ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามหาฆาตกร

    ลำดับตอนที่ #1 : เริ่มต้น

    • อัปเดตล่าสุด 17 มี.ค. 49



    ฉันเป็นคนที่ใครๆเรียกว่าเด็กมีปัญหา....ฉันไม่อยากจะยอมรับคำคำนี้ซักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อาจจะแย้งได้ว่าคำที่คนพวกนั้นพูดไม่เป็นความจริง....ฉันคิดว่าตัวฉันเองเป็นเด็กมีปัญหาจริงอย่างที่เค้าว่า เพราะฉันรู้สึกว่าตัวเองแปลกประหลาดกว่าเด็กทั่วไป เด็กคนอื่นๆเค้าสามารถพูดคุยกับครอบครัว ญาติๆ เพื่อนๆและบุคคลทั่วไปได้อย่าปกติ แต่ฉันทำไม่ได้ ทุกครั้งเวลาพูดคุยกับพ่อ ฉันจะรู้สึกอารมณ์เสีย อึดอัด อารมณ์พลุ่งพล่านและคลุ้มคลั่งจนต้องร้องไห้ออกมาอย่างเงียบๆ ฉันจะให้พ่อแม่รู้ไม่ได้ว่าฉันกำลังร้องไห้ ฉันรู้สึกว่าพวกท่านจะคิดว่าฉันอ่อนแอ ฉันไม่ชอบให้ใครเห็นน้ำตาฉัน มันรู้สึกสมเพชตัวเอง... เวลาคุยกับแม่ฉันจะรู้สึกหงุดหงิด และไม่ต้องการจะเห็นหน้าหรือได้ยินเสียงท่าน เวลาเจอพวกญาติๆฉันจะรู้สึกว่าพวกเค้ามองฉันด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนกับว่าฉันเป็นตัวประหลาดยังไงยังงั้น  ฉันไม่มีเพื่อน ฉันไม่กล้าเข้าไปทำความรู้จักกับใครก่อน ฉันไม่มีความมั่นใจเลย ไม่รู้จะทำยังไง  เวลามีคนแปลกหน้าเข้ามาคุยฉันจะรู้สึกตื่นเต้น เกร็งและประหม่าและจะรีบเดินหนีไปทันที ฉันไม่มีคนรู้จักที่ไหนเลย ไม่มีเพื่อน วันทั้งวันฉันแทบไม่ต้องปริปากพูดกับใคร...เพราะไม่มีใครให้ฉันพูดด้วย พ่อแม่ก็ไม่ค่อยพูดกับฉันเท่าไหร่ เพราะพูดด้วยทีไรก็เป็นเรื่องทุกที เราจึงเหมือนมีความสัมพันธ์กันแค่คนรู้จัก ไม่ใช่พ่อแม่ลูก ไม่สามารถปรึกษาปัญหาใดๆได้เลย ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันจะมีแต่ความเงียบจนก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัด .... ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงมีนิสัยแบบนี้ แต่ดูเหมือนฉันจะเริ่มติดนิสัยแบบนี้ตั้งแต่ตอนเด็กๆประมาณชั้นประถม มันซึมซับเข้ามาทีละนิดๆจนกลายเป็นนิสัยของฉันในปัจจุบัน ........ ใครจะเชื่อว่าเด็กหญิงตัวเล็กๆที่ยิ้มได้แบบร่าเริงออกมาโดยไม่มีการเสแสร้ง โตมาจะกลายเป็นคนไม่พูดไม่จา เป็นเด็กมีปัญหาในสายตาใครๆแบบนี้....

                ฉันชอบอยู่คนเดียว  เวลาฉันได้อยู่คนเดียวในห้องส่วนตัวของฉัน นอนและจินตนาการถึงโลกที่ฉันต้องการ โลกที่ฉันอยู่แล้วมีความสุข ได้ยิ้มได้หัวเราะไปพร้อมๆกับเพื่อนที่ฉันรู้จักและคุยได้ทุกเรื่อง ในโลกที่มีคนยอมรับฉัน มีบ้านของตัวเอง ได้ทำอะไรสนุกๆมากมายที่ในโลกความเป็นจริงฉันทำไม่ได้ ดูเหมือนว่าเพื่อนเพียงคนเดียวในโลกแห่งความเป็นจริงของฉันนั้นก็คือสมุดสีดำเล่มเล็กๆเล่มหนึ่ง ฉันเล่าเรื่องทุกเรื่องให้มันฟัง ... ถ้าไม่มีมัน ฉันคงอกแตกตายแน่ๆ....

