คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : Hybrid :: The sixteenth "The last" ( 100% ! )
Chapter XVI
"The Last"
ศาลที่เงียบสนิทเริ่มมีเสียงจอแจเมื่อหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาด้านใน
ใบหน้าของเธอดูซีดเซียว ผมยาวสีน้ำตาลเข้มมีสีขาวแซมอย่างที่ไม่คาดคิดว่าจะถูกปล่อยออกมาให้คนอื่นเห็น
ร่างโปร่งบางเดินไปอยู่ตรงด้านหลังแท่นผู้ต้องหา
ฝั่งตรงข้ามของเธอเป็นแท่นของโจทก์ที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่กับอัยการ
ดวงตาเรียวรีชั้นเดียวคู่สวยที่ดูว่างเปล่านั้นกลับมีไฟแค้นโชติช่วงอยู่ด้านใน
มันร้อนจนจุนฮุยรู้สึกได้
เมื่อผู้พิพากษาเดินเข้ามาทุกคนในศาลจึงลุกขึ้นยืนเพื่อทำความเคารพ
เสียงจอแจต่าง ๆ ก็เวียบลงแทบจะในทันที
“ศาลที่เคารพวันนี้จะเป็นการตัดสินคดีความของนางสาวตงหลินหลิวที่ได้ทำการยักยอกทรัพย์
ลักทรัพย์และทำร้ายร่างกายของนายเหวินจุนฮุย”
“เริ่มการพิจารณาคดีได้”
เมื่อผู้พิพากษาพูดจบ
สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ผผู้ซึ่งอยู่ต่อหน้าศาลและขณะลูกขุน
“ซักโจทก์ได้”
สิ้นเสียง
ชายหนุ่มจึงเดินออกมายืนอยู่หลังที่ซักความแล้วยืนด้วยท่าทางสงบนิ่งเพื่อเคารพศาล
“ข้าพเจ้าของสาบานตนต่อศาล
คณะลูกขุน อัยการ ทนายความและผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการตัดสินครั้งนี้
ว่าข้าพเจ้าจะเบิกความต่อศาลด้วยความเป็นจริงเท่านั้น”
“เชิญอัยการครับ”
เมื่อพูดจบ
อัยการหญิงอายุประมาณสามสิบก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยืนเบื้องหน้าศาล
โค้งทำความเคารพแล้วหันไปถามโจทก์ของคดีนี้ด้วยน้ำเสียงที่ดังมากพอจะทำให้ได้ยินกันอย่างทั่วถึง
“คุณเหวินจุนฮุย
คุณรู้จักกับผู้หญิงคนนี้มานานขนาดไหนแล้วคะ”
“สิบเอ็ดปีได้แล้วครับ”
“แล้วคุณคิดว่าคุณรู้จักผู้หญิงคนนี้ดีแค่ไหนคะ”
อัยการสาวถามต่อ
“ไม่เลยครับ
ผมไม่รู้จักเธอแบบจริง ๆ จัง ๆ ด้วยซ้ำ”
“ทำไมล่ะคะ”
“คุณแม่ของผมบอกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่น่าไว้ใจครับ”
จุนฮุยตอบไปตามความจริง
ถึงแม้ว่าเขาจะยอมรับให้หลินหลิวเป็นอาสะไภ้แต่ก็ไม่เคยคิดไว้ใจหล่อนเลยสักนิดเดียว
“แล้วทำไมคุณถึงยอมรับการแต่งงานของคุณตงกับคุณอาของคุณคะ”
“เพราะตอนนั้นผมยังเด็ก”
อัยการพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันไปมองหญิงที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตนที่ยืนอยู่กับทนายฝีปากเอกด้วยสายตาครุ่นคิด
“นอกจากอาของคุณแล้วมีใครไว้ใจเธออีกไหมคะ”
“ไม่มีครับ”
“ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ของคุณเลยเหรอคะ”
“ไม่มีครับ”
“ค่ะ”
หญิงสาวตอบอย่างรับรู้ก่อนจะเปลี่ยนไปหาคำถามถัดไป “คุณเคยรู้ระแคะระคายมาก่อนหน้านี้ไหมคะเรื่องการโกงครั้งนี้”
“ไม่ครับ
เรื่องนี้ผมยอมรับว่าเป็นความบกพร่องของผม” จุนฮุยตอยเสียงเรียบ
“แล้วเรื่องการจับตัวไฮบริดประเภทที่หนึ่งของคุณไปล่ะคะ
ช่วยเล่าเหตุการณ์ตอนนั้นให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ” อัยการซักต่อ
“ผมถูกผลักตกบันไดแล้วไปรู้สึกตัวอีกทีที่โรงพยาบาล
หลังจากนั้นก็มีการให้ตำรวจตามหาตัวและแกะรอยจากสัญญาณโทรศัพท์ของหมิงฮ่าวครับ”
ชายวัยกลางคนพูดด้วยอาการสงบนิ่ง มือสองข้างประสานกันอยู่บนโต๊ะ
“คุณบอกว่าโทรศัพท์”
“ใช่ครับ
เป็นโทรศัพท์ของหมิงฮ่าว ทำให้ได้ยินอะไรเยอะเลย” จุนฮุยเหลือบตามองคนที่กำลังพยายามทำเหมืนไม่รู้ร้อน
แต่มือสองข้างนั้นเริ่มลุกลี้ลุกลน
“คุณได้ยินว่าอย่างไรบ้างคะ”
“ก็ทั้งเรื่องชาใส่สารหนู
เรื่องรถคว่ำ อีกเยอะครับ ถามพ่อ แม่ คุณอา ลูกพี่ลูกน้องแล้วก็เพื่อนของผมได้
ตอนนั้นเขาก็อยู่ด้วย”
อัยการหญิงพยักหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะหันไปพูดกับคนอื่นในศาลด้วยน้ำเสียง
“เห็นไหมคะทุกท่าน
ชายคนนี้บอกว่าสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นทำไม่ได้ทำกับครอบครัวของเขาครอบครัวเดียว
เธอยังเคยทำอะไรที่ร้ายแรงกว่าการลักพาตัวหลายเท่าคือการฆ่าคน
ศาลที่เคารพคะหากผู้เสียหายเป็นท่าน ท่านจะรู้สึกอย่างไร
ยังอยากจะให้ผู้หญิงคนนั้นใช้ชีวิตอยู่ในสังคมต่ออีกหรือคะ… หมดคำถามค่ะ”
ร่างกระฉับกระเฉงในสูทผู้หญิงสีเข้มเอ่ยแล้วโค้งคำนับให้ศาลก่อนจะเดินกลับไปยังที่นั่งของตน
ต่อไปตาของทนายจำเลยที่ยืนรออยู่
เขาเป็นชายอายุประมาณสี่สิบกว่า ๆ
ท่าทางดูน่าเชื่อถืออย่างที่ทนายทุกคนสมควรจะเป็น
เขาเดินไปยืนด้านหน้าบัลลังค์โค้งตัวทำความเคารพศาลก่อนจะหนไปทางโจทก์ของคดีนี้
“คุณเหวินครับ
ผมมีคำถาม”
“ครับ”
จุนฮุยพยักหน้า
ดวงตาเรียวรีพยายามมองดูชายตรงหน้าว่าจะมีลูกไม้อะไรมาใช้ในการพลิกคดีให้ถูกเป็นผิดได้
“ถ้าคุณจนมาตั้งแต่เกิด
คุณไร้โอกาส คุณถูกมองว่าไร้ค่า ถูกเหยียดหยาม คุณจะรู้สึกอย่างไรครับ”
