ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dormouse Valour #BTSinBurrow

    ลำดับตอนที่ #5 : [OS / HopeGa] I Really Hate Converse

    • อัปเดตล่าสุด 1 ส.ค. 61


    ยินดีต้อนรับผู้อ่านหน้าใหม่ๆนะคะ ที่นี่เป็นที่รวม OS ของเรา แต่จะค่อนไปทางไอเดียมากกว่าจะเป็นเรื่องสั้นจบในตอน เป็นเหมือนเป็นกระดาษทดน่ะค่ะ ซึ่งไอเดียก็จะวิ่งๆตอนตี 2-4 นี่แหละค่ะ ชาว all nighter เหงาๆก็มาจอยกันได้



    I Really Hate Converse

    Another Cinderella Story

    (fem!yoongi / High School AU)


    “สวัสดีครับผมจองโฮซอก” 


    เสียงนุ่มที่ดังขึ้นมาจากลำโพงเสียงตามสายของโรงเรียนดึงความสนใจจากกระดานหน้าห้องเรียนไปจนหมดสิ้น


    “หลาย ๆ คนอาจจะรู้จักผมแล้ว แต่ที่ผมมาพูดในวันนี้คือผมกำลังตามหาสาวปริศนาคนหนึ่งที่ผมได้เจอเมื่อคืน เมื่อคืนเป็นคืนที่วิเศษมากสำหรับผมแต่คุณก็หายไปก่อนโดยที่ผมยังไม่มีโอกาสได้รู้จักคุณ”


    ตอนนี้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอย่างน่าตกใจ จากเสียงที่ดังแข่งกับเสียงอาจารย์เมื่อก่อนหน้านี้กลายเป็นทุกคนกำลังจดจ่ออยู่กับเสียงนั้นเหมือนกับว่าเป็นประกาศสำคัญ 


    คงมีแต่มินยุนจีเท่านั้นที่อยากจะเดินออกจากห้องไปเดี๋ยวนี้เลย


    “ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีของผมรึเปล่า แต่คุณทำรองเท้าหล่นไว้ข้างหนึ่ง มันอาจจะฟังดูแปลก ๆ นะครับแต่ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นสาวปริศนาของผม โปรดมาเจอผมหลังเลิกเรียนพร้อมกับรองเท้าอีกข้าง ผมจะรอทุกวันจนกว่าจะเจอคุณนะครับ ขอบคุณครับ”


    สิ้นเสียงประกาศทั้งห้องกลับสู่ความวุ่นวายตามเดิม อาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำเพราะตอนนี้ทุกคนในห้องไม่มีใครสนใจวิชาเรียนที่กำลังดำเนินอยู่อีกต่อไป โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงหันหน้าเข้าหากันแล้วแลกเปลี่ยนเสียงข้อมูลกันอย่างตื่นเต้น รวมไปถึงจีมินที่หันหลังมาส่งยิ้มหวานอย่างประหลาดมาให้



      ☾ ☾ 



    “เอ๊ะ เดี๋ยวเถอะ ก็บอกว่าให้หลับตาไงยุนจี!”


    “จะหลับได้ยังไงเล่า เอาอะไรเย็น ๆ มาจิ้มก็ไม่รู้เนี่ย”


    ยุนจีนั่งนิ่งอยู่บนเตียงด้วยชุดนอนคุมะมงสีดำ รายล้อมไปด้วยเครื่องสำอางที่ดูเหมือนจะมีเป็นร้อย ๆ ชิ้นโดยที่มีจีมินนั่งทำอะไรต่อมิอะไรกับหน้าของเธอ และเหมือนอะไรสักอย่างบนใบหน้าของยุนจีจะผิดพลาดไปทำให้จีมินที่มักจะใจเย็นและมีรอยหน้าเปื้อนยิ้มอยู่เสมอขมวดคิ้วแล้วหาอะไรสักอย่างในกระเป๋าเครื่องสำอางอย่างร้อนรน


    “นี่ แล้วเมื่อไรจะเสร็จสักทีล่ะ เดี๋ยวพ่อเธอก็—”


    ยังไม่ทันได้สิ้นสุดประโยค บานประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาเหมือนตั้งระบบเวลาเอาไว้เพราะเมื่อเธอหันไปมองนาฬิกาที่ชี้บอกเวลาหนึ่งทุ่มตรงก็บอกได้ว่าใครที่ผลักมันเข้ามา 


    “โว้ว สาว ๆ ทำอะไรกันเนี่ย”


    ยุนจีมองผู้เป็นพ่อด้วยสายตาว่างเปล่า เพราะตามแผนดั้งเดิมยุนจีจะให้จีมินมาช่วยแต่งหน้าให้เพื่อหนีไปตามวงดนตรีวงโปรดที่จะมาเล่นในงานพรอมที่คุณพ่อไม่อนุญาตให้ไป ถึงกับให้เพื่อนสาวคนนี้นอนที่บ้านเพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัย และยุนจีคนเจ้าระเบียบก็ถึงกับทำตารางเวลาเอาไว้อย่างละเอียดเพื่อรองรับแผนการณ์นี้