                ฉันเคยเจอบทความหนึ่งเค้าเขียนบอกเอาไว้ว่า คนเรามักจะต้องการในสิ่งที่ตัวเองไม่มี ...อาจจะจริงก็ได้ เหมือนกันกับที่ฉันเป็นอยู่นี่ไง......การได้จินตนาการถึงสิ่งที่ฉันต้องการมันมีความสุขมากเลยนะ แต่มันก็เหมือนกับการทำร้ายตัวเองทางอ้อมเหมือนกัน ...เวลาตื่นจากฝัน ฉันมักจะร้องไห้เสมอๆ มันรู้สึกหดหู่เมื่อต้องทำใจยอมรับว่าจริงๆแล้วฉันไม่มีสิ่งเหล่านั้น ไม่มีอะไรเลย มีเพียงความว่างเปล่าและสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ...เพียงเท่านี้ก็ทำให้น้ำตาของฉันไหลไม่หยุดแล้ว แปลกนะ....เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ถึงแม้จะอยากร้องไห้ขนาดไหน แต่ฉันกลับไม่มีน้ำตา น้ำตาฉันมันแห้งเหือดหายไปอย่างกะทันหัน .....ใครจะรู้บ้างว่าเวลาที่อยากร้องไห้แล้วร้องไม่ออก ไม่สามารถร้องได้เนี่ย ...มันอึดอัดทรมานขนาดไหน? เหมือนภูเขาไฟที่ครุกรุ่น เตรียมพร้อมจะระเบิด แต่ไม่สามารถประทุออกมาได้ มันจุกอยู่ในอก เหมือนมีก้อนแข็งๆมากดทับไว้ ทำให้หลั่งไหลออกมาสู่ภายนอกไม่ได้...อึดอัดเหลือเกิน.............................

                ฉันต้องทนอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ความอึดอัด ปวดร้าว ทรมานนี้มาสิบกว่าปีแล้ว....ฉันไม่สามารถสู้ตอบโต้กับชะตากรรมของชีวิตได้เลย ไม่มีทางสู้เลยจริงๆ ...ฉันอยากจะหนีมันไปให้พ้นๆเสียที ฉันเคยฝันไว้ว่า วันหนึ่งฉันจะหนีไปให้พ้นจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ หนีไปอยู่ให้ไกล ที่ไกลผู้คนได้ยิ่งดี จะได้ไม่ต้องมีใครมารบกวนโลกส่วนตัวของฉันอีก ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว นอกจากเจ้าสมุดบันทึกเล่มน้อย เพื่อนเพียงคนเดียวของฉัน.....

                และแล้ววันแห่งแสงสว่างของฉันก็มาถึง วันที่ฉันจะหลุดพ้นจากสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายที่ฉันเผชิญมาตลอดสิบกว่าปีนี่....

