ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชีวิตร้ายๆของยัยเด็กNurse

    ลำดับตอนที่ #1 : ที่มาที่ไปและส่วนเกิน

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ค. 66


            ตึกสูงตระหง่านท้าทายลมฝนตรงหน้านี้ จัดได้ว่าพร้อมสรรพไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก มากเท่าที่ยุคนั้น สมัยนั้นจะมีได้ ใช่แล้วเรากำลังย้อนกลับไปเรียนในยุค 90 ยุคที่ใยแก้วนำแสงเพิ่งฮือฮา (งงอ่ะดิ!!! ใยแก้วนำแสงวะซั่น มันคืออิหยังวะ คือสารตั้งต้น/ตัวต้นแบบมาสู่อินเตอร์เนต มาสู่การติดต่อสื่อสารที่ทันสมัยในยุคนี้ ) ยุคที่หน้าตาของอากู๋หรือ google คือห้องสมุด สิ่งที่เป็นหน้าเป็นตาดึงดูดให้นักศึกษาสนใจเข้าเรียนคือ ชื่อเสียงอันเก่าแก่ของสถาบัน อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิที่ขึ้นชื่อว่าเป็นปรมาจารย์ ตึกที่ใหญ่โตโอ่อ่า และห้องสมุดที่ใหญ่มีหนังสือทันสมัยและเพียงพอต่อนักศึกษา

    เบื้องหน้าตึกสูงรั้วฟ้าขาว เด็กหญิงตัวเตี้ยๆดำๆ มาจากบ้านนอกสะพายเป้เก่าๆ ชุดนักเรียนมัธยมปลายที่ดูดีที่สุดแล้วแต่ก็เก่าแหละ ยืนมองตึกสูง 7 ชั้น สำหรับเด็กบ้านนอกที่ไม่เคยจากบ้านไปไหนไกล มันก็ดูเป็นอะไรที่แปลกและเปลี่ยนไปในชีวิตของเธอ ทุกคนต้องเติบโต ทุกคนต้องมีชีวิตของตัวเอง ในเมื่อเราเลือกเองไม่ว่าจะเจออะไรในนี้เราต้องอดทนผ่านไปให้ได้ นั่นคือประโยคที่เขียนลงไดอารี่ทุกวัน

    เหตุผลที่เลือกเรียนและสอบเข้าพยาบาล ข้อแรกเป็นทุนเรียนฟรีแต่ต้องสอบชิงทุนหากไม่สมัครสอบชิงทุนนี้ น้องๆรุ่นต่อไปจะถูกตัดสิทธิ์รับทุน ข้อสองเรียนพยาบาลจบแล้วมีงานทำทันทีไม่ต้องวิ่งสมัครงานไม่ต้องใช้เส้นสายใด วันที่มีหนังสือเชิญเข้าสอบทุนซึ่งเป็นรุ่นแรกที่มีการผลิตพยาบาลเพิ่มจำนวนมากเพราะขาดแคลน รัฐบาลยุคนั้นจึงอนุมัติโครงการทุนพยาบาลชนบทเพื่อผลิตพยาบาลสู่ชุมชน ประมาณว่าเรียนจบก็กลับไปทำงานบ้านนอกที่ตัวเองจากมา โครงการใหม่เอี่ยมไม่มีใครรู้ขั้นตอนการคัดเลือกนักเรียนทุน รู้เพียงข้อแม้หากเรียนไม่จบต้องชดใช้ทุนคืนหลวง 480,000 อยากทราบมั้ยคะมันมากแค่ไหน ตอนนั้นเราอยู่ในยุคที่ไข่ฟองละบาท ปลาทูตัวละ3-5บาทเรียกว่าโคตรพ่อโคตรแม่ปลาทู เงินห้า่สิบสตางค์ซื้อขนมได้ ไม่ต้องพูดถึงเงินแสนเลย สำหรับเด็กคนนึงที่บ้านยากจน มันมากมายมหาศาลทีเดียว 