    15:00 เลิกเรียน

    ก่อน 16:00 ต้องขนจีมินและเสื้อผ้าเข้ามาในบ้านก่อนพ่อออกจากสตู

    16:00-17:00 ซ่อนทุกกล่องใต้เตียง ทำกับข้าวให้เสร็จ

    17:00 พ่อออกจากสตู ทานข้าว 

    17:40 ล้างจาน

    18:00 แต่งหน้า

    ก่อน 19:00 ไปซ่อนในห้องน้ำรอพ่ออกจากบ้าน

    20:00 ถึงงานอย่างปลอดภัย อย่าคุยกับใคร ไปฟังเพลง


    โชคดีที่จีมินเป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมเกินหน้าตาใส ๆ จีมินชูมือยุนจีที่ถืออายไลน์เนอร์ที่ไม่รู้เจ้าตัวยัดมาใส่ไว้เมื่อไรให้คุณพ่อดูพร้อมส่งรอยยิ้มนางฟ้าไปให้


    “มินสอนยุนจีแต่งหน้าอยู่ค่ะคุณพ่อ เนี่ยวันเรียนจบจะได้สวย ๆ ไว้ถ่ายรูปกัน แล้วมินก็ไม่ต้องรีบวิ่งมาช่วยแต่เช้า”


    ถ้ามันออกมาจากปากมินยุนจีคนโกหกไม่เนียนคงจะได้รับสายตาคาดคั้น แต่ในเมื่อมันมาจากปากพัคจีมิน บวกกัับหลักฐานอายไลน์เนอร์เลอะ ๆ ที่ไม่น่าเกิดจากมือผู้เชี่ยวชาญอย่างสาวน้อยคนนี้ได้ ผู้เป็นพ่อก็แค่ถอนหายใจปนกับเสียงหัวเราะเบา ๆ 


    “เฮ้อ ไม่น่าเชื่อเลยว่าสาวน้อยของพ่อจะจบไฮสคูลแล้ว” คุณพ่อมินยืนพิงประตูยืนมองภาพจีมินที่กำลังใช้คอตตอนบัดเช็ดรอยเส้นสีดำ ๆ ที่เลอะขอบตาของลูกสาวแล้วยิ้มกับตัวเองน้อย ๆ 


    ยุนจีก็แอบอมยิ้มเมื่อมองเห็นภาพนั้นด้วยตาอีกข้างที่ไม่โดนแก้อยู่แต่ก็แกล้งทำเป็นไล่เขากลบเกลื่อน


    “ไม่ต้องมาซึ้งน่า ไปๆๆ รีบไปขายงานหาเงินมาเลี้ยงหนู หนูยังมีมหาลัยต้องเรียนต่อ”


    “อย่าเพลินเกินไปล่ะ พ่อรู้ว่านี่เป็นคืนวันศุกร์แต่ไม่อยากให้นอนดึกกัน ยุนจี อย่างที่รู้ วันนี้พ่อมีประมูลงานที่แกลลอรี่ต้องอยู่จนจบงาน พ่อจะกลับมาถึงประมาณเที่ยงคืนนู่นเลยนะ ล็อคประตูบ้านแล้วเข้านอนไปก่อนได้เลย”


    พ่อเดินมาขยี้หัวยุนจีเบา ๆ ซึ่งทำจีมินหน้าเสียไปเสี้ยงวิหนึ่งเพราะเพิ่งจัดทรงผมของยุนจีให้เรียบร้อยได้จากที่ปกติยุนจีคนห้าวจะปล่อยผมเผ้าพันกันยุ่งเหยิงและรวบต่ำ ซึ่งยุนจีก็ไม่พลาดจังหวะนั้นจึงทำได้แค่กลั้นหัวเราะสุดพลังใจเพราะกลัวพ่อจับพิรุธได้


    “จีมินฝากยุนจีด้วยนะ”


    “ค่า” 


    ทันทีที่คุณพ่อปิดประตูออกไปยุนจีได้แต่กลั้นขำกับหน้าตาของจีมินก่อนหน้านี้ และระเบิดมันออกมาตอนที่ได้ยินเสียงรถโฟล์คคันเก่าห่างออกไป จีมินทำได้แค่กลอกตาไปมาในขณะที่ทัชอัพหน้าของยุนจีเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะดันหลังเพื่อนตัวดีอย่างเหนื่อยใจเข้าห้องน้ำไป


    “เปลี่ยนชุดค่าาาาา ”



      ☾ ☾ 



    สิ่งเดียวที่ไม่ควรเกิดขึ้นเมื่อคุณไปงานพรอมตอนที่คุณอยู๋ปีสุดท้ายคือให้ผมและเสื้อผ้าของคุณโต้ลมมากเกินไป แต่ทั้งคู่ไม่มีทางเลือกมากนัก จีมินจอดเวสป้าสีเบบี้บลูของเธอไว้ที่สวนใกล้ ๆ กับสถานที่จัดงานเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาคน ถอดหมวกกันน็อคและจัดการหวีผมของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะหันมาสำรวจผลงานของตัวเอง 


    ซึ่งก็ไม่ได้อยากเข้าข้างตัวเองเท่าไรแต่พัคจีมินพอใจกับผลงานนี้มากเพราะยุนจีให้โจทย์มาว่าขอแบบที่เรียบ ๆ กลืน ๆ ไปกับคนในงาน ไม่เด่นออกมามากแต่ก็อยากเปลี่ยนลุคให้คนจำไม่ได้ จึงออกมาเป็นลุคสาวหวานผมสั้นประบ่าดัดลอนอ่อน ๆ ทั้งคู่สวม tea dress ยาวเหนือเข่าเหมือนกันเพราะคงไม่มีใครในสองคนนั่นต้องการให้กระโปรงยาว ๆ เข้าไปพันกับรถมอเตอร์สกู๊ตเตอร์


