจกบานยักษ์ของห้องซ้อม อึนฮยอกปล่อยให้อีกคนอยู่กับความคิดของตัวเอง ไม่นานเสียงหวานติดแหบเล็กน้อยก็เอ่ยขึ้น

      “ฉันไม่ได้อยากจะเป็นอย่างนี้หรอกรู้มั้ย”

      “....” นั่งเงียบมองคนพูดอย่างตั้งใจ

      “ทั้งเรื่องเต้น แล้วก็เรื่องที่เป็นอยู่ตอนนี้ ฉันไม่ได้อยากจะให้มันเป็นอย่างนี้เลย ไม่ได้อยากจะเป็นตัวถ่วง ไม่ได้อยากจะโดนครูว่า ไม่อยากทำให้เดือดร้อน ไม่อยากให้พวกนายเป็นห่วง ไม่เลย แต่...แต่พอฮันไม่อยู่ สมาธิมันก็ไม่มี แล้วเวลาซ้อมทุกครั้ง ไม่รู้ทำไมภาพเก่าๆมันก็ลอยเข้ามา” ฮีชอลละสายตามาระบายสิ่งที่อยู่ในใจให้อึนฮยอกฟัง พลันมือบางก็ยกขึ้นปิดดวงหน้าสวยเพื่อบดบังน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นออกมา ร่างบางสั่นเล็กน้อยตามแรงสะอื้นไห้อย่างน่าสงสารจนอึนฮยอกที่มองอยู่อดเป็นห่วงไม่ได้ต้องดึงพี่ชายที่รักเข้ามากอดปลอบ

      “พี่ฮีชอล พี่ไม่ต้องคิดมากหรอกนะฮะ ผมเข้าใจแล้วผมก็เชื่อว่าทุกคนก็เข้าใจเหมือนกัน ทั้งพี่อีทึก ทั้งทงเฮ เอางี้ดีมั้ยถ้าพี่คิดถึงพี่ฮันคยอง พี่ก็โทรหาเขาสิฮะ เผื่อว่าจะมันจะช่วยได้ อย่างน้อยการได้ยินเสียงคนที่เราอยากได้ยินมันก็ทำให้หายคิดถึงไปบ้างนะ เพราะเราไม่ต้องทนเก็บมันเอาไว้ไง”

      “จริงๆแล้วตอนที่ฮันคยองหายไปช่วงแรกก็เคยโทรไปแล้วล่ะ แต่รู้มั้ยไอบ้านั่นมันรับสายแล้วก็บอกว่า ฉันไม่ว่าง ฉันติดธุระอยู่ไว้ค่อยคุยกันนะฮีชอล แล้วมันก็วางสายไปเลย พอโทรไปอีกก็ติดต่อไม่ได้ นายคิดดูสิ มันน่าโมโหมั้ย โทรไปยังไม่ทันจะได้พูดอะไรก็มาตัดสายไปซะก่อนอย่างนี้ แล้วบอกว่าไว้คุยกันทีหลัง ทีหลังกับผีอ่ะดิไม่มีโทรกลับสักครั้งเดียวแถมโทรไปก็ไม่ติดอีก เป็นนายจะโกรธมั้ยล่ะ” ร่างบางใส่อารมณ์จนคนที่อยู่ด้วยกันต้องบีบนวดให้ใจเย็นลง

      “พี่เขาอาจจะมีธุระด่วนจริงๆก็ได้นะ แล้วพี่ได้โทรไปอีกมั้ยหลังจากนั้นน่ะ”

      “ไม่ ฉันโมโหมัน”

      “อ้าว...ใจเย็นก่อนสิฮะ พี่โทรไปแค่ช่วงแรกๆเอง ตอนนั้นพี่ฮันอาจจะยุ่งมากก็ได้ ไม่แน่ถ้าพี่โทรไปตอนนี้อาจจะติดก็ได้นะ พี่ไม่ลองดูล่ะ ไม่งั้นก็บินไปจีนเซอร์ไพรส์เลย ผมเชื่อว่าพี่ฮันคยองต้องกลับไปที่จีนแน่ๆ”

