ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dormouse Valour #BTSinBurrow

    ลำดับตอนที่ #4 : [OS / HopeGa] Hogwarts AU

    • อัปเดตล่าสุด 1 ส.ค. 61



    Magic is something you make


    พ่อแม่ของผมเป็นคนธรรมดา พวกเรายังคงช็อคมากที่มีนกฮูกโผล่มาแถวบ้าน หรืออาจจะเป็นนกเค้าแมว ผมไม่รู้หรอกพวกเราไม่ได้เห็นนกฮูกกันมานานแล้ว ผมเห็นมันแค่ตอนที่ผมยังเด็ก แล้วอยู่ดี ๆ มันก็หย่อนจดหมายลงมา จ่าหน้าถึงผม และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้ยินชื่อฮอกวอตส์ ในเวลาปกติพวกเขายุ่งมาก พี่สาวของผมก็เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่อยู่ต่างเมือง และพวกเขาทุกคนยังคงรับเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อในเวลาอันสั้นนี้ไม่ได้เลยไม่มีใครมาส่งผมที่นี่ คนที่ดูแลผม พาผมไปซื้อพวกหนังสือ ไม้กายสิทธิ์ หรือของจุกจิกอื่น ๆ ก็ไม่ได้อยู่กับผมที่นี่เพราะเขามีเรื่องต้องไปจัดการ ผมเลยเดินอยู่บนทางที่ทอดยาวไปไม่มีสิ้นสุดนี้ตามลำพัง มองหาชานชาลาหมายเลขประหลาดกับเจ้าแมวสีขาวนำ้ตาลที่กำลังปีนป่ายไปมาอยู่ในกรงขนาดเล็กบนกระเป๋าเดินทางใบโต 


    ผมหลงทาง ผมวนเวียนอยู่ระหว่างชานชาลาที่ 9 และ 10 อยู่แบบนั้น ตามหาตัวเลขประหลาดและรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะร้องไห้ออกมา ไม่รู้สิ มันอาจจะเพราะผมอายุแค่ 12 ปี ผมต้องการคนมาซัพพอร์ตผมในช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่นี้ ในหัวผมเอาแต่คิดว่า ‘ให้ตายเถอะ นี่มันเปิดเทอมนะ พ่อกับแม่ควรจะมาอยู่กับผมตรงนี้สิ’ ไม่ก็ 'ไอโรงเรียนบ้า ๆ นี่มีอยู่จริง ๆ หรอ นกฮูกนั่นและทั้งหมดนี่คงไม่มีใครแกล้งทำแล้วผมก็จะไปปรากฏอยู่ตามรายการซ่อนกล้องใช่ไหม’


    ในขณะที่หยดน้ำตาเริ่มไหลลงมาสัมผัสริมฝีปาก ก็มีมือมาแตะที่ไหล่ของผม


    “นายมาคนเดียวหรอ”


    ผมรีบใช้แขนเสื้อเช็ดมันก่อนจะหันหลังกลับไปมองเจ้าของเสียง เป็นเด็กผู้ชายอายุไล่เลี่ยกัน รูปลักษณ์ของเขาสะดุดตาผมตั้งแต่แรกเห็น ผมสีบลอนด์ซีดและผิวที่ขาวจนแทบจะกลืนกัน เขาสวมเสื้อผ้าสีดำทั้งตัว มีเพียงผ้าพันคอสีเขียวที่พาดอยู่บนไหล่ที่ตัดกับสิ่งทออื่น ๆ เขาเข็นรถเข็นที่เต็มไปด้วยกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลแบบวินเทจ เลี้ยงแมวเหมือนกับผม เป็นเจ้าแมวสีส้มนอนนิ่งอยู่บนกระเป๋าส่งสายตาแบบเดียวกันกับเจ้าของมัน สายตาที่ดูนิ่งเฉย


    “ใช่ครับ คือ... ผมน่าจะกำลังไปที่เดียวกับคุณ”


    ผมเห็นเขาพยักหน้าและเอียงคอมองผมอยู่แบบนั้นสักพักก่อนจะเข็นรถเข็นของเขาผ่านไป แวบหนึ่งในความคิดผมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับความเฉยชานั่น แต่อยู่ดี ๆ เสียงเสียดสีของล้อกับพื้นชานชาลาก็หยุดลง


    “จะไม่ตามมาหรอ” เขาส่งเสียงเรียกจากด้านหลัง


    ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังทำหน้ายังไงอยู่ ผมน่าจะทำหน้าดีใจมาก ๆ เหมือนได้รับของขวัญชิ้นใหญ่ในวันคริสต์มาส เขาถึงขมวดคิ้วให้กับท่าทางของผม แต่มันไม่ใช่สีหน้ารำคาญหรือว่าอะไรเหมือนเขาแค่กำลังใช้ความคิดมากกว่า