    จีมินเลือกเดรสสีฟ้าอย่างที่เจ้าตัวชอบ ส่วนของยุนจีเป็นสีขาวประดับลายดอกไม้ที่ไม่ได้ดูเรียบหรือรุ่มร่ามมากไป ตัดภาพกับยุนจีคนห้าวที่ทุกคนเห็นในโรงเรียน แต่ยุนจีก็ยังเป็นยุนจีเพราะเธอเลือกรองเท้าที่เข้าคู่กับชุดเป็นคอนเวิร์สยีนส์ลายดอกไม้ โดยที่เจ้าตัวให้เหตุผลว่า ‘ใคร ๆ ก็รู้ว่ามินยุนจีเกลียดคอนเวิร์ส’ ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะคอนเวิร์สคู่ลิมิเต็ดที่สวมอยู่นี้ก็ถูกคนสวยใช้ไปผ่านสมรภูมิเปื้อนสีสารพัดชนิดตอนช่วยงานคุณพ่อในสตูดิโอ


    และในเมื่อมันเป็นงานพรอมสวมหน้ากาก ซึ่งทีมสภานักเรียนให้เหตุผลในการจัดงานแบบนี้ว่าเพื่อให้ทุก ๆ คนจะได้มีโอกาสพูดคุยกับคนที่คุณอยากคุยด้วยเป็นครั้งสุดท้าย​ ซึ่งจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อก็ไม่มีใครจำหน้ากันได้อยู่แล้ว แต่ยุนจีไม่ได้ใส่ใจมากนักหรอกเพราะมันทำให้เธอกลมกลืนไปกับงานนี้ได้สะดวกขึ้น


    “ขอให้สนุกกับปาร์ตี้ครั้งแรกและสุดท้ายนะ เด็กดีของคุณพ่อ” จีมินพูดในขณะที่ผูกหน้ากากลูกไม้สีขาวเข้าชุดกันให้ยุนจีด้วยน้ำเสียงนุ่มและดูเป็นทางการเหมือนกับที่เธอชอบพูดตอนประกาศข่าวตามเสียงตามสายของโรงเรียน


    ทั้งคู่เดินไปหยุดอยู่หน้าประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิท ตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 3 ทุ่มซึ่งเป็นเวลาที่คนน่าจะเข้างานกันไปหมดแล้ว


    “ใช่... ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย” สิ้นประโยคของยุนจีทั้งคู่ก็ผลักประตูเข้าไป


    จีมินเดินนำหน้าเข้าไปก่อน เข้าไปหาเด็กผู้ชายที่ยุนจีมั่นใจมากว่าเป็นจองกุกจากผมสีแดงประหลาดของเขา ในขณะที่ยุนจีกำลังยืนซึมซับภาพตรงหน้า ปาร์ตี้ครั้งแรกของเธอ ไม่ใช่ว่ายุนจีไม่เคยไปงานปาร์ตี้ แต่เธอมักจะเคยชินกับการไปที่บาร์หรืองานเลี้ยงแบบเป็นทางการมากกว่า การที่คุณมีพ่อเป็นศิลปินชื่อดังแสงสีเสียงและการเต้นดูไม่ใช่ที่ทางที่ถูกต้องเท่าไร 


    ยุนจีค่อย ๆ แหวกฝูงชนเข้าไปยังด้านหน้าเวทีอย่างยากลำบากเพราะเธอมาสายมากและในอีกไม่นานวงดนตรีที่เธอตั้งตารอก็กกำลังจะขึ้นคนจึงเริ่มจับจองที่หน้าเวทีกันไปบ้างแล้ว และระหว่างทางยุนจีก็รู้สึกว่ามีคนจับตัวเธอเยอะแยะไปหมด ผม ชายกระโปรง แขน ข้อมือ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่เธอใส่ใจมากนักเมื่อเธอไปถึงด้านหน้าสุดได้ในเวลาพอดีกับที่วงดนตรีเริ่มจูนเสียง 


    ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ทุกอย่างที่เกิดขึ้นวิเศษมาก ที่นี่มีแสงสีเสียงทุกอย่างที่ยุนจีต้องการ เสียงดนตรีไม่ดังไปอย่างที่ยุนจีเตรียมตัวรับมือไว้แต่ก็ไม่ได้เบาไปจนโดนบรรยากาศรอบข้างกลบ เธอหลับตาและปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไหลผ่านไป


    ยุนจีโตมากับศิลปะตั้งแต่ยังเด็กเพราะพ่อเป็นจิตรกร แต่ตัวของยุนจีกลับไม่พบสีสันที่ต้องการบนผืนผ้าใบ เธอพบสีสันในเสียงดนตรี เสียงกีตาร์เป็นสีเขียวอ่อน เสียงไวโอลินเป็นสีกรมท่า เปียโนเป็นสีลาเวนเดอร์ วงดนตรีเลยเป็นเหมือนแม่น้ำสีรุ้งของยุนจี เธอล่องลอยผ่านสีสันต่าง ๆ ก่อนที่จะมีใครโยนก้อนหินลงมาสร้างวงคลื่นกว้างในแม่น้ำสีรุ้งของเธอ และฉุดเธอขึ้นมาจากน้ำที่เริ่มมิดศีรษะโดยไม่เต็มใจ


    “ดูเหมือนจะมีคุณหนูแอบหนีออกจากบ้านมานะครับ” 


    ยุนจีรีบหุบยิ้มที่ไม่รู้ตัวว่าเผลอยิ้มออกมาตอนไหนก่อนจะหันกลับไป เตรียมสายตาเพื่อมองค้อนคนที่เข้ามาขัดเวลาความสุขของเธอเต็มที่แต่สิ่งที่ได้เจอคือ ...จองโฮซอก 