“ไม่รู้สึกอะไรครับ”
“จริงเหรอครับ
คุณรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เหรอครับ” ทนายวัยกลางคนถามซ้ำและคำตอบก็ยังคงเป็นเช่นเดิมคือการส่ายหน้า
“จริงครับ”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอถามคำถามต่อไปเลยนะครับ
ทำไมคุณเลือกที่จะเชื่อแม่ของคุณแทนที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับเธอเอง”
“ผมเชื่อแม่ครับ
แถมมานึก ๆ ดูแล้วก็ไม่น่าไว้ใจสักเท่าไหร่ การที่ใครบางคนจะแต่งงานกัน
มาใช้ชีวิตร่วมกัน ในมุมมองของผมเอง
เวลาแค่ปีเดียวไม่พอหรอกครับในการศึกษาคนหนึ่งคน
แถมผมว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ค่อนข้างต้องการความแน่ใจว่าคนคนนั้นสามารถดูแลเธอได้จริง
ๆ ผมว่าหนึ่งปีมันน้อยเกินไป” ชายหนุ่มพูดตอบเสียงเรียบ
“แล้วเรื่องตกบันได
คุณแน่ใจได้อย่างไรครับว่านั่นเป็นฝีมือของอาสะไภ้ของคุณเอง”
“ตอนนั้นมีแค่ผมกับคุณตง
นอกจากนั้นก็ไม่มีใครแล้วครับ”
“แน่ใจนะครับว่าคุณไม่ได้ซุ่มซ่มไปเอง”
ชายวัยกลางคนถามต่อ จุนฮุยพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“แน่ใจครับ”
“แน่ใจเสียยิ่งกว่าแน่ใจอีกครับ”
จุนฮุยเอ่ยอย่างมั่นใจก่อนจะตามมาด้วยคำถามอีกสองสามคำถามซึ่งเขาคิดว่าไม่มีส่วนช่วยในการทำให้หญิงวัยกลางคนพ้นผิดเลยสักนิด
รวมถึงการซักจำเลยก็เช่นกันจนมาถึงช่วงการใช้พย่านหลักฐาน
“ขอเบิกตัวพยานฝ่ายโจทก์ค่ะ”
อัยการหญิงพูดก่อนที่ร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งจะเดินเข้ามาในศาล
ทำความเคารพคนบนบัลลังค์ก่อนจะเดินไปด้านหลังแท่นซักความ
“คุณตงซือเฉิง”
“ครับ”
“คุณรู้ใช่ไหมคะว่าแม่ของคุณเป็นจำเลยในคดีครั้งนี้”
“ครับ”
ซือเฉิงพยักหน้า
“แล้วทำไมคุณถึงมาเป็นพยานให้ญาติของคุณ
แทนที่จะเป็นแม่แท้ ๆ ของตัวเองล่ะคะ” เธอถามต่อ
“เพราะผมไม่อยากให้ผู้หญิงคนนั้นทำผิดไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบก่อนจะเหลือบมองผู้เป็นแม่ซึ่งกำลังทำหน้าตกใจระคนโกรธด้วยสยตาที่เฉยชาแต่ยังคงมีเยื่อใยอยู่
แต่ก็น้อยเสียเหือเกินจนแทบมองไม่เห็น
“ค่ะ
แล้วคุณเคยรู้หรือเห็นอะไรบ้างคะ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
“ไม่เคยครับ
รู้แต่เรื่องโทรศัพท์ตอนอยู่ในโรงพยาบาล”
“มันว่าอย่างไรคะ
ช่วยเล่าให้ฟังได้ไหม”
ซือเฉิงพยักหน้าก่อนจะเม้มปากทำหน้าครุ่นคิด