                วันนั้นฉันกำลังนอนฟังเพลงจากสถานีวิทยุอยู่ในห้องส่วนตัว โฆษณาประกาศขายบ้านก็แว่วเข้ามาในหู มันตั้งอยู่ในทำเลที่ห่างจากสถานที่ชุมชน ติดทะเลและแวดล้อมด้วยป่าและภูเขา ราคาไม่แพงอีกทั้งยังอยู่ใกล้ๆกับที่ทำงานของฉันด้วย ฉันเกิดความสนใจบ้านหลังนั้นขึ้นมาทันทีและตัดสินใจว่าจะไปดูบ้านหลังนั้นในวันรุ่งขึ้น  คืนนั้น...ฉันนอนคิดถึงบ้านหลังนั้นและจิตนาการว่ามันจะเป็นอย่างไร มันคงจะสวยงามมากเลยทีเดียว บ้านสองชั้นหลังใหญ่ สะอาดสะอ้าน สวยงาม ตัวบ้านสีขาวทั้งหลัง หลังคาสีน้ำตาลเข้ม เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งไว้อย่างสวยหรู ลงตัว ฉันจะได้วิ่งไปมารอบๆบ้าน ได้ทำสวนดอกไม้อย่างที่ฉันชอบ ได้เดินไปมาในบ้าน บรรยากาศในบ้านอบอวลไปด้วยความสงบสุข ไม่ต้องมีใครมารบกวน ตื่นเช้ามาก็ไม่ต้องเจอหน้าใครที่ทำให้ฉันต้องอึดอัดและอารมณ์หมองมัว ได้ทำอาหารเช้าง่ายๆกินเอง ในวันหยุดสบายๆ อยากจะนอนตื่นสายแค่ไหนก็ได้ ได้ตะโกนโหวกเหวกโวยวายออกมาได้อย่างเต็มที่ อย่างที่ฉันอยากทำมาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา....อยู่ที่บ้านนี่ฉันไม่สามารถร้องระบายความอัดอั้นตันใจออกมาได้ คล้ายกับว่าฉันเก็บกดมันมาตลอด พอได้นึกว่าวันหนึ่งฉันจะหลุดพ้นจากที่นี่ได้ตลอดกาล ฉันก็ดีใจจนบอกไม่ถูก ฉันรู้สึกได้ว่ามีริมฝีปากค่อยผลิออก มีรอยยิ้มระบายอยู่บนหน้าฉัน หลังจากที่ใบหน้านี้ไม่เคยได้รับรอยยิ้มมาแต่งแต้มยาวนานถึงสิบกว่าปี.....ฉันดีใจจริงๆ จากนี้ไปอะไรๆคงจะดีขึ้นแล้วสินะ....ดีจริงๆ......

                รุ่งขึ้นฉันก็ทำอย่างที่ได้ตัดสินใจไว้ ฉันเดินทางไปยังบ้านหลังนั้น  มันเป็นอย่างที่ฉันคิดไว้จริงๆ บ้านหลังใหญ่ สวยงามโอ่อ่าตั้งอยู่ท่ามกลางต้นไม้ ภูเขาและทะเล สวยงามจริงๆ สวยมาก......

                ฉันตกลงปลงใจที่จะทุบกระปุกเอาเงินที่เก็บไว้ออกมาซื้อบ้านหลังนั้น....เย็นนั้นฉันบอกพ่อกับแม่ว่าจะย้ายออกไปอยู่คนเดียวข้างนอก ท่านทั้งสองทำหน้างงๆแต่ก็ไม่ได้ห้าม แถมยังพูดทับถมฉันอีกนิดเป็นการส่งท้ายว่า ออกไปแล้วก็เอาตัวรอดให้ได้แล้วกัน อย่าซมซานกลับมาให้พวกฉันต้องเลี้ยงดูแกอีกล่ะ แล้วก็ไม่ต้องทำตัวเป็นลูกกตัญญูมาตอบแทนพวกฉันหรอก พวกฉันไม่เคยคิดจะพึ่งพาแกหรอก คนอย่างแกน่ะพึ่งอะไรได้ที่ไหน เอาตัวเองให้รอดได้ก็เก่งแล้ว .......ฉันรู้สึกขอบคุณคำพูดนั้นของพ่อจริงเพราะมันทำให้ฉันตัดใจจากบ้านนี้ได้อย่างไม่อาลัยอาวรณ์ เพราะพูดๆไปแล้วถึงฉันจะไม่ชอบบ้านหลังนี้แต่ฉันก็ผูกพันกับมันพอสมควร...แต่ถึงเวลาแล้วล่ะ จบเสียที......ลาล่ะนะบ้านเก่า......จากนี้ไปฉันจะได้มีความสุข ได้ไปอยู่ในที่ที่ฉันฝัน หันหลังให้กับอดีตที่แสนเจ็บปวด ทรมาน ...จากนี้ไปฉันจะไปอยู่ที่บ้านของฉัน...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×