    แน่นอนว่ามันต้องเป็นจองโฮซอก ถึงเขาจะมาในลุคที่ดูเรียบร้อยและเป็นทางการกว่าปกติที่มักจะเดินไปเดินมาด้วยเสื้อทีมฟุตบอลเหม็นเหงื่อของโรงเรียน แต่ไม่มีทางที่ยุนจีจะลืมเพื่อนร่วมชั้นที่จะต้องมีคาบเรียนเดียวกันอย่างน้อยปีละ 1 คาบติดต่อกันมากว่า 3 ปี และนั่นมันทำให้เธอเริ่มหวั่นใจมากว่าจะมีคนจับได้ว่าเธอมางานนี้ และเรื่องจะกระจายไปทั่วโรงเรียน ไปถึงอาจารย์ และไปถึงคุณพ่อ 


    พอเถอะ เธอไม่ควรคิดไปไกลกว่านี้ เธอต้องจัดการกับปัญหาตรงหน้าก่อน


    “เอ่อ... ฟังนะ คือขอร้องล่ะ แต่ฉัน—” ตอนนี้สิ่งที่เธอทำได้คือพยายามอยู่ในท่าทีที่ให้นิ่งที่สุด อย่างน้อยโฮซอกก็ไม่ใช่คนคุยด้วยยาก 


    “รองเท้าคุณ” แต่โฮซอกก็ขัดขึ้นมากลางประโยค สร้างความประหลาดใจให้เธอเป็นอย่างมาก


    “คะ?”


    ยุนจีกำลังขมวดคิ้วอย่างที่เธอชอบทำ แต่คุณคงมองไม่เห็นมันใต้หน้ากากสีขาว


    “รองเท้าคุณน่ะ ผมว่ามันไม่ค่อยเข้าชุดกันเท่าไร เหมือนคุณหนูที่รีบหนีออกจากบ้านตอนยังแต่งตัวไม่เสร็จเลย”


    เธอรีบหันมองไปยังรองเท้าเหมือนกับเธอลืมไปแล้วว่ากำลังสวมอะไรอยู่ก่อนจะนึกได้ว่าเธอหยิบอะไรมา คอนเวิร์ส ใช่สิคอนเวิร์ส ท่องไว้ว่ามินยุนจีเกลียดคอนเวิร์ส


    “โอ้— คือ— ฉัน— ชอบคอนเวิร์สน่ะค่ะ” 


    ธรรมชาติมาก มินยุนจี ธรรมชาติกว่านี้ก็ป่าไม้ลำธารแล้วล่ะ 


    “ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลย”


    แต่โฮซอกก็ดูไม่ติดใจสงสัยอะไร แถมยังส่งรอยยิ้มรูปหัวใจอย่างที่เธอชอบเห็นเขาทำตอนจีบสาว ถึงมันจะเป็นไปตามอย่างที่ยุนจีต้องการแต่มันก็ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมา เพราะว่าพูดจริงดิจองโฮซอก... มิตรภาพ 3 ปีของเราจบลงตรงนี้แหละ


    “นี่คุณจำฉันไม่ได้จริง ๆ หรอ” 


    ถึงจะใ่ส่หน้ากากก็เถอะ แต่ยุนจียังจำเขาได้ทำไมเขาถึงจะจำเธอไม่ได้หรือแม้แต่จะติดใจสงสัย หรือฝีมือการแต่งหน้าของจีมินจะดีเกินคาด


    “ผมไม่คิดว่าผมเคยเจอคนน่ารักแบบคุณมาก่อนนะ”


    ให้ตายเถอะ นี่มันเสี่ยวสุด ๆ ไปเลยไม่ใช่หรอ


    “ฉันใส่หน้ากากอยู่ คุณจะรู้ได้ยังไงว่าฉันน่ารักรึเปล่า”


    “รอยยิ้มไง คุณมียิ้มที่น่ารักนะรู้ตัวไหม”


    ยุนจีพยายามที่จะหุบยิ้มเพื่อให้เขาหยุดและถอยออกไปสักที แต่กลับกัน เธอดันหยุดยิ้มไม่ได้ด้วยทุกการกระทำของโฮซอก เธอจึงทำได้แค่เมินเขาไปสนใจสิ่งที่เธอมางานนี้เพื่อมัน ยุนจีหันกลับไปยืนฟังเพลงอยู่ที่เดิมเงียบ ๆ โดยที่โฮซอกเองก็ไม่ได้ทำอะไรต่อไป เขาไม่ได้ถอยห่างออกไปหรือขยับเข้ามาใกล้ขึ้น แค่... ยืนอยู่ตรงนั้น มุ่งจุดสายตาไปทางเดียวกับเธอและปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปเรื่อย ๆ


    “ขอบคุณพวกคุณมาก ๆ นะครับที่เชิญพวกเรามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงานสำคัญครั้งนี้ และก่อนที่เราจะปล่อยให้คุณกลับไปสนุกกับดีเจสุดหล่อที่มุมโน้น เราขอมอบเพลงสุดท้ายนี้ให้กับคู่รักหลาย ๆ คู่ที่กำลังจะกลายเป็น high school sweethearts ของกันและกัน และถ้าหากใครที่มางานนี้ตัวคนเดียวนี่เป็นโอกาสที่จะได้หันไปจับมือคนข้าง ๆ นะครับ”


    เสียงดนตรีหนัก ๆ ก่อนหน้านี้ถูกแทนด้วยเครื่องดนตรีอคูสติกทั้งหมดและจังหวะที่ช้าลงมา ยุนจีถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพราะช่วงเวลาที่เธอต้องการจบลงแล้ว สิ่งเดียวที่เธอต้องทำคือตามหาจีมินและกลับบ้านอย่างปลอดภัย แต่นิ้วเรียวที่รั้งข้อมือเล็กของเธอเอาไว้กลับไม่บอกแบบนั้น


    “เต้นรำกันไหมครับ” โฮซอกพูดออกมาอย่างเร่งรีบเมื่อเห็นยุนจีกำลังจะหันหลังกลับไป


    “เอ่อ ไม่ล่ะ คือ...” 