“มีเรื่องเกี่ยวกับรถคว่ำเมื่อสิบปีก่อน
ผมก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากหรอก แต่ดูเหมือนคุณหลินหลิวจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”
“ค่ะ”
“อีกเรื่องก็สารหนูในน้ำชาที่เธอใส่ลงในน้ำชาของคุณพ่อแท้
ๆ ของผมจนท่านเสียและการหลอกแต่งงานกับคุณตงฝูแล้วก็…” น้ำเสียงของสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของผู้ต้องหาเริ่มสั่นเครือจนคล้ายว่าใกล้จะร้องไห้เต็มที
“แล้ว…”
“ผมขอไม่พูดอะไรแล้วนะครับ”
ซือเฉิงเม้มปากเอ่ยเสียงเครือ น้ำตาเริ่มคลอรื่นตรงหัวตา
“งั้นดิฉันขอหมดคำถามเพียงเท่านี้ค่ะ”
อัยการสาวพูดก่อนจะโค้งตัวทำความเคารพศาลแล้วเดินกลับเข้าที่ของตนไปนั่งข้าง
ๆ โจทก์ที่ทำหน้านิ่งมองเหตุการณ์ไปเงียบ ๆ ปล่อยให้เป็นคราวของทนายฝ่ายตรงข้าม
ชายวัยกลางคนเดินไปทำความเคารพศาลเหมือนอย่างเคยก่อนจะหันไปมองพยานของฝ่ายตรงข้ามตัวใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ดูไม่จริงใจเป็นที่สุด
“คุณตงซือเฉิง”
“ครับ”
ชายหนุ่มพยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปรกติทั้ง ๆ
ที่น้ำตายังอยู่เต็มหน่วย
เขาใช้นิ้วโป้งเกลี่ยออกแล้วสบตาอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“คุณซือเฉิงครับ
คุณอยากรวยไหมครับ”
“เคยอยากครับ”
ซือเฉิงเม้มปาก
“แล้วตอนนี้ไม่อยากแล้วเหรอครับ
เพราะอะไรครับ”
“ไม่ครับ”
เขาสั่นศีรษะ “เพราะผมเห็นแล้วว่าอำนาจของเงินทำให้คนหลงทำผิด
หลงคิดว่าเงินเป็นพระเจ้า ผมไม่อยากเป็นคนที่หลงไปอยู่ในวังวนนั้นเหมือนกับ…”
ดวงตาเรียวรีปรายเหลือบมองหญิงวัยกลางคนอีกครา
เธอยังอยู่ที่เดิม ทำสีหน้าเหมือนอย่างเดิม
ต่างไปเพียงแค่สายตาที่มองมาทางเขาอย่างอาฆาตมาดร้าย
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดคำสุดท้ายออกมาเพื่อเติมเต็มประโยคนั้น
“แม่ของผม”
“แล้วเรื่อง…”
“ไอ้ลูกเนรคุณ!”
หลินหลิวตะโกนขึ้นดังลั่นห้องพิจารณาคดี
แขนข้างหนึ่งยกขึ้นชี้หน้าทั้ง ๆ
ที่ยังคงมีกุญแจมือยืดเหนี่ยวข้อมือเเรียวบางทั้งสองข้างไว้ด้วยกัน
ดวงตาสองข้างแดงก่ำด้วยความโกรธ
“แม่…”
“ไอ้คนไม่รู้จักบญคุณคน!
ฉันอุตส่าห์ส่งเสียเลี้ยงดูแกมาตั้งกี่ปี!”
“แม่ครับ…”
“เลี้ยงเสียข้าวสุกแท้
ๆ ฉันรึก็อุ้มท้องแกมาตั้งเก้าเดือน ส่งแกจนเรียนจบ ไอ้คนอกตัญญู!”
“แต่แม่ก็เป็นคนบอกเองนี่ครับว่าผมเป็นมารหัวขน!”