      ทันทีที่ฮีชอลได้ยินคำว่า จีน จากที่อารมณ์เสียอยู่ก็กลายเป็นความกลัวเข้ามาแทนที่ ร่างบางเริ่มวิตกกังวลคิดมากอีกครั้งเพราะเป็นที่รู้กันในวงว่า ฮันคยองหนีการแต่งงานที่ถูกจับคู่โดยผู้ใหญ่มาอยู่ที่เกาหลี แล้วก็โชคดีที่ได้มาเป็นศิลปินจึงทำให้งานแต่งนั้นถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ที่หายไปเป็นเดือนอย่างนี้ แถมยังกลับไปที่จีนอีก อย่าบอกนะว่า...กลับไปแต่งงาน!!!!?

      พอคิดได้อย่างนั้นน้ำตาที่หยุดไหลไปแล้วก็ไหลออกมาอีกครั้งอย่างไม่อาจห้ามได้ ร้อนถึงคนที่คอยสังเกตอาการอย่างอึนฮยอก เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่คนสวยร้องไห้อีกครั้งก็รีบดึงมาปลอบพร้อมเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน และถ้าให้เดาสาเหตุของน้ำตาในครั้งนี้ก็คงจะไม่พ้นเรื่องที่พี่ชายตัวสูงกลับจีนอย่างแน่นอน

      “พี่อย่าเพิ่งคิดมากสิ ไม่ต้องร้องนะฮะ ไม่แน่สิ่งที่พี่คิดมันอาจจะตรงข้ามกันก็ได้นะ”

      “ตรงข้ามกันยังไง?” ถามรุ่นน้องอย่างไม่เข้าใจในความหมายของประโยคที่กล่าวมา

      “แล้วพี่คิดอะไรอยู่ละฮะ”

      “ก็เรื่องที่กลับจีนนั่นแหละ นายก็รู้ว่าฮันมาอยู่ที่เกาหลีเพราะอะไร แล้วกลับไปนานขนาดนี้...” ท้ายเสียงแผ่วเบาลงเพราะไม่อยากจะพูดถึงสิ่งที่คิดไว้ เพียงแค่นึกถึงน้ำตาก็พานจะไหลอีกรอบ

      “นั่นแหละฮะที่ผมว่ามันตรงข้าม” ยื่นมือไปแตะไหล่พร้อมยิ้มให้กับรุ่นพี่ที่ยังคงมองมาด้วยสายตางงงวย อึนฮยอกจึงเอ่ยต่อเพื่อขยายความให้เข้าใจ

      “พี่อาจจะลืมคิดไปว่าที่พี่ฮันมาอยู่เกาหลีเพราะอะไร ถึงพี่เขาจะมีคนที่พ่อแม่อยากให้แต่งด้วย แต่ว่าพี่ฮันคยองเองก็ไม่เต็มใจ เพราะไม่ชอบถึงได้หนีมาไม่ใช่หรอฮะ เพราะต้องการหนีการคลุมถุงชนพี่ฮันถึงมาอยู่ที่เกาหลี มาอยู่ที่นี่กับพวกเรา”

      “จริงสินะ” ฮีชอลปาดน้ำสีใสออกอย่างลวกๆทันทีที่คิดตามสิ่งที่น้อยชายกล่าวก็เหมือนเห็นแสงสว่างส่องลงมาอีกครั้งหลังจากที่ต้องติดอยู่ในความมืดมานาน อึนฮยอกมองคนที่เริ่มยิ้มออกแล้วก็ยิ้มตามไปด้วยก่อนที่จะคว้าเอามือบางมาจับไว้

       “อีกอย่างพี่ทั้งสองคนก็ชอบกันนี่ฮะ ไม่เห็นมีอะไรจะต้องกลัวไปเลย จริงมั้ย?” บอกเสียงสดใสแต่พอเห็นสีหน้าคู่สนทนาเท่านั้นก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าพูดอะไรผิดไปรึเปล่าทำไมพี่ฮีชอลถึงได้ทำหน้าเศร้าอย่างนั้น (อีกแล้ว)