    พ่อกับแม่ รู้เพียง ลูกสอบได้ทุนเรียนฟรี จ่ายสามหมื่นวันมอบตัว แล้วอีก 4 ปีข้างหน้ามารับพยาบาลที่จบปริญญาตรีกลับบ้านไปทำงานได้เลย เรื่องชดใช้ทุนหากไม่จบ อันนั้นบอกไม่ได้ พ่อไม่สบายเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เดี๋ยวจะเครียดเปล่าๆ แค่ลูกเลือกพยาบาลไม่เลือกคุรุทายาท ก็งอนกันเป็นเดือน ส่วนตัวผู้เขียนเป็นเด็กตั้งใจเรียน ทำให้เกรดเฉลี่ยที่มี ติดทุกคณะที่คัดเลือกทุนฟรี ยุคของเราถ้าจะเข้ามหาวิทยาลัย จะเป็นการสอบชิงทุนเรียนฟรีก่อนก็พวกหัวกะทิอ่ะนะ รอบต่อมาคือเอนทรานซ์ เด็กยุคใหม่คงไม่เข้าใจ 1ปีสอบครั้งเดียวไม่ได้ก็รอปีหน้า ประมาณว่าสอบจองหงวนแบบนั้น

    ''เอาวะ ไหนๆก็เลือกมาแล้ว ทนๆไป สี่ปีเอง เดี๋ยวก็จบเองแหละ " นางจ่อยปลอบใจตัวเอง 

    การอยู่ที่นี่ ที่วิทยาลัยพยาบาลแห่งนี้ เราต้องปรับตัวหลายอย่าง เชื่อว่าตอนนี้เด็ก บรม ทุกคนรุ่นเก่ายังจำกลิ่นอายของพี่ว้าก ของระบบSOTUS ได้ดี ส่วนยุค Gen Y ก็คงยังพบเจอกลิ่นอายเด็กหอในไม่มากก็น้อย ป้าเกิดเร็วไปหน่อยเลยได้เป็นนักศึกษาพยาบาลยุค 90 เด็กยุคนั้นเชื่อฟังผู้ใหญ่ ถ้าดื้อเดี๋ยวผีเป้ากินตับ ไม่เคยออกจากบ้าไปเที่ยว นานๆมีหนังกลางแปลงมาฉายถึงได้ออกจากบ้านพร้อมพ่อแม่ตอนกลางคืน ใครบ้านมีฐานะหน่อยก็จะมีหนังสือใหม่ๆอ่าน พวกแม็ค ม.ต้น/แม็ค ม.ปลาย ส่วนอินเตอร์เนตเหรอเราเป็นยุคจูราสสิค เพิ่งเริ่มต้นหลังโลกอุ้นขึ้น ประมาณนั้น จำได้ว่าป้าเรียนปี2 เราถึงได้ใช้ Internet Exporler รอบการหมุนก่อนเวบไซด์จะขึ้นหน้าจอบางทีก็ shut down ไปก่อน รอจนหมดชั่วโมงเรียน

    มาต่อกันที่เรื่องย้อนเวลาของเราไปที่ปี 1 เมื่อมอบตัวเสร็จ ผู้ปกครองต้องกลับ เด็กๆต้องเดินตามรุ่นพี่กลับเข้าหอพัก จะยากดีมีจนยังไงเมื่อใช้คำว่า นศ.พยบ. ทุกคนเท่ากัน ยกเว้นเท่ารุ่นพี่นะ  ที่นี่ปกครองโดยรุ่นพี่ปกครองน้อง กฏการอยูร่วมกันมีแค่ 2 ข้อ ข้อแรกรุ่นพี่ไม่ผิด ข้อ2 ถ้ารุ่นพี่ทำผิดให้ไดย้อนดูกฏข้อที่ 1 เอ้า!!!มันมีจริงนะทุกค๊นนน ถามเด็ก บรม ได้ 