ประโยคล่าสุดทำเอาห้องไต่สวนที่เงียบกริบมีเสียงซุบซิบจอแจดังขึ้นจนกลายเป็นดังฮือไปทั้งห้อง
หลินหลิวหน้าชาเหมือนมีใครนำน้ำเย็นมาสาดใส่หน้า มือทั้งสองข้างกำแน่นด้วยความโกรธ
ตอนนี้หน้าของเธอแดงพอ ๆ กับเนคไทที่สวมอยู่และสีลิปสติกของเธอด้วยซ้ำ
“แก…”
“แม่พูดเหมือนว่าผมเป็นคนที่ทำให้ชีวิตของแม่ตกต่ำ
และนั่นก็จริง” ซือเฉิงหัวเราะดังหึในลำคอ “ผมทำให้แม่ต้องฆ่าคน ทำให้แม่ต้องทำบาป ทำให้แม่รู้จักความไม่รู้จักพอ
ผมเป็นมารชีวิตของแม่จริง ๆ … อ้อ ไม่สิ คุณตงหลินหลิว”
เขาพูดประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเฉยชาที่สุด
มือขวากำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ
“แม่…”
“พอเถอะครับ
หยุดพูดเหมือนว่าคุณทำดีกับผมมาตลอดชีวิต” ชายหนุ่มกระพริบตาถี่
ปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้ม “ผมเบื่อแล้วที่ต้องเดินไปตามทางที่คุณขีดไว้
ผมอยากเลือกทางของผมเอง ขอบคุณสำหรับตลอดยี่สิบสามปีที่ผ่านมาครับ… คุณทนาย ผมขอตอบคำถามแค่เพียงเท่านี้นะครับ”
“อ่า…
ได้ครับ” ทนายพยักหน้าแล้วเดินไปโค้งคำนับศาลก่อนจะเดินกลับไปนั่งข้างหญิงวัยกลางคนด้วยท่าทางถอดใจ
ดูเหมือนคดีเขาคงเป็นฝ่ายแพ้แล้วเป็นแน่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพยานบุคคล พยานหลักฐาน
เขามองภาพในศาลด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีก่อนจะหันไปมองประตูทางเข้า
ตอนนี้มีนักข่าวและสื่อมวลชนหลายเจ้ายืนออกันรอสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องกับคดีครั้งนี้
ด้วยว่าทั้งสองฝ่ายค่อนข้างมีหน้ามีตาอยู่ในวงสังคมอยู่ไม่น้อย
เขาหันไปมองลูกความของตนที่กำลังทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วถอนหายใจ
ต่อไปก็คงเป็นเธอที่ต้องผลของการกระทำทั้งหมดซึ่งตัวของเขาเองก็ช่วยไม่ได้
เรื่องทั้งหมดได้จบลงด้วยความที่ว่า
ตัวของเคียวยะและหลินหลิวได้รู้จักกันตอนในระยะเวลาใกล้เคียงกับตงฝู
ทั้งสองมีความสัมพันธุ์ลึกซึ้งกันและรวมถงการฉ้อโกงในครั้งนี้
ชายฉกรรจ์ทั้งหมดในโกดังนั้นก้เป็นคนของชายชาวญี่ปุ่นทั้งหมด
จึงได้รับข้อหาสมรู้ร่วมคิดและทำร้ายร่างกายไปโดยไม่สามารถโต้แย้งได้
ทำให้ชายหญิงทั้งสองต้องคอตกรับกรรมที่ตนทำไปโดยปริยาย
นั่นแหละ
บ้านเหวินจะได้สงบสุขเสียที
หลังจากเรื่องของจุนฮุยจบลงหลินหลิวและเคียวยะได้รับโทษไปตามกฎหมาย
และแน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้ฝั่งโอซาเนะกรุ๊ปได้รับความกระทบกระเทือนเป็นอย่างมากทำให้ลูกสาวของนักธุรกิจหนุ่มหายหน้าไปจากวงสังคมเพื่อหลบนักข่าวซึ่งรอรุมสัมภาษณ์กันราวกับสัตว์กระหายเลือดกำลังรุมเหยื่อ