      “ฉันน่ะใช่ ฉันรักฮันแต่ฉันไม่เคยรู้เลยว่าฮันคิดยังไงกับฉันแค่เพื่อนหรือมากกว่านั้น ไม่รู้จริงๆว่าตัวเองอยู่ในฐานะไหนกันแน่”

      “ไม่เป็นไรหรอกฮะแค่พี่รู้ใจตัวเอง รู้ว่ารักใครก็พอแล้ว” กระชับมือบางก่อนจะพูดต่อ

      “แล้วไม่ว่ายังไงพี่ก็รักไปแล้วและจะไม่มีวันเปลี่ยนใจนี่ฮะ ถูกมั้ย?”

      “อืม ก็รักไปแล้วนี่ ถ้าความรู้สึกมันเปลี่ยนกันได้ง่ายๆฉันคงไม่เป็นอย่างนี้หรอก” ว่าเสียงอ่อย แต่คนที่ได้ยินกลับยิ้มกว้างที่ทำให้รุ่นพี่ที่แสนจะดื้อคนนี้ยอมรับและพูดระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้หมด

      “ดีฮะ! พี่รู้มั้ยถ้าเป็นผมนะ จะทำทุกอย่างทุกวิถีทางให้เราได้อยู่ด้วยกัน ต่อให้ต้องตื๊อจนโลกแตกหรือเกลียดขี้หน้ากันไปผมก็จะทำ เพราะงั้นพี่เองก็เหมือนกันในเมื่อเจอคนที่ใช่แล้วก็อย่าปล่อยให้หลุดมือซะละ!” ทิ้งท้ายให้คนสูงวัยกว่าได้คิดตามก่อนที่ตัวเองจะเดินออกไปจากห้องซ้อมอย่างเงียบๆ

      หลังจากที่คิดทบทวนคำพูดของรุ่นน้องจนมาถึงหอพักแล้ว ฮีชอลก็ทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาวกลางห้องนั่งเล่นที่ปราศจากผู้คน มือบางล้วงหยิบมือถือมากดเบอร์โทรศัพท์ที่คุ้นเคยแต่พอจะต้องกดปุ่มโทรออกก็ชะงักเสียอย่างนั้น ความคิดด้านในตีกันยุ่งเหยิง ใจนึงอยากโทรแต่ทว่าอีกใจก็ยังกลัว

      ถ้าพี่ไม่ทำอะไรซักอย่างให้ดีขึ้นพี่จะต้องเสียทุกอย่างไปเสียงของน้องเล็กดังขึ้นในหัว ฮีชอลจึงตัดสินใจกดนิ้วเรียวลงบนปุ่มสีเขียว แต่ยังไม่ทันถึงหนึ่งวินาทีปุ่มสีแดงก็ถูกกดตามมาติดๆ

      แล้วถ้าไม่มีคนรับสายล่ะ? หรือถ้ามีคนรับแต่บอกว่าไม่ว่างไม่อยากคุยล่ะ? อีกเสียงดังขึ้นค้านเสียงของทงเฮจนต้องรีบกดตัดสาย ไม่มีคนรับยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นอย่างหลังมันต้องรู้สึกแย่มากแน่ๆ

      แต่แล้วสิ่งที่เพิ่งคุยกับน้องชายอีกคนเมื่อตอนบ่ายก็ย้อนเข้ามาในสมอง

      ไม่ว่ายังไงพี่ก็รักไปแล้วและจะไม่มีวันเปลี่ยนใจนี่ฮะ

      อืม ก็รักไปแล้วนี่ ถ้าความรู้สึกมันเปลี่ยนกันได้ง่ายๆฉันคงไม่เป็นอย่างนี้หรอก

      ใช่! สิ่งที่เราตอบไปมันก็ถูกแล้ว เพราะรักเราถึงได้เป็นอย่างนี้ และไม่ว่าฮันจะชอบเราหรือไม่แต่ความรู้สึกของเราที่มีต่อฮันนั้นก็เป็นเรื่องจริงและไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแน่นอน แต่...