    เสียงของเธอแผ่วลงเรื่อย ๆ เมื่อเธอหันสบกับดวงตากลมโตใต้หน้ากากสีดำของเขาที่กำลังส่งข้อความเว้าวอนมา และยุนจีเกลียดการขอร้องมากกว่าอะไรในโลกเพราะเธอมักจะอ่อนแอเกินกว่าที่จะปฏิเสธมัน


    “แค่แปปเดียวก็ได้”


    “แต่ฉันเต้นไม่เป็น...”


    ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เธอก็ปล่อยตัวเองไปตามแรงดึงของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย และปล่อยให้สัมผัสที่ไม่คุ้นเคยรอบเอวของเธอ โฮซอกค่อย ๆ ประคองมือคู่สวยนั้นไปอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ มือซ้ายสำหรับไหล่ขวาของเขา และมือขวาอยู่ในกุมมือด้วยท่าทางนี้มันทำให้หน้าของพวกเขาห่างกันออกไปเพียงไม่กี่ลมหายใจ ใกล้จนแม้แต่เสียงที่เบาเหมือนเสียงกระซิบก็ส่งมาถึง


    “เคยได้ยินไหมว่า To be fond of dancing was a certain step towards falling in love น่ะ”


    “ฉันประทับใจผู้ชายที่อ่าน Jane Austen นะ แต่ฉันไม่มั่นใจว่าอยาก ‘falling in love’ เท่าไร ยิ่งกับคุณแล้วด้วย”


    “ให้โอกาสกันหน่อยไม่ได้หรอครับ”


    ยุนจีไม่ได้ให้คำตอบ แต่ยังคงปล่อยตัวของเธอให้ก้าวไปในทิศทางไหนก็ตามที่เขาไป สายตาของเธอก้มลงไปจับจองฝีเท้าของเธออย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้คอนเวิร์สคู่เก่า ๆ ของเธอย่ำลงบนรองเท้าหนังที่ถูกขัดจนสะอาดเอี่ยม 


    เมื่อจังหวะเริ่มเข้าควบคุมเธอได้เธอก็ปล่อยให้รางกายเธอขยับไปตามความเคยชินช้า ๆ โดยมีแขนสองข้างของอีกฝ่ายคอยประคองไว้ และเมื่อเธอเริ่มมั่นใจมากพอเธอก็เงยหน้ากลับมามองคู่เต้นของเธอเพื่อจะส่งสายตา ‘ฉันทำได้แล้ว’ อย่างภาคภูมิใจไปให้ แต่เมื่อสายตาของเธอเลื่อนขึ้นมาพบกับดวงตากลมโตที่จ้องตรงมาเหมือนกับมันจับจ้องเธออยู่แบบนั้นมาตลอด บวกกันรอยยิ้มน้อย ๆ ที่ทำให้ลักยิ้มตรงมุมปากของเขาเริ่มมองเห็นได้ในแสงไฟมืดสลัวนี้ และเธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบไป 


    เพลงบัลลาดนำพาสีสันของดนตรีที่คุ้นเคยไหลผ่านตัวเธอเข้ามาเรื่อย ๆ อย่างที่ควรจะเป็น แต่ก่อนที่เธอจะได้ทันสังเกต สีสันแปลกประหลาดก็ปะปนอยู่ในอากาศพร้อม ๆ กับมัน เป็นโทนสีใหม่ที่เธอไม่เคยพบในเพลงหรือเครื่องดนตรีชนิดไหน ๆ เพราะมันเป็นสีสันที่ไหลมาจากตัวเขาผ่านมือที่ประสานกันอยู่


    ‘สีชมพูเครป’ เหมือนกับดอกไม้บนชุดเดรสตัวสวยนี้ เหมือนกับสีของบรัชออนที่จีมินแต่งแต้มลงมา แต่ใครจะไปรู้ สีสันระเรื่อบนใบหน้าที่เห็นอาจจะเป็นสีระเรื่อจากความอบอุ่นที่กำลังแผ่ซ่านอยู่ในหัวใจที่กำลังพองโตของเธออยู่ตอนนี้


    “ผมอยากรู้จักคุณ” โฮซอกก้มหน้าลงมาหาจนหน้าผากของพวกเขาแทบจะสัมผัสกันแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน


    “แต่นี่มันงานสวมหน้ากากนะ”

    “อย่างน้อยก็บอกชื่อของคุณมาได้ไหม”


    “ฉัน—”


    แต่ก่อนที่ยุนจีจะได้พูดอะไรออกไปสัมผัสที่คุ้นเคยดึงมือของเธอให้หลุดจากการเกาะกุมของโฮซอก

     

    “อยู่นี่เอง! ตอนนี้ 23:45 เราต้องไปแล้ว!”