    ห้องพักของเราเด็กปี 1คือหอ 2 จะพักรวมห้องละ 5 คน รวมเมทแฝด เป็น 10 คน ที่ต้องเรียกเมทแฝด เพราะเราใช้ห้องน้ำร่วมกัน ชุดชั้นในต้องซักเอง ส่วนเสื้อผ้าอื่นๆมีแม่บ้านซักรีดให้ ใต้ถุนหอพักจะมีห้องให้ดูทีวี เราไม่ค่อยได้ดูหรอก เพราะทีวีเครื่องเดียวรุ่นพี่ถือรีโมทไว้ จบข่าว เรื่องกับข้าว มื้อเช้า 06-08 น มื้อเที่ยง 11-13 น มื้อเย็น 16-18 น จากที่เล่ามาเหมือนคุณหนูมากมีคนทำให้ทุกอย่างแต่เปล่าเลย ที่ต้องซักผ้าให้เพราะเวลาทั้งหมดต้องทุ่มไปกับการเรียน ที่ทำกับข้าวให้เพราะห้ามออกนอกรั้ววิทยาลัย เริ่มดูคล้ายนักโทษยัง ตารางชีวิตพวกเราคือตื่นและอาบน้ำเตรียมตัวให้เสร็จก่อน06.30 (ทั้ง10คน) เพื่อที่จะเดินต่อแถวไปโรงอาหาร เพื่อนต้องครบ ไม่งั้นอดกินข้าวข้าว ทานให้เสร็จก่อน 07.45 น เพื่อที่จะเตรียมเช้าชั้นเรียน พักกลางวัน เดินต่อแถวเป็นระเบียบ ยังดีที่ไม่เรียงตามเลขที่ เพื่อนห้ามหายมีการนับคนเมื่อขึ้นบนโรงอาหาร หากระหว่างต่อแถวรับถาดอาหาร ถ้ามีรุ่นพี่ใส่ชุดฝึกงานขึ้นมาบนโรงอาหาร ต้องให้รุ่นพี่ก่อน ที่นั่งก็นต้องเว้นหัวแถวว่างๆไว้เผื่อมีรุ่นพี่มานั่ง อีกอย่างทุกคนต้องพกช้อนส้อม และแก้วน้ำของตัวเอง (เหมือนเด็กอนุบาลเลย) รั้วเหล็กของโรงอาหารจะปิดเวลา 18.00น ถ้าเข้าไม่ทัน ก็ถือว่าโดดหอ เมื่อมีคนโดดหอ ไม่ว่าจะตั้งใจหนี กลับมาไม่ทัน หรืออะไรก็แล้วแต่ การทำโทษคือโดนทั้งชั้นปี ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่รุ่นพี่อันนี้เท่าเทียมอย่างเดียว 

    นอกจากเราจะมีเพื่อนร่วมเมทแล้ว เราเด็กใหม่ก็จะมีการจับสลากเลือกเถาว์และบัดดี้ เถาว์ที่แปลว่าสาย เครือ กลุ่มก้อน คล้ายครอบครัว หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกรหัส พี่เถาว์จะใจดีกับน้องๆพี่ปี4ก็เหมือนพ่อแม่ พี่ปี3ก็เหมือนพี่ใหญ่คอยดูแลน้องๆ ติดขัดตรงไหน ไม่เข้าใจอะไรไปหาพี่ ยืมหนังสือพี่ ให้พี่ติวให้ ฉะนั้นเถาว์ไหนเก่งก็จะติวน้องเก่ง เถาว์ไหนชอบเที่ยวก็จะพาน้องเที่ยว เถาว์ไหนสันโดษก็จะนิ่งๆเฉยๆไม่วุ่นวายกะใคร บัดดี้คือเพื่อนสนิทที่จะไปไหนมาไหนกับเราช่วยเหลือกันและกันจนจบปี 4 เถาว์ของเราเป็นไบโพล่า ที่ต้องบอกแบบนั้นเพราะพี่คนนึงสวยชอบการแสดงชอบเที่ยวเหมาะกันเลยกับบัดดี้เรานางชอบออดอ้อนประจบเอาใจ ส่วนพี่เถาว์อีกคนจะเงียบๆยังไงก็ได้ เหมือนเราเลยต่างนิดเดียวเราขวานผ่าซากไปหน่อน ตอแหลก็บอกตอแหล จะไม่ไปชื่นชมว่าน่ารักมุ้งมิ้ง Noๆๆๆๆ