      ถ้าเป็นผมนะ จะทำทุกอย่างทุกวิถีทางให้เราได้อยู่ด้วยกัน ต่อให้ต้องตื๊อจนโลกแตกหรือเกลียดขี้หน้ากันไปผมก็จะทำ...ในเมื่อเจอคนที่ใช่แล้วก็อย่าปล่อยให้หลุดมือซะละ!

      โอเค...ฉันจะเชื่อนายอึนฮยอก จะทำทุกทางให้ได้อยู่ด้วยกัน จะไม่ปล่อยให้คนที่ใช่หลุดมือไปแน่นอน

      เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็กดเบอร์โทรลงไปอีกครั้ง เครื่องมือสื่อสารอันจิ๋วถูกยกขึ้นแนบข้างหูพร้อมกับใจที่เต้นรัว ฮีชอลพยายามควบคุมสติและอารมณ์ให้เป็นปกติแต่ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างยากลำบากในเมื่อทุกเสียงสัญญาณที่ดังยาวนานเหมือนใช้เวลาเป็นชั่วโมงราวกับพร้อมที่จะดับลมหายใจได้ในทันทีที่สัญญาณถูกตัดไปหรือว่ามีใครอื่นมารับ

      พรึ่บ!

      แสงสว่างจากหลอดไฟที่เคยมีดับลงพร้อมความมืดที่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง เหลือเพียงแสงสว่างอันน้อยนิดที่มาจากเจ้าเครื่องมือสื่อสารตัวจิ๋วที่ยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไปอย่างไม่บกพร่อง แต่ก็ยังไร้วี่แววว่าจะมีคนตอบรับสัญญาณนั่น ผ่านไปหลายนาทีจนที่สุดแล้วมันก็ดับลง พร้อมกับความมืดสนิทที่ปกคลุมทั่วทั้งห้องและหัวใจของร่างบาง

      ฮีชอลรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆที่เอ่อคลอขึ้นในดวงตา และรู้ว่ามันกำลังจะไหลออกมาในไม่ช้านี้ แต่ร่างบางก็ไม่สนใจถ้าหากว่าน้ำตาที่ไหลมันจะช่วยล้างหรือคลายความรู้สึกแย่และทุกข์ใจให้หายไปได้ มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเช็ดออก ผ่านไปกี่นาทีไม่รู้ที่ปล่อยให้น้ำตาไหลรินอยู่อย่างนั้น ไม่มีแม้แต่เสียงสะอึกสะอื้น ฮีชอลได้แต่นั่งนิ่งปิดทุกประสาทสัมผัสแล้วจมอยู่กับความคิดของตัวเองท่ามกลางความเงียบในห้องที่มืดมิดและเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ

      เสียงเรียกเข้าของมือถือเครื่องจิ๋วดังขึ้นพร้อมกับหลอดไฟที่สว่างขึ้นทำลายทั้งความเงียบและความมืดมิด ปลุกให้เจ้าของเครื่องมือสื่อสารออกจากภวังค์ความคิดของตนเอง ร่างบางปาดเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็วพร้อมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะหยิบมาแนบหู

      “สวัสดีครับ”

      “....”

