รักใดไหนเล่าจะเท่ารักของแม่ - รักใดไหนเล่าจะเท่ารักของแม่ นิยาย รักใดไหนเล่าจะเท่ารักของแม่ : Dek-D.com - Writer

    รักใดไหนเล่าจะเท่ารักของแม่

    บทความวันแม่ ลองอ่านดูนะคะ ความหมายดีมากๆ

    ผู้เข้าชมรวม

    161

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    161

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 ส.ค. 49 / 12:23 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      เราไปงานวันแม่ที่โรงเรียนมาค่ะ แล้วได้ฟังเรื่องนี้มา ก็เลยอยากให้ทุกคนฟังด้วย  เป็นของขวัญวันแม่ให้ทุกคนได้อ่านค่ะ ปล.นั่งพิมพ์แทบตายนะ อ่านด้วยนะคะ  By ธีร์ดา แจนเองน๊า~

                     เรื่องราวนี้ถ่ายทอดจากบทความหนึ่งของอัสสัมชัญสาส์นฉบับเดือน สิงหาคม พ.ศ.2540ซึ่งเขียนโดย

      มิสอุไรพร นาคะสเถียร เป็นเรื่องจริงของครอบครัวหนึ่งที่มิสบังเอิญทราบมาจากการได้พบคุณแม่ของลูกศิษย์คนหนึ่ง ซึ่งได้เล่าว่า เรื่องนี้ต้องยกความดีชอบให้กับมิสอุไรพรครูที่มีจิตวิทยาสูงในการสอนลูกศิษย์ให้สำนึกและมีความภาคภูมิใจในความรักของผู้เป็นแม่

                     ณ เซ็นต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปีพ.ศ.2539 มิสคะ ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบ 2 ท่านที่หน้าห้องรับรองค่ะ โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ ทำให้มิสอุไรพร

      นาคะเสถียรคุณครูประจำชั้นป.4รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมายจะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่งเพียงท่านเดียวในวันนี้ เอ...ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ เมื่อมิสอุไรพรเดินมาถึงห้องประชาสัมพันธ์

      มิสอุไรพรก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้ง 2 ท่านไม่ทัน หากก็รู้สึกแปลกใจ ที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่ง ยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว อย่างไรก็ตาม มิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัด โดยเก็บงำความแปลกใจไว้ หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จ มิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆ ทำให้มิสอุไรพรตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่องการเรียนของลูก เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปีเมื่อต้นปีการศึกษาที่ผ่านมา ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม กลัวโดนเพื่อนล้อแม่ มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์หรอ อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมด คุณครูก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่า จะต้องจัดการเรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้โดยเร็ว หากปล่อยเรื่องนี้ไป.....ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้าทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย

                     ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก มิสอุไรพรจึงได้ถือโอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน เรื่องราวที่ว่านั้นมีดังต่อไปนี้