    ท้าวความมาซะยาวเพื่อให้นึกภาพพยาบาลยุคไดโนเสาร์ ซึ่งตอนนั้นเราก็ว่าเราเจริญมากแหละ การจากบ้านมาไกลโอกาสกลับน้อยนิด มาอยู่กับคนร้อยพ่อพันแม่ มานอนรวมกับใครก็ไม่รู้ ยังไม่รวมการเรียนที่แสนหนักอึ้งที่จะตามมา สิ่งที่ทำให้เราทุกคนสนิทกันเร็วทั้งๆที่ มีที่มาที่ไปแตกต่างกัน เพราะมีความเหงาความคิดถึงบ้านเหมือนๆกัน ในเมท 5 คนนี้ดูเหมือนนางจ่อยของตายายหรือปูเป้ของพ่อแม่ จะปรับตัวได้ง่ายกว่าเพื่อนๆ แม้จะไม่เคยออกนอกบ้านไปไหนไกล แต่ด้วยความที่บ้านจน นางอึดถึกทนค่ะ งั้นมาลองรีวิวเพื่อนๆในกลุ่มนางกัน 

    กุ๋งกิ๋ง  ลูกสาวหล่า(ลูกคนสุดท้อง)บ้านอยู่ในเมือง บ้านรวย พ่อแม่ พี่ชาย พี่สาว ทะนุถนอมนางยิ่งกว่าไข่ในหินนางหน้าตาสวยมากผิวขาวเนียน หุ่นดีสวยรวยครบสรรพ สอบติดพยาบาลปุ้บ พ่อโอนเงินให้ หนึ่งล้านทันที วันมอบตัวพ่อนางเดินถ่ายวิดิโอลูกสาวตั้งแต่เดินเข้าวิทยาลัย จนมอบตัวเสร็จ พออาจารย์ให้ผู้ปกครองกลับ แม่นางปล่อยโฮเลยไม่เคยแยกจากกัน

    เจ้าโอ๋ บ้านอยู่ ตจว แม่เป็นพยาบาลแต่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวนางเลยมีนิสัยแปลกประหลาดเอาอกเอาใจผู้อื่น กลัวคนเขาไม่รัก แต่ส่วนตัวก็ค่อนข้างเห็นแก่ตัวกลัวเพื่อนได้ดีกว่า แต่ก็ไม่ร้ายแรง พอเพื่อนตักเตือนนางก็รู้ตัวขอโทษและพยายามปรับปรุงตัวใหม่

    แป้งร่ำ ทางบ้านฐานะดี พอเป็นหัวหน้า สสอ นางจึงมีเส้นสายเยอะพอควร และการพี่พ่อทำงานสายสาธารณสุข นางจึงต้องเรียนให้เก่งพ่อจะขายหน้าไม่ได้

    ยุ่ย(ภาษาโคราช)/ยุ้ย สาวหุ่นกลมทรงผมเรียบแปร้ พ่อเป็นทหาร เป็นสัสดี แม่เป็นคุณครู นางเลยเป้ะมากทุกอย่างต้องเป็นระบบระเบียบ

    นางจ่อย/ปูเป้ ตัวเราเองเด็กบ้านนอกตัวดำ บ้านจน ใช้ความรู้เป็นอาวุธอย่างอื่นไม่มีอะไรเทียบกับเพื่อนเลย

    แต่เพื่อนๆก็รักและช่วยเหลือกันดี คอยดูแลในส่วนที่เราขาด เราก็ช่วยเพื่อนในส่วนความรู้ อยู่ด้วยกันนานวันเข้ากฏระเบียบที่เคร่ง การเรียนที่หนัก บีบให้พวกเรารักและสามัคคีกันมากขึ้นเพื่อไม่โดนรุ่นพี่รังแก

    หอพักของพวกเราติดรั้วของวิทยาลัย นอกรั้วนั้นคือถนนทางเข้าโรงพยาบาลมาหาราช รถฉุกเฉินจะวิ่งทั้งวันทั้งคืน แต่มีที่ตื่นเต้นกว่า คือรถเข็นศพ ที่เข็นมาตามทางเดินซึ่ง เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ใช้เส้นทางนี้เดินขึ้นลงเวร ห้องพักพวกเราอยู่ชั้น 2 ส่วนที่เราพอจะมองเห็นคือ ครึ่งนึงของทางเดินและหลังคาทางเดิน นอกนั้นก็เป็นสายไฟ ต้นไม้ รั้วสังกะสี เขากำลังก่อสร้างศูนย์การแพทย์ อนาคตจะรองรับการเรียนและการฝึกของแพทย์ด้วย