      “ฮัลโหล ได้ยินรึเปล่า?” เรียกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนที่โทรมายังไม่ยอมพูดอะไร

      “ฮีชอล” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้น ไม่แน่ใจว่าออกมาจากมือถือของตนหรือมาจากต้นกำเนิดเสียงที่ดังอยู่ข้างหูกันแน่ ราวกับฝันไปแต่ความรู้สึกอุ่นวาบที่แผ่กระจายไปทั่วทั่งร่างบางทันทีที่เจ้าของเสียงนุ่มโอบกอดตนเองจากด้านหลังก็ทำให้รู้ว่านี่คือความจริง ไม่ได้เป็นเพียงจินตนาการหรือความฝันที่สร้างขึ้นมาในความคิด

      “ฮันคยอง...” เสียงหวานเรียกชื่อคนที่อยู่ในหัวใจของตนเองออกมาอย่างเลื่อนลอย ใบหน้าสวยที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาหันกลับมามองคนที่คิดถึงอย่างสุดหัวใจ ก่อนที่มือบางจะเลื่อนไปสัมผัสใบหน้าหล่ออย่างช้าๆราวกับต้องการตรวจสอบในทุกรายละเอียดให้แน่ใจว่าที่อยู่ตรงหน้านี้คือคนรักของตน

      “ฉันกลับมาแล้ว” ยิ้มกว้างพร้อมกับมืออุ่นที่เลื่อนไปสัมผัสแก้มนิ่มของร่างบางตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆเช็ดคราบน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา แต่ทว่าสัมผัสอ่อนโยนกลับทำให้คนตัวเล็กไม่สามารถเก็บกั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป ยิ่งได้ยินประโยคต่อมาน้ำตาก็ยิ่งไหลมากขึ้นอย่างไม่อาจหักห้ามได้

      “ฉันสัญญาว่าจะอยู่กับนายจากนี้และตลอดไป เชื่อฉันนะ”

      “ฮัน...” ฮีชอลมองสบตากับชายหนุ่มที่จ้องมาอย่างมีความหมาย เพียงแค่สบสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและจริงจังคู่นั้นก็ทำให้ฮีชอลแทบจะไม่สามารถค้นหาคำมาพูดต่อได้ และที่เงียบก็ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อหรืออะไร แต่เป็นเพราะเชื่อและดีใจมากต่างหากถึงได้พูดอะไรไม่ออกอย่างนี้ แต่ดูเหมือนร่างสูงจะเข้าใจผิดคิดว่าตนยังไม่ยกโทษให้และยังไม่เชื่อเป็นแน่

      “ขอโทษนะที่หายไปไม่บอกไม่กล่าวแถมยังไม่ติดต่อกลับมา แต่ฉันอยากจะจัดการปัญหาที่มันวุ่นวายอยู่ทางนู้นให้เรียบร้อยก่อน...ก่อนที่จะมาเริ่มเรื่องของเรา”

      ฮีชอลมองหน้าคนพูดที่ออกอาการเขินเล็กน้อยเมื่อพูดมาถึงท้ายประโยคอย่างตกใจ ไม่แน่ใจว่าตนเองหูฝาดตาฝาดไปหรือเปล่า? ร่างบางคิดพลางมองหน้าอีกคนอย่างสงสัยปนตกใจไม่หาย ซึ่งฮันคยองก็ได้แต่หัวเราะเขินๆกลับมาให้

      “คือ ฉันก็รู้นะว่าตัวเองไม่เคยได้พูดอะไรในทำนองนั้นกับนายเลย แต่ตอนที่นายสารภาพรักกับฉันในวันนี้เมื่อปีก่อนจริงๆแล้วฉันเองก็ดีใจมากที่ใจตรงกัน แต่ที่ไม่ได้ตอบรับนั่นเพราะตัวเองก็ยังเหมือนมีพันธะอยู่ที่จีน ฉันก็กลัวว่าถ้าไม่จัดการให้มันเรียบร้อยมันอาจจะมีปัญหาวุ่นวายตามมาทีหลังเลยตั้งใจว่าจะจัดการทุกอย่างให้เสร็จแล้วจึงค่อยมาเริ่มเรื่องของเรา”