และแน่นอนว่าหญิงสาวได้มีการโทรศัพท์มาหาเพื่อขอโทษเรื่องที่พ่อของเธอเป็นคนทำทั้งหมด
และคนที่เสียใจในเรื่องนี้นอกจากคุณหนูโอซาเนะแล้วก็คือตงฝูนั่นเอง ส่วนซือเฉิงนั้นประธานเหวินกรุ๊ปยังยินดีให้ทำงานต่อในตำแหน่งเลขานุการแทนฮันโซลที่ต้องรับโทษไปตามความผิดและตงฝูไม่มีความคิดที่จะยกเลิกการเป็นพ่อลูกกับลูกชายบุธรรมคนนี้เลยสักนิดเดียว
จุนฮุยไม่ได้ดูดายเรื่องครอบครัวขงพนักงานเก่า
และยังคงยินดีรับชายลูกครึ่งอเมริกันในตำแหน่งแต่สวัสดิการจะต้องลดลงไปตามความเหมาะสมรวมถึงต้องมีการจับตาดูพฤติกรรมอยู่
ส่วนน้องสาวของอีกฝ่ายทาง บริษัทยินดีในการช่วยให้ทุนจนกว่าจะเรียนจบ
แต่ว่าฮันโซลต้องกลับมาทำงานชดใช้เงินทั้งหมดเช่นกัน
ทุกอย่างจบลงด้วยดี
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีความ บริษัท ครอบครัว แม้กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างใครบางคนกับตุ๊กตาของเขา
แต่เรื่องของจอนวอนอูดูเหมือนจะยังไม่จบง่าย
ๆ
มินกยูมองกระเป๋าดินสองแบนเรียบบนพื้นอย่างไม่เข้าใจ
คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างสงสัยด้วยว่าทำไมอยู่ดี ๆ
มือก็เกิดไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเสียเฉย ๆ
เขาถอนหายใจก่อนจะก้มลงไปหยิบของบนพื้น
แต่มันไร้ผล นิ้วทั้งห้าของเขาไร้การขยับเขยื้อนแม้จะพยายามสักเท่าไหร่
ผิดปรกติ…
ร่างสูงจึงใช้แขนขวาซึ่งอยู่อีกข้างหนึ่งหยิบกระเป๋าบนพื้นมาวางบนโต๊ะเรียนตามเดิมแล้วกลับไปสนใจกระดานไวท์บอร์ดที่มีสูตรคณิตเป็นลายมือหวัด
ๆ ด้วยสายตาเคลือบแคลง
นั่นส่งผลให้เขาไม่มีมาธิในการเรียนตลอดทั้งวัน
มินกยูปั่นจักรยานกลับบ้านด้วยความสงสัยคาใจตลอดทาง ถึงแม้จะจอดจักรยาน
เข้าลิฟต์ไปแล้วคิ้วเรียวเข้มก็ยังคงขมวดกันมุ่นจนแทบจะเป็นโบอยู่รอมร่อ
นอกจากมือซ้ายจะใช้การไม่ได้แล้ว อาการยังเริ่มลามไปถึงต้นแขนเสียอีกด้วย
“เครียดอะไรมา”
วอนอูถามพลางใช้นิ้วจิ้มไปที่หว่างคิ้วซึ่งยับย่นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มขัน
ร่างสูงคลายสีหน้าออกแล้วส่งยิ้มบาง ๆ
ให้ร่างโปร่งบางในชุดทำงานที่เพิ่งถอดเสื้อนอกออกพลาง่ายหน้าเล็กน้อย
“เปล่าครับ
พี่ก็เถอะ วันนี้ทำงานหนักแย่สิ” มินกยูตอบก่อนจะเอนศีรษะซบเข้าที่บ่าเล็กบาง
มือซ้ายที่ใช้การไม่ได้โดยไม่ทราบสาเหตุวางอยู่บนตัก
“ไม่หรอก
ก็เหมือนทุกวัน” ร่างโปร่งตอบแล้วยกมือข้างหนึ่งลูบศีรษะมนของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“จริงนา
ไม่อย่างนั้นผมจะไปถามคุณซึงชอลจริง ๆ ด้วย”
“จริงสิ
ทำตัวอย่างกับพ่อเลยนะเราน่ะ”
“ก็เป็นห่วงนี่”
ร่างสูงพูดแล้วเงยหน้าไปหอมแก้มคนข้างตัวดังฟอดใหญ่
วอนอูหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก
มินกยูยิ้มตอบแล้วใช้มือขวายกขึ้นเกลี่ยแก้มอีกคน
ใบหน้าคมเคลื่อนเข้าไปหาริมฝีปากบางเฉียบ คนอายุมากกว่าหัวเราะเบา ๆ แล้วทำท่าจะเข้าไปทำตามในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ
แต่ดวงตาเรียวรีก็เหลือบไปเห็นมืออีกข้างซึ่งยังคงนอนนิ่งอยู่บนตักทั้ง ๆ
ที่โดยปรกติมักจะต้องใช้ในการลอบจับตรงนู้นที ตรงนี้ทีอย่างฉวยโอกาส
แปลก
“แขนซ้ายเป็นอะไรน่ะ”
มินกยูรีบผละออกทันที
มือขวารีบกุมแขนซ้ายเอาไว้ก่อนจะหันหนี
“เปล่าครับ”
วอนอูหรี่ตามองอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
มือเรียวคว้าแขนข้างที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามปกปิดออกมาดูก่อนจะต้องตกใจเมื่อเห็นสภาพของอวัยวะส่วนนั้น
แขนยาวที่มีมัดกล้ามเล็กน้อยกลายเป็นสีม่วงคล้ำจนดูน่ากลัวคล้ายกับการขาดเลือด
คนตัวขาวเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“มินกยู…”
“มันก็แค่ไม่สบายนิดหน่อยเอง”
“ไม่เอาน่า
นายเป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” คนอายุมากกว่าถามเสียงแผ่ว
“เมื่อเช้า”
เมื่อเห็นว่ายากจะปกปิด จึงบอกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
คนถามส่ายหน้าอย่างไม่ใคร่อยากจะเชื่อหูคนเองนัก
“อะไรกัน
มัน…”
“ใช่
มันเร็ว” มินกยูพยักหน้าก่อนจะดึงร่างโปร่งบางเข้ามากอด
บรรยากาศทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ไร้เสียงพูดคุยใด ๆ
นอกจากเสียงลมหายใจและเครื่องปรับอากาศ
“คิดว่าจะมีเวลาอีกเท่าไหร่”
วอนอูกระซิบถามเสียงเครือ
ตุ๊กตาตัวสูงส่ายหน้าอย่างไม่ขอออกความคิดเห็น
มือเรียวพยายามออกแรงบีบมือบางแต่ก็ไร้ผล ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไร้การเคลื่อนไหวทุกอย่าง ใบหน้าคมสันซุกซบลงบนลาดไหล่บาง พยายามกลั้นน้ำตาเต็มที่
“มือขวาผมขยับไม่ได้แล้ว”
มินกยูพูดเสียงแผ่วเบา คนตัวเล็กกว่าโคลงศีรษะแล้วกอดร่างสูงแน่นจนแทบจะจมเข้าไปในอกกว้าง
น้ำตาเริ่มซึมออกจากหัวตา ถึงแม้จะรู้ว่าวันนี้จะต้องมาถึงในไม่ช้า
แต่ว่าเขาก็ไม่คิดว่าจะรวดเร็วถึงเพียงนี้
“ไม่เอาน่า
อย่าพูดให้ฉันเสียกำลังใจสิ”
“แต่ว่า…”
“ขออยู่อย่างนี้สักพักนะ”
วอนอูพูดเสียงสั่น ก่อนที่เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ
จนกระทั่งใกล้เที่ยงคืน
ร่างสูงผินหน้ามองคนที่กำลังนอนหนุนตักอยู่ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกดี
ๆ เท่าที่เขาจะให้ได้
มือหนาเกลี่ยน้ำตาออกจากพวงแก้มใสแล้วก้มลงไปประกบริมฝีปากเข้ากับอวัยวะเดียวกัน