    ไม่ต้องการคำอธิบายอะไนมากกว่านั้น ยุนจีก็สะบัดทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นทิ้งไปและมุ่งหน้าตามหลังจีมิน ในตอนนี้ที่หลาย ๆ คู่กำลังจับคู่เต้นรำกันทำให้เกิดช่องว่างมากพอสำหรับให้คนตัวเล็กทั้งสองสามารถแทรกตัวไปถึงประตูทางออกอย่างง่ายดาย


    และการวิ่งในครั้งนี้เหมือนเป็นการย้ำเตือนเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงเกลียดรองเท้าคอนเวิร์สนักหนา ระยะห่างระหว่างงานพรอมและรถม้าสีฟ้าของพวกเธอไม่ได้ใกล้หรือไกลจนเกินไป แต่ขอบรองเท้าที่เริ่มสร้างรอยแดงให้กับข้อเท้าของเธอทำให้ยุนจีตัดสินใจถอดมันออกแล้ววิ่งต่อไปด้วยเท้าเปล่า


    “เดี๋ยวสิ! ผมยังไม่รู้จักคุณเลย!”


    เสียงเรียกดึงความสนใจของยุนจีไปด้านหลังและนั่นทำให้เธอเสียหลักเล็กน้อยจนรองเท้าทั้งสองข้างหลุดมือไปคนละทิศทาง ด้วยสัญชาตญาณ ยุนจีรีบวิ่งไปคว้ารองเท้าของเธอเอาไว้

    “ช่างมันเถอะน่า!”


    แต่ก่อนที่เธอจะได้ทันเก็บอีกข้างที่อยู่ห่างไกลออกไปนิ้วมือเล็ก ๆ ของจีมินก็คว้ามือเธอและวิ่งต่อ ราวกับว่าเวทมนตร์ที่อยู่บนตัวเธอกำลังจะเสื่อมสลายไป



    ☀ ☀ ☀ ☀ 



    ยุนจีเดินเข้าห้องเรียนประวัติศาสตร์ประมาณ 5 นาทีก่อนเริ่มคาบเหมือนเดิมเพื่อพบเจอกับเด็กหนุ่มในเสื้อแจ็คเก็ตทีมฟุตบอลของโรงเรียนเบอร์ 18 ที่คุ้นเคย เขายังคงนั่งคร่อมเก้าอี้สองตัวแบบที่ทำมาตั้งแต่ม.ปลายปี 1 น่าแปลกที่วันนี้ไม่มีเพื่อนในทีมของเขามานั่งทำเสียงโหวกเหวกโวยวายรอเวลาเข้าเรียน


    เธอแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจก่อนจะกระแทกกระเป๋าเป้ลงบนโต๊ะของตัวเองเสียงดัง เรียกให้อีกฝ่ายหลุดออกมาจากฝันกลางวันหรืออะไรก็ตามที่ดึงรั้งความคิดของเขาเอาไว้อยู่


    “ได้ข่าวว่าตามหาสาวอยู่หรอเราอ่ะ”


    ในเวลาปกติจองโฮซอกมักจะหันมาทำหน้าทำตาอะไรสักอย่างที่ทำให้เธอหงุดหงิดและปล่อยให้เธอนั่งอยู่บนโต๊ะเรียนสักพักค่อยรอรับเก้าอี้ที่เขายึดไปตอนเริ่มคาบ แต่วันนี้เขากลับลุกขึ้นยืนและสไลด์มันกลับมาให้อย่างง่ายดาย


    ยุนจียืนมองมันอย่างงง ๆ ก่อนที่จะได้ยินอีกฝ่ายถอนหายใจออกมาเสียงดัง


    “ใช่... แต่ไม่มีวี่แววเลยอ่ะยุนจี”


    จะมีได้ยังไงในเมื่อเจ้าของรองเท้าคู่นั้นนั่งเหยียบควาลับซะมิดอยู่ตรงหน้าเขาแบบนี้


    “คนนี้พิเศษขนาดนั้นเลยหรอ ขนาดที่ว่าต้องหาให้เจอให้ได้”


    “ไม่รู้สิ... มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาออกไปจากหัวของฉันไม่ได้”


    มันดูน่าเศร้าจัง... รอยยิ้มของเขา


    “ถ้าไม่เจอจะทำยังไงต่อ”


    “จะทำได้ไงได้ล่ะ อีกอาทิตย์หนึ่งเราจะเรียนจบกันแล้ว ถ้ายังไม่เจอก็คงต้องตัดใจแล้วล่ะ”


    ยุนจียักไหล่ให้โฮซอกก่อนจะคว้าหูฟังมาเสียงก่อนจะกด shuffle ปล่อยให้เพลงอะไรก็ตามในเพลย์ลิสต์เพลงที่เธอไม่เคยข้ามที่เธอจัดไว้ฟังฆ่าเวลา และหนึ่งในนั้นคือเพลงที่เธอได้ฟังสด ๆ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาทำให้ยุนจีหยุดที่จะอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้ 


    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไรอยู่ดี ๆ ก็มีอะไรบางอย่างแตะที่ข้างแก้มของเธอ โฮซอกใช้มือของเขาปัดผมของยุนจีไปทัดหู อย่างที่เขาชอบทำบ่อย ๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจของเธอ แต่ไม่รู้ว่าในคราวนี้เขาทำลงไปเพื่อให้เขามองหน้าเธอได้ถนัดหรือเพื่อให้เธอมองหน้าเขาได้ถนัด แต่ผลสุดท้ายมันก็ทำให้ใจของเธอเต้นแรงกว่าที่มันควรจะเป็นอยู่ดี


    “ฉันไม่เคยเห็นยุนจียิ้มมาก่อนเลย”


    “หรอ แล้วมันเป็นยังไงล่ะ” ในเวลาปกติถ้าโฮซอกเอื้อมมือมาทัดผมเธอมันจะต่อยเข้าที่แขนของเขาแรง ๆ แต่ในครั้งนี้เธอกลับปล่อยให้คำพูดนั้นหลุดออกมาได้ง่าย ๆ เหมือนกับบางอย่างในตัวเธอกำลังเรียกหาคำตอบของคำถามนี้


    “ดีนะ... น่ารักดีออก”


    เขาพูดแค่นั้นและถอยกลับออกไป และมันทำให้เธอนึกถึงข้อความที่เธอไม่ได้ตั้งใจจะนึกถึง


    To be fond of dancing was a certain step towards falling in love.