    “ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยมันออกมาเบา ๆ ตอนที่เข็นรถเข็นไปอยู่ข้างเขา


    “ทำไมมาคนเดียว” 


    อยู่ดี ๆ ในขณะที่ผมเว้นจังหวะระหว่างประโยคเขาก็แทรกถามขึ้นมา


    “คือ พ่อแม่ผมเขาไม่ได้เป็นแบบ... เอ่อ แบบคุณ เขาก็ค่อนข้างรับมือไม่ถูกหน่อย ๆ มันเลยจะดีกว่าถ้าผมจะมาคนเดียว”


    “Muggle-born?”


    “ครับ ทำนองนั้น”


    “น่าสนใจ”


    จากนั้นเขาไม่พูดอะไรกับผมมากในขณะที่เราเดินตามทางไปด้วยกัน แต่มันไม่ใช่ความเงียบที่หน้าอึดอัดเหมือนกับคนไม่มีอะไรคุย มันทำให้ผมสงบอย่างประหลาด ผมรู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้เฉยชาอย่างที่ภาพลักษณ์ของเขาแสดงกลับกันเขาฟังเรื่องราวของผมอย่างตั้งใจ อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศรอบตัวของเขาที่ทำให้ผมสัมผัสได้แบบนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะผมกำลังตื่นเต้นที่มีเพื่อนร่วมทางไปด้วย


    ระหว่างทางที่เดินไปผมเอาแต่จ้องมองใบหน้าของเขา ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะผมสีบลอนด์ของเขาสะท้อนประกายสีเงินประหลาด หรือเพราะดวกตาคมสีเงินคู่นั้นที่ดูตัดกับใบหน้าหวาน มันทำให้เขาดูเหมือนแมวสีขาวมีราคา

    อยู่ดี ๆ เขาก็หยุดยืนอยู่ที่หน้าเสาต้นหนึ่ง จ้องมองมันนิ่ง ๆ 


    “ทำตามฉัน อย่าตกใจล่ะ”


    เขาก็วิ่งหายเข้าไปในกำแพง และผมก็กรี๊ดออกมา กรี๊ด คำนี้แหละถูกแล้ว ผมไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าเขาวิ่งเข้าไปในกำแพงเพราะผมหลับตาปี๋ตอนที่คิดว่าเขาจะชน แต่มันก็ไม่มีทางที่เขาจะหายไปเสียดื้อ ๆ 


    ผมจ้องมองกำแพงนั่นก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เช็ดมือที่เปียกเหงื่อเข้ากับกางเกงวอร์มของผมและจับที่เข็นรถของผมแน่นราวกับว่ามันเป็นแฮนด์ของมอเตอร์ไซด์ที่กำลังรอสัญญาณ​ให้พุ่งไปข้างหน้า


    ผมหลับตาและวิ่งตรงเข้าไปก่อนจะได้ยินเสียงของรถเข็นผมกระทบกับวัตถุอื่น ผมมั่นใจมาก ๆ ว่ามันเป็นกำแพงที่ผมวิ่งใส่จนกระทั่งผมได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของใครบางคน


    “โว้ว ๆ ใจเย็นนะพวก”


    และผมก็ลืมตาขึ้นพบกับคนจำนวนมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้นผมพบกับคนที่อยู่อีกฝั่งของรถเข็นผม หรือพูดจริง ๆ ก็คือผมพารถเข็นของผมมาชนกับเขา เขามีท่าทีงุนงงนิดหน่อยแต่ไม่ได้ดูว่าอารมณ์เสียหรืออะไร กลับกันเขาฉีกยิ้มกว่างมาทางผม


    “มาที่นี่ครั้งแรกหรอ”


    “ใช่”


    “เหมือนกัน เราจีมินนะ พัคจีมิน”


    “จองโฮซอก”


    เขาจับมือผมแล้วเขย่ามันในขณะที่กำลังกระโดดขึ้นลง 


    “เราต้องนั่งด้วยกันแล้วล่ะ”


    แล้วเขาก็ลากผมที่เข็นสัมภาระพะรุงพะรังไปกับเขา 


    ระหว่างทางที่ผมโดนแรงดึงไปยังตู้รถไฟ ผมพยายามจะหันมองกลับไปยังฝูงผู้คนเพื่อตามหาผมสีบลอนด์ประกายประหลาดนั่น แต่เขาก็หายไปแล้ว เหลือไว้เพียงดวงตาคู่สวยที่ยังติดอยู่ในความทรงจำของผม





