ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dormouse Valour #BTSinBurrow

    ลำดับตอนที่ #1 : [OS / HopeGa] Secondhand Book

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 60



     A Second-hand Book


    ฉันชอบเสียงฝนนะ... ฉันเคยใช้เวลาทั้งวันในการนั่งมองฝนแล้วนำเสียงหยดน้ำที่ตกกระทบลงบนพื้นผิวต่างๆมาแต่งรวมกันเป็นเพลง คีย์ของฝนที่หยดลงบนพื้นหญ้า ร่วมพลาสติก ถังน้ำ ท่อระบายน้ำ คือเมเจอร์ ตอนนั้นฉันนึกถึงเนื้อเพลงที่สดใสไม่ออกมันเลยกลายเป็นเพลงเศร้าในคีย์เมเจอร์ แต่ในวันนี้ไม่มีฝน มีแต่เกล็ดหิมะบางเบาร่วงหล่นลงมา หากเสียงของมันก้องกังวาลได้เท่าหยาดฝนคีย์ของมันคงเป็นไมเนอร์ เพราะมันตกกระทบลงมาบนตัวของฉันที่เป็นไมเนอร์



    แสงสว่างที่ฉันไม่คุ้ยเคยส่องผ่านกระจกบานใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลจนต้องกะพริบตาถี่ๆเพื่อปรับโฟกัสและให้คุ้นชินกับแสงนั้น สิ่งที่รับรู้ได้ตอนนี้คือผนังสีขาวนวลและกลิ่นใบสน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น


    ฤดูใบไม้ผลิงั้นหรอ...


    นี่คืิอความคิดแรกที่ผุดขึ้นมา จิตใต้สำนึกของงฉันไม่กล้าคิดว่านี่คือสวรรค์ ไม่ใช่เพราะฉันไม่อยากตาย แต่ความเวิ้งว้างและหนาวเหน็บในโลกใต้พื้นดินน่าจะเป็นที่ของฉันมากกว่า


    “คุณโอเคไหม”


    อยู่ดีๆดวงตากลมโตคู่หนึ่งก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้า ใกล้จนดึงความคิดที่กำลังล่องลอยของฉันกลับมาได้ในแทบจะทันที แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรร่างกายของฉันก็พาตัวเองถอยหนีจนไม่ทันได้หันไปมองว่าข้างหลังฉันมีแต่ความว่างเปล่า


    “ระวัง!”


    มืออีกคู่พยายามจะรั้งฉันไว้แต่อำนาจของแรงโน้มถ่วงดูจะไม่เป็นใจ ตัวของฉันร่วงลงบนพื้นไม้สีอ่อนที่ตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำจากถังพลาสติกที่เคยวางอยู่ใต้เท้า อุณหภูมิที่อุ่นเมื่อแรกสัมผัสแปรเปลี่ยนเป็นความหนาวจับใจอย่างรวดเร็วจนชาไปทั้งตัว


    ฉันคิดว่าตัวเองกำลังกรีดร้อง แต่ไม่มีเสียงใดๆผ่านออกมาจากลำคอเล็กๆที่แห้งผาก แขนที่แทบจะไม่มีแรงของฉันถูกยกขึ้นมาด้วยแรงเฮือกสุดท้าย ปัดป่ายป้องกันตัวอย่างสะเปะสะปะ


    “ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร ผมไม่ได้จะทำอะไรคุณ”


    เขาค่อยจับข้อมือขอฉันทั้งสองข้างอย่างเบามือก่อนจะดึงฉันเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด เขานี่เองคือกลิ่นของต้นสน


    อ่อนโยน คือคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวทั้งๆที่ฉันไม่เคยสัมผัสกับคำๆนี้ แต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าเขาคือความอ่อนโยน ร่างกายที่ก่อกบฎของฉันเชื่อฟังอย่างง่ายดายเหมือนเขาเป็นเจ้าของของมัน และฉันก็ปล่อยร่างกายของตัวเองให้จมอยู่ในความอุบอุ่นที่แผ่ออกมาจากแผงอกกว้างของเขา



    “คุณนี่เหมือนแมวเลย”


    เล็บของฉันไม่ได้แหลมคมมากพอที่จะทำให้เลือดซึมแต่มันก็เห็นเป็นสีแดงชัดเจนบนท้องแขนของเขา มันน่าจะเจ็บอยู่พอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งเดียวที่เขาทำก็คือแค่หัวเราะกับตัวเองเบาๆขณะบรรจงพันผ้ารอบนิ้วมือของฉันที่แตกแห้งและมีเลือดซึมจากความหนาวเย็น ทุกสัมผัสของเขาบางเบาเหมือนมีใครเอาขนนกมารองไว้ใต้ข้อมือของฉัน เหมือนเป็นพรจากทูตสวรรค์


    “ฉันอยู่ที่นี่ได้ไหม แค่ชั่วคราวก็ได้”


    ความอบอุ่นที่ได้รับในไม่กี่ชั่วโมงนี้ทำเอาความนึกคิดของฉันวิ่งตามความต้องการไม่ทัน ฉันพลั้งปากออกไป 


    “คุณไม่มีที่ให้กลับไปหรอ”


    “มีค่ะ แค่ฉันไม่อยากกลับไป”


    “เหตุผลล่ะ?”


    ฉันบอกไม่ได้...