                     วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2536  หลังวันแม่เพียงใหม่กี่วัน...ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล ครอบครัวนี้ประกอบด้วย คุณพ่อ คุณแม่ และลูกชายอีก 3 คน พวกเขาเดินขมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดิน ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโต 2 คน ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก  ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็กราว 25 ซม. คุณพ่อและลูกชายคนโต 2 คนก็ข้ามท้องร่องแล้วเดินนำไปข้างหน้า ไม่มีใครฉุกคิดระวังถึงเหตุร้าย  แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง ขากางเกงไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่ และฉุดขาทั้งสองของลูกเข้าไปในใบพัดเหล็ก ถ้าเป็นพวกนักเรียน น้องตกลงไปอย่างนี้พวกเธอจะทำอย่างไร มิสหยุดรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียนทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะ ลูกชายของคุณแม่ท่านนั้น  มิสอุไรพรดำเนินเรื่องต่อไปทันที ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย คิดไม่ทันใช่มั้ย แต่นักเรียนรู้มั้ยคะ ว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร คุณแม่ไม่ยอมเสียเวลาคิดอะไรเลย ท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้ ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป...คนงานที่เห็นเหตุการณ์รีบปิดเครื่องลงทันที แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อไปด้วยกำลังแรง...แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม่ขาดสะบั้นลง!  คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส สติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที ท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วยเลือด...เลือดของแม่... ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อย และบดเอาขาทั้งสองของลูกชายคนเล็กจนกระดูกหัก...แต่ไม่ขาด ไม่ขาด...เพราะแขนซ้ายของคุณแม่ขาดแทน...ไม่ขาด...เพราะแม้ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย... คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองหันกลับมามองตามเสียงตะโกนเอะอะโวยวายของคนงาน พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของคุณแม่  ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อคจนแทบสิ้นสติ! คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย แต่...มัยสายเกินไปแล้ว! สิ่งเดียวที่ทำได้คือ รีบพา 2 แม่ลูกไปโรงพยาบาลทันที   ผลการรักษาคือ คุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ขาดไป ส่วนลูกคนเล็กขาหัก ต้องอยู่โรงพยาบาลนานราว 3 เดือนจึงจะสามารถเดินเหินได้ตามปกติ มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง ถามขึ้นอีกว่า นักเรียนคิดว่าคุณแม่คนนี้กล้าหาญมั้ยคะ   กล้าหาญมาก เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพร้อมพยักหน้า หลายๆคนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า มิสมองหน้า ลูกชาย ของคุณแม่ท่านนั้นแล้วบอกต่อว่า  นักเรียนทราบมั้ยคะ ว่าคุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เอง ใครเป็นลูลของคุณแม่ท่านี้ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิคะ เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนๆทั้งห้อง วันนี้เมื่อเธอกลับบ้านไป มิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่าพวกเราชื่นชม และยกย่องท่านมาก จริงมั้ยพวกเรา    จริงครับๆใช่ครับๆ เสียงเล็กๆตอมมาเป็ฯทางเดียวกัน มิสได้ทราบว่ามีหลายๆคนไปล้อเลียนเพื่อน คนไหนบ้างคะ ที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้าเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ มีนักเรียน3-4คนยืนขึ้น สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด มิสอุไรพรมองหน้าเด็ฏกลุ่มนั้นอย่างอ่อนโยน ถามว่า ดีมากนักเรียน ตอนนี้พวกเธอคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ เด็กกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอแล้วกล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ ครูสาวน้ำตาคลอ ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดี หนักใจอยู่เหมือนกัน ว่า หากถามแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะทำอย่างไร?

                     เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสอุไรพรได้เรียกตัว ลูกชาย เข้าไปคุยอีกครั้ง วันนี้เธอมีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ เด็กคนนั้นนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบด้วยเสียงสั่นปนสะอื้นว่า ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่ แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่าผมรักคุณแม่ที่สุดในโลกเลยครับ

                     เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญและจนถึงเวลานี้ก็ยังไม่เคยผิดหวัง ใครเล่า...จะเข้าใจความเจ็บช้ำขมขื่นในหัวใจเล็กๆของเด็กชาบคนหนึ่ง ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด หากบัดนี้... ความรักของแม่ และน้ำใจของเพื่อนได้สลายปมด้อยในใจของเด็ฏคนนี้ลงจนสิ้นลงแล้ว เหลือเพียงความรักและความภูมิในใจตัวคุณแม่เท่านั้น

                     รู้มั้ยน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหงาดเหงื่อยสักเท่าไหร่ บอกแม่เถอะนะ บอกแม่ทุกวัน ว่ารักท่านมาก กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย กอดเลยไม่ต้องอาย ก่อนไม่มีแม่ให้กอด....

                     ทุกวันนี้มีลูกอีกหลายคนที่พบรักใหม่และหลงลืมรักอันบริสุทธิ์ของแม่ และบางคนยอมบูชารักใหม่ด้วยชีวิต ทิ้งแม่ผู่มีแต่ให้ไว้ในความทุกข์...

                     ใครรักแม่...อ่านจบแล้ว...ย่าลืมไปกอดแม่ กอดแน่นๆ หอมแก้มซ้ายแก้มขวา หอมแล้วหอมอีก  หอมหลายๆที...รักแม่ให้มากๆ และไม่ว่าแม่จะเป็นใคร? ประกอบอาชีพอะไร? รูปร่างหน้าตาอย่างไร? อย่าลืมว่าความรักของผู้ที่เป็นแม่นั้นยิ่งใหญ่ และมากเกินกว่าคนที่เป็นลูกจะสามารถชดใช้ได้หมด

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×