    ทุกครั้งที่รถเข็นศพผ่าน เชื่อว่าทุกคนทุกห้องจะทำคล้ายๆกัน คือวิ่งมาเกาะที่บานเกร็ด เพื่อส่องดูลุงเข็นศพ มันได้ลุ้นระทึกดี พอหายคิดถึงบ้านบ้าง เสียงแกรกๆๆๆๆๆของล้อรถเข็นที่ผ่านการใช้งานอย่างโชกโชน ดังมาแต่ไกลบางครั้งมีเสียงแต่ไม่เห็นลุงสักทีเราก็หวั่นใจ บางทีล้อสะดุดหินเล็กๆเพราะทางเดินสึกกร่อนไปตามอายุใช้งาน ลุงก็จอดรถศพตั้งโชว์หน้าห้องพวกเราซะงั้น พี่เถาว์เคยบอกไว้ ตอนที่ลุงเข็นรถผ่านลุงจะไม่คุยกะใคร และเราเองก็ไม่ควรตะโกนถามลุงหรือถามใครที่เดินตามลุงเด็ดขาด

          ชีวิตเด็กปี 1 กดดันทุกอย่างเช่นการเรียน บางวันเรียนเร็ว7.00น บางวันเลิก2ทุ่มตามตาราง แต่ต่อเนื่องลากยาวถึง4ทุ่มก็มี เฉลี่ยอยูที่เลิก 18.00 สงสัยใช่มั้ยล่ะโรงอาหารปิดประตูรั้วตอน18.00แล้วเราทานข้าวงยังไง อาจารย์ก็ปล่อยมาทานตอน 17.00 แล้วทุกคนก็ต้องเข้าแถวกลับมาชั้นเรียนเหมือนเดิมเพื่อเรียนต่อ มีกาแฟมั้ย มีเบรครึเปล่า ฝันไปเถอะ ที่ร้านค้าหนึ่งเดียวหรือเราเรียกว่าเหลา มีแค่ผ้าอนามัย ถุงเท้า รองเท้า หรือถุงยังชีพแค่นั้นเรามีกฏห้ามทำอาหาร นอกจากกะลังซักผ้าและแปรงห้ามมีอุปกรณ์ อย่างอื่น ตรวจหอทุกวันสุ่มตรวจเป็นเวลา ยึดหมดถ้ามีนอกเหนือจากที่อนุญาต บางวันเลิกเรียนมา รุ่นพี่ว๊ากเรียกรวมพลที่ห้องประชุมข้อหากบฏ ห้ากินข้าวทุกคนต้องไปนั่งสำนึกผิด  นั่งพับเพียบนิ่งๆ1ชั่วโมง เป็นตะคริวก็ตายอยู่ตรงนั้นขยับไม่ได้ หลายๆครั้งที่อดอาหารเย็น ภาวะเครียดและกดดัน บางคนก็ถึงกับล้มป่วย

              เมทเราก็เช่นกัน กุ๋งกิ๋ง นางไข้ขึ้นสูงร้องไห้อยากกลับบ้านอย่างเดียว ถามว่าโรงพยาบาลอยู่ใกล้ได้ไปตรวจมั้ย เปล่าจ้า วัดไข้แล้วประเมินอาการแล้ว ทานยาก็หาย ก็โรงเรียนพยาบาลเนาะ ดูแลกันได้แหละน่า 

    "ดูแลให้เพื่อนทานยาลดไข้ทุก4 ชั่วโมงนะ ถ้าวัดไข้แล้วสูงกว่า 39 องศาให้เพื่อน2คนเฝ้า เพื่อนอีก2คนมาตามอาจารย์ที่ห้องพยาบาลนะ ดึกๆห้ามออกจากห้องไปไหนมาไหนคนเดียวล่ะ" อาจารย์พยาบาลที่อยู่เวรห้องพยาบาลสั่งการไว้