    “โฮซอก ฟังอยู่รึเปล่า”


    อยู่ดี ๆ เสียงทุ้มของแทฮยองก็ดังขึ้นดึงผมออกจากภวังค์ พวกเรานั่งอยู่ตรงที่ประจำของพวกเราที่ลานหน้าปราสาท เขาสะบัดผ้าคลุมสีฟ้าไปมาเล่นกับนกกระดาษที่บินไปบินมาของเขา 


    “ตกลงว่าไม่กลับบ้านตอนปิดเทอมหน้าหนาวนี้จริงดิ”


    “อือ ไม่ค่อยอยากกลับไปงานที่รวมญาติพี่น้องเท่าไร คิดดูสิ วันขอบคุณประเจ้า ทุกคนจะมารวมอยู่บนโต๊ะเดียวกันและมันพูดยากมากเวลาที่ต้องตอบว่าเรียนอยู่ที่ไหนแล้วมีแผนต่อมหาลัยยังไง”


    “ลำบากเหมือนกันนะเนี่ย”


    ทั้งวงสนทนาตกอยู่ในความเงียบก่อนที่จีมินจะพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น


    “แต่ก็มีรุ่นพี่ในบ้านเราคนหนึ่งอยู่ที่นี่เหมือนกันนะ นายจะได้มีเพื่อน”


    แต่เหมือนจองกุกที่อยู่บ้านเดียวกันจะไม่ได้รับข่าวสารส่วนนี้ด้วย


    “ใคร” 


    “พี่ปี 6 คนนั้นไง ที่เป็นลูกครึ่งวีล่า โฮซอกเคยเจอไหม”


    วีล่า... อ่ะหรอ?


    “วีล่า? แบบ ภูติ สวยๆ ขาวๆ หลอกคนให้หลงได้ อะไรประมาณนั้นหรอ”


    “ใช่ ประมาณนั้นแหละ”


    “หืม… มีคนแบบนี้อยู่ในโรงเรียนเราด้วยหรอ เขาน่าจะดังไม่ใช่รึไง”


    “ไม่แปลกหรอก เขาไม่ค่อยชอบคนเยอะ ๆ ขนาดพวกเราอยู่บ้านเดียวกันยังเจอเขานับครั้งได้เลย” จองกุกเสริม


    แต่บทสนทนาก็ไม่ได้ไปต่อเมื่ออยูู่ดี ๆ แทฮยองก็ละความสนใจจากของเล่นของเขากลับมาดึงทุกคนเข้าไปในอ้อมกอด


    “เฮ้อ ฉันต้องคิดถึงพวกนายมากแน่ ๆ”


    แต่จองกุกดันตัวเขาออกด้วยสีหน้ารังเกียจ


    “อย่าเวอร์ไปหน่อยเลย เดี๋ยวกลับไปเจอหมาที่บ้านคนตรงนี้ก็กลายเป็นหมาไปหมดแล้ว”


    พวกเราใช้เวลาและเสียงหัวเราะร่วมกันอยู่อีกสักพักก่อนที่จะและพวกเขาก็แยกย้ายกันไปตามหอพัก





    ผมใช้เวลาสองวันแรกไปกับการหมกตัวอยู่ในห้องสมุด ไม่ก็ในห้องนั่งเล่นที่อบอุ่นที่สุดในฮอกวอตส์ แน่นอนว่าผมทำแบบนั้นได้เพราะผมก็สนิทสนมกับเอลฟ์ประจำบ้านพอสมควร และเขาก็สามารถเอาอาหารจารครัวมาส่งถึงโต๊ะในบ้านได้ถึงที่ สิ่งที่ผมทำก็แค่จมอยู่ในโซฟา กองหนังสือ และขนมที่คุณเอลฟ์เอามาให้ อ่านอะไรก็ตามที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับภาคการศึกษาหน้า 


    จนวันที่สามผมก็เริ่มเบื่อ ถึงได้ตัดสินใจเดินออกมาเผชิญกับความหนาวเย็นข้างนอก บรรยกาศในของฮอกวอตส์ในตอนนี้มันแตกต่างออกไปมาก อิฐสีเทาทึบปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว ผมเดินไปอย่างไร้ทิศทาง ทำแค่ซึมซับบรรยากาศที่เงียบสงบนี้ ไม่มีใครมาวิ่งเล่นสร้างความวุ่นวายให้กับทัศนียภาพเหล่านี้