    ☀ ☀ ☀ ☀ 



    วันสุดท้ายของภาคเรียนเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทันทีที่เสียงออดของคาบเรียนสุดท้ายดังขึ้นเสียงตะโกนโห่ร้องฉลองช่วงเวลาแห่งความสุขดังขึ้นมาจากทุกห้องเรียน โดยเฉพาะเด็กปี 3 ที่ต่างก็รีบวิ่งมายังล็อคเกอร์ของตัวเองที่ได้เปิดทิ้งไว้ทั้งวันเพื่อให้เพื่อนหรือใครก็ตามสามารถนำของขวัญในวันเรียนจบมาใส่ไว้ได้


    ยุนจีเดินมาเปิดล็อคเกอร์ของเธอ และหยิบของเข้าในออกมาทีละชิ้น มีทั้งจดหมายจากอาจารย์บางคนเขียนใส่ซองที่ดูเป็นทางการ จดหมายของจีมินที่เต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์สีพาสเทล รูปโพลารอยด์ที่จีมินเคยถ่ายไว้แต่ไม่ให้เธอได้ดู ลำโพงบลูทูธขนาดเล็กที่เขาจำไม่ได้แล้วว่าถูกหยิบยืมไปตอนไหนพร้อมกับจดหมายของจองกุก ปิ๊กกีต้าร์ที่เพื่อนในชมรมยืมไป และสุดท้ายที่อยู่ลึกที่สุดเป็นถุงกระดาษสีน้ำตาล


    ยุนจียิ้มน้อย ๆ ตอนที่หยิบถุงใบนั้นออกมาเพราะคิดว่าคงเป็นของขวัญจากพ่อที่แอบมาใส่ไว้ให้ตอนที่ยุนจีกำลังอยู่ในห้องเรียน แต่เมื่อเปิดมันออกมันกลับกลายเป็นรองเท้าคอนเวิร์สข้างซ้าย ข้างที่เธอทำหล่นไว้ที่งาน


    “ทายถูกรึเปล่า”


    และเมื่อเธอหันกลับไปเขาก็ยืนอยู่ตรงนั้น จองโฮซอกใช้มือด้านที่อยู่คนละฝั่งกับประตูล็อคเกอร์ค้ำยันตัวเองไว้


    “จะมีรองเท้าคอนเวิร์สของใครที่เปื้อนสีได้มากกว่านี้อีกถ้าไม่ใช่ลูกสาวคุณมิน”


    โฮซอกส่ง ‘รอยยิ้มรูปหัวใจอย่างที่ชอบทำตอนจีบสาว’ มาให้จนยุนจีอดไม่ได้ที่จะใช้รองเท้าที่เพิ่งได้กลับคืนมาฟาดลงที่หน้าอกของเขาแรง ๆ จนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง


    “แล้วทำไมใช้เวลานานจัง” 


    “ก็เธอทำฉันสับสนอ่ะ เพราะมันมีรุ่นนึงที่เป็นสีเลอะ ๆ ฉันก็นึกว่ามันเป็นรุ่นลิมิเต็ดจนไปเห็นว่ามันมีบางที่จุดถูกล้างออกง่าย ๆ ด้วยน้ำเปล่า”  โฮซอกตอบพลางลูบบนหน้าอกที่เพิ่งโดนสร้างแผลขึ้นมาในขณะที่ยุนจีหยิบรองเท้าในมือมาไว้ในระดับอกแล้วพลิกดูไปมาอย่างไม่มั่นใจนัก


    “ผิดหวังรึเปล่า” เธอเอ่ยถามโดยที่ไม่ได้หันขึ้นไปมองหน้าโฮซอก อะไรบางอย่างในหัวของเธอกำลังบอกว่าเรื่องราวไม่ควรจะจบลงแบบนี้เลย เพราะในใจของเธอลึก ๆ เธอก็อยากให้โฮซอกจดจำภาพของสาวปริศนาที่แสนพิเศษคนนั้นไว้ ไม่ใช่มินยุนจีที่เป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง


    แต่โฮซอกก็ใช้มือข้างขวาที่ยังคงว่างปัดผมของยุนจีขึ้นไปทัดหู เพื่อบอกเธอว่าให้เงยหน้าขึ้นมาหาเขา สายตาและรอยยิ้มของเขาดูอ่อนลงกว่าปกติ


    “ถามโง่ ๆ ถ้าผิดหวังจะพลิกโรงเรียนหาขนาดนี้ไหม”


    “ถ้ารู้แล้วทำไมไม่เดินมาบอกกันเลยล่ะ ฉันหาตัวได้ยากซะที่ไหน”


    “ฉันอยากเห็นยุนจีเป็นฝ่ายพูดก่อนนี่นา แต่ว่าปากแข็งชะมัดเลย คาบสุดท้ายฉันเรียนอยู่ตั้งชั้น 3 ก็ต้องรีบวิ่งลงมาเพื่อดักให้ทันก่อนที่ยุนจีจะกลับบ้าน”


    “แล้วนายมาว่าฉันโง่ในขณะที่นายโง่กว่าฉันแบบนี้ได้ยังไง” ยุนจียกมือเตรียมฟาดซ้ำลงไปที่อกของเขาอีกครั้ง


    แต่ในครั้งนี้แรงที่ส่งไปของยุนจีถูกขวางไว้ด้วยเสียงหัวเราะของตัวเองทำให้มือนั้นทำแค่วางลงไปเบา ๆ บนหน้าอกของอีกฝ่ายและโฮซอกก็ไม่รอช้าที่จะเอื้อมมือไปกุมมือข้างนั้นไว้


    “ชอบจัง เวลาที่ยุนจียิ้มน่ะ...”