    "เอาล่ะสี่ทุ่มกินยาแล้ว จะวัดไข้อีกทีก็ตี 2 นะ พวกเรานอนเถอะ ตั้งนาฬิกาปลุกไว้เอาตี 2 ค่อยตื่น" เจ้าโอ๋ออกความคิด

    กลางดึกที่เงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงลมหวีดหวิว และเสียงหายใจที่สม่ำเสมอบ่งบอกว่าทุกคนหลับสนิท ตีสองครึ่งแล้วแต่นาฬิกาปลุกไม่ดัง ใครตั้งเนี่ย ที่ดังกว่านาฬิกาน่าจะเป็น เสียงหัวใจพวกเรา ตอนสะดุ้งตื่นมาเพราะมีใครบางคนปลุกเรา

    "ปลุกน้องกิ๋งกินยาด้วย" เสียงนั้นเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ  ห้องที่ปิดไฟในห้องมืดสนิท มีเพียงแสงไฟสลัวๆของไฟทางเดินตึกสาดเข้ามา เผยให้เห็นร่าง ร่างหนึ่ง เป็นเงาดำทะมึนอยู่ปลายเตียง ยุ้ยมองปูเป้ทำตาปริบๆภายใต้ความมืด แสดงว่านางก็เห็น ปูเป้เริ่มนับ เจ้าโอ๋ยังนอนเตีงแรก ต่อมาแป้งร่ำยังนอนหลับอยู่ ต่อมากุ๋งกิ๋งที่เหมือนไข้ขึ้นดูกระสับกระส่าย ยุ้ยก็อยู่ตรงนี้ แล้วที่ยืนอยู่นั่นใคร หัวใจแทบจะทะลักหลุดออกมา เจ้าโอ๋ไม่ล้อกห้องรึไงวะมีคนนอกเข้ามา

    "อย่าลืมปลุกน้องกิ๋งกินยา" ยุ้ยเปิดไฟหัวเตียงทั้นที ไม่มีใคร ไม่มีอะไรทั้งนั้น ยุ้ยรีบไปดูที่ประตูว่าล้อครึเปล่า

    "แกประตูยังล้อค แล้วเข้ามาได้ไง มาทางไหน แล้วหายไปไหน" ยุ้ยพูดด้วยเสียงสั่น ต้องยอมรับเรา2คนก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรกลัวผีทั้งคู่ แตที่เราคิดเหมอนกันคือเรากลัวจะเป็นคนเข้ามาในห้องมากกว่า หลังจากวัดไข้และจัดแจงให้กุ๋งกิ๋งกินยา เรียบร้อย เราสองคนก็ตกลงกันว่าจะลากเตียงให้ชิดกันทั้งสามเตียง นอนเบียดกันแบบนี้แหละ <<แกรกๆๆๆๆๆ>>เสียงรถเข็นศพลุงมาอีกแล้วสองคนได้แต่นอนคลุมโปงตัวสั่นจนเช้า

    "ฮั่นแน่ เราได้คู่จิ้นคู่ใหม่แล้วโว้ยลากเตียงมานอนติดกันกันด้วย ไม่นอนด้วยกันไปเลยล่ะ" แป้งร่ำแซวหลังตื่นมาเจอสภาพเตียง

    "ไม่ต้องพูดเลยนะอิถุงเปี้ยง ตั้งนาฬิกายังไงถึงไม่ปลุก" แป้งร่ำเลิกลั่กเช็คนาฬิกาปลุกตัวเองทันที

    "ชั้นขอโทษอ่ะแกร ชั้นตั้งแล้วแต่ลืมกดปุ่มเริ่มเวลา"

    ##เราสองคนได้แต่นิ่งเงียบไม่กล้าเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เพื่อนๆฟัง หลังจากกุ๋งกิ๋งหายดี วันศุกร์นางกลับบ้าน เล่าให้พ่อแม่นางฟังถึงการดูแลของเพื่อนๆ พ่อแม่นางเลยมาขอเยี่ยมญาติซื้อขนมผลไม้มาเยอะแยะ คุณพ่อคะเอาจริงก็ขอบพระคุณแต่ว่าอาจารย์ยึดค่ะเราเอาอะไรขึ้นหอพักไม่ได้  ไว้โอกาสหน้าค่อยเลี้ยงข้าวข้างนอกเนาะ###

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×