ค้างอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานก่อนจะเอนหลังพิงกับเบาะตามเดิม
ตอนนี้ขาสองข้างชาดิกจนรู้สึกไม่ได้แล้ว มินกยูมองคนตักแล้วเอนศีรษะกับเบาะพนัก
หลับตาลงข่มอาการปวดศีรษะและความพร่าเบลอที่ปรากฏขึ้นในดวงตา หัวตื้อไปหมด
คงถึงเวลาของเขาแล้วแน่
ไฮบริดร่างสูงมองคนบนตักเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหลับตาลง
ปล่อยให้ความมืดครอบงำไปทุกส่วน
เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงลมหายใจของวอนอูบนตัก
เปลือกตาบางปรือเปิดก่อนจะลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจเสียสองสามทีแล้วหันไปมองคนที่ถูกเขาหนุนตักหมายจะพูดบอกอรุณสวัสดิ์และได้รับรอยยิ้มมาจากอีกฝ่าย
แต่สิ่งที่เห็นกลับกลายเป็นใบหน้าหล่อเหลาที่เรียบเฉยและร่างกายที่ไร้การขยับเขยื้อนอะไรแม้แต่ปลายนิ้วเดียว
วอนอูนั่งนิ่ง
มองคนข้างตัวอยู่เนิ่นนานด้วยใบหน้าที่ยิ้มค้างไว้อย่างนั้นแม้กระทั่งน้ำตาจะเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม
ไปถึงปลายคาง หยดลงบนเสื้อเชิ้ตสีขาว
“ไปแล้วเหรอ”
มือเรียววางแตะลงบนแก้มสาก
น้ำเสียงสั่นเครือ
ร่างโปร่งเอื้อมแขนไปกอดตุ๊กตาข้างตัวไว้แน่นจนตัวไปนั่งอยู่บนตักแกร่งข้างหนึ่ง
ใบหน้าค่อนไปทางสวยซุกเข้ากับซอกคอเย็นเฉียบ
เสียงสะอื้นดังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนั้นเนิ่นนานจนคนร้องไห้คอแหกผากและปวดหนึบ
เขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมของเจ้าเด็กตัวแสบอีกครั้ง
ภาพของสมัยที่ร่างในอ้อมยังเป็นเด็กสูงเกินชายโครงมาเพียงนิดเดียววิ่งกลับเข้ามาในห้วงความทรงจำ
คำเรียกที่ดูแก่กว่าอายุจริงนั้นเหมือนยิ่งกระตุ้นน้ำตาของเขาให้ไหลออกมาต่อ นี่เขาต้องกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้งแล้วหรือ
ริมฝีปากบางจูบลงบนเปลือกตาของอีกฝ่ายที่คงไม่ตื่นขึ้นมาก่อนจะเลื่อนลงมาที่ริมฝีปากได้รูปกระกบค้างไว้เนิ่นนานคล้ายกับการบอกลาเป็นครั้งสุดท้ายหรือการรอมาพบกันใหม่
โอกาสมีสองแบบ ทางเลือกมีเพียงสองทางคืออีกฝ่ายฟื้นขึ้นมาหรือเสียชีวิตเท่านั้น
และเขาภาวนาขอให้เป็นข้อแรก
ชายหนุ่มมองภาพของตุ๊กตาซึ่งบัดนี้ดูสมกับสถานะภาพของตัวเองด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
เขานั่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานพลางจดจำใบหน้าของมินกยูไว้และเขามั่นใจ
ว่าเขาจะไม่มีวันลืม
v
v
v
(100%)
จะจบแล้วนะคะ
ป.ล.ซื้อฟิคกัน
ป.ล.ล.รายละเอียดอยู่ในตอนที่18นะคะ
ป.ล.ล.ล.ปิดโอนเดือนหน้าแล้วนะ!!
♡ ด้วยรักและสปาเกตตี้ง่อยๆฝีมือน้องเราที่อร่อยกว่าเดิม♡
@yinde119
#ฟิคไฮบริดมินวอน
ความคิดเห็น