      ฮีชอลมองไปที่ฮันคยองอย่างตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าต่างก็ใจตรงกัน แถมยังจำวันที่ตนเองบอกรักได้อีกด้วยทั้งที่เป็นคนบอกเองแต่กลับจำไม่ได้อาจเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนั่นเองที่ทำให้ลืมไปจนเสียสนิท จากที่ปล่อยให้ร่างสูงเขินอยู่คนเดียวตอนนี้แก้มเนียนๆของตนเองก็เริ่มร้อนแล้วเหมือนกันและมันก็คงจะแดงไม่มากก็น้อยเป็นแน่ ส่วนทางด้านฮันคยองเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กไม่พูดตอบอะไรจึงพูดสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ในใจต่อ

      “นายจะโกรธฉันก็ได้นะที่ไม่ติดต่อกลับมาเลย แต่นั่นมันเป็นเพราะข้อตกลงระหว่างฉันกับทางผู้ใหญ่น่ะ ถ้าอยากอยู่ที่เกาหลีฉันต้องไม่ติดต่อกลับเป็นเวลาหนึ่งเดือน และตอนนี้ฉันก็ทำสำเร็จแล้วสามารถที่จะอยู่ที่เกาหลีได้ตลอดไปและที่สำคัญ...”

      ฮันคยองเว้นจังหวะเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าร่างบางมองอยู่ก่อนแล้วจึงใช้โอกาสนั้นจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมที่ไม่ได้เห็นมานานร่วมเดือน เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยอย่างช้าๆแต่ทว่าหนักแน่นและชัดเจนราวกับต้องการจะตอกย้ำว่าทุกพยางค์ที่พูดออกมานั้นคือความจริงที่มาจากความรู้สึกจากใจ

      “ฉันไม่มีพันธะอะไรอีกแล้ว นอกจากนาย คนที่ฉันจะใช้ชีวิตด้วยจากนี้และตลอดไป”

      “...”

      “ฮีชอล ฉันรักนาย”

      “ฉันก็รักนาย ฮันคยอง”

      ในทันทีที่ร่างสูงพูดจบ เสียงหวานก็กล่าวขึ้นอย่างดีใจ ใบหน้าสวยแม้จะเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา แต่ทว่าก็ยังคงสวยและหวานซึ้งอยู่ดีในเมื่อน้ำตานั้นเป็นสิ่งที่มาจากความดีใจไม่ใช่ความเศร้าโศกอย่างที่เคย รอยยิ้มกว้างที่ประดับอยู่บนหน้าเรียวนั้นก็คงเป็นหลักฐานยืนยันความสุขได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้ความสุขที่ได้รับนั้นมีมากมายเพียงใด

      รอยยิ้มสดใสที่ชวนให้ผู้ที่ได้พบเห็นยิ้มตาม คล้ายดอกไม้แสนสวยที่ชวนให้ผู้คนที่พบต้องหยุดมอง ดอกไม้ที่สวยงามเหล่านั้นจะสวยงามได้อย่างไรถ้าขาดผีเสื้อที่คอยบินอยู่เคียงข้างและเติมเต็มในส่วนที่ขาดให้แก่กัน ถ้าไม่มีผีเสื้อดอกไม้ก็ไม่มีวันที่จะเปล่งประกายสวยงามได้อย่างที่เป็น ถ้าไม่มีดอกไม้ผีเสื้อก็ไม่สามารถหาความหอมหวานและอาหารให้แก่ชีวิตได้ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปอีกอย่างก็ไม่มีทางมีความสุขได้

      เช่นเดียวกับฮีชอลและฮันคยองที่ทั้งคู่ต่างก็เป็นเหมือนดอกไม้และผีเสื้อที่ช่วยกันเติมเต็มชีวิตของกันและกันให้สมบูรณ์ เหมือนจิกซอว์ตัวสุดท้ายที่ถูกกำหนดให้รอคอยการนำไปต่อเป็นภาพและเรื่องราวที่แสนวิเศษ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเข้ามาพิสูจน์ สิ่งหนึ่งที่มั่นใจคือความรักที่มีต่อเธอจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะเธอคือคนที่ใช่ ถ้าไม่ใช่เธอฉันก็ไม่ต้องการใครอีก... ‘It’s You’

       

       

       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×