    จนมาถึงทางแยกไปทางทะเลสาบ


    ผมเห็นปลายผมสีบลอนด์ไหววูบอยู่ปลายหางตา และรู้ดีว่าเขาเป็นอีกคนที่อยู่กับผมในวันหยุดหน้าหนาวนี้ แต่หัวใจของผมกลับพองโตขึ้นอย่างประหลาดเมื่อเห็นเขาเดินลัดเลาะไปทางริมทะเลสาบ ร่างกายของผมวิ่งตามไปยังทิศทางนั้นโดยไม่ต้องรอให้สมองสั่งการ 


    “มาคนเดียวหรอครับ” ผมตะโกนเรียกเขา


    และในเสี้ยววินาทีที่เขาหันมามันเหมือนกับหัวใจของผมหยุดเต้น


    แววตาสีเงินคู่สวยคู่นั้น ไม่รู้ว่าเพราะผมได้โดนมนต์สะกดจากลูกครึ่งภูติคนนี้ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันไหม แต่ภาพของเขาตรึงใจผมตลอดมาไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี 


    ผมเห็นเขาแอบยกยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันหน้ากลับไปทางผืนทะเลสาบที่ตอนนี้กลายเป็นผืนน้ำแข็งสะท้อนเงาของท้องฟ้าสีคราม


    “มั้งนะ ฉัน น่าจะกำลังไปที่เดียวกับนาย”


    และผมก็ฉีกยิ้มกว้างให้แค่กับประโยคสั้น ๆ นั้น เดินไปนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา จ้องมองตามสายตาของเขาไปยังความว่างเปล่าและมองนิ่งอยู่แบบนั้น ผมคิดถึงความรู้สึกนี้โดยที่ไม่รู้ตัว ความรู้สึกที่มีแค่เขากับผมและความเงียบสงบ


    “รู้ไหมว่า 5 ปีมานี้ผมตามหาพี่มาตลอดเลย”


    เขาจ้องมองผ้าพันคอสีเหลืองของผมทีหลุดรุ่ยจากการวิ่งก่อนจะเอื้อมมือมาดึงมันออกไป และพันกลับเข้าไปใหม่ให้เข้าที่ ผมมองผ้าพันคอสีเขียวสลับเทาของเขาอย่างนึกเสียดาย และเหมือนเขาจะอ่านใจผมออก


    “แล้วนายร้องไห้รึเปล่าที่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับพี่”


    ผมหัวเราะในขณะที่เขาฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้ ผมเพิ่งได้เห็นรอยยิ้มของเขาครั้งแรก


    “ผมโตแล้วน่า”


    “จริงหรอ”


    ไม่รู้ว่าอะไรดลใจผม ในขณะที่เขากำลังทำท่าว่าจะลุกขึ้นผมก็คว้ามือของเขามากุมไว้ มือของเขาเย็นเฉียบและเขาก็สะดุ้งเล็กน้อย แต่ไม่ได้ดึงมันออกไปจากมือผม 


    “ก็โตพอที่จะชวนพี่แอบหนีออกไปฮอกส์มีตด้วยกันหลังทานข้าวกลางวัน พรุ่งนี้”


    เขาจ้องมองจุดที่มือของเราประสานกัน


    “คริสต์มาสเดท?”


    “ก็... ครับ ทำนองนั้น”


    เขายังคงไม่ได้หันมามองผมหรือขยับตัวเข้ามาใกล้กัน เพียงแค่่กระชับมือของพวกเราให้แน่นขึ้นเท่านั้น


    “น่าสนใจ”


    แล้วเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นของผมก็เริ่มต้นขึ้นใหม่อีกครั้ง



    talk

    เขาแค่จับมือกันเราก็เป็นขนาดนี้แล้วแง ถ้าเขากอดกันเราคงได้มีช็อคตายด้วยความสุขก่อนจะได้เขียนอะไรต่อแน่ค่ะ 5555

    จริง ๆ อันนี้ก็เป็นอีกโครงร่างหนึ่งที่เราวางไว้เป็นฟิคยาวค่ะ แต่เราลืม setting ของแฮร์รี่ไปหมดแล้วเลยคงไม่ได้เขียนอะไรไปมากกว่านี้ แบบกลัวข้อมูลผิดมาก ๆ เสียแรงที่อุตส่าห์ตามมาตั้งแต่อนุบาล 2 5555555


    อันนี้เป็นตัวละครที่วางไว้คร่าวๆนะคะ 

    ซอกจิน : ฮัพเฟิลพัฟ ปี 7 (Head Boy)

    ยุนกิ : สลิธิริน ปี 6

    นัมจุน : เรเวนคลอ ปี 5 (พรีเฟกต์)

    โฮซอก : ฮัฟเฟิลพัฟ ปี 5

    แทฮยอง : เรเวนคลอ ปี 5

    จีมิน : สลิธิริน ปี 5

    จองกุก : สลิธิริน ปี 4


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×