    ฉันกัดริมฝีปากของตัวเองจนซีดขาวเหมือนผิวส่วนอื่นๆของฉันในขณะที่รอคำพิพากษา ไม่มีเสียงใดถูกเอื้อนเอ่ยออกมาไม่ว่าจะเป็นของฉันหรือของเขา


    จากนั้นไม่นานเสียงถอนหายใจแผ่วๆของเขาก็ดังกังวาลในห้องสีนวลแห่งนี้ นิ้วของเขายังคงตั้งใจพันผ้าบนนิ้วมืออีกข้างของฉัน มันเป็นลินินที่ถูกตัดเป็นผืนเล็กๆที่ฉันท้วงไปว่า ‘นั่นไม่ใช่ผ้าพันแผลนะคะ’


    “ได้สิ”


    เอ๊ะ


    “แต่ผมต้องรู้ชื่อของคุณก่อน”


    “ยุนจี”


    ฉันทำตามสิ่งที่เขาขออย่างว่าง่ายราวกับต้องมนต์


    “คุณล่ะ”


    “โฮซอก”


    เหมาะกับเขาจัง...


    “คุณโฮซอก”


    “อื้ม”




    เมื่อไม่มีอะไรทำฉันจึงได้แต่นั่งเล่นปลายแขนเสื้อสเวตเตอร์ที่เขาให้ฉันยืมสวมแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆในขณะที่คุณโฮซอกหายไปอยู่หลังชั้นหนังสือ ฟังจากเสียงก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังบรรจงเรียงหนังสือใส่ในชั้นอย่างเบามือเหมือนวางเด็กทารกลงในเปล


    “งั้น... คุณก็เปิดร้านหนังสือ?”


    มันก็เห็นชัดๆอยู่แล้วเพราะตอนที่เขาถือมันเดินผ่านไปฉันเห็นป้ายติดราคาอยู่บนปก แต่ก็ไม่แน่ใจนักเพราะหนังสือเหล่านั้นดูเหมือนจะอยู่ในห้องสมุดมากกว่าที่จะอยู่ในร้าน 


    “ร้านหนังสือมือสองต่างหาก”


    “ทำไมต้องเป็นหนังสือมือสองล่ะ”


    “หนังสือพวกนี้ก็เหมือนกับคุณนั่นแหละ”


    ฉันขมวดคิ้วโดยที่จงใจให้เขาเห็นตอนที่เขายื่นหน้าออกมาจากชั้นหนังสือ


    “หนังสือเก่าๆไร้ค่าที่เจ้าของไม่อยากเก็บไว้แล้วหรอ”


    “เปล่า” 


    เขาหัวเราะ ไม่รู้เพราะคำพูดหรือหน้าตาที่ไม่พอใจของฉัน ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มบางมาถือไว้แล้วชูมันขึ้นในระดับที่ฉันจะมองเห็นได้ชัดเจน จริงๆก็ไม่ชัดเจนเท่าไรเพราะตัวอักษรสีทองเริ่มจะเลือนหายไปตามการเวลา ขอบกระดาษหน้าปกของมันบางจุดเปื่อยยุ่ยและฉีกขาด มันน่าจะเป็นหนังสือรวมบทกลอน แบบที่ฉันไม่เคยคิดจะอ่านเพราะมันยากและน่าเบื่อ


    “ความสวยงามที่คนลืมเลือนจะถูกทิ้งไว้ที่นี่ รอวันที่คนที่เห็นค่าของมันมากกว่าเจ้าของเดิมจะมารับมันไป”


    นั่นยิ่งทำให้ฉันขมวดคิ้วมากกว่าเดิม


    “ถ้าไม่มีใครมารับมันล่ะ”


    คุณโฮซอกส่งยิ้มเผยให้เห็นลักยิ้มน้อยๆที่แก้มทั้งสองข้าง มันดูน่ารักดี ตอนที่ยิ้มดวงตาของเขาเป็นประกายยิ่งกว่าดวงดาวที่ฉันเคยเห็นข้างนอกหน้าต่างบานเล็กๆในที่ที่ฉันจากมา เขาดูเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ไม่เคยสัมผัสกับสิ่งเลวร้ายภายนอก เป็นภูติตัวเล็กๆในสถานที่ที่มีแต่ฤดูใบไม้ผลิแห่งนี้


    เขาค่อยๆประคองมือที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลแล้ววางหนังสือเล่มบางนั้นลงไป


    ‘เยียวยา’ ปกหนังสือบอกฉันแบบนั้น


    "งั้นผมจะดูแลมันเอง” เขาบอกฉันแบบนั้น



    Talk 


    สวัสดีค่า ไรท์กระต่ายคนเดิมไม่เพิ่มเติมอะไร จริงๆเรื่องนี้เคยลงไปแล้วใน #เชคสเปียร์โฮปก้า แต่พอดีมีไอเดียแวบๆแบบนี้เข้ามาเยอะมากค่ะเลยอยากเก็บมันไว้เป็นฟิครวม OS ไปเลย [อาจจะ]มีแต่โฮปก้านะคะ ต้องตามดูต่อไป อาจจะมีพล็อตคู่อื่นแวบๆมาบ้าง 55555555 

    เอาจริงๆก็มีต่อนะคะเป็นฟิคสั้น3ตอนแต่กลัวคนอ่านมาปาไข่ใส่บ้านไรท์เลยจบไว้ตรงนี้ละกันให้จินตนาการกันต่อ ของจริงไม่ค่อยแฮปปี้เอนด์เท่าไรเพราะมันเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ YvY


    ขอบคุณที่แวะเข้ามาเยี่ยมโพรงกระต่ายเล็กๆนี้นะคะ #BTSinBorrow







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×