    “ทำไมล่ะ”


    “มันเหมือนกับทุกสิ่งที่เลวร้ายในโลกนี้หายไปหมดเลย”


    ยุนจีอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างขึ้นไปอีกให้กับประโยคนั้น ก่อนเอนตัวพิงล็อคเกอร์ของเธอก่อนจะขยับมือของพวกเขาทั้งคู่ให้ประสานกันแล้วแกว่งมันเบา ๆ 


    “บางที... ที่ฉันทำอาจจะเป็นสิ่งเลวร้ายก็ได้ เพราะมันทำให้เรามาเจอกันในวันสุดท้ายแล้ว”


    “ฉันว่าไม่ใช่ครั้งสุดท้ายนะ เธอคิดว่ามหาลัยที่ดังทั้งด้านดนตรีและกีฬาที่อยู่ห่างจากเมืองนี้ไปไม่กี่ไมล์มันมีเยอะไหม”


    “หมายความว่า—”


    ในขณะที่ยุนจีกำลังสับสนโฮซอกก็เอื้อมมือไปคว้ารองเท้าในมือของคนตัวเล็กมาไว้ที่ตัวเอง และคุงเข่าลงตรงนั้น 


    “ก่อนจะไป ผมขอสวมรองเท้าให้กับซินเดอเรลล่าของผมก่อนได้ไหมครับ”


    “นายจะบ้าหรอ มันมีแค่ข้างเดียวนะ”


    แต่ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ สุดท้ายแล้วยุนจีก็เดินกลับบ้านไปด้วยรองเท้าอดิดาสสีขาวสะอาดทางด้านขวา 


    และคอนเวิร์สเปื้อนสีที่ด้านซ้าย 


    พร้อมกับมือของเขาที่กุมมือเล็ก ๆ ของเธอไว้แน่น และ... ไม่รู้สิ บางทีอาจจะพร้อมกับคำอธิบายที่ต้องไปพูดกับพ่อของยุนจี



    ☀  ☀  



    Talk

    high school sweethearts คือคู่รักที่พบกันตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูลที่คบกันยืนยาวไปจนถึงได้แต่งงานกันค่ะ


    "To be fond of dancing was a certain step towards falling in love.” เป็นโควทจากเรื่อง Pride and Prejudice เขียนโดย Jane Austen ค่ะ เป็นบริบทในสังคมอังกฤษสมัยก่อนที่ส่วนใหญ่ผู้คนจะทำความรู้จักกันในงานเลี้ยง และวิธีที่ชายหญิงจะได้ใกล้ชิดกันที่สุดคือการเต้นรำ ดังนั้นคนที่ชอบในการเต้นรำก็หมายความว่ามีความสนใจและตั้งใจที่จะมีคู่ครอง (ถ้าข้อมูลผิดแย้งได้นะคะ อันนี้คือตามความเข้าใจของเรา)


    ให้อภัยความงง และ 2 am thoughts ของเราด้วยค่ะ อยุ๋ดีๆก็เขียน อยู่ดีๆก็อัพ ตื่นมานึกว่าฝันไปแต่เปิดเด็กดีดู อ่าวอัพไปแล้ว 55555


    จริงๆข้อมูลเยอะมากเลยค่ะ ฟิคอันนี้ก็เกือบๆ 5000 คำมาแล้วแต่ใส่ข้อมูลไม่หมดสักที อยากแบ่งเป็นฟิคสั้นสัก 3 ตอน ไว้มีเวลากว่านี้แล้วกันนะคะจะขยายความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่ให้ อ่านที่เราตัดมาแค่นี้ก็จะงงๆหน่อย ; v ;


    ฟิคนี้เกิดจากเรื่องส่วนตัวล้วน ๆ ค่ะ เพราะเราชอบ BT21 มากๆ แต่ก็เกลียดคอนเวิร์สมากๆ /แร็พท่อนพิก้า เกลียดแบบเกลียดจริงเพราะมันกัดแหลกมากค่ะ เลยไม่ได้ซื้อ เสียดายมากน้องน่ารักมาก ;__; เลยเอาคอนเวิร์สมาเขียน บวกกับเราไปดูหนังเรื่อง Cinderella Story มา (ทั้งเวอร์ Selena Gomez และ Lucy Hale เลยค่ะ) แถมด้วย High School Musical ทุกภาค หูยอินมากค่ะ อยากเขียนฟิคที่มีภาพแนวๆไฮสคูลบ้างแต่ไม่รู้จะให้ยุนจีทำอะไรดี เลยเอาพล็อตเบสิคละกันค่ะ ทิ้งรองเท้าไว้เฉย ๆ นั่นแหละเพราะน้องยุนจีไม่ต้องทำอะไรก็น่ารักอยู่แล้